วันพฤหัสบดีที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2562

ความไม่ชอบธรรมในการจัดตั้งรัฐบาลคสช.ในสายตาประชาชน

นพ.เหวง โตจิราการ : เสวนา "9 ปี เมษา-พฤษภา'53 : พูดความจริง ทวงความยุติธรรม รำลึกวีรชน"

นพ.เหวง โตจิราการ กล่าวแสดงความเห็นเพิ่มเติม
ยูดีดีนิวส์ : เมื่อวันอาทิตย์ที่ 26 พ.ค. 62 ในเวลา 13.00 -15.30 น. ศูนย์ข่าวยูดีดีนิวส์ ได้จัดงานเสวนา “9 ปี เมษา-พฤษภา53 : พูดความจริง ทวงความยุติธรรม รำลึกวีรชน” สำหรับผู้ร่วมโต๊ะเสวนาได้แก่ รศ.ดร.พวงทอง ภวัครพันธุ์นายปกาศิต ไตรยสุนันท์นายโชคชัย อ่างแก้วนางพะเยาว์ อัคฮาด และนายบรรเจิด ฟุ้งกลิ่นจันทร์ ผู้ดำเนินการเสวนาคือนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ซึ่งได้รับความสนใจจากพี่น้องผู้รักประชาธิปไตยเข้าร่วมฟังเสวนาเป็นจำนวนมาก โดยการเสวนานี้ได้จัดขึ้น ณ ห้องประชุมศูนย์ข่าวยูดีดีนิวส์ อาคารเอเวอรี่มอลล์ สี่แยกแคราย ถนนรัตนาธิเบศร์ จ.นนทบุรี

ภายหลังที่วิทยากรได้กล่าวจบ นพ.เหวง โตจิราการ ซึ่งได้เข้ารับฟังการเสวนาในครั้งนี้ด้วย ได้ขอกล่าวเพิ่มเติมภายหลังจากที่วิทยากรได้กล่าวไปแล้ว โดยเพิ่มเติมว่า “คือผมเห็นว่าวันนี้เรามาพูดความจริง ผมจะเพิ่มเติมนิดเดียวคือ ปมหลักที่ทางรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ รวมทั้งศอฉ.สร้างความชอบธรรมในการเข่นฆ่าประชาชนมีปมเดียวครับก็คือเรื่อง “ชายชุดดำ” และจาก “ชายชุดดำ” ก็มีการขยายตัวต่อไปว่า "มีกองกำลังติดอาวุธ"

นพ.เหวงได้กล่าวต่อไปว่า “ผมขอเรียนด้วยความเคารพว่าผมตั้งใจค้นคว้าสืบสวนด้วยตัวของผมเอง พบว่า “ชายชุดดำ” ปรากฎโฉมในประวัติศาสตร์ไทยในวันที่ 13 เมษาครับ แต่วันที่เกิดการฆ่ากันอย่างมโหฬารโดยฝ่ายทหารยิงประชาชนเป็นวันที่ 10 เมษาครับ

และภาพที่รัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ตอกย้ำ ซึ่งอันนี้ให้หลักการของฮิตเลอร์เลย คือถ้าคุณต้องการจะให้ประชาชนเชื่อเรื่องโกหก กรุณาโฆษณาเรื่องโกหกใหญ่ ๆ นั้นซ้ำแล้วซ้ำอีกจนในที่สุดประชาชนจะเชื่อคุณ...แม้มันจะเป็นเรื่องโกหก

และแม้นถ้าชายชุดดำมีจริง ภาพนั้นมีจริง กำบังหลังเสาไฟจริง แล้วยิงประชาชนจริงนั้น คุณต้องนำเสนอต่อทั่วโลกในเวลาทุ่มครึ่งหรือสองทุ่มครึ่งของคืนวันนั้น  เลย  แต่ภาพนั้นมานำเสนอในวันที่ 13 เมษายน


ท่านเกิดคำถามไหมครับ ไม่ว่าภาพนั้นจะถ่ายโดยใครก็ตาม แต่ภาพนั้นเป็นภาพที่มีความสำคัญระดับโลก ถึงนักข่าวคนนั้นไม่ประสงค์จะได้รางวัล แต่เมื่อเผยแพร่ออกไปแล้ว 1) ก็จะรักษาความเป็นจริงของประวัติศาสตร์ 2) เขาจะได้รับรางวัลระดับโลก และถ้าคิดทำมาหากินภาพนั้นก็จะสร้างรายได้ให้เขาอย่างมหาศาล

แต่ภาพถูกนำเสนอในวันที่ 13 เมษา และหนังสือพิมพ์ก็พาดหัวตั้งแต่วันที่ 13 เป็นต้นไปว่าคนเสื้อแดงมีชายชุดดำ

ผมได้จ้องดูภาพที่รัฐบาลอภิสิทธิ์ฉายซ้ำ ๆ ผ่านโทรทัศน์ช่อง 11 เห็นว่าโลโก้ที่ปรากฎที่มุมภาพคือ “อัลจาชีร่า” และผมได้ขอพบตัวแทนของ “อัลจาชีร่า” ที่อยู่ที่ประเทศไทยและเขาบอกผมว่าเขาซื้อภาพนั้นมา และรัฐบาลอภิสิทธิ์เอามาฉายซ้ำแล้วซ้ำอีกจนประชาชนส่วนหนึ่งเชื่อว่าคนเสื้อแดงมีชายชุดดำและมีกองกำลังติดอาวุธ

เพราะฉะนั้นเรื่อง “ชายชุดดำ” ผมยืนยันจนถึงวินาทีนี้ว่า คนเสื้อแดงไม่มีชายชุดดำอย่างแน่นอน ไม่มีกองกำลังติดอาวุธ ผมยืนยัน!

อีกประเด็นคือจากรายงานของคอป.กรณีการเสียชีวิตของพ.อ.ร่มเกล้า (ยศในขณะนั้น) และการตาย 6 ศพในวัดปทุมวนารามไม่ตรงกับข้อเท็จจริง ซึ่งจากข้อพิสูจน์ในภายหลังระบุว่าการเสียชีวิตของพ.อ.ร่มเกล้าเกิดจาก M67 ไม่ใช่ M79 ส่วนการตายในวัดปทุมวนารามในรายงานคอป.โดยนายสมชาย หอมลออ ระบุว่ามีการต่อสู้ระหว่างคนเสื้อแดงที่เป็นชายชุดดำติดอาวุธกับเจ้าหน้าที่ทหารบริเวณเสาตอม่อไฟฟ้าตรงสามแยกเฉลิมเผ่า ซึ่งเป็นเรื่องเท็จโดยสิ้นเชิง

เพราะจากคำสั่งการตายของศาลกรณี 6 ศพวัดปทุมระบุชัดเจนว่าผู้เสียชีวิตทั้งหมดเสียชีวิตจากการยิงโดยฝั่งเจ้าหน้าที่ และไม่มีอาวุธ ไม่มี เขม่าดินปืนในร่างกายของผู้เสียชีวิตทุกราย

สุดท้ายนพ.เหวงได้กล่าวยืนยันว่าเราไม่มีชายชุดดำ ไม่มีกองกำลังติดอาวุธ แน่นอน และผมยืนยันที่จะเดินหน้าทวงหาความยุติธรรมให้ผู้เสียชีวิตในเดือนเมษา-พฤษภา53 ไปจนกว่าจะเจอ นพ.เหวงกล่าวยืนยันในที่สุด.

วันพุธที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2562

ทนายโชคชัย อ่างแก้ว : เสวนา "9 ปี เมษา-พฤษภา'53 : พูดความจริง ทวงความยุติธรรม รำลึกวีรชน"

ทนายปกาสิต ไตรยสุนันท์ : เสวนา "9 ปี เมษา-พฤษภา'53 : พูดความจริง ทวงความยุติธรรม รำลึกวีรชน"

วันอังคารที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2562

พะเยาว์ อัคฮาด : เสวนา "9 ปี เมษา-พฤษภา'53 : พูดความจริง ทวงความยุติธรรม รำลึกวีรชน"

บรรเจิด ฟุ้งกลิ่นจันทร์ : เสวนา "9 ปี เมษา-พฤษภา'53 : พูดความจริง ทวงความยุติธรรม รำลึกวีรชน"


นายบรรเจิด ฟุ้งกลิ่นจันทร์ บิดานายเทิดศักดิ์ ฟุ้งกลิ่นจันทร์ ผู้เสียชีวิตในวันที่ 10 เม.ย. 53
นายบรรเจิด ฟุ้งกลิ่นจันทร์ ได้เล่าเหตุการณ์วันที่ 10 เม.ย. 53 ให้ฟังว่า ลูกชาย (เทิดศักดิ์ ฟุ้งกลิ่นจันทร์) ไปทำงานตอนเช้า ส่วนตนเองอยู่ที่บ้านแต่มีนัดหมายกันว่าเย็นวันนั้นตนกับลูกจะไปร่วมชุมนุมที่ราชประสงค์กัน พอตกตอนเย็นตนก็ไปนั่งรอลูกชายอยู่บริเวณเซ็นทรัลเวิลด์ จนกระทั่งเวลา 19.54 น. ภรรยาได้โทรศัพท์หาลูกชายและได้ทราบว่าลูกชายขณะนั้นอยู่บริเวณตรอกข้าวสาร ซึ่งขณะนั้นได้ยินเสียงลูกชายพูดว่า “เฮ้ย ๆ ๆ อย่าเขวี้ยงมา เดี๋ยวถูกพวกเรา” จากนั้นจึงได้วางสายไป

ต่อมาในเวลาประมาณ 01.00 น. ทางโรงพยาบาลโทรศัพท์มาแจ้งว่าลูกชายถูกยิง ตนและภรรยาจึงได้รีบเดินทางไปดูลูกชาย สภาพที่เห็นคือลูกชายนอนอยู่ในโรงพยาบาลโดยมีบาดแผลถูกยิงบริเวณหน้าอก จำนวนทั้งสิ้น 6 นัด และเสียชีวิตในเวลา 03.00 น.


นายบรรเจิดเล่าเรื่องที่ได้ยินมาจากเพื่อนลูกชายที่อยู่ในเหตุการณ์นั้นว่า ลูกชายและเพื่อนขับรถตระเวณอยู่บริเวณนั้น เมื่อทราบข่าวว่าทหารยิงใส่กลุ่มผู้ชุมนุม ลูกชายและเพื่อนจึงเข้าไปช่วยเหลือโดยการไปช่วยอุ้มผู้ชุมนุมที่บาดเจ็บออกมา แต่เนื่องจากเหตุการณ์มันชุลมุนเพื่อนที่ไปด้วยกันจึงไม่มองกันไม่เห็น ทราบอีกครั้งคือลูกชายถูกยิงและอุ้มขึ้นรถสามล้อออกไปโรงพยาบาลแล้ว

เราก็แปลกใจว่าทำไมถึงเกิดขึ้นกับลูกชาย เหตุการณ์คืนนี้เราก็รู้สึกเสียใจและไม่นึกว่ามันจะเกิดขึ้นกับลูก ไม่มีลางสังหรณ์ใด ๆ


จากวันนั้นมาเราก็ทำบุญใส่บาตรให้ลูกทุกวัน และร่วมทำกิจกรรมทุกอย่างที่ได้รับการเชื้อเชิญ และตนมีความเชื่อว่าการทำบุญใส่บาตรให้ลูกทุกวันนั้นลูกชายได้รับในผลบุญนั้นด้วย 

สุดท้ายนายบรรเจิดได้กล่าวขอบคุณในน้ำใจของผู้รักประชาธิปไตยทุกท่านที่ยังห่วงใยญาติวีรชนจนถึงทุกวันนี้.

ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ : เสวนา "9 ปี เมษา-พฤษภา'53 : พูดความจริง ทวงความยุติธรรม รำลึกวีรชน"


ณัฐวุฒิ’ ตบมุกตลกร้าย ดีที่ ‘ประธานฯ’ ไม่ใช่ ‘อภิสิทธิ์’ นปช.เล็งล่ารายชื่อยื่น ‘สภา’ ส่งศาลฎีกาสอบป.ป.ช.ปมใช้ดุลยพินิจต่อกรณีสลายชุมนุมเสื้อแดง 99 ศพ คดีไม่คืบ - ขำขื่นกลางวงเสวนา ‘รำลึก 9 ปี เมษา-พฤษภา53’ เผยเจ้าหน้าที่อ้างพบอาวุธในวัดปทุมฯ หลังยุติการชุมนุมไปแล้วหลายเดือน ซ้ำถูกห่อด้วยกระดาษหนังสือพิมพ์ระบุวันที่เมื่อผ่านเหตุการณ์ ‘19พฤษภา53’ ไปอีกไม่น้อย สะท้อนหลักฐานขัดแย้งข้อเท็จจริง!!! นสพ.มาจากโลกอนาคต? - เปิดใจ 9 ปี ถูกกล่าวหา ‘เผาเมือง’ ต่อสู้โต้แย้ง ทั้งในศาลและทางสังคม เชื่อ ‘ความจริง’ จะขับไล่การใส่ร้ายได้ในที่สุด

นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ เลขาธิการแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) กล่าวระหว่างเป็นผู้ดำเนินรายการเสวนา "9 ปี เมษา-พฤษภา'53 ...พูดความจริง ทวงความยุติธรรม รำลึกวีรชน" จัดโดยศูนย์ข่าวนปช.(ยูดีดีนิวส์) ณ ห้องประชุมศูนย์ข่าวยูดีดีนิวส์ อาคารเอเวอรี่มอลล์ สี่แยกแคราย ถ.รัตนาธิเบศร์ จ.นนทบุรี เมื่อวันที่ 26 พ.ค.62


 วิทยากรประกอบด้วย รศ.ดร.พวงทอง ภวัครพันธุ์ นักวิชาการ นายปกาสิต ไตรยสุนันท์และนายโชคชัย อ่างแก้ว ทนายความ นายบรรเจิด ฟุ้งกลิ่นจันทร์และนางพะเยาว์ อัคฮาด ครอบครัวผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์เมษา-พฤษภา53

ทั้งนี้สำหรับคำบรรยายของวิทยากรในการเสวนาดังกล่าว สามารถติดตามชมคลิปและอ่านข่าวได้ทางแฟนเพจ ‘ยูดีดีนิวส์ - UDD News’

นายณัฐวุฒิ กล่าวว่า ‘เราไม่มีเจตนาจะไปจุดชนวนความขัดแย้ง ไม่มีจุดประสงค์จะทำให้เวทีนี้เป็นการกล่าวหาให้ร้ายฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดทั้งสิ้น เราเพียงต้องการให้ความจริงถูกบันทึกไว้ เราเพียงต้องการให้ผู้สูญเสียเข้าถึงและได้รับความยุติธรรมเฉกเช่นมนุษย์คนหนึ่ง ไม่ได้ต้องการอภิสิทธิ์เหนือใครๆ และก็ขอให้ทุกท่านได้ติดตามการเสวนาวันนี้ เพราะหลายเรื่องอาจจะไม่เคยได้ยินกันมาก่อนหรือเคยได้ยินมาแล้ว แต่ไม่ครบถ้วนทุกแง่มุมอย่างที่จะปรากฏในวันนี้

เราเชิญวิทยากรที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์เมื่อ 9 ปีที่แล้วและยังคงเกี่ยวข้องต่อเนื่องจนปัจจุบัน

 นายปกาศิต ไตรยสุนันท์, รศ.ดร.พวงทอง ภวัครพันธุ์, นางพะเยาว์ อัคฮาด, นายโชคชัย อ่างแก้ว และนายบรรเจิด ฟุ้งกลิ่นจันทร์
ท่านแรก รศ.ดร.พวงทอง ภวัครพันธุ์ นักวิชาการจากศูนย์ข้อมูลประชาชนผู้ได้รับผลกระทบจากการสลายการชุมนุม กรณี เม.ย.-พ.ค. 53 (ศปช.) เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงหลักคนหนึ่งในการรวบรวมข้อมูลผู้สูญเสีย รวบรวมเหตุการณ์ทั้งหมดไว้ในหนังสือเล่มนี้(รายงานศปช. ความจริงเพื่อความยุติธรรม) ตีพิมพ์ออกเผยแพร่มาหลายปีแล้ว

คณะนักวิชาการกลุ่มนี้ออกปฏิบัติการเก็บรวบรวมข้อมูลหลังการชุมนุมยุติ ซึ่งเป็นวันเวลาที่พวกผมอยู่ในเรือนจำ แกนนำอีกบางส่วนต้องหลบลี้หนีภัย พี่น้องประชาชนขวัญเสีย แตกกระจัดพลัดพราย แต่นักวิชาการกลุ่มนี้เดินหน้ารวบรวมความจริง

วิทยากรจากครอบครัวผู้สูญเสียจากเหตุการณ์ 10เมษาและ19 พฤษภา53 วันนี้มานั่งกับผมอยู่ที่นี่ 2 คน คุณบรรเจิด ฟุ้งกลิ่นจันทร์ คุณพ่อของน้องเทิดศักดิ์ ฟุ้งกลิ่นจันทร์ และคุณพะเยาว์ อัคฮาด คุณแม่ของน้องกมนเกด อัคฮาด

ทั้งพ่อและแม่ของเทิดศักดิ์ ยังคงมาร่วมกิจกรรมรำลึกวีรชนในทุกวาระที่มีการจัดงาน พร้อมๆ กับญาติของผู้สูญเสียทั้งหลาย ผมแน่ใจว่าการได้รับเงินเยียวยาและการที่วันเวลาผ่านไปแล้ว 9 ปี ไม่ได้ลบเลือนความรู้สึกอยากเห็นความยุติธรรมเกิดขึ้น ไม่ได้ลบเลือนความเจ็บปวดจากการสูญเสียโดยรัฐใช้ความรุนแรงในคืนนั้น


เหตุการณ์ในคืนวันที่ 10 เมษา 53 สำหรับผมเป็นเหตุการณ์ที่หนักหนาที่สุดในชีวิต กว่าจะผ่านแต่ละนาทีในคืนนั้นมาได้ ผมไม่นึกว่าจะมีการกระทำกันได้ขนาดนั้น ผมอยู่เวทีผ่านฟ้าจนเช้าวันที่ 11 เมษายน ออกจากที่นั่นเพื่อไปนอนพักเพราะว่าทั้งร่างกายทั้งจิตใจมันระบมล้าไปหมด เนื่องจากทั้งคืน ต้องอยู่กับผู้สูญเสีย คือญาติๆ ผู้สูญเสียส่วนหนึ่งไปโรงพยาบาล อีกส่วนหนึ่งเขามาที่เวที แล้วเขามาบอกว่าคนในครอบครัวหายไปติดต่อไม่ได้ โทรไม่รับ บางคนก็บอกว่าเห็นชื่อญาติเป็นรายชื่อผู้เสียชีวิตแต่ไม่รู้อยู่ที่ไหน ก็มาที่เวที

วันนั้น อกเสื้อผมเปียกน้ำตาของญาติพี่น้องครอบครัวผู้บาดเจ็บผู้เสียชีวิต เปียกชุ่มจริงๆ นะครับ เพราะทุกคนมา ผมก็ต้องไปกอดไว้ กอดไว้เค้าก็ร้องไห้ตรงอกเสื้อนี่ล่ะครับ มันเปียกและซึมเข้าไปข้างใน ทำให้ผมยืนยันว่าจะอย่างไรก็ตาม เราจะไม่หยุดพูดเรื่องนี้ เราจะไม่หยุดถามเรื่องนี้ เราจะไม่ยอมให้ใครลืมเรื่องนี้ไปโดยที่ความยุติธรรมยังไม่ปรากฏออกมานะครับ ก็ต้องพยายามกันต่อไป

เหตุการณ์วันที่ 19 พฤษภา 53 ก็เป็นอีกวันหนึ่งที่ถ้าผมรู้ว่าเขาจะยิงกันอีก ผมจะไม่ลงจากเวที

ผมนึกว่าเหตุการณ์มันจะเป็นเหมือนปี 52 ที่เราประกาศยุติการชุมนุมที่ทำเนียบรัฐบาล แล้วก็มีรถบัส มีเจ้าหน้าที่พาพี่น้องที่ชุมนุมขึ้นรถกลับภูมิลำเนาโดยปลอดภัย ผมนึกว่ามันจะเป็นแบบนั้น ผมก็เลยไปมอบตัวที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อให้ชัดเจนว่าเรายุติการชุมนุมแล้ว เพราะถ้าพวกผมยังอยู่ที่เวที เขาก็จะบอกว่ายังไม่ยุติการชุมนุม เดี๋ยวความรุนแรงก็จะพุ่งเข้ามาอีก

แต่ว่า มารู้ข่าวเช้าวันรุ่งขึ้น ขณะผมถูกควบคุมตัวอยู่ที่ค่ายนเรศวร ว่ามีคนเสียชีวิตอีก 6 ราย ทั้งที่ไม่มีการชุมนุม ไม่มีเวที ไม่มีการปราศรัยใดๆ แล้วทั้งสิ้น ประกาศหยุดโดยสิ้นเชิงไปแล้วหลายชั่วโมงนะครับ แต่กมนเกด อัคฮาด คือ 1 ในเหยื่อ ซึ่งไม่มีเหตุผลเลยนะครับว่าทำไมต้องทำกันขนาดนั้น แล้วคุณแม่ก็ติดตามทวงถาม ต่อสู้เรื่องนี้มาตลอดจนถึงปัจจุบัน

สำหรับวิทยากรซึ่งเป็นทนายความ ทนายปกาสิต ไตรยสุนันท์ เป็นหัวหน้าทนายความที่ผมเจอมาตลอดนับแต่อยู่ในเรือนจำ ทนายโชคชัย อ่างแก้ว เป็นอีกคนที่ต่อสู้คดีความ รับผิดชอบคดีหลังการต่อสู้ในปี 53

ทีมทนายไม่ได้ทำเพียงแค่หน้าที่ต่อสู้คดีความ แต่ทำการจดบันทึกประวัติศาสตร์การต่อสู้ของประชาชน ให้ถูกต้องตรงไปตรงมา

เรื่องเหตุเพลิงไหม้ห้างสรรพสินค้า เพลิงไหม้ตึกรามบ้านช่องต่างๆ ซึ่งฝ่ายรัฐบาลเวลานั้น โดยนายสุเทพ เทือกสุบรรณ อภิปรายในสภา ชี้ว่าผู้ชุมนุมเผาเซ็นทรัลเวิลด์ ระบุชื่อนายสายชล แพบัว นายพินิจ จันทร์ณรงค์ ศาลพิพากษายกฟ้องนะครับ คดียุติแล้ว แล้วผมเนี่ยไปเจอ 2 ผู้ต้องหาในเรือนจำ ติดคุกในแดนเดียวกัน

สายชล แพบัว และ พินิจ จันทร์ณรงค์
ถ้าท่านได้ไปเห็น ‘สายชล แพบัว’ อย่างที่ผมเห็น จะไม่เชื่อว่าสายชลจะบุกเข้าไปวางเพลิงอะไรได้ คือ เขาเป็นเด็กที่ไม่มีอะไรจะไปบ่งชี้ว่า สามารถฝ่ากำลังทหารที่คุมตึกทั้งตึก แล้วไปจุดไฟวางเพลิงโดยที่เจ้าหน้าที่เป็นร้อยๆ ทำอะไรไม่ได้เลย

ถ้าสายชลกับพินิจ 2 คนทำได้เนี่ย ยิ่งกว่าทีมอเวนเจอร์อีกนะครับ(เสียงผู้ฟังหัวเราะ)

มีอยู่วันหนึ่ง ผมได้รับการบอกกล่าวจากผู้ต้องขังคนอื่นว่า ‘พี่ไปดูเสื้อแดงคนโน้นหน่อย คนที่โดนคดีเผาห้าง มันนั่งร้องไห้อยู่ ไม่รู้ร้องทำไม’

ผมก็เลยเดินไปหา ถามว่าสายชล เป็นอะไร เขานั่งกอดเข่าร้องไห้นะครับ แล้วบอกว่า ‘ผมเพิ่งกลับจากศาล เค้าฟ้องผม 8 พันล้าน ข้อหาเผาห้าง’
ผมก็เลยบอกสายชล จะร้องไห้ทำไม นี่กังวลว่าจะต้องหาตังค์มาชดใช้เค้า 8 พันล้านเหรอ ผมบอกว่า ฟ้องระดับนี้ไม่ต้องกังวลแล้ว

เรื่องเป็นแบบนี้ครับ แล้วนี่คือคนที่ถูกกล่าวหา คนที่ถูกตราหน้านะครับว่าเป็นพวกเผาบ้านเผาเมือง

ทั้งๆ ที่หัวหน้าทีมผจญเพลิงของห้าง เค้าพูดชัดว่าไม่ใช่คนเสื้อแดงเผา เพราะเค้ารู้จัก เค้าคุ้นหน้า การ์ดเสื้อแดงกี่คนกี่คนเค้าเห็นหน้าหมด เพราะอยู่ร่วมกับการชุมนุมเป็นเดือนๆ เค้าไปประจำการอยู่บนตึก พี่น้องเสื้อแดงกับหน่วยผจญเพลิงที่ไปอยู่บนตึก เป็นมิตรกัน

แต่เขาบอกว่า กลุ่มชายฉกรรจ์ที่บุกไปเผาวันนั้น เขาไม่เคยเห็นหน้า แล้วเป็นกลุ่มบุคคลที่เข้าไปโดยที่เจ้าหน้าที่ไม่สามารถจะทำอะไรได้เลย นี่คือเรื่องที่เกิดขึ้น และนี่คือสิ่งที่การต่อสู้ของประชาชนในปี 53 ถูกทำให้ต้องแบกรับมายาวนาน

แต่เวลาและความจริง มันก็เยียวยาสิ่งเหล่านี้ได้นะครับ ผมเจอคนหนุ่มคนสาว 2-3 คนแล้วที่บอกว่า ‘ผมนึกว่าพี่สั่งเผา’ (เสียงหัวเราะ)

ผมก็บอกว่า ก็เข้าใจได้ล่ะว่าเค้าตัดต่อคลิปนั้น แล้วเผยแพร่อยู่ 9 เดือนกว่า ตอนผมถูกขัง ผมไม่มีสิทธิ์ชี้แจงอธิบายตอบโต้ จนคนจำนวนหนึ่งก็เชื่อไป

ผมก็ถามว่า อ้าวแล้วรู้ได้ยังไงล่ะว่าผมไม่เกี่ยว เขาบอกว่า ก็ศาลตัดสิน แล้วเขาก็ไปดูคลิปฉบับเต็มก่อนที่จะถูกตัดต่อ เขาเข้าใจ แล้วผมเชื่อว่าความจริงนี่ล่ะครับจะขับไล่การใส่ร้ายป้ายสีนี้ได้ในที่สุด ยกเว้นคนที่หัวใจไม่พร้อมที่จะรับความจริงอะไร อันนั้นก็อีกเรื่องหนึ่ง ซึ่งต้องยอมรับนะครับว่า สภาพความขัดแย้งในสังคมนี้ มีคนประเภทนั้น...

อย่าว่าแต่คนที่ไม่รู้จักมักคุ้นเลย เพื่อนฝูงกันเองนี่ล่ะครับก็มีความเชื่อว่า ทั้งหมดทั้งหลายทั้งปวง ผมเป็นคนสั่งเผา

แล้วผมก็นั่งอธิบายว่าเรื่องราวมันเป็นยังไง แล้วผมก็บอกด้วยว่า ผมสู้คดีในศาล พยานปากสำคัญของคดีนี้ของฝ่ายรัฐบาล คือนายถวิล เปลี่ยนศรี แกก็เอาคลิปนี้ไปเปิดหน้าบัลลังก์ศาล แล้วแกก็ให้การต่อศาลว่า ผมเป็นคนประกาศให้เผาบนเวทีราชประสงค์เมื่อวันที่ 8 เมษา 53

ผมก็บอกทนายผมเลยครับว่า เดี๋ยวพอคุณถวิลให้การกับอัยการเสร็จ ทนายถามค้าน เอาคลิปเต็มไปเปิด แล้วถามหน้าบัลลังก์ศาลนี่ล่ะครับว่าคุณถวิลยังยืนยันไหมว่าผมประกาศที่ราชประสงค์ 8 เมษา 53

พอคุณถวิลดูอันเต็ม ‘คุณถวิล เปลี่ยนศรี ก็ เปลี่ยนเสียง’ (คนฟังหัวเราะ) คุณถวิลบอกศาลว่า ‘อ๋อไม่ใช่ครับ ผมเข้าใจผิด ผมนึกว่าเหตุเกิดที่ราชประสงค์ ผมนึกว่ามันเกี่ยวข้องกับการชุมนุมใหญ่’

นี่คือสิ่งที่จะปรากฏในสำนวนการต่อสู้คดีซึ่งเราก็ไม่ทราบว่าศาลท่านจะพิพากษาอย่างไร แต่นี่เล่าสู่กันฟัง...

สำหรับเรื่องอาวุธ ในวัดปทุมวนารามที่ค้นพบหลังการชุมนุมหลายเดือนไปแล้ว ยังพบว่ากระดาษหนังสือพิมพ์ที่ห่ออาวุธไว้เป็นกระดาษที่พิมพ์หลังเกิดเหตุหลายเดือน จึงเป็นเรื่องที่ขัดข้อเท็จจริง...

ผมได้ยินจากทนายโชคชัยในการสืบพยานหลายๆ คดี ผมก็มีความรู้สึกว่า คนเสื้อแดงนี่มันช่างร้ายกาจ โหดเหี้ยมเหลือเกินนะครับ ถึงขั้นที่ซุกซ่อนอาวุธไว้ในเดือนพฤษภาคม โดยเอาหนังสือพิมพ์เดือนที่ระบุวันที่หลังจากนั้นหลายเดือนมาห่อไว้ (เสียงหัวเราะ ปรบมือ)

ถ้าไม่โหดจริง ทำแบบนี้ไม่ได้หรอกครับ นี่คือมันเป็นตลกร้ายนะครับ มันเป็นความเจ็บปวด แต่ในขณะเดียวกันก็น่าสังเวชใจในความพยายามสร้างความเป็นมารร้ายให้กับการต่อสู้ของประชาชน ซึ่งทำโดยไม่เลือกวิธีการ

ถ้าจะเอาหนังสือพิมพ์ไปห่อ ก็คงหาเอาใกล้ไม้ใกล้มือโดยลืมนึกไปว่า หนังสือพิมพ์ทุกหน้า มันเขียนวันที่ (เสียงหัวเราะ)

ทีนี้ปัญหาคือ อย่างที่บอก ฝ่ายผู้ชุมนุม ซุกซ่อนอาวุธไว้ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม โดยห่อไว้ในหนังสือพิมพ์ที่ระบุวันที่หลังจากนั้นหลายเดือนเนี่ย มันก็เจ็บปวดนะครับ


ท่านที่เคารพ เรามาพูดกันวันนี้ ไม่ใช่เป็นเพราะว่างๆ ไม่รู้จะทำอะไรก็เลยตั้งวงคุยกัน ไม่ใช่นะครับ

แต่เป็นวาระครบรอบ 9 ปีของเหตุการณ์ แล้วเป็น 9 ปีที่ความจริงหลายเรื่องมันยังถูกบิดเบือน แล้วเป็น 9 ปี ที่ความยุติธรรมในกรณีนี้ยังไม่เกิดขึ้น

ในส่วนที่เราจะดำเนินการ ผมเคยแถลงข่าวไว้ว่า คดีผู้เสียชีวิต 99 รายจะต้องมีการดำเนินคดีกับผู้เกี่ยวข้อง เมื่อคดียังไม่คืบหน้า เราสงสัยในการใช้ดุลยพินิจการปฏิบัติหน้าที่ของ ป.ป.ช. เมื่อมีสภาจากการเลือกตั้งแล้ว ก็จะต้องรวบรวมรายชื่อประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งไม่ต่ำกว่า 2 หมื่นชื่อ ยื่นต่อประธานรัฐสภา เพื่อให้สภามีมติเห็นชอบส่งประธานศาลฏีกา เพื่อตั้งคณะกรรมการไต่สวนอิสระต่อกรรมการป.ป.ช.ในที่สุด

เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ต้องดำเนินการตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ เป็นสิทธิโดยชอบของประชาชนตามกฎหมาย

ถ้าถามผมว่ารัฐสภาชุดนี้คาดหวังได้แค่ไหนว่าเขารับรายชื่อประชาชนไปไม่ต่ำกว่า 2 หมื่นชื่อแล้ว เขาจะเห็นชอบและส่งต่อไปยังศาลฎีกา ก็ตอบกันตรงไปตรงมาให้สบายใจนะครับว่า

ผมดูทรงแล้ว คาดหวังยากมาก (เสียงหัวเราะ ปรบมือ)

แต่ว่า เราสิ้นหวังไม่ได้ เราท้อถอยต่อภาระหน้าที่ที่เราต้องรับผิดชอบต่อพี่น้องผู้ร่วมอุดมการณ์ไม่ได้...

แล้วท่านสื่อมวลชนก็รายงานข่าวให้ตรงนะครับ ที่บอกว่าเดี๋ยวสภาเปิดแล้วเราจะดำเนินการทันที ไม่ใช่ว่าผมจะออกไปเดินขบวนนะครับ(หัวเราะ) แต่ช่องทางทางกฎหมายมันมี แล้วก็วัดใจสมาชิกสภาชุดนี้ ว่ากับเรื่องที่เป็นอยู่เนี่ย ท่านเห็นยังไง

ดีนะครับ ประธานสภา เป็นคุณชวน หลีกภัย ไม่ใช่คุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะเข้าให้ (เสียงหัวเราะ) เพราะถ้าประธานสภาเป็นอภิสิทธิ์ แล้วเราไปยื่นเรื่องนี้ ก็คงแปลกตาดีพิลึก...

เป้าหมายสำคัญที่เราพยายามทวงถามเรื่องนี้ และจัดเวทีวันนี้ คือ เราไม่ต้องการให้ผู้มีอำนาจ ไม่ว่าจะรัฐบาลคณะไหนชุดใดก็ตาม ใช้กำลังปราบปรามการต่อสู้ทางการเมืองของประชาชนอีกต่อไป’ นายณัฐวุฒิกล่าว