วันพุธที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2564

ทีมงานทะลุฟ้าแจ้งความสน.นางเลิ้งหลังโดนแย่งกุญแจรถระหว่างขับกลับบ้าน

 


ทีมงานทะลุฟ้าแจ้งความสน.นางเลิ้งหลังโดนแย่งกุญแจรถระหว่างขับกลับบ้าน


กรณีทีมงานหมู่บ้านทะลุฟ้า โพสต์เฟซบุ๊กว่าถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจขับรถกระบะอีซูซุ สีบรอนซ์เงิน ทะเบียนตราโล่ 67550 ปาดหน้า แล้วจอดขวางหน้ารถกระบะของสมาชิกหมู่บ้านทะลุฟ้า และดึงเบ้ากุญแจรถออก เมื่อเวลา 22.50 น. ของวันที่ 30 มีนาคมที่ผ่านมา ช่วงแยกนางเลิ้งมุ่งหน้าถนนพระรามที่ 6


วันที่ 31 มีนาคม ที่ สน.นางเลิ้ง นายกันฒพัฒน์ พีรกิจธิรภูวดล อายุ 25 ปี หนึ่งในสมาชิกกลุ่มทะลุฟ้า ผู้ที่ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าตรวจค้นจากเหตุดังกล่าว แจ้งความกับตำรวจ หลังถูกเจ้าหน้าที่แย่งกุญแจรถ และพยายามขัดขวางไม่ให้กลับบ้านของคืนวันที่ 30 มีนาคมช่วงแยกนางเลิ้งมุ่งหน้าถนนพระราม6


นายกันฒพัฒน์ กล่าวว่า คืนวันเกิดเหตุตนได้ขนพัดลมจากสน.นางเลิ้ง ที่ถูกยึดจากการสลายการชุมนุมหมู่บ้านทะลุฟ้า มุ่งหน้ากลับบ้านย่านสมุทรปราการ โดยขับไปตามถนนพิษณุโลก แต่เมื่อถึงช่วงแยกนางเลิ้ง มีเจ้าหน้าที่ขับรถกระบะทะเบียนตราโล่ บีบแตรให้ตนจอดรถ แต่ตนไม่จอดเพราะเป็นที่มืด เขาจึงขับมาขวางข้างหน้ารถตน พอจะถอยหลัง ก็ถูกสกัดอีก แล้วมีตำรวจจราจรในละแวกนั้นมาคุยกับตนก่อนตนจะลงจากรถไปพูดคุย


นายกันฒพัฒน์ กล่าวยอมรับว่าตนใช้แผ่นเทปปกปิดแผ่นป้ายทะเบียนรถจริง หากจะจับกุมข้อหาตาม พ.ร.บ.จราจรก็ยอม แต่เจ้าหน้าที่ที่ขับรถกระบะ ไม่ยอมแสดงตัวเป็นเจ้าหน้าที่และจะขอดูบัตรประจำตัวของตนฝ่ายเดียว ซ้ำยังถูกแย่งกุญแจรถไปจากรถตนเอง มองว่าการกระทำของเจ้าหน้าที่นั้นเกินกว่าเหตุหรือไม่ 


อย่างไรก็ตามระหว่างนั้นได้วิดีโอคอลตามเพื่อน ๆ เข้ามากดดันจนได้กุญแจคืน แล้วเจ้าหน้าที่ก็ขับรถหนีออกไป จึงเกรงว่าจะไม่ได้รับความเป็นธรรม


พ.ต.อ.นิมิตร นูโพนทอง ผกก.สน.นางเลิ้งกล่าวว่า เบื้องต้นได้ตรวจสอบแล้วพบว่าตำรวจนายนั้นไม่ใช่ตำรวจนางเลิ้ง แต่เนื่องจากกฎหมายระบุไว้ว่าตำรวจมีอำนาจสืบสวนทั่วทั้งประเทศ จากนี้เมื่อรับแจ้งความแล้วจะสอบปากคำรวบรวมพยานหลักฐาน หากมีคำสั่งจากผู้บังคับบัญชาให้มาปฏิบัติหน้าที่ ก็ติดตามตัวตำรวจนายนี้มาสอบถามข้อเท็จจริงว่าเป็นอย่างไรก่อนดำเนินการตามขั้นตอนกฎหมายต่อไป ยืนยันต้องให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์

อัยการสั่งฟ้อง "เอกชัย" กับพวก คดี ม.110 ชุมนุมใกล้ขบวนเสด็จ เตรียมหลักทรัพย์คนละ 3 แสนยื่นประกัน

 


อัยการสั่งฟ้อง "เอกชัย" กับพวก คดี ม.110 ชุมนุมใกล้ขบวนเสด็จ เตรียมหลักทรัพย์คนละ 3 แสนยื่นประกัน 


วันนี้ (31 มี.ค.) ที่สำนักงานอัยการสูงสุด ถ.รัชดาภิเษก นายเอกชัย หงส์กังวาน, นายบุญเกื้อหนุน เป้าทอง หรือฟรานซิส นักเคลื่อนไหวทางการเมือง, นายสุรนาถ แป้นประเสริฐ หรือตัน ผู้ประสานงานเครือข่ายเยาวชนลดปัจจัยเสี่ยง (Active Youth), นายชนาธิป ชัยชะยางกูร และนายภาณุภัทร ไผ่เกาะ 5 ผู้ต้องหา เดินทางมารายงานตัวตามที่พนักงานอัยการคดีอาญา 10 นัดสั่งคดี กรณีที่พนักงานสอบสวน สน.ดุสิต มีความเห็นสมควรสั่งฟ้อง ในความผิดฐาน ประทุษร้ายต่อเสรีภาพของพระราชินีฯ ตาม ป.อาญา ม.110 กับข้อหามั่วสุมตั้งแต่ 10 คนขึ้นไปฯ ให้เกิดความวุ่นวาย ม.215 และกีดขวางการจราจรฯ กรณีชุมนุมใกล้ขบวนเสด็จพระราชินีเมื่อวันที่ 14 ต.ค. 2563 


นายเอกชัย เปิดเผยว่า วันนี้ได้เตรียมหลักทรัพย์มายื่นประกันตัว ส่วนจำนวนเท่าใดไม่ขอเปิดเผย คดีนี้ก่อนหน้านี้ในชั้นฝากขัง ศาลเคยไม่ให้ประกันตัวเพราะโทษสูงกลัวหลบหนี และอยู่ระหว่างการสอบสวน ต่อมาศาลปล่อยตัว วันนี้อัยการส่งฟ้อง การสอบสวนสิ้นสุดแล้ว ซึ่งเวลาผ่านมาเกือบ 5 เดือน หากตนหลบหนีก็ทำได้ง่าย แต่ตนไม่เคยคิดที่จะหนี ส่วนประเด็นที่เคยร้องขอให้อัยการสอบพยานเพิ่มนั้น เท่าที่คุยกับทนายความระบุอัยการรับ แต่ยังไม่จำเป็นต้องพิจารณาตอนนี้  เข้าใจว่าวันนี้ส่งฟ้องไปก่อน ทั้งนี้ ตนไม่ได้มาขอความเมตตาจากศาล แต่ต้องการความเป็นธรรม 


ขณะที่นายบุญเกื้อหนุน ได้อ่านคำแถลงอันมีสาระสำคัญสรุปได้ว่า เราไม่มีความประสงค์ หรือความพยายามที่จะกระทำตามข้อกล่าวหา และเรายืนยันในความบริสุทธิ์ของพวกเรามาตลอด แต่หลังจาก 5 เดือนผ่านไป พร้อมกับความอัปยศและความยากลำบาก พวกเราได้รับทราบถึงข้อสรุปจากอัยการได้ตัดสินใจเตรียมการส่งคดีฟ้องต่อศาลอาญา และจะเป็นช่วงการดำเนินการยื่นคำร้องขอประกันตัวต่อไป ถ้าหากไม่สำเร็จ พวกเราทั้ง 5 คนจะต้องถูกขัง และถูกริดรอนเสรีภาพของพวกเราโดยทันที 


"พวกเราได้มีโอกาสต่อสู้เพื่อเสรีภาพ เพื่อความยุติธรรม กับเพื่อนของผมอย่างเคียงบ่าเคียงไหล่ และถึงขนาดนั้นเอง ผมเชื่อว่าเรายังมีอะไรอีกมากที่ยังต้องช่วยเหลือเกื้อกูลและทำต่อ ถึงจุดนี้ ผมคงเพียงพูดแค่ว่า มันเป็นความภาคภูมิใจอย่างสูงสุดที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของขบวนการนี้ ถ้าหากความเป็นอยู่ของผมต้องจบลงในขณะที่ถูกจองจำ ผมจะเผชิญหน้าต่อไปโดยปราศจากความเสียใจทั้งสิ้น ต่อกรกับสิ่งที่อยู่เบื้องหน้าพร้อมรอยยิ้มและความพึงพอใจ ที่ได้รู้ว่าสิ่งที่เราได้สละชีพให้จะมีความหมาย และชื่อเสียงเรียงนามของผมจะถูกจารึกในประวัติศาสตร์ โดยที่รู้ว่าจิตวิญญาณ จิตใต้สำนึก และความศรัทธาของเราจะไม่มีวันถูกทำลายได้อย่างแน่นอน" นายบุญเกื้อหนุน กล่าว 


ด้าน น.ส.พูนสุข พูนสุขเจริญ ทนายความผู้ต้องหา กล่าวถึงเรื่องการปล่อยชั่วคราวหากถูกยื่นฟ้อง ว่า ตามหลักการตามกฏหมายผู้ต้องหาทั้งหมดไม่ได้มีพฤติการณ์หลบหนี จะไปยุ่งเหยิงพยานหลักฐาน และก่อเหตุภยันตรายประการอื่น หรือก่อให้เกิดอุปสรรคต่อพนักงานสอบสวน ถ้าเอาข้อเท็จจริงมาประกอบกับข้อกฎหมาย ผู้ต้องหาทั้ง 5 จะต้องได้รับการปล่อยชั่วคราว 100 เปอร์เซ็นต์ 


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ผู้ต้องหาได้เตรียมหลักทรัพย์คนละ 3 เเสนบาท เพื่อขอปล่อยชั่วคราวหากถูกฟ้องตกเป็นจำเลย จากนั้นในเวลา 11.00 น. ทางพนักงานอัยการได้มีความเห็นสั่งฟ้องผู้ต้องหา นำตัวไปยื่นฟ้องต่อศาลอาญา

ส่งท้ายกับคำตอบของ “เพนกวิน” ที่ทำให้ “ณัฐวุฒิ” ต้องเอามาคิดยาว

 


ส่งท้ายกับคำตอบของ “เพนกวิน” ที่ทำให้ “ณัฐวุฒิ” ต้องเอามาคิดยาว

 

ผมอยากจะส่งท้ายอย่างนี้นะครับ แล้วผมคิดว่าคนหลาย ๆ คนที่อยู่ในวัยรุ่นราวคราวเดียวกันกับเราก็ควรจะลองคิดเรื่องนี้ด้วยกัน  ผมได้มีโอกาสถาม “เพนกวิน” ในเรือนจำว่า

 

พี่ได้ยินว่าข้างนอก พวกน้องเอาคำปราศรัยของพี่ไปพูดถึง

พี่ได้ยินว่าข้างนอก พวกน้องตะโกนชื่อพี่อยู่หลายเวที...น้องรู้จักพี่ได้ยังไง?

 

“เพนกวิน” บอก เขาเห็นผมตั้งแต่เขาอายุ 11 ขวบ เมื่อราวปี 2553 คำตอบของเขาง่าย ๆ สั้น ๆ แต่มันทำให้ผมต้องเอามาคิดยาว เพราะเมื่อมี 2553 ผมร่วมกับเพื่อนมิตรและพี่น้องประชาชนร่วมอุดมการณ์ต่อสู้ครั้งใหญ่ วันนั้น “เพนกวิน” อายุ 11 – 12 ขวบ เหตุการณ์ผ่านมา 10 ปี ถึงปี 2563 “เพนกวิน” มาเป็นแกนนำต่อสู้ มีคดีความติดคุกติดตะรางอยู่จนวันนี้

 

ท่านครับ สิ่งที่ผมต้องคิดว่าก็คือว่า ถ้ามันเป็นอย่างนี้อยู่อีก 10 ปี ถ้าเรื่องราวมันยังคงยุ่งเหยิง ยังหาข้อยุติที่ถูกต้องไม่ได้อีกเป็นเวลา 10 ปี

 

10 ปีข้างหน้า ลูกชายผมจะอายุเท่า “เพนกวิน” วันนี้ แล้วก็ไม่แน่ว่า 10 ปีข้างหน้า ลูกชายผมจะต้องมาเจอกับสภาพแบบนี้ ไม่แน่ว่าอีก 10 ปีข้างหน้า คนที่จะต้องวิ่งขึ้นวิ่งลงบันไดศาล คนที่จะต้องพยายามทุกอย่างให้ลูกได้รับอิสรภาพ อาจจะไม่ใช่แม่เพนกวิน แม่รุ้ง แม่ไมค์ แม่ไผ่ แต่อาจจะเป็นผมซึ่งเป็นพ่อของ ด.ช.นปก ใสยเกื้อ วันนี้!

 

ดังนั้น ผมถึงบอกว่าคนรุ่นเรานี่แหละครับต้องรับผิดชอบ ไม่ใช่ให้เด็กโตขึ้นมาแล้วรับผิดชอบความขัดแย้งทั้งหมดที่มันเกิดขึ้นก่อนที่เขาจะโต ก่อนที่เขาจะรู้ความด้วยซ้ำไป ถามหัวใจคนเป็นพ่อ เป็นแม่ ทุกคนเลยครับว่าเรายังปล่อยให้มันเป็นไปแบบนี้ได้หรือ? เราจะเข้าคิวการเป็นพ่อแม่ที่ต้องวิ่งประกันตัวลูก ที่ต้องอกสั่นขวัญแขวนเมื่อดูถ่ายทอดสดลูกเดินขบวน ลูกยืนอยู่บนเวที ลูกกำลังเผชิญหน้ากับเจ้าหน้าที่ ผมว่าเราก็ยอมให้มันเป็นแบบนั้นไม่ได้!

 

ดังนั้น ไม่มีใครปฏิเสธความเปลี่ยนแปลงได้นะครับ และเราอยู่ร่วมกับความเปลี่ยนแปลงนี้ได้ ไม่มีใครต้องทำลายกันและกันให้พินาศวอดวายกับคนหนุ่มคนสาว

 

เมตตาเถอะครับอย่าอาฆาต

กรุณาเถอะครับอย่าพยาบาท

 

แล้วผมเชื่อว่าบ้านเมืองมันมีทางออก ขอส่งความปรารถนาดีไปยังประชาชน ไปยังคนหนุ่มสาว ไปยังเยาวชนที่ต่อสู้อยู่เวลานี้ จริง ๆ โดยวัยนับกันยาก แต่พวกเขาก็เรียกผมติดปากว่า “พี่” ก็อยากจะบอกทุกคนนะครับ แม้ว่าผมจะรู้จักเป็นการส่วนตัวน้อยคนมาก ที่ยังอยู่ข้างนอกไม่เคยรู้จักเลยแม้แต่คนเดียว ที่อยู่ข้างในก็ไปรู้จักกันข้างในแทบทั้งหมดนะครับ แต่อยากจะบอกว่า

 

“พี่เต้นยังอยู่ตรงนี้”

“พี่เต้นเคียงข้างเสมอ”

“เป็นกำลังใจ เข้าใจ และเห็นใจ และไม่คิดว่าจะทอดทิ้งกัน” ขอบคุณครับ ณัฐวุฒิ กล่าวในที่สุด.

"ณัฐวุฒิ" ประเมินความเคลื่อนไหวของนักศึกษาเยาวชนขณะนี้

 


ประเมินความเคลื่อนไหวของนักศึกษาเยาวชนขณะนี้

 

“ณัฐวุฒิ” ได้กล่าวว่า ผมคงไม่ได้อยู่ในฐานะที่จะประเมินว่าความเคลื่อนไหวของนักศึกษาและประชาชนเวลานี้จะไปได้ไกลแค่ไหน? หรือไม่? เพราะว่าเมื่อพวกเขาออกมายืนบนวิถีของการต่อสู้ เมื่อพวกเขาได้วางชีวิต อิสรภาพของตัวเองลงเป็นเดิมพันในการต่อสู้นี้ พวกเขาก็เท่ากันกับผมนั่นแหละครับ ถ้าผมเป็นนักต่อสู้คนหนึ่ง พวกเขาก็เป็นนักต่อสู้อีกหลายคนที่มีเกียรติยศศักดิ์ศรีของการต่อสู้เท่าเทียมกัน

 

ผมเคารพในความเคลื่อนไหว เคารพในความคิดเห็นของพวกเขา และผมก็คิดว่าผมคงไม่แน่พอที่จะมานั่งประเมินสิ่งที่พวกเขากำลังต่อสู้อยู่ด้วยชีวิต ด้วยอิสรภาพ ด้วยสิ่งที่ต้องเผชิญและแบกรับนานัปการ

 

ถ้าผมจะพูดได้ผมก็จะพูดเพียงว่าภายใต้จุดยืนทางการเมืองที่ไม่เปลี่ยนแปลงของผมและก็ของพี่น้องที่ร่วมต่อสู้กันมาจนวันนี้ ผมขอแสดงตัวเคียงข้างนิสิตนักศึกษาและประชาชนที่กำลังต่อสู้อยู่ในปัจจุบัน (เสียงปรบมือ) พร้อมกันนั้นผมขอปฏิเสธข้อกล่าวหา บิดเบือน ให้ร้ายป้ายสี ว่าการแสดงท่าทีเช่นนี้หมายถึงการมุ่งร้าย หมายถึงการโค่นล้มทำลายสถาบัน

 

จุดยืนทางการเมืองของผม ของเพื่อนมิตรที่สู้กันมา เด่นชัดมาตลอด แต่เมื่อในวันที่คนหนุ่มสาว เมื่อในวันที่พี่น้องประชาชนออกมาสู้ แล้วกำลังถูกกระทำอยู่เช่นนี้

 

ผมมีท่าทีอย่างอื่นไม่ได้!

ผมแสดงจุดยืนอย่างอื่นไม่ได้!

ผมต้องยืนเคียงข้างพวกเขา!

ผมต้องยืนเคียงข้างประชาชน! (เสียงปรบมือ)

 

ผมมีโอกาสได้พบกับพวกเขาหลายคนขณะที่ผมอยู่ในเรือนจำ แม้ไม่ได้พูดคุยกันมากนัก เพราะผมเข้าไปก่อน บางช่วงเวลาก็อยู่นอกเงื่อนไขการกักโรค จึงได้ใช้ชีวิตปกติเหมือนผู้ต้องขังทั่วไปในแดน 2 แต่น้อง ๆ ช่วงเวลานั้นเข้าไปอยู่ส่วนใหญ่ก็ไม่ถึง 14 วัน ดังนั้น พวกเขาจึงใช้เวลาส่วนมากอยู่ในเรือนนอนตามมาตรการกักโรคของทางเรือนจำ

 

อย่างไรก็ดี ก็มีช่วงเวลาที่เจ้าหน้าที่เบิกตัวพวกเขาออกมาเพื่อพบทนายความ เพื่อพบผู้หลักผู้ใหญ่ของรัฐบาล ของกรมราชทัณฑ์ ที่เข้าไปพูดคุย เข้าไปดูแลความเป็นอยู่ แม้แต่ละช่วงเวลาได้พูดคุยกันสั้น ๆ แต่ว่าผมคิดว่าผมห่วงใยพวกเขา ผมคิดว่าผมเป็นห่วงพวกเขา

 

ทุกเช้าเมื่อผมออกจากเรือนนอนแล้วเดินผ่านห้องที่พวกเขาถูกจำขังอยู่ ผมต้องชะโงกหน้าไปเรียกพวกเขาทุกครั้ง เพราะผมเป็นห่วงว่าน้อง ๆ เขาไม่เคยถูกขัง มาอยู่รวมกับผู้ต้องขังอื่น ๆ แล้วจะเป็นอย่างไร? ปลอดภัยหรือไม่? ขนาดไหน?

 

ผมได้เห็นพวกเขาคุยกันเอง ผมได้เห็นเวลาเขากิน ผมได้เห็นเวลาเขานอนหลับ ไม่ว่าเขาจะประกาศตัวเป็นนักต่อสู้ เป็นนักปฏิวัติ หรือประกาศตัวเป็นผู้กล้าหาญใด ๆ ก็ตาม แต่จากสายตาที่ผมเห็น จากเนื้อชีวิตที่ผมได้สัมผัส จากประสบการณ์ที่ผมผ่านพบชีวิตมาจนเป็นพ่อคน สิ่งหนึ่งที่เขาปิดบังผมไม่ได้ สิ่งหนึ่งที่พวกเขาปฏิเสธผมไม่ได้ คือพวกเขายังเป็นเด็ก บางคนถ้าผมมีลูกเร็วตอนอายุ 24-25 พวกเขาเป็นลูกผม

 

ดังนั้น ผมรู้ดีว่าอิสรภาพของผมเปราะบาง แล้วการแสดงจุดยืนหรือการพูดเรื่องราวเหล่านี้ก็อาจจะทำให้ความเปราะบางนั้นเปราะบางไปอีก แต่ผมไม่คิดจะมีทางเลือกอื่น ผมคิดว่าประเทศนี้ไม่สามารถจะพูดถึงอนาคตที่สดใสงดงามได้เลยตราบเท่าที่ “อนาคตของชาติ” ยังอยู่ใน “กรงขัง” เราไม่สามารถจะกล่าวอ้างอธิบายใด ๆ ว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่ทำ ทำเพื่อลูกหลาน

 

ในวันที่ลูกหลานซึ่งถูกขัง...ยังไม่ได้กินข้าว!

ในวันที่ลูกหลานซึ่งถูกขัง...ร้องห่มร้องไห้ หวาดกลัวความตาย และโหยหาอิสรภาพ!

 

ในความเคลื่อนไหวของพวกเขา ไม่ว่าจะแนวคิดหรือแนวทางการต่อสู้ มีทั้งส่วนที่ผมเห็นด้วยและมีทั้งส่วนที่ผมห่วงใย แต่ในความเป็นคนหนุ่มสาวของพวกเขา ในความเป็นพลังบริสุทธิ์ของพวกเขา ผมมีแต่ความรู้สึกรัก ห่วงใย เอาใจช่วยเพียงอย่างเดียว ไม่มีความรู้สึกอื่น

 

ผมเป็นของผมแบบนี้ และผมเชื่อว่าสังคมนี้ เราไม่ควรจะมองเห็นชีวิตและอิสรภาพของคนหนุ่มสาวที่กำลังถูกกระทำเป็นชัยชนะ เป็นความสะใจ เป็นเรื่องที่ยอมให้มันเกิดขึ้นได้ เพียงเพราะเขายืนอยู่คนละฝ่ายกับอำนาจ หรือเขายืนอยู่คนละฝ่ายความคิดกับคนบางกลุ่มเท่านั้น

 

บางคนบอกว่าเมื่อเด็ก ๆ ทำผิด เด็ก ๆ ก็ต้องรับผิดชอบ เมื่อละเมิดกฎหมายก็ต้องรับผิดชอบตามกฎหมาย ผมอยากจะถามว่าท่านคิดอย่างนั้นกันจริงหรือเปล่า? เพราะสำหรับผม ผมไม่ได้คิดแบบนั้น เราสู้กันมา 10 กว่าปี แล้วจนถึงวันนี้การต่อสู้นี้ก็ยังคงอยู่ แล้วคนรุ่นลูก รุ่นหลาน ออกมาสู้วันนี้ ถูกดำเนินคดี ถูกกระทำต่าง ๆ นานามากมาย โดยเราทั้งหลายบอกว่าเขาต้องรับผิดชอบกับสิ่งที่ทำลงไป ในหัวใจปฏิเสธ ในหัวใจผมกำลังบอกตัวเองว่า “คนรุ่นเราต่างหากต้องรับผิดชอบต่อสิ่งที่เราทำกันลงไป แล้วทำให้พวกเขาต้องออกมาสู้กันในวันนี้” (เสียงปรบมือ)

 

ถ้าบ้านเมืองมันเดินไปตามวิถีทางที่ถูกต้องจริง ถ้าบ้านเมืองมันปกครองในระบอบการปกครองที่อำนาจอธิปไตยเป็นของประชาชน ไม่มีอำนาจนอกระบบมาแทรกแซง ไม่มีเผด็จการรัฐประหารเข้ามายึดกุมประเทศ ไม่มีกติกากดขี่เช่นรัฐธรรมนูญฉบับนี้ “เด็กพวกนี้ต้องอยู่ในห้องเรียน ไม่ได้อยู่ในห้องขัง” เด็กพวกนี้ต้องใช้สติปัญญาใช้วิชาความรู้ของตัวเองนำพาตัวเองให้เข้มแข็งเพื่อเป็นอนาคตเป็นความหวังของคนทั้งชาติ

 

ดังนั้น ผมคิดว่าความเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้น ชะตากรรมของคนหนุ่มคนสาวที่เกิดขึ้น คนรุ่นเราต้องรับผิดชอบ เอาเด็กออกจากห้องขัง แล้วเรามาแก้ปัญหากันแบบผู้ใหญ่ เรามาแก้ปัญหากันด้วยเหตุด้วยผล เรามาแก้ปัญหากันด้วยความจริง เรามาแก้ปัญหากันด้วยความปรารถนาดีต่อบ้านเมืองและปรารถนาดีต่อกันและกันอย่างแท้จริง!

 

ถ้าเปรียบประเทศเป็นบ้าน คนรุ่นพวกเราเป็นพ่อแม่ คนหนุ่มสาวรุ่นปัจจุบันเขาเป็นลูก พ่อแม่มีปัญหาทะเลาะกันมา 10 กว่าปี จนวันหนึ่งลูกโตขึ้นแล้วลูกลุกขึ้นตะโกนขึ้นกลางบ้าน สิ่งที่คนเป็นพ่อเป็นแม่ต้องทำคือตั้งใจฟังเขา พยายามที่จะแก้ไขปัญหาให้เขา หรือแก้ไขปัญหาร่วมกับเขา ไม่ใช่เอาเขาไปขัง!

 

ผมคิดว่าสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นมันเป็นสัญญาณที่ถูกส่งตรงมาจากคนที่กำลังจะเติบโตมารับผิดชอบบ้านเมืองต่อไป เขาตอบเราแล้วว่าเขาไม่ยอมรับสังคมที่เป็นมา เขาตอบแล้วว่าเขาอยากเห็นความเปลี่ยนแปลงตามความเป็นจริงของสถานการณ์ แล้วผมคิดว่าใครก็ตามในบ้านเมืองนี้ไม่ควรเกรงกลัวหรือปฏิเสธความเปลี่ยนแปลง

 

ในโลกใบนี้ความเปลี่ยนแปลงเป็นเรื่องแน่นอนที่สุด วิทยาการองค์ความรู้ต่าง ๆ ทำให้มนุษย์สามารถจะสำรวจทุกอย่างทั้งในสุริยะจักรวาล ทั้งเรื่องบนดิน ใต้ดิน ทุกเรื่อง มนุษย์สามารถที่จะเข้าถึงและสำรวจได้ แล้วมนุษย์ก็พบว่าไม่มีเรื่องใดเลยที่ไม่เปลี่ยนแปลง ไม่มีอะไรเลยที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้ ไม่มีสิ่งใดเลยที่อยู่นอกเหนือกฎเกณฑ์นี้ เมื่อพลังของการเปลี่ยนแปลงส่งสัญญาณมาชัดขนาดนี้ กลายเป็นว่าผู้มีอำนาจ กลายเป็นว่ารัฐ ได้ทุ่มเทใช้กำลัง ใช้กฎหมาย ใช้ทรัพยากร ใช้ความรุนแรง ใช้ทุกอย่างเพื่อพยายามควบคุม ทั้ง ๆ ที่สิ่งที่เป็นจริงควรจะพยายามเข้าใจมันต่างหาก

และผมไม่เชื่อว่าจะมีใครไปล้างสมอง ผมไม่เชื่อว่าจะมีใครไปเป็นผู้มีอิทธิพลเหนือจิตวิญญาณของคนหนุ่มคนสาวในวันนี้ จนถึงขั้นทำให้เขาสามารถจะเคลื่อนไหว สามารถจะทำอะไรก็ตาม ตามแต่คนที่ล้างสมองปรารถนา ผมไม่เชื่อ!

 

ผมมีวิธีคิดของผมง่าย ๆ โลกยุคปัจจุบันแม้แต่คนเป็นพ่อเป็นแม่ก็ไม่ใช่จะจูงใจลูกได้ง่าย ๆ เขาเติบโตในวันเวลาของเขา เขาเติบโตในโลกอีกใบของเขา ดังนั้น ผมว่าเราอยู่กันได้ด้วยความจริง แล้วเราจำเป็นต้องยอมรับความจริงก่อนที่ทุกอย่างมันจะเสียหายเลวร้ายไปมากกว่านี้ ว่านี่คือพลังบริสุทธิ์ที่เขาสะท้อนออกมา

 

นอกเหนือจากเรื่องหลักการ นอกเหนือจากเรื่องชะตากรรมของคนหนุ่มสาวที่ผมได้ประสบพบเจอบ้างแล้วนั้น อีกเหตุผลสำคัญที่ผมต้องประกาศจุดยืนเคียงข้างพวกเขาก็คือ ในนามของความเป็นมนุษย์ ผมเป็นคนเสื้อแดง ผมเป็นมา 10 กว่าปี จนบัดนี้ก็ยังเป็น และผมเชื่อว่าทั้งชีวิตผมก็ไม่ได้รู้สึกตะขิดตะขวงใจหรือเป็นเรื่องเสียหายที่จะเป็น “คนเสื้อแดง” (เสียงปรบมือ)

 

ผมต่อสู้ร่วมกับพี่น้องร่วมอุดมการณ์มา 10 กว่าปี เราเป็นคนที่ถูกยิงทิ้งเสียชีวิตมากที่สุดในประวัติศาสตร์การเมืองไทย เราถูกจำขัง ถูกไล่ล่า ถูกเขาเหยียบย่ำ แบกรับคำดูหมิ่นเหยียดหยามต่าง ๆ มากมาย เราถูกยิงตายกลางถนนเป็นร้อย แล้วเราก็เห็นเขาออกมาล้างถนน คดีของพี่น้องที่บาดเจ็บล้มตายไม่ถึงศาล เราถูกเรียกเป็นควาย เราถูกตราหน้าว่าเป็นขบวนการรับจ้าง เราถูกกาหัวว่าเป็นพวกไร้การศึกษา เป็นคนไร้ค่า

 

10 กว่าปีที่ผ่านมา พวกผมต่อสู้แล้วก็เจอกับสิ่งนี้ แต่พวกเขาคนหนุ่มสาวเหล่านี้ พวกเขาเป็นคนกลุ่มแรกที่หยิบยื่นความเข้าใจ หยิบยื่นความเห็นใจ และหยิบยื่นเกียรติยศให้พวกผม พวกเขาเป็นคนกลุ่มแรกที่ตะโกนเรียกพวกผมกลางท้องถนน พวกเขาเป็นคนกลุ่มแรกที่บอกว่าเข้าใจเราแล้ว เห็นใจเรา อยากขอโทษเพราะเมื่อก่อนเข้าใจผิด พวกเขาเป็นคนกลุ่มแรกที่ทำเรื่องแบบนี้ ในนามของความเป็นมนุษย์ผมทิ้งพวกเขาไม่ได้! (เสียงปรบมือ)

 

ผมมีโลกใบเดียว ถ้าผมต่อต้านเผด็จการในเมียนมาร์ ผมก็ต่อต้านเผด็จการในประเทศไทยด้วย (เสียงปรบมือ) ถ้าผมประณามการเข่นฆ่าประชาชนที่เมียนมาร์ ผมก็ต้องไม่ยอมรับการกระทำใด ๆ ต่อประชาชน ต่อคนหนุ่มสาวและเยาวชนในประเทศไทยด้วย (เสียงปรบมือ)

 

ผมอยากจะบอกทุกฝ่ายนะครับว่าที่ผมพูดไม่ใช่ผมจะประกาศเผชิญหน้า ไม่ใช่ผมจะท้าทายแล้วออกไปเดินนำหน้าขบวนที่เขากำลังทำอยู่เวลานี้ ไม่ใช่! แต่ผมพูดจากหัวใจจริง ๆ ผมคิดแบบนี้ ผมเชื่อแบบนี้ และผมเป็นคนอย่างนี้ แล้วถ้าหากว่าใครก็ตามจะเห็นว่าการพูดวันนี้เป็นเรื่องที่เป็นปัญหา เป็นเรื่องที่ร้ายแรง ทำลายชาติ ทำลายบ้านเมือง ผมก็จะไม่เปลี่ยนคำพูด ผมยืนยันว่าความเปลี่ยนแปลงมันกำลังเกิดขึ้น แล้วมันเดินเร็ว ถ้าไม่เข้าใจ ถ้าไม่เท่าทัน มันจะพากันพังหมด มันจะเสียหายกันทั้งระบบ ไม่มีเหลือไม่ว่าใครฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด

 

ผมพูดยาวหน่อยสำหรับคำถามเมื่อสักครู ไม่รู้ว่าจะตอบคำถามนั้นหรือว่าเลยเถิดไปถึงคำถามอื่นบ้างก็ตาม แต่ว่าอย่างที่บอกอะครับ มันอยู่ในใจ มันก็ต้องพูดออกมา (เสียงปรบมือ)

 

การขึ้นเวทีร่วมกับนักศึกษาหรือไม่เป็นเรื่องในอนาคต

 

“ณัฐวุฒิ” กล่าวว่า เมื่อเทียบเคียงกับน้อง ๆ ที่เป็นแกนนำหลักอยู่เป็นจำนวนมากเวลานี้ ผมก็อาวุโสกว่าพวกเขาพอสมควร ความอาวุโสนี้ไม่ได้หมายความว่าผมเหนือกว่า เก่งกว่า หรือมีศักยภาพในการนำสูงกว่า แต่ความอาวุโสนี้ทำให้ผมต้องตระหนักกับตัวเองว่าเราต้องรอบคอบ รัดกุม ยกย่อง ให้เกียรติพวกเขา พวกเขาต่อสู้กันมา มีประวัติศาสตร์ร่วมกัน มีวันเวลาที่แสดงความกล้าหาญ มีวันเวลาที่แบกรับความเจ็บปวดร่วมกัน

 

ดังนั้น ผมว่าคงไม่ใช่วาระที่ผมจะมาประกาศวันนี้ว่าจะไปขึ้นเวที จะไปเป็นแกนนำร่วมกัน ผมมีหน้าที่ต้องเคารพและให้เกียรติพวกเขา ตราบเท่าที่พวกเขายังต่อสู้อยู่อย่างกล้าหาญ และผมเชื่อว่าด้วยประสบการณ์ ด้วยวุฒิภาวะ ด้วยการผ่านพบสถานการณ์ที่มากขึ้น ๆ คงทำให้บางเรื่องบางแง่มุมที่ผมมีความห่วงใจพวกเขาก็คงจะทำให้เข้มแข็งขึ้น พวกเขาก็คงจะขับเคลื่อนอย่างรัดกุม อย่างแหลมคมมากขึ้น

 

ไม่ได้หมายความว่าที่ผ่านมามันขาดความรัดกุม ขาดความแหลมคมนะครับ อย่างที่บอกผมเคารพพวกเขาด้วยหัวใจ แต่ว่าทุกอย่างมันเป็นเรื่องของการเรียนรู้ ทุกอย่างมันเป็นเรื่องของประสบการณ์ ทุกอย่างมันเป็นเรื่องของพัฒนาการ ดังนั้น คงไม่ได้หมายความว่าผมอยู่ ๆ จะลงจากโต๊ะแถลงข่าวนี้เดินพรวดพลาดไปขึ้นเวทีที่น้อง ๆ เขาสู้กันอยู่ คงไม่ได้หมายความอย่างนั้น แต่อนาคตต่อไปข้างหน้า ถ้าสถานการณ์มันเกิดความจำเป็น ถ้าสถานการณ์มันไม่อาจจะมีวิธีการอื่นได้ ก็ขอให้เป็นเรื่องอนาคตครับ (เสียงปรบมือ)

“ณัฐวุฒิ” ตอบคำถามสื่อประเด็นการเคลื่อนไหวในวันที่ 4 เมษายน ของ “จตุพร พรหมพันธุ์”

 


“ณัฐวุฒิ” ตอบคำถามสื่อประเด็นการเคลื่อนไหวในวันที่ 4 เมษายน ของ “จตุพร พรหมพันธุ์” โดยกล่าวว่า

 

ตั้งแต่ออกมา ผมยังไม่ได้หารือเรื่องแนวทางทางการเมืองกับคุณจตุพรนะครับ มีโทรศัพท์พูดคุยกันบ้างก็ตามประสาพี่น้องเพื่อนมิตรที่กอดคอต่อสู้กันมา ยังไม่ได้พบปะหรือยังไม่ได้นั่งพูดคุยกัน ดังนั้น การเคลื่อนไหวหรือการนัดหมายวันที่ 4 เมษายนนั้น ส่วนตัวผมได้ทราบเรื่องจากทางสื่อมวลชนเท่านั้น ยังไม่ได้รับแจ้งหรือยังไม่ได้รับข้อมูลข่าวสารใด ๆ อย่างไรก็ตามก็เห็นว่าทั้งคุณจตุพรและคณะหลาย ๆ ท่านที่มีความเคลื่อนไหวอยู่ในเวลานี้ ล้วนแล้วแต่เป็นบุคคลที่มีประสบการณ์ มีศักยภาพ ส่วนว่าจะกำหนดแนวทางประการใด? อย่างไร? ก็ขอให้สื่อมวลชนและประชาชนได้ติดตามเอาจากผู้ที่เกี่ยวข้องนะครับ

 

ประเด็นการเคลื่อนไหวของนปช.

 

“ณัฐวุฒิ” กล่าวว่า ยังไม่ได้มีแนวคิดเรื่องจะเคลื่อนไหวมวลชนขนาดใหญ่ของกลุ่มคนเสื้อแดง หรือร่วมกับกลุ่มอื่น ๆ ตรงนี้ผมอยากจะอธิบายให้ชัดเจนอีกเรื่องหนึ่งนะครับ ก็คือองค์กรนำของนปช. (เพราะว่าผมคิดว่ามันเกี่ยวข้องกันตั้งแต่คำถามสักครู่เรื่องวันที่ 4 เมษายน จนถึงคำถามนี้) ที่จริงเรื่องนี้ผมไม่เคยพูดมาก่อน มีเพื่อนมิตรพี่น้องพูดไปแล้วบ้าง แต่ผมเห็นว่าบางเรื่องอาจจะยังไม่ครบถ้วน แล้วถ้าผมไม่พูดอะไรเสียบ้างเลย ก็อาจจะทำให้ความเข้าใจสถานการณ์มันพล่าเลือน อาจจะทำให้ความเป็นมาก่อนจะถึงวันนี้มันถูกอธิบายไปตามความรู้ความเชื่อของแต่ละคนซึ่งไม่สอดคล้องกับข้อเท็จจริง

 

ผมจะเล่าให้ฟังสั้น ๆ อย่างนี้นะครับ สำหรับองค์กรนำของนปช. หรือคณะแกนนำของนปช.ชุดที่ท่านเคยเห็นต่อสู้มาตั้งแต่ 10 กว่าปีที่แล้ว พวกเรายอมรับในการนำรวมหมู่ แล้วพวกเราปรึกษาหารือ มีที่ประชุมของพวกเราในการถกอภิปรายแลกเปลี่ยนความคิดเห็น แล้วก็กำหนดแนวทางการขับเคลื่อนทางการเมืองร่วมกันมาตลอด 10 กว่าปี

 

แต่เนื่องจากว่าในช่วงเวลาประมาณ 2 ปีกว่า ๆ มาแล้ว ภายหลังจากที่คุณจตุพรออกจากเรือนจำครั้งล่าสุดได้ไม่กี่วัน ก็ได้มีการสนทนาสาระสังสรรค์กันในหมู่พี่น้องแกนนำจำนวนหนึ่ง คุณจตุพรได้เล่าให้ฟังว่าได้มีข้อสรุปและตกลงจะทำงานการเมืองในนามพรรคการเมืองพรรคหนึ่ง ผมไม่ได้มีเจตนาจะไปเอ่ยชื่อพรรคการเมืองใด ๆ ให้เกิดความกระทบกระทั่งนะครับ แต่ผมคิดว่ามันเป็นข้อเท็จจริงที่ท่านทราบอยู่แล้ว พูดไปเสียก็ไม่มีอะไรเสียหาย นั่นหมายถึง “พรรคเพื่อชาติ”

 

เมื่อได้เล่าให้เราฟังแบบนั้นว่าได้มีการพูดคุย ได้มีการตกลง ได้มีการสรุปกันแล้วว่าจะทำการเมืองพรรคนี้ ผมนั่งฟังอยู่ด้วยจนจบ ผมก็ตั้งข้อสังเกตว่าเรื่องที่กำลังพูดอยู่เป็นเรื่องใหญ่มากสำหรับพี่น้องและขบวนการของเรา ดังนั้น เรื่องนี้คงไม่ใช่ประเด็นที่ใครจะไปตกลงกับใครก่อน แล้วมาบอกให้เราทราบ แล้วต้องการให้เป็นไปตามนั้น

 

ผมบอกว่าที่ถูกที่ควรคือเราควรจะมาปรึกษากันก่อน แล้วที่ประชุมเห็นอย่างไร เดินหรือไม่เดินแบบไหนค่อยไปคุยกับคนข้างนอก จะร่วมมือประสานงานกับใครเป็นเรื่องเกิดขึ้นได้ไม่ว่ากัน ผมจึงเรียกร้องให้มีการประชุมแกนนำเพื่อหารือประเด็นนี้ หลังจากการเรียกร้องดังกล่าวก็ไม่มีการนัดหมายประชุมแกนนำ เพื่อนมิตรบางคนก็เห็นด้วยว่าเมื่อตกลงว่าจะทำกันไปแล้วก็ควรจะเดินหน้าต่อไป บางส่วนก็เห็นว่านี่เป็นกระบวนการที่ไม่สอดคล้องกับสิ่งที่เราเคยอยู่กันมา ที่เคยทำกันมา ที่เคยต่อสู้เคียงไหล่ใกล้บ่ากันมา 10 กว่าปี อย่างอาจารย์ธิดาก็ได้เรียกร้องให้มีการประชุมเรื่องนี้ ผมเองก็อีกสักครั้งสองครั้ง

 

ในที่สุดเมื่อไม่มีการประชุมแกนนำนปช.เพื่อหารือเรื่องดังกล่าว เราก็เห็นว่านั่นคงเป็นแนวทางที่มีการสรุปกันไปแล้ว แล้วเราไม่ได้อยู่ในจุดที่จะได้รับทราบหรือว่าจะได้แสดงความคิดเห็น ก็เลยไม่มีการประชุมแกนนำนปช.อีกตั้งแต่บัดนั้นจนบัดนี้ 

“ณัฐวุฒิ” ยันจุดยืนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง ไม่เสียใจที่เลือกเส้นทางนี้แม้มีคดีความมากมาย ยืนยัน “มั่นคงในหลักการ ซื่อตรงต่อประชาชน”

 


“ณัฐวุฒิ” ยันจุดยืนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง ไม่เสียใจที่เลือกเส้นทางนี้แม้มีคดีความมากมาย ยืนยัน “มั่นคงในหลักการ ซื่อตรงต่อประชาชน”

 

30 มี.ค. 64 เวลา 11.00 น. ที่ห้องประชุม ยูดีดีนิวส์ อาคารเอเวอรี่มอลล์ แยกแคราย นนนทบุรี  “ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ” แถลงข่าวการคืนสู่อิสรภาพ เปิดใจหลังถอดกำไลอีเอ็ม

 

โดยในช่วงแรกของการแถลงเปิดใจ “ณัฐวุฒิ” กล่าวว่า

 

ท่านสื่อมวลชนและพี่น้องประชาชนที่เคารพครับ ก็ขอขอบคุณทุกท่านนะครับที่ได้กรุณาแสดงความสนใจแล้วก็ร่วมบันทึกภาพหรือว่าเผยแพร่การแถลงข่าว “คืนสู่อิสรภาพ” ของผมในวันนี้

 

การเข้าไปอยู่ในเรือนจำรอบนี้ของผมนับเป็นครั้งที่ 3 ตลอดชีวิตการต่อสู้สิบกว่าปี ครั้งนี้เป็นคดีแรกที่ถึงที่สุดตามคำพิพากษาของศาลฎีกา ให้จำคุก 2 ปี 8 เดือน อย่างไรก็ตามนะครับผมได้ถูกจำคุกไปแล้วก่อนหน้านี้เป็นเวลา 8 เดือนเศษ เมื่อรวมเข้ากับการได้รับการลดโทษจากการพระราชทานอภัยโทษ 2 ครั้ง ในเดือนกรกฎาคมและในเดือนธันวาคม รวมกับการต้องโทษจำคุกรอบนี้ซึ่งเข้าไปอยู่ในเรือนจำเกือบ 6 เดือน ก็ทำให้เข้าหลักเกณฑ์การพักโทษเป็นกรณีพิเศษ แล้วก็ออกมาติดกำไลอีเอ็มอยู่ในความควบคุมของกรมคุมประพฤติ กระทรวงยุติธรรม ตั้งแต่วันที่ 18 ธันวาคม 2563 จนถึงเมื่อวานนี้ 29 มีนาคม 2564

 

ตลอดเวลา 3 เดือนเศษของการพักโทษ ผมปฏิบัติตามเงื่อนไขและหลักเกณฑ์ของกรมคุมประพฤติอย่างเคร่งครัด นั่นก็คืออยู่ในพื้นที่จังหวัดที่ได้รับการกำหนดหากมีกิจธุระจำเป็นสำคัญจะออกนอกพื้นที่ ก็จะทำหนังสือขออนุญาตกับทางกรมคุมประพฤติเป็นรายกรณี ไม่ได้เข้าไปในสถานที่ซึ่งไม่ได้รับอนุญาตตามหลักเกณฑ์ เช่น บริเวณสนามบิน หรือว่าในอาณาบริเวณของเรือนจำ ไม่ได้เคลื่อนไหวทางการเมืองหรือแสดงความคิดเห็นทางการเมือง แสดงสัญลักษณ์ใด ๆ ทางการเมือง ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา

 

รวมทั้งมีการรายงานตัวกับกรมคุมประพฤติเดือนละ 1 ครั้ง เข้ารับการอบรมธรรมะซึ่งดำเนินการโดยกรมคุมประพฤติภายใต้การถ่ายทอด ภายใต้การดูแลกระบวนการของพระคุณเจ้าที่วัดโตนด อ.บางกรวย จ.นนทบุรี นี่ก็เดือนละ 1 ครั้ง ล่าสุดก็เป็นเมื่อวานนี้

 

ที่เล่าความตรงนี้เสียก่อนก็เพื่อให้เป็นที่รับทราบและเข้าใจของสังคมนะครับ ว่าทุกอย่างทั้งขั้นตอนพิจารณาหลักเกณฑ์พักโทษ แล้วก็การออกมาแล้วอยู่ในเงื่อนไขของการพักโทษของผมนั้นเป็นไปตามระเบียบ เป็นไปตามกระบวนการอย่างที่ผู้ต้องขังทุกคนซึ่งเข้าหลักเกณฑ์ได้รับ แล้วก็แนวปฏิบัติก็เป็นไปดังที่กรมคุมประพฤติกำหนด ไม่ได้มีข้อยกเว้นหรือข้ออภิสิทธิ์อื่นใด

 

จึงขอขอบคุณกระทรวงยุติธรรมนะครับ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พณฯ ท่านสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ตลอดจนคณะเจ้าหน้าที่ตั้งแต่กรมราชทัณฑ์ กรมคุมประพฤติ รวมกระทั่งผู้คนและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อทุกท่านที่ปฏิบัติต่อกันตามระบบระเบียบกติกาเป็นอย่างดี ที่ได้กรุณาดำเนินการในทุกขั้นตอนจนผมออกมาสู่อิสรภาพ แม้จะเป็นบางแง่มุม่ช่วง 3 เดือนกว่าก่อนหน้านี้ และก็สมบูรณ์เมื่อวานนี้

 

อย่างไรก็ตามนะครับ การต่อสู้ทางการเมืองของผมยังมีคดีความอยู่อีกหลายคดี ซึ่งอยู่ในสารบบของกระบวนการยุติธรรม ก็เป็นหน้าที่ที่ผมจะต้องสู้ต่อไป ไม่ว่าจะเป็นคดีจากการชุมนุมเมื่อปี 2552 จากการชุมนุมเมื่อปี 2553 หรือว่าคดีอื่น ๆ สถานะของผมเวลานี้จึงเป็นสถานะของผู้ถูกจำคุกจากคำพิพากษาของศาลฎีกา ซึ่งถือว่าคดีถึงที่สุด ถูกตัดสิทธิ์ทางการเมืองเป็นเวลา 10 ปี ไม่สามารถจะดำรงตำแหน่งทางการเมืองใด ๆ ได้ ไม่สามารถจะลงสมัครเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร หรือตำแหน่งอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นท้องถิ่น หรือการเมืองรูปแบบใดก็ตามถ้าหากจะมีกติกาเปลี่ยนแปลงจากนี้ในห้วงเวลา 10 ปี ก็ไม่สามารถจะลงสู่สนามในฐานะผู้สมัครได้

 

แต่ในฐานะประชาชน ในฐานะบุคคลหนึ่ง ซึ่งยืนอยู่บนเส้นทางการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย ผมก็ขอยืนยันจุดยืนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง ถ้านายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ เคยประกาศจุดยืนไว้ตั้งแต่วันแรกของการต่อสู้ทางการเมืองอย่างไร ผมก็ยืนยันจุดยืนเช่นนั้น จนถึงปัจจุบัน และตราบจนถึงอนาคต

 

ผมไม่เคยรู้สึกเสียใจที่เลือกเส้นทางสายนี้แล้วมีคดีความมากมาย

ติดคุกแล้ว 3 ครั้ง แล้วก็ไม่แน่ใจว่าจะมีครั้งต่อไปหรือไม่? อย่างไร?

ความเจ็บปวดที่ผ่านพบ...ผมรับได้!

ภาระหนักอึ้งที่ต้องแบกรับ...ผมไม่หวั่นไหว!

ภยันตรายใด ๆ ที่เคยเผชิญและหากจะต้องเผชิญอีก...ผมไม่ท้าทาย...แต่ก็ไม่เคยหวาดกลัว!

 

ผมเชื่อมั่นว่าจุดยืนทางการเมืองที่ได้ประกาศต่อประชาชนแล้วยืนหยัดสู้มา

เป็นแนวทางอย่างแท้จริงที่จะทำให้บ้านเมืองนี้เดินไปข้างหน้า

ที่จะทำให้อำนาจสูงสุดเป็นของประชาชน

ที่จะทำให้การแก้ปัญหาทั้งเศรษฐกิจ การเมือง และสังคมของประเทศเป็นไปได้อย่างแท้จริง

 

ภายใต้หลักการว่า...คนเราเท่าเทียมกัน!

ภายใต้หลักการว่า...อำนาจสุงสุดในการปกครองประเทศเป็นของประชาชน

ภายใต้หลักการว่า...เราไม่มีความจำเป็นจะต้องทำลายล้างใคร ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด ให้แตกดับไปจากกัน

 

เพราะในความเป็นจริงประเทศนี้เดินไปข้างหน้าได้โดยคนทุกฝ่าย ทุกความคิด ทุกสถานะอยู่ร่วมกัน ภายใต้ความแตกต่าง ภายใต้กฎเกณฑ์แห่งความเปลี่ยนแปลง

 

เมื่อได้ยืนยันจุดยืนเดิมทางการเมือง ได้ยืนยันจุดยืนเดิมในการต่อสู้ ผมก็ไม่มีคำแถลงอะไรที่เตรียมการมามากมายไปกว่านี้ เพราะคำว่าจุดยืนเดิมของผม ผมพูด ผมยืนยัน ผมกระทำมาตลอดระยะเวลา 10 กว่าปี

 

ที่อยากจะสื่อสารกับพี่น้องประชาชนอีกเรื่องก็คือ มันไม่มีขบวนการต่อสู้ไหนสมบูรณ์แบบ ในโลกของการต่อสู้มันไม่มีอะไรโรแมนติกชนิดที่เรียกว่าทุกอย่างที่ได้ก้าวย่างบนเส้นทางนี้จะต้องสวยงาม จะต้องถูกอกประทับใจกับคนทุกส่วนทุกอย่าง  ดังนั้น หากมีสิ่งใดที่เป็นคุณประโยชน์จากการต่อสู้ของผม ของเพื่อนมิตรผู้ร่วมอุดมการณ์ ก็ขอมอบสิ่งนั้นเป็นเกียรติยศให้กับประชาชนที่ได้ร่วมต่อสู้กันมา หากมีสิ่งใดซึ่งผู้คนในสังคมเห็นว่าเป็นความผิดพลาด เป็นเรื่องที่ไม่อาจยอมรับได้ เป็นเรื่องที่ท่านอาจจะมองว่าเป็นเรื่องเสียหาย ผมขอน้อมรับสิ่งนั้นเอาไว้เอง ผมขอให้ความไม่พอใจ ความไม่เข้าใจ หรือถ้าหากจะเป็นความชิงชังเกิดมีขึ้น ผมขอน้อมรับเอาไว้เอง


แต่ผมไม่เคยมีเจตนาที่จะทำให้บุคคลหรือสิ่งหนึ่งสิ่งใดเกิดความเสียหาย ผมไม่เคยมีเจตนาที่จะทำลายบ้านเมือง ทำลายชีวิต ทรัพย์สินของใครใด ๆ ก็ตาม ไม่ว่าจะเห็นด้วยหรือเห็นต่างกันทางการเมือง! ณัฐวุฒิ กล่าว.


คลิปฉบับเต็มการแถลงข่าว "การคืนสู่อิสรภาพ - ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ"

วันอังคารที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2564

"ณัฐวุฒิ" เปิดใจครั้งแรกหลังคืนสู่อิสรภาพ ยืนยันจุดยืนเดิมต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย พร้อมยืนเคียงข้างนักศึกษาและประชาชนที่กำลังต่อสู้อยู่

 




ณัฐวุฒิ" เปิดใจครั้งแรกหลังคืนสู่อิสรภาพ ยืนยันจุดยืนเดิมต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย พร้อมยืนเคียงข้างนักศึกษาและประชาชนที่กำลังต่อสู้อยู่


วันนี้ (30 มี.ค. 64) ที่ ยูดีดีนิวส์ -UDD news ชั้นใต้ดิน อาคารเอเวอรี่ มอลล์ แยกแคราย นนทบุรี


สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 29 มี.ค. ครบกำหนดวันต้องโทษของ "ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ" โดยได้ไปรายงานตัวและเข้าอบรมธรรมะอีกครั้ง หลังถอดกำไลอีเอ็ม เมื่อได้รับอิสรภาพคืนมาโดยสมบูรณ์ จึงได้นัดหมายสื่อมวลชนที่ยูดีดีนิวส์ - UDD news ชั้นใต้ดิน อาคารเอเวอรี่มอลล์ แยกแคราย นนทบุรี ขอเปิดใจครั้งแรก ภายใต้สโลแกน "มั่นคงในหลักการ ซื่อตรงต่อประชาชน"


โดยกล่าวขอบคุณ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เจ้าหน้าที่กรมราชทัณฑ์และกรมคุมประพฤติ ตลอดช่วงที่ถูกคุมประพฤติตนก็ปฏิบัติตามเงื่อนไขอย่างเคร่งครัด ไม่ได้เคลื่อนไหวทางการเมือง ส่วนตัวขณะนี้ยังมีคดีความที่ต้องต่อสู้ ซึ่งเป็นผลพวงจากการเคลื่อนไหวในปี 2552 และ 2553 อีกหลายคดี แม้สถานะของตนยังเป็นผู้ต้องคำพิพากษาศาลฎีกา ทำให้ถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง 10 ปี แต่ในฐานะประชาชนยังยืนยันจุดยืนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง คือการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย


นายณัฐวุฒิ กล่าวต่อไปว่า ผมไม่รู้สึกเสียใจที่เลือกเส้นทางสายนี้และมีคดีความมากมาย ติดคุกมาแล้ว 3 ครั้ง และไม่แน่ใจว่าจะมีอีกกี่ครั้ง ความเจ็บปวดผมรับได้ ภาระที่ต้องแบกรับไม่หวั่นไหว และขอย้ำจุดยืนคืออำนาจสูงสุดเป็นของประชาชน ภายใต้หลักการ "คนเราเท่าเทียมกัน"


ส่วนกรณีที่นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประกาศนัดชุมนุมในวันที่ 4 เม.ย. นี้ นายณัฐวุฒิกล่าวว่า ยังไม่ได้พูดคุยแนวทางการเมืองกับนายจตุพร แต่เห็นว่านายจตุพรและหลายคนที่ออกมาเคลื่อนไหวก็มีศักยภาพอยู่แล้ว ขณะเดียวกันในฐานะที่เป็นอดีตแกนนำนปช. ยังไม่มีแนวคิดเคลื่อนไหว นำมวลชนคนเสื้อแดงออกมาชุมนุมใหญ่ หรือชุมนุมร่วมกับกลุ่มอื่น ๆ ในขณะนี้


ในประเด็นการเคลื่อนไหวของกลุ่มนักศึกษา นายณัฐวุฒิกล่าวว่า ตนไม่อยู่ในสถานะที่จะประเมินการต่อสู้ที่เดิมพันด้วยชีวิตและอิสรภาพของคนรุ่นใหม่ได้ เพราะเมื่อแกนนำตัดสินใจที่จะกล้าออกมาต่อสู้ ทุกคนก็ถือว่าอยู่ในสถานะเดียวกันกับตน มีเกียรติและศักดิ์ศรีเท่าเทียมกัน แต่ขอแสดงตัวที่จะยืนเคียงข้างนักศึกษาและประชาชนที่กำลังต่อสู้อยู่ ซึ่งที่ผ่านมาได้พบกับแกนนำที่ถูกคุมขังในเรือนจำ ก็ได้พูดคุยแสดงความห่วงใจและเอาใจช่วย เชื่อว่าการต่อสู้ของคนรุ่นใหม่เป็นพลังบริสุทธิ์ที่ต้องการเห็นประเทศมีการเปลี่ยนแปลง ไม่ได้ถูกล้างสมองหรือชักจูงโดยใคร


นายณัฐวุฒิกล่าวว่า อนาคตของประเทศจะเกิดขึ้นไม่ได้ถ้าอนาคตของชาติยังอยู่ในห้องขัง สิ่งที่เกิดขึ้นที่คนรุ่นใหม่ออกมาต่อสู้เป็นผลพวงและสิ่งที่คนรุ่นเราต้องรับผิดชอบ ถ้าประเทศดี เด็กเหล่านี้ต้องอยู่ในห้องเรียน ไม่ใช่ห้องขัง ดังนั้นต้องเอาเขาออกจากห้องขัง โดยคนที่เกี่ยวข้องจะต้องมานั่งหารือ ทำความเข้าใจ พูดคุยถึงปัญหาที่แท้จริงด้วยบรรยากาศของความปรารถนาดีต่อกันและกัน


ขณะที่ช่วงหนึ่งของการแถลง นายณัฐวุฒิ ได้กล่าวถึงเรื่องราวบทสนทนากับนายพริษฐ์ ชิวารักษ์ หรือ เพนกวิน ที่พบขณะอยู่ในเรือนจำตอนหนึ่งว่า "ผมได้ถามเพนกวินในเรือนจำว่า น้องรู้จักพี่ได้ยังไง เพนกวินบอกว่าเขารู้จักผมตั้งแต่อายุ 11 ขวบ ตั้งแต่ปี 2553 คำตอบของเขาสั้น ๆ แต่ทำให้ผมคิดยาว เพราะปี 2553 ผมได้ร่วมต่อสู้ครั้งใหญ่ เพนกวินอายุ 11 ขวบ เหตุการณ์ครั้งนั้นผ่านมา 10 ปี ถึงปี 2563 เพนกวินเป็นแกนนำต่อสู้ มีคดีความและติดคุกอยู่ในเวลานี้


สิ่งที่ผมคิดยาวคือ ถ้าเรื่องราวยังยุ่งเหยิง ยังหาข้อยุติไม่ได้ อีก 10 ปี ลูกชายผมจะอายุเท่าเพนกวินวันนี้ แล้วก็ไม่แน่ว่าอีก 10 ปี ลูกชายผมต้องมาเจอสภาพแบบนี้ ไม่แน่ว่าคนที่จะต้องวิ่งขึ้นวิ่งลงบันไดศาล พยายามให้ลูกต้องได้รับอิสรภาพอาจจะไม่ใช่แม่เพนกวิน แม่ไมค์ แม่รุ้ง แม่ไผ่ แต่อาจจะเป็นผม พ่อของ ด.ช.นปก ใสยเกื้อ วันนี้ก็ได้


"ผมถึงบอกว่าคนรุ่นเรานี่แหละที่ต้องรับผิดขอบ! ไม่ใช่ให้เด็กโตขึ้นมาแล้วรับผิดชอบความขัดแย้งที่เกิดขึ้นก่อนที่เขาจะโต ก่อนที่เขาจะรู้ความด้วยซ้ำไป ถามหัวใจคนเป็นพ่อเป็นแม่ทุกคนว่าเรายังปล่อยให้เป็นแบบนี้ได้หรือ เราจะเข้าคิวรอการเป็นพ่อแม่ที่ต้องวิ่งประกันตัวลูก ที่ต้องอกสั่นขวัญแขวนเมื่อเห็นลูกต้องเผชิญหน้ากับเจ้าหน้าที่ ผมว่าเรายอมให้เป็นแบบนั้นไม่ได้!


ดังนั้น ไม่มีใครปฏิเสธความเปลี่ยนแปลงได้ เราอยู่ร่วมกับความเปลี่ยนแปลงนี้ได้โดยไม่ต้องทำร้ายกันและกันกับคนหนุ่มคนสาว เมตตาเถอะครับ อย่าอาฆาต พยายามเถอะครับ อย่าพยาบาท และผมเชื่อว่าบ้านเมืองมันมีทางออก ขอส่งความปรารถนาดี ๆ ไปถึงประชาชนคนหนุ่มสาว ไปยังเยาวชนที่ต่อสู้อยู่เวลานี้


จริง ๆ โดยวัยนับกันยาก แต่พวกเขาเรียกผมติดปากว่า "พี่" แม้ว่าจะรู้จักเป็นการส่วนตัวน้อยคนมาก ที่ยังอยู่ข้างนอกไม่เคยรู้จักแม้แต่คนเดียว ที่อยู่ข้างในก็ไปรู้จักกันข้างในแทบจะทั้งหมด แต่อยากจะบอกว่า 

"พี่เต้นยังอยู่ตรงนี้ พี่เต้นเคียงข้างเสมอ เข้าใจและเห็นใจ และไม่คิดว่าจะทอดทิ้งกัน" นายณัฐวุฒิกล่าวในที่สุด


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์

วันจันทร์ที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2564

ศาลมีคำสั่งชัด ปมราชทัณฑ์ ย้าย 3 เเกนนำราษฎรกลางดึก ต้องระมัดระวัง และคุ้มครองสิทธิผู้ต้องขัง

 


ศาลมีคำสั่งชัด ปมราชทัณฑ์ ย้าย 3 เเกนนำราษฎรกลางดึก ต้องระมัดระวัง และคุ้มครองสิทธิผู้ต้องขัง


29 มี.ค. 64 เวลาประมาณ 11.00 น. ศาลอาญาอ่านคำสั่งต่อคำร้องของอานนท์ นำภา ที่ระบุว่า ผู้คุมและเจ้าหน้าที่พยายามจะเอาตัว “ไผ่” จตุภัทร์ บุญภัทรรักษา และ “ไมค์” ภาณุพงศ์ จาดนอก ผู้ต้องขังคดี ม.112 จากการชุมนุม #19กันยาทวงอำนาจคืนราษฎร ออกไปควบคุมนอกแดนถึง 4 ครั้งในช่วงกลางดึกคืนวันที่ 15 มี.ค. 2564 โดยอ้างถึงการตรวจโควิดและกักโรค และเจ้าหน้าที่ส่วนหนึ่งยังไม่ติดป้ายชื่อ ทำให้เขาเกรงว่าจะถูกนำตัวไปทำร้ายถึงชีวิต 


ก่อนมีคำสั่งศาลได้เรียกไต่สวนอานนท์และผู้ที่เกี่ยวข้องรวม 5 ปาก กับทั้งได้เปิดคลิปจากกล้องวงจรปิดบริเวณห้องขัง เมื่อ 17 และ 22 มี.ค.ที่ผ่านมา


คำสั่งศาลโดยสรุประบุว่า เชื่อว่า การอํานวยการปฏิบัติงานของนายแพทย์วีระกิตติ์เป็นการดําเนินการโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อตรวจหาเชื้อโควิด และต้องการแยกตัวภาณุพงศ์, จตุภัทร์ และปิยรัฐ ไปคุมขังในสถานที่อื่น โดยมิได้มีความมุ่งหมายที่จะข่มขู่ คุกคาม หรือทําอันตรายต่อชีวิตหรือร่างกายของอานนท์กับพวก 


อย่างไรก็ตาม อานนท์กับพวกเป็นบุคคลที่ถูกคุมขังในระหว่างการพิจารณาคดี ซึ่งถูกจํากัดเสรีภาพในร่างกายบางประการ เพียงเพื่อป้องกันมิให้ผู้ต้องขังหลบหนี ไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน หรือก่ออันตรายประการอื่นเท่านั้น ผู้ต้องขังยังคงเป็นพลเมืองไทย ย่อมได้ความรับรอง คุ้มครองสิทธิและเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ และคงไว้ซึ่งศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ซึ่งต้องมีช่วงเวลาพักผ่อนที่เหมาะสมเพียงพอ ไม่ถูกล่วงละเมิดเกินสมควร 


เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า อานนท์กับพวกได้รับการคัดกรองโรคเบื้องต้นโดยตรวจวัดอุณหภูมิของร่างกายถึง 3 ครั้ง จนผ่านเกณฑ์แล้ว แม้ภาณุพงศ์, จตุภัทร์ และปิยรัฐ จะถูกย้ายตัวมาจากเรือนจําพิเศษธนบุรีซึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่เสี่ยงต่อการแพร่ระบาดของโควิด แต่เรือนจําก็มีมาตรการคัดกรองโควิดในระดับสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งอานนท์กับพวกถูกคุมขังอยู่ในแดนกักโรคเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโควิดอยู่แล้ว 


จึงยังไม่ปรากฏเหตุจําเป็นเร่งด่วนถึงขนาดต้องแยกตัวอานนท์กับพวกออกจากผู้ต้องขังอื่น หรือเร่งตรวจหาเชื้อโควิดให้แล้วเสร็จภายในคืนนั้น การกระทําของเจ้าพนักงานเรือนจํา แม้จะไม่ถึงขนาดเป็นการล่วงละเมิดต่อกฎหมาย แต่ก็ถือเป็นการกระทําโดยไม่คํานึงถึงสิทธิของผู้ต้องขังอย่างเหมาะสม ซึ่งเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของมนุษยชนที่นานาอารยประเทศให้การรับรองและคุ้มครอง 


ศาลจึงเห็นควรให้เจ้าพนักงานเรือนจําที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องทําหน้าที่โดยใช้ความระมัดระวังเพื่อให้อานนท์กับพวกได้รับการคุ้มครองตามสิทธิที่กฎหมายรับรอง


ขอบคุณข้อมูล/รูป : ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน

ลุ้นอัยการสั่งฟ้องหรือไม่ "สายน้ำ" เยาวชนคนแรกที่ถูกตั้งข้อหา ม.112 กรณีเดินแฟชั่นสีลม (29 ต.ค.63) เจ้าตัวยืนยันสู้ต่อ จนกว่าจะเกิดการเปลี่ยนแปลง

 


ลุ้นอัยการสั่งฟ้องหรือไม่ "สายน้ำ" เยาวชนคนแรกที่ถูกตั้งข้อหา ม.112 กรณีเดินแฟชั่นสีลม (29 ต.ค. 63) เจ้าตัวยืนยันสู้ต่อ จนกว่าจะเกิดการเปลี่ยนแปลง


วันนี้ (29 มี.ค.) เมื่อเวลา 08.30 น. ที่ศาลเยาวชนและครอบครัวกลาง เขตจตุจักร กทม. สายน้ำ (สงวนชื่อสกุล) เยาวชนอายุ 16 ปี เดินทางมารับฟังคำสั่งฟ้อง คดี ม.112 จากกรณีในช่วงที่ม็อบราษฎร จัดงานแฟชั่นโชว์ "รันเวย์ของประชาชน" ที่หน้าวัดแขก สีลม เมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2563 


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สายน้ำให้สัมภาษณ์ คดีนี้มีการผลัดฟ้องมา 2 รอบ ครั้งนี้เป็นครั้งที่ 3 ซึ่งเป็นคดีแรกของตน คดีที่ 2 คือวันที่ไปให้กำลังใจ "เดฟ ชยพล" นักกิจกรรมจากกลุ่มแนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม ที่ไปรายงานตัวที่สถานีตำรวจภูธร (สภ.) คลองหลวง ซึ่งถูกตำรวจจับกุมในคดีมาตรา 112 ส่วนคดีที่ 3 คือ โดนจับในการชุมนุมเมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2564 ที่ด้านหน้ากรมทหารราบที่ 1 


สายน้ำเผยต่อไปว่า ไม่มีความกังวลในคดี แต่รู้สึกรำคาญที่ต้องมาอยู่ในกระบวนการคดีความ เพราะต้องมานัดศาล เกิดความลำบากในการเดินทาง ทำให้เกิดความยุ่งยาก พ่อต้องลางานเพื่อตนเองมาต่อสู้คดี


ในส่วนของด้านการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ สายน้ำมีความเห็นว่า การจับกุมเยาวชน เจ้าหน้าที่ควรทำให้ถูกต้องตามหลักสากล โปร่งใส  รวดเร็ว ไม่ทำร้ายเด็ก เพราะปัจจุบันนี้เด็กถูกเอาเปรียบ เวลาโดนจับไม่ได้ทำตามหลักสิทธิ์ ไม่มีการติดต่อผู้ปกครอง ไม่มีการพบทนาย ซึ่งเป็นการกระทำที่ไม่ถูกต้อง 


ขณะที่ด้านการเรียนของตนเองนั้น สายน้ำเปิดเผยว่าตนเรียนนอกระบบ ไม่ได้กระทบอะไร ตนสอบเทียบวัดความรู้เอา เพื่อนก็ให้กำลังใจและเห็นด้วยกับเรา ยืนยันจะคงเคลื่อนไหวต่อ หยุดไม่ได้ เราโดนแล้ว เราไม่อยากให้มีใครโดนเหมือนเราอีก จนกว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงคดี ยืนยันตนไม่ได้ทำอะไรผิด ถือว่าคดีที่ตนโดนเป็นการใช้กฎหมายกับผู้เห็นต่าง 


ทั้งนี้สายน้ำเดินทางเข้าไปในศาลเพื่อเข้ารับฟังการสั่งฟ้องต่อไป หากมีความคืบหน้าจะรายงานให้ทราบต่อไป


สำหรับสายน้ำนั้น ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนระบุว่า เขาเป็นเยาวชนคนแรกที่ถูกตั้งข้อหาความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #ม112


ขอบคุณรูปภาพ จาก Live : Voice TV

วันอาทิตย์ที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2564

ปฏิบัติการขอคืนพื้นที่ครั้งที่ 2 ของวัน ตำรวจเข้าปิดล้อม ควบคุมตัวประชาชนทวงคืน #หมู่บ้านทะลุฟ้า ที่สะพานชมัยมรุเชฐ

 


ปฏิบัติการขอคืนพื้นที่ครั้งที่ 2 ของวัน ตำรวจเข้าปิดล้อม ควบคุมตัวประชาชนทวงคืน #หมู่บ้านทะลุฟ้า ที่สะพานชมัยมรุเชฐ


วันนี้ (28 มี.ค. 64) หลังจากที่มีมวลชนนัดหมายจัดกิจกรรมทวงคืน #หมู่บ้านทะลุฟ้า ที่บริเวณถนนพระราม 5 เชิงสะพานชมัยมรุเชฐ ตั้งแต่เวลา 15.00 น. สืบเนื่องจากมีการขอคืนพื้นที่ในช่วงประมาณ 06.00 น.


เวลา 18.00 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจควบคุมฝูงชนประกาศให้เวลาผู้ชุมนุม 15 นาที ยุติการชุมนุมและออกนอกพื้นที่  มิเช่นนั้นจะใช้มาตรการทางกฎหมาย โดยเจ้าหน้าที่ตั้งแนวจากหน้าบริเวณสำนักงาน ก.พ.ร. โดยเดินเรียงแถวหน้ากระดานมุ่งหน้าขึ้นมาสะพานชมัยมรุเชษฐ


จากนั้น 18.25 น. ตำรวจเริ่มกระชับแนวและโอบล้อมมวลชนที่นั่งชูสามนิ้วและนอนอยู่บริเวณสะพานชมัยมรุเชฐ เพื่อแสดงอารยะขัดขืน ต่อมาเริ่มควบคุมตัวมวลชนที่บริเวณนั้น ขณะที่พยายามดันสื่อมวลชนไม่ให้เข้าใกล้การปฏิบัติการและไม่ให้ถ่ายรูปขณะเจ้าหน้าที่เข้าจับกุมมวลชนที่นอนขัดขืน


ทั้งนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ประกาศเน้นย้ำว่าให้มวลชนทยอยเดินทางกลับบ้าน และสื่อมวลชนให้ไปรวมอยู่บริเวณเดียวกันแยกออกจากมวลชน จะไม่ถูกจับกุมดำเนินคดี โดยระบุว่าการมาชุมนุมบริเวณนี้ผิดทั้ง พ.ร.ก. ฉุกเฉิน และมาตรการการควบคุมโรคโควิด-19


เบื้องต้นคาดว่ามีการควบคุมตัวผู้ชุมนุมไปแล้วกว่า 20 คน มีนายชินวัตร จันทร์กระจ่าง และนายเลิศศักดิ์ คำคงศักดิ์ รวมอยู่ด้วย 


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์


ประมวลภาพ









วันพฤหัสบดีที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2564

ท่ามกลางกระแสข่าวขอคืนพื้นที่ "หมู่บ้านทะลุฟ้า" ทีมงานยันจะปักหลักจนกว่าจะบรรลุ 4 ขอเรียกร้อง พระสงฆ์ร่วมสวดมนต์เจริญพรให้เจ้าหน้าที่ปฏิบัติด้วยสันติวิธี

 


ท่ามกลางกระแสข่าวขอคืนพื้นที่ "หมู่บ้านทะลุฟ้า" ทีมงานยันจะปักหลักจนกว่าจะบรรลุ 4 ข้อเรียกร้อง พระสงฆ์ร่วมสวดมนต์เจริญพรให้เจ้าหน้าที่ปฏิบัติด้วยสันติวิธี


วันนี้ (25 มี.ค. 64 ) บรรยากาศ #หมู่บ้านทะลุฟ้า ในเวลา 15.15 น. หลังกทม.ประกาศ เรื่องสั่งปิดสถานที่เป็นการชั่วคราวต่อผู้ชุมนุมที่อยู่บริเวณสะพานชมัยมรุเชษฐ์ ถนนพระราม 5  พร้อมทั้งมีเจ้าหน้าที่ตำรวจจากสน.นางเลิ้ง ยืนตรึงกำลังอยู่หน้าทางเข้าหมู่บ้าน  


โดยบริเวณด้านในทางเข้าหมู่บ้าน มีพระสงฆ์จำนวน 4 รูป นั่งสวดมนต์ ซึ่งทางทีมงานบ้านทะลุฟ้ายืนยันว่าจะไม่ยอมสลาย จะยังยืนหยัดปักหลักที่นี่จนกว่าจะบรรลุข้อเรียกร้อง 4 ข้อคือ  

1. ปล่อยเพื่อนเรา 

2. ยกเลิกมาตรา 112 

3. ให้พลเอกประยุทธ์ลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี 

4. เขียนรัฐธรรมนูญใหม่ 


ทั้งนี้ท่ามกลางกระแสข่าวการขอคืนพื้นที่ โดยวันนี้ (25 มี.ค. 64) เป็นวันที่ 13 ของการปักหลักตั้งหมู่บ้าน ผู้จัดงานได้ประชาสัมพันธ์กิจกรรมในคืนนี้ #ปล่อยเพื่อนเรา   #นักสู้ไม่ใช่นักโทษ และเขียน #จดหมายถึงเพื่อน  โดย นัท แนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม, แซม แซมมี่ Time ซัน Demhope, พลอย ภาคีเซฟบางกลอย, เมย์ เฟมินิสต์ปลดแอก


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์


ประมวลภาพ








อัยการเลื่อนนัดสั่งคดีชุมนุมหน้าสถานทูตเยอรมันเป็น 13 พ.ค.

 


อัยการเลื่อนนัดสั่งคดีชุมนุมหน้าสถานทูตเยอรมันเป็น 13 พ.ค.

 

25 มี.ค. 64 ที่สำนักงานอัยการสูงสุด อาคารกรุงเทพใต้ เจริญกรุง 53 อัยการนัดฟังคำสั่งว่าจะส่งฟ้อง/ไม่ฟ้อง 13 ผู้ต้องหาคดี ม.112 จากการชุมนุมและอ่านแถลงการณ์ 3 ภาษาหน้าสถานทูตเยอรมัน เมื่อ 26 ต.ค. 63

 

รายชื่อผู้ต้องหา 13 คน ได้แก่ ภัสราวลี ธนกิจวิบูลย์ผล หรือ มายด์, อรรถพล บัวพัฒน์ หรือ ครูใหญ่, เบนจา อะปัญ, กรกช แสงเย็นพันธุ์ หรือ ปอ, ชนินทร์ วงษ์ศรี, ชลธิศ โชตสวัสดิ์ หรือ เอฟ, วัชรากร ไชยแก้ว หรือ ซัน, อัครพล ตีบไธสง, โจเซฟ (สงวนชื่อนามสกุล), ณวรรษ เลี้ยงวัฒนา, รวิศรา เอกสกุล, สุธินี จ่างพิพัฒน์นวกิจ และ ณัชชิมา อารยะตระกูลลิขิต

 

ก่อนเข้ารับฟังคำสั่งอัยการ มายด์ ภัสราวลี ได้กล่าวว่า “กิจกรรมที่ผ่านมาเมื่อคืนนี้เติมกำลังใจให้เป็นอย่างมากและตนเองจะสู้ต่อ ๆ ไม่ถอย คนครอบครัวตนก็ให้กำลังใจแม้เป็นห่วงแต่ก็เชื่อว่าเราจะอยู่รอดปลอดภัย”

 

มายด์ ภัสราวลี กล่าวต่อไปว่า “ทุกคนที่ทำกิจกรรมหน้าสถานทูตเยอรมัน ส่วนตัวเชื่อว่าทุกคนออกมาด้วยความบริสุทธิ์ใจ การกระทำของทุกคนเป็นความกล้าหาญและคิดแล้วว่าสิ่งที่ทุกคนทำไม่ผิด ซึ่งพวกเรามั่นใจในกิจกรรมของพวกเรามาก”

 

สำหรับเรื่องคดี ม.112 วันนี้หากอัยการสั่งฟ้อง มายด์ ภัสราวลี กล่าวว่า ต้องรอดูว่าศาลจะให้ประกันตัวหรือไม่ ถ้าให้ประกันตัวตนคิดว่าเป็นนิมิตหมายที่ดีในเรื่องที่ประชาชนจะกลับมามองดูกระบวนการยุติธรรมอย่างเคารพและมั่นใจอีกครั้งหนึ่ง แต่ถ้าศาลไม่ให้ประกันตัว หนูก็แค่เปลี่ยนที่สู้ ทุกคนแค่เปลี่ยนที่สู้ แต่ทุกคนยังเหมือนเดิม สุดท้ายเราต้องรอดูต่อไปว่ากระบวนการยุติธรรมไทยจะตัดสินอย่างไร

 

อรรถพล บัวพัฒน์ หรือ ครูใหญ่ ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ต้องหาได้กล่าวว่า ตนได้เตรียมความพร้อมทั้งหน้าที่การงานข้างหลังหากมีคำสั่งฟ้อง ตนหวังให้ท่านตัดสินตามบทบัญญัติและมาตรฐานตามกฎหมาย คงไม่มีใบสั่งหรือการกดดันจากผู้มีอำนาจคนใดมาที่ศาลหรืออัยการ เพราะสิ่งเหล่านั้นจะเป็นการทำลายระบบยุติธรรมของประเทศ

 

ต่อมา เบนจา อะปัญ แนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม เป็นอีกหนึ่งผู้ต้องหาในคดี ม.112 ได้กล่าวว่า “ที่ผ่านมาเราเหมือนถือระเบิดเวลาทุกวันอยู่แล้ว ไม่รู้ว่าวันสุดท้ายจริง ๆ ของเราจะมาถึงเมื่อไหร่ ที่ผ่านมาเราก็ทำทุกอย่างอย่างเต็มที่ ทำเหมือนกับว่ามันเป็นวันสุดท้ายเสมอ ถ้าวันนี้เลื่อนจริง ๆ ก็ถือว่าเราได้ต่อเวลาออกไป แต่ถ้าเกิดว่ามันมีการพลิกล็อคอะไรก็คงต้องตามนั้น แต่ส่วนตัวหนูเองก็เราทำเต็มที่ที่สุดแล้วกับทุก ๆ อย่าง ถ้าผลลัพธ์มันออกมาว่าเราจะไม่ได้รับการประกันหรืออะไร ก็อาจจะต้องให้มวลชนเดินหน้ากันต่อ หนูก็จะสู้ต่อ อาจจะแค่เปลี่ยนสถานที่อย่างที่มายด์บอก หนูไม่เสียใจเลยค่ะถ้าหนูต้องติดคุก”

 

จากนั้นผู้ต้องหาทุกคนเข้ารายงานตัวต่ออัยการ และนายประยุทธ เพชรคุณ รองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด ได้เปิดเผยว่า อัยการเลื่อนนัดสั่งคดีไปเป็นวันที่ 13 พ.ค. 64 เวลา 09.00 น. เนื่องจากอัยการอยู่ระหว่างพิจารณาสำนวน

 

หลังจากรับทราบการเลื่อนนัดคดี ครูใหญ่ อรรถพล ได้กล่าวว่า การเลื่อนนัดสั่งคดีเป็นสัญญาณที่ดี จะได้เคลื่อนไหวต่อ และขอให้กระบวนการยุติธรรมธำรงรักษาไว้ซึ่งความเป็นธรรม เช่นเดียวกับเบนจา กล่าวว่าได้ยื่นร้องขอความเป็นธรรมทำตามกระบวนการตามกฎหมายทุกอย่างเท่าที่ทำได้ รวมถึงการเคลื่อนไหวก็ยังจะออกมาเรียกร้องเหมือนเดิมเพื่อทวงถามความยุติธรรม ไม่ใช่แค่เฉพาะกับพวกเรา แต่เรียกร้องเพื่อเพื่อน ๆ ของเราอีกหลาย ๆ คนด้วย

 

มายด์ ภัสราวลี ระบุว่า เชื่อว่าสถานการณ์การเมืองมีผลต่อคดี และตนไม่กังวลกับการถูกดำเนินคดีเพิ่มหลังจากการปราศรัยเมื่อคืนที่ผ่านมาที่ราชประสงค์ เพราะตนเชื่อมั่นในกิจกรรมที่ทำและสิ่งที่พูด และทางสถานทูตประเทศต่าง ๆ ให้ความสำคัญกับเรื่องสิทธิมนุษยชนเป็นอย่างมากจึงส่งเจ้าหน้าที่เข้ามาสังเกตการณ์และจับตาดูในวันนี้ด้วย

 

#UDDnews #ยูดีดีนิวส์


ประมวลภาพ






วันพุธที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2564

กรมราชทัณฑ์ แถลงการควบคุมดูแลกลุ่มแกนนำราษฎรภายในเรือนจำ แจงการย้ายตัวเพนกวินหรือผู้ถูกควบคุมเป็นความลับ เกรงจะเกิดความวุ่นวาย

 


กรมราชทัณฑ์ แถลงการควบคุมดูแลกลุ่มแกนนำราษฎรภายในเรือนจำ แจงการย้ายตัวเพนกวินหรือผู้ถูกควบคุมเป็นความลับ เกรงจะเกิดความวุ่นวาย

 

24 มี.ค. 64 เวลา 10.30 น. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่กรมราชทัณฑ์ ถ.นนทบุรี 1 อ.เมือง จ.นนทบุรี นายวีรกิตติ์ หาญปริพรรณ์ รองอธิบดีกรมราชทัณฑ์ ฝ่ายปฏิบัติการ แถลงการควบคุมดูแล กลุ่มแกนนำราษฎรภายในเรือนจำ เปิดเผยว่า ปัจจุบันในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล มีการควบคุมผู้ต้องขังและผู้ต้องกักขังที่เป็นที่สนใจของประชาชน ดังนี้

 

1. นายไชยอมร แก้ววิบูลย์พันธุ์ เรือนจำพิเศษธนบุรี

2. นางสาวปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล ทัณฑสถานหญิงกลาง

3. นายภาณุพงศ์ จาดนอก เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร

4. นายปิยรัฐ จงเทพ เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร

5. นายปติวัฒน์ สาหร่ายแย้ม เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร

6. นายจตุภัทร์ บุญภัทรรักษา เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร

7. นายอานนท์ นำภา เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร

8. นายสมยศ พฤกษาเกษมสุข เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร

9. นายพริษฐ์ ชิวารักษ์ สถานกักขังกลางจังหวัดปทุมธานี

10. นายพรหมศร  วีระธรรมจารี เรือนจำอำเภอธัญบุรี

 

ซึ่งขณะนี้ยังอยู่ในห้องแยกกักโรคตามมาตรการป้องกันโควิด-19 ในแต่ละเรือนจำ โดยหากพ้นระยะกักตัวแล้ว จะได้รับการจำแนกเพื่อส่งตัวไปควบคุมตามแดนต่าง ๆ ต่อไป

 


รองอธิบดีกรมราชทัณฑ์ เปิดเผยต่อว่า ที่ผ่านมากรมราชทัณฑ์ประสบปัญหาในการประสานการทำงานให้เป็นแนวทางเดียวกันอยู่บ้าง เนื่องจากหน่วยงานภายใต้สังกัดกรมราชทัณฑ์ ประกอบไปด้วยเรือนจำ/ทัณฑสถาน และสถานกักขัง มีมากถึง 143 แห่งทั่วประเทศ แม้ว่าภายใต้ระเบียบหลักจะมีการเขียนกำกับไว้อย่างชัดเจน แต่อาจจะไม่ได้มีการเขียนระบุในส่วนของรายละเอียด ทำให้ในบางครั้งผู้ปฏิบัติงานจำเป็นต้องใช้ดุลยพินิจของตนเองในการตัดสินใจ ซึ่งอาจจะมีการปฏิบัติที่แตกต่างกันเล็กน้อยภายใต้กรอบข้อบังคับ แต่ก็อาจจะสร้างความไม่พอใจ รวมถึงเป็นประเด็นสงสัยต่อสาธารณชนตามที่เป็นข่าว

 

กรมราชทัณฑ์ จึงได้ดำเนินการจัดทำ Standard Operation Procedures หรือ SOPs เพื่อเป็นระเบียบกลางในการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่กรมราชทัณฑ์ให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน โดยเฉพาะรายละเอียดพื้นฐานที่ต้องเร่งดำเนินการเพื่อลดการใช้ดุลพินิจของผู้ปฏิบัติงานลงให้เป็นมาตรฐานเดียวกันทุกแห่ง และช่วยปรับปรุงระเบียบข้อบังคับที่อาจจะไม่สอดคล้องกับสภาพสังคมให้มีความเหมาะสมมากขึ้น โดยขณะนี้ยังอยู่ในระหว่างการรวบรวมข้อเสนอแนะจากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง รวมถึงการทบทวนเอกสาร และคำสั่งที่เคยประกาศไปแล้วทั้งหมด เพื่อจัดทำร่างและเปิดรับฟังความคิดเห็นจากผู้ปฏิบัติงาน ซึ่งคาดว่าจะดำเนินการจัดทำร่างดังกล่าวได้แล้วเสร็จภายในช่วงกลางเดือนเมษายน 2564 นี้

 

นายวีระกิตติ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า การเปิดเยี่ยมญาติผ่านแอปพลิเคชั่นไลน์ ก็เป็นอีกหนึ่งประเด็นที่ต้องระบุให้ชัดเจน โดยเฉพาะในผู้ต้องขังที่อยู่ในระหว่างกักตัว 14 วัน ที่กรมราชทัณฑ์อนุญาตให้ผู้บริหารเรือนจำและทัณฑสถานใช้ดุลยพินิจเพื่อพิจารณาเปิดเยี่ยมได้ เพียงแต่จะต้องจัดสถานที่สำหรับการเยี่ยมผ่านแอปพลิเคชั่นไลน์เป็นการเฉพาะ ซึ่งกรมราชทัณฑ์ได้มีหนังสือกำชับไปยังผู้บริหารเรือนจำและทัณฑสถานแต่ละแห่ง เมื่อวันที่ 22 มี.ค. 64 ให้มีการทบทวนระเบียบการเยี่ยมอีกครั้ง เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ต้องขังได้มีโอกาสพบปะญาติในระหว่างกักตัว โดยเฉพาะในผู้ต้องขังรับใหม่และผู้ต้องขังคดีการเมืองที่เป็นที่สนใจของประชาชน ซึ่งจะช่วยลดความวิตกกังวลทั้งต่อญาติเอง และลดความเครียดของผู้ต้องขังได้เป็นอย่างดี 

 


ด้านอาการของนายพริษฐ์ ชิวารักษ์ หรือเพนกวิน ที่อยู่ในช่วงอดอาหาร ในวันนี้ (24 มี.ค. 64) ทีมแพทย์และเจ้าหน้าที่พยาบาลได้เข้าตรวจอาการ ซึ่งนายพริษฐ์ ยังคงปฏิเสธการรับประทานอาหารและการตรวจวัดระดับน้ำตาลปลายนิ้ว เนื่องจากวิตกกังวลในเรื่องความปลอดภัย  ผลการตรวจร่างกายอื่น ๆ พบว่า ยังมีระดับความรู้สึกตัวที่ดี มีอาการอ่อนเพลียเล็กน้อยจากการอดอาหาร โดยเจ้าหน้าที่ได้ให้รับประทานอาหารอื่นทดแทน อาทิ ขนมปัง นม น้ำหวาน เกลือแร่ เพื่อป้องกันภาวะระดับน้ำตาลในเลือดต่ำ และยังคงมีผื่นบริเวณหน้าอกและหลังอยู่ ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้จ่ายยารับประทานและยาทา เพื่อรักษาอาการดังกล่าวแล้ว ส่วนสภาพร่างกายทั่วไปยังถือว่าปกติไม่น่าเป็นห่วง โดยทีมแพทย์ได้กำชับเจ้าหน้าที่และผู้ต้องกักขังร่วมห้องให้สังเกตอาการผิดปกติอยู่เป็นระยะเพื่อติดตามอาการอย่างใกล้ชิด

 

นายวีระกิตติ์ กล่าวปิดท้ายว่า ต่อประเด็นข้อสงสัยเกี่ยวกับการย้ายเรือนจำของผู้ต้องขังโดยไม่แจ้งญาตินั้น ขอเรียนว่า การดำเนินการดังกล่าวเป็นไปตามระเบียบปฏิบัติของงานราชทัณฑ์ ที่การย้ายผู้ต้องขังระหว่างเรือนจำจะต้องเป็นความลับจนกว่าการย้ายจะแล้วเสร็จ ทั้งนี้ก็เป็นไปเพื่อความปลอดภัยและป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ในระหว่างการปฏิบัติงาน ส่วนสาเหตุที่ผู้ต้องขังบางรายมีความกังวลใจในความปลอดภัย คาดว่าเป็นเพราะยังอยู่ในช่วงการปรับตัว ทำให้อาจจะมีความกังวลใจ ความเครียด และวิตกกังวล ซึ่งขอยืนยันว่า กรมราชทัณฑ์ มีการดำเนินการและปฏิบัติต่อผู้ต้องขังทุกคนอย่างเท่าเทียม ไม่เฉพาะบุคคลกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง และผู้ต้องขังทุกคนที่ถูกคุมขังภายใต้หน่วยงานของกรมราชทัณฑ์จะได้รับการปฏิบัติตามกฎ และระเบียบอย่างเท่าเทียม ไม่มีการทำร้ายร่างกาย หรือใช้ความรุนแรงจากเจ้าหน้าที่เรือนจำแต่อย่างใด

 

ทั้งนี้กรณีเพนกวินฯได้ย้ายสถานที่คุมขังจากเรือนจำ ไปสถานกักขังปทุมธานี ฐานละเมิดอำนาจศาล

 

จากกรณีเมื่อวันที่ 15 มีนาคม เวลา 10.00 น. ที่ศาลอาญาได้นัดตรวจพยาน หลักฐานคดีชุมนุมที่ท้องสนามหลวงวันที่ 19-20 ก.ย. 63 และอัยการขอให้รวมสำนวนคดี โดยศาลอาญา ออกนั่งบัลลังก์ไต่สวนคดีละเมิดอำนาจศาล ที่ผู้อำนวยการสำนักอำนวยการประจำศาลอาญา หรือ ผอ.ศาลอาญา กล่าวหา นายพริษฐ์ ชิวารักษ์ หรือเพนกวิน จำเลยคดี ม.112 และความผิดฐานชุมนุมโดยฝ่าฝืนกฎหมาย เป็นผู้ถูกกล่าวหาคดีละเมิดอำนาจศาล ตามรายงานว่านายพริษฐ์ปฎิบัติตัวไม่เรียบร้อย โต้ตอบผู้พิพากษาในขณะปฏิบัติหน้าที่ ขออ่านแถลงการณ์ แม้ถูกคัดค้านก็ไม่ยอมฟัง ยังยืนยันอ่านแถลงการณ์โดยลุกขึ้นยืนบนเก้าอี้ จนเกิดเหตุการณ์วุ่นวายมีคนเขวี้ยงขวดนำลงพื้น โดย นายพริษฐ์สารภาพ

 

ศาลพิพากษา จำคุก เพนกวิน พริษฐ์ ชิวารักษ์ 1 เดือน ฐานละเมิดอำนาจศาล (ลดโทษเหลือ 15 วันเนื่องจากรับสารภาพ) โดยขณะนี้ เพนกวินถูกย้ายตัวมากักขังที่สถานกักขังจังหวัดปทุมธานีแล้ว ตั้งแต่เวลาประมาณ 20.00 น. ของคืนวันที่ 23 มี.ค.ที่ผ่านมา

 

#UDDnews #ยูดีดีนิวส์

#เพนกวิน