“ณรงเดช” อัดรัฐบาลไร้ผู้นำแก้ปัญหาราคาข้าว จี้ “พิชัย” ตอบให้ชัดแผนระบายข้าวล้นตลาด-ช่วยชาวนาจากปัญหาหนี้สิน “พิชัย” ลุกแจง เร่งแก้ปัญหาส่งออกข้าว-ราคาต่ำ ผุดไอเดีย เพิ่มพื้นที่ปลูกกล้วยส่งออก
วันที่ 6 มีนาคม 2568 ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ณรงเดช อุฬารกุล สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ได้ตั้งกระทู้ถามสดด้วยวาจาต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ พิชัย นริพทะพันธุ์ กรณีปัญหาราคาข้าวตกต่ำ โดยณรงเดชกล่าวว่า ตนสงสัยมาตลอดว่ารัฐบาลนี้มีความจริงจังจริงใจในการแก้ไขปัญหาให้พี่น้องชาวนาแค่ไหน เพราะรัฐบาลที่ผ่านมาในคณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าว (นบข.) ซึ่งมีหน้าที่สำคัญคือการกำหนดนโยบายบริหารจัดการข้าวทั้งระบบ ตั้งแต่การวางแผนการปลูก การติดตามสถานการณ์การขายและการช่วยเหลือพี่น้องชาวนาจะมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน เช่นรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หรือรัฐบาล เศรษฐา ทวีสิน ส่วนกระทรวงพาณิชย์เป็นฝ่ายเลขา แต่รัฐบาลนี้กลับตั้ง พิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน จึงสงสัยว่านายกฯ เจนวายไม่สนใจปัญหาเกษตรหรืออย่างไร
จากปัญหาการไร้ผู้นำ ทำให้เราเห็นการบริหารจัดการข้าวเป็นแบบ “ทำใครทำมัน” เป็นนโยบายรายวัน ยกตัวอย่างเช่น ไม่มีการวางแผนและติดตามสถานการณ์ขณะที่ราคาข้าวลดลงอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ต้นปี 2567 เพราะอินเดียประกาศกลับมาส่งออกข้าว แต่การประชุมคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (กนช.) เมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน 2567 ที่ประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกฯ ประชุมร่วมกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย กลับมอบหมายให้กรมชลประทานและกรมส่งเสริมการเกษตรไปบอกชาวนาให้ทำนาปรังเพิ่มเพราะน้ำดี ขณะที่ รมว.พาณิชย์บอกว่าไม่ได้ส่งเสริมให้ทำข้าวนาปรัง จึงสับสนว่าสรุปจะส่งเสริมหรือไม่ส่งเสริมกันแน่ รัฐมนตรีได้คุยกันบ้างหรือไม่ จากการไม่วางแผนร่วมกันทำให้ราคาข้าวมีปัญหาเพราะข้าวล้นตลาด ชาวนารายได้ลดลง รัฐบาลจะรับผิดชอบความผิดพลาดนี้อย่างไร
ตัวอย่างต่อมา ความสับสนเรื่องมาตรการช่วยเหลือชาวนา ในวันที่ 6 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา นภินทร ศรีสรรพางค์ รมช.พาณิชย์ ได้มาตอบปัญหาราคาข้าวที่สภาฯ บอกว่ากำลังหาวิธีการแก้ปัญหาข้าวนาปรัง ต่อมา 19 กุมภาพันธ์ รมว.พาณิชย์ตอบว่าจะเสนอ 7 มาตรการแก้ปัญหาราคาข้าว 20 กุมภาพันธ์ คณะอนุกรรมการ นบข.ด้านการตลาด ได้ออก 3 มาตรการ ได้แก่ สินเชื่อชะลอนาปรัง ชดเชยดอกเบี้ย เปิดจุดรับซื้อข้าวเปลือก ใช้งบประมาณรวม 1,893 ล้านบาท
จากนั้น 24 กุมภาพันธ์ รมว.พาณิชย์ กลับบอกชาวนาที่ไปหาที่กระทรวงพาณิชย์ว่าเงินชดเชยรายได้ที่ชาวนาต้องการหรือการประกันรายได้ตามข้อเรียกร้องนั้น ยืนยันว่าทำไม่ได้เพราะขัดกับมติคณะรัฐมนตรี แต่หลังจากนั้น 26 กุมภาพันธ์ รมว.พาณิชย์ กลับแถลงว่า นบข. มีมติจ่ายเงินชดเชยเกษตรกรโดยตรงไร่ละพัน ครัวเรือนละไม่เกิน 10 ไร่เฉพาะเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียน วงเงินงบประมาณ 2,867 ล้านบาท จะเห็นได้ว่าแค่สัปดาห์เดียว มาตรการเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา ผ่านมาแล้วหนึ่งเดือนจนถึงวันนี้ ยังไม่มีมาตรการช่วยเหลือชาวนาเข้าคณะรัฐมนตรี อยากทราบว่าทำอะไรกันอยู่ มาตรการต่างๆ ได้ข้อสรุปแล้วหรือยัง
คำถามแรก รมว.พาณิชย์ในฐานะรองประธาน นบข. และเป็นฝ่ายเลขา ตอบได้หรือไม่ว่ามาตรการที่ รัฐบาลจะช่วยเหลือพี่น้องชาวนาที่ทำนาปรังในฤดูกาลผลิต 2567/2568 คืออะไร ความช่วยเหลือจะถึงมือพี่น้องชาวนาเมื่อไหร่ ใช้เงินเท่าไหร่ ช่วยเหลือใครบ้าง ตอนนี้เกษตรกรที่ทำนาปรังลงทะเบียนทั้งสิ้น 4.3 ล้านไร่ 245,000 ครัวเรือน หากท่านเตรียมงบประมาณไว้เพียง 2,800 ล้านบาท แล้วความเสียหายของพี่น้องชาวนาที่ปลูกข้าวเพิ่มในปีนี้กว่า 10 ล้านไร่จากการส่งเสริมของรัฐบาล จะทำอย่างไร ชาวนาที่ไม่ได้ขึ้นทะเบียนอีกกว่า 5 ล้านไร่ จะดูแลอย่างไร จะมีเงื่อนไขอะไรเพิ่มเติมอีกหรือไม่ จะมั่นใจได้อย่างไรว่าเงินช่วยเหลือนี้จะถึงมือพี่น้องชาวนา ไม่ใช่เจ้าของที่ดิน
พิชัยตอบคำถามแรกว่า ตนติดตามปัญหาตลอด ห่วงชาวนาไม่ต่างกัน ตั้งแต่ปลายปีที่แล้วกระทรวงพาณิชย์พูดว่าราคานาปรังจะไม่ดีเนื่องจากอินเดียจะเริ่มส่งออกข้าว ที่ผ่านมานาปรังเราไม่เคยให้เงินช่วยเหลือ แต่พอเห็นว่าราคาตกเยอะ ชาวนาลำบาก จึงออกมาตรการ ที่ผ่านมาตนรับฟังความเห็นทุกฝ่าย ทั้งข้าราชการและชาวนา โดยมีชาวนากลุ่มใหญ่ขอว่าอยากได้ไร่ละพันไม่เกิน 10 ไร่ เราจึงเสนอเข้าบอร์ดใหญ่ นบข. ที่รองนายกฯ พิชัยเป็นประธานและสรุปว่าจะให้ โดยใช้เงินเหลือค้างจากข้าวนาปี ไม่ได้ของบเพิ่มเติม ส่วนระยะยาวก็คิดว่าจะทำอย่างไรให้ชาวนามีรายได้เพิ่มขึ้นอย่างถาวร เช่น ใช้เมล็ดพันธุ์ที่ได้ผลตอบแทนมากขึ้น ใช้ตลาดนำการผลิต แต่ระยะสั้นชาวนาลำบากก็ต้องช่วยเหลือ โดยขอให้มาลงทะเบียนก่อนวันที่ 30 เมษายน
จากนั้นณรงเดชกล่าวว่า ตนเห็นด้วยเรื่องตลาดนำการผลิต แต่ปัญหาคือตลาดข้าว ณ ปัจจุบันก็มีปัญหา ของมีเยอะแต่ความต้องการซื้อไม่มี ส่งผลให้ราคาข้าวตกต่ำต่อเนื่อง ผลผลิตจะออกสู่ตลาดมากที่สุดในเดือนมีนาคมถึงเดือนเมษายน ประมาณ 5.3 ล้านตันหรือประมาณ 67% ของปริมาณข้าวนาปรังทั้งหมด โดยมีการคาดการณ์ว่าปีนี้เราจะส่งออกข้าวน้อยลง ต้องหาตลาดเพิ่มจากปีที่ผ่านมาอย่างน้อย 2.2 ล้านตันข้าวเปลือก ตัวเลขนี้ทราบตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2567
ดังนั้นในเมื่อกระทรวงพาณิชย์ทราบว่าจะมีข้าวล้นตลาด กระทรวงได้มีแผนการอย่างไรในการบริหารจัดการข้าวเปลือก 2.2 ล้านตันที่ยังไม่มีที่ไป ที่รัฐมนตรีบอกว่าจะผลักดันการซื้อขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐกับจีนอีก 280,000 ตันข้าวสาร อยากทราบว่าจะขายข้าวชนิดไหนราคาเท่าไหร่ ข้อตกลงนี้มีมาตั้งแต่เมื่อไหร่ เป็นฝีมือรัฐมนตรีหรือไม่ การส่งออกข้าว 300,000 ตันข้าวสารไปแอฟริกาใต้มูลค่าราว 5,250 ล้านบาท ตอนนี้ความคืบหน้าไปถึงไหน มูลค่าต่อตันเท่าไหร่ และข้าวที่เหลืออีก 1.3 ล้านตันจะจัดการอย่างไร
พิชัยกล่าวว่า ตั้งแต่รู้ปัญหานี้ ตนได้ติดต่อขายข้าวล่วงหน้า เมื่อเดือนพฤศจิกายนถึงธันวาคม 2567 ได้เรียกทูตจีนมาพบขอให้ซื้อ 280,000 ต้นข้าวสาร เรื่องราคานั้นต้องดูว่าราคาในตลาดอยู่ที่เท่าไหร่ แต่ยืนยันว่าเขาซื้อแน่และจะซื้ออย่างอื่นเพิ่มอีก ส่วนแอฟริกา ตนจะบินไปเซ็นสัญญาการซื้อขายข้าวในปลายเดือนนี้ 370,000 ตัน และจะขายได้อีกเรื่อยๆ เพราะเป็นตลาดใหญ่ มีความนิยมในการบริโภคข้าวไทย ขณะที่ตลาดอื่นๆ เราพยายามหาเพิ่มเติม วันก่อนตนได้เรียกทูตพาณิชย์มาหารือเพื่อหาช่องทางในการเร่งขายข้าว ข้าวหอมมะลินั้นขายได้ดีที่สหรัฐอเมริกา ราคาไม่ตก ส่วนราคาข้าวขาวต้องเร่งแก้ไขว่าจะระบายอย่างไร ยืนยันว่าไม่ได้นิ่งนอนใจ ทุกข์ชาวนาคือทุกข์ของแผ่นดิน
ณรงเดชกล่าวว่า จากคำตอบของรัฐมนตรี สรุปแบบนี้ได้หรือไม่ว่ามาตรการเดียวที่มีอยู่คือจ่ายไร่ละพัน ไม่เกินครัวเรือนละ 10 ไร่ซึ่งผ่านมติ นบข. แต่ยังไม่ได้นำเข้าที่ประชุม ครม. และยังไม่รู้ว่าจะเอาเข้าเมื่อไหร่และ รมว.พาณิชย์ ยังตอบไม่ได้ว่าปริมาณข้าวเปลือกที่เหลืออยู่ 1.3 ล้านตันจะเอาไปขายที่ไหน เพราะท่านบอกเองว่ากำลังหาอยู่
ปีนี้ถ้าตนมองชาวนาในฐานะผู้ผลิต ต้องชื่นชมพี่น้องชาวนาว่าทำหน้าที่ได้ดีเพราะผลผลิตมีมากขึ้น ผลผลิตต่อไร่ก็สูงขึ้น ชาวนาควรมีรายได้มากขึ้น แล้วรัฐบาลได้ทำหน้าที่ของตัวเองหรือยัง กระทรวงพาณิชย์และกระทรวงเกษตรฯ ทำงานร่วมกันได้หรือไม่ ตอนแถลงนโยบายท่านบอกว่า “ตลาดนำ นวัตกรรมเสริม เพิ่มรายได้” วันนี้เกี่ยวข้าวแล้วตลาดอยู่ที่ไหน คะแนนเต็มสิบ รัฐมนตรีให้คะแนนตัวเองในการแก้ปัญหาเท่าไหร่ ถ้ามีการปรับคณะรัฐมนตรี ท่านจะยังอยู่หรือไม่
คำถามสุดท้ายของตนคือตอนนี้ชาวนาเดือดร้อน สิ้นเดือนมีนาคมต้องจ่ายหนี้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) หากขายข้าวแล้วไม่เหลือเงินชำระหนี้ ปัญหาข้าวจะลุกลามกลายเป็นปัญหาหนี้สินที่พอกพูน แม้รัฐบาลจะมีโครงการพักชำระหนี้แต่ก็มีเพดานที่ต่ำ คนที่จะเข้าร่วมต้องมีหนี้ไม่เกิน 300,000 บาท ทำให้ชาวนาจำนวนมากตกหล่น ดังนั้น รมว.พาณิชย์ ในฐานะรองประธาน นบข. ได้เตรียมมาตรการรองรับปัญหาหนี้สินนี้ไว้หรือไม่หากสถานการณ์ราคาข้าวไม่ดีขึ้น ได้คุยกับ ธ.ก.ส. บ้างหรือยัง ไม่ว่าจะเป็นมาตรการพักหนี้เพิ่มเติม การเลื่อนการชำระหนี้ออกไปอย่างน้อย 5 เดือน ท่านจะช่วยพี่น้องชาวนาจากปัญหานี้อย่างไร
รมว.พาณิชย์ ตอบคำถามนี้ว่า โครงการไร่ละพันจ่าย 10 ไร่นั้น ได้สรุปเรียบร้อยแล้ว กำลังทำรายละเอียดเพื่อส่งเข้าคณะรัฐมนตรี น่าจะภายในสัปดาห์หน้า ตอนนี้ต้องเวียนขอความเห็นจากหน่วยงานต่างๆ ก่อน ส่วนการเร่งหาตลาดใหม่ก็มีสัญญาณที่ดีจากทั้งจีนและแอฟริกา นอกจากนี้ยังเร่งเจรจากับอินเดียและเวียดนามว่าทำอย่างไรให้ไม่ต้องแข่งขันกันมากเพื่อไม่ให้ราคาข้าวต่ำมาก เกษตรกรทั้งสามประเทศจะมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น แต่รอนัดหมายอีกครั้งว่าจะทำเรื่องนี้ได้ขนาดไหน รวมถึงให้พาณิชย์จังหวัดดูว่าให้ชาวนาตรวจเรื่องความชื้นให้ชัดเจนและจะทำข้าวถุงร่วมมือกับโมเดิร์นเทรดเพื่อดึงผลผลิตออกจากตลาด
ดังนั้นขอให้มั่นใจว่าตนต้องการทำให้เกษตรกรมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นทั้งระยะสั้นและระยะยาว เราพยายามหาพืชอื่นให้เกษตรกรปลูกเพื่อสร้างรายได้ที่เพิ่มขึ้น เช่นพิจารณาให้ชาวนาปลูกกล้วยส่งประเทศญี่ปุ่นซึ่งมีความต้องการสูง ผลตอบแทนต่อไร่ของกล้วยประมาณ 100,000 บาท ขณะนี้มีแปลงทดลองปลูกที่ จ.นครราชสีมา เพื่อทดสอบให้ประชาชนเห็น อาจปรับเปลี่ยนมาปลูกพืชที่มีรายได้สูงขึ้นเพื่อมีรายได้ที่ยั่งยืน
ด้านณรงเดชกล่าวว่า ก่อน รมว.พาณิชย์ จะเสนอมาตรการอะไร ขอให้ปรึกษากระทรวงเกษตรฯ และผู้ที่มีความชำนาญให้มาก เพราะเชื่อว่าหากได้พูดคุย ท่านคงไม่เสนอมาตรการให้พี่น้องชาวนาปลูกกล้วยแทนข้าวแบบนี้
#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #พรรคประชาชน #รมวพาณิชย์ #ชาวนา #ข้าวราคาต่ำ