วันพฤหัสบดีที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2565

คืบหน้าหมายจับ"โรม"คดีป่ารอยต่อฯ ตำรวจแต่งตั้งพนักสอบสวนชุดใหม่สอบคำให้การเพิ่มเติม ด้านโรม ยืนยันพร้อมสู้คดี ไม่คิดหลบหนี ชี้ นี่คือการทำหน้าที่ผู้แทนของประชาชน รอนัดอัยการครั้งต่อไป

 


คืบหน้าหมายจับ"โรม"คดีป่ารอยต่อฯ ตำรวจแต่งตั้งพนักสอบสวนชุดใหม่สอบคำให้การเพิ่มเติม ด้านโรม ยืนยันพร้อมสู้คดี ไม่คิดหลบหนี ชี้ นี่คือการทำหน้าที่ผู้แทนของประชาชน รอนัดอัยการครั้งต่อไป 


วันนี้ (31 มี.ค. 65) ที่สน.บางขุนนนท์ เขตบางกอกน้อย "รังสิมันต์ โรม" ส.ส.บัญชีรายชื่อ และรองเลขาธิการพรรคก้าวไกล (ก.ก.) พร้อมด้วยภรรยาและทีมทนายความ กฤษฎางค์ นุตจรัส, วีรนันท์ ฮวดศรี, กุณฑิกา นุตจรัส ได้เดินทางมาพบพนักงานสอบสวน สน.บางขุนนนท์อีกครั้ง ตามที่นัดหมายไว้เพื่อรับทราบการแจ้งข้อกล่าวหาเพิ่มเติมในคดีที่มูลนิธิป่ารอยต่อฯ ของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ฟ้อง"รังสิมันต์ โรม" จากการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ปี 63


สำหรับการนัดหมายในวันนี้ สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 18 มีนาคมที่ผ่านมา "รังสิมันต์ โรม" ถูก สน.บางขุนนนท์ ออกหมายจับ ซึ่งอนุมัติโดยศาลจังหวัดตลิ่งชัน แต่ปรากฏว่าในวันนั้นอัยการให้ความเห็นว่าสำนวนไม่สมบูรณ์ให้ทางตำรวจมีการสอบสวนและแจ้งข้อหาเพิ่มเติมในวันที่ 31 มีนาคม 


ซึ่งครั้งนั้นรังสิมันต์ได้กล่าวว่า ในเมื่อสำนวนยังไม่สมบูรณ์แล้วเหตุอันใดจึงเร่งรีบในการออกหมายจับ ทั้งที่ตนไม่มีพฤติกรรมหลบหนีแต่อย่างใด


อย่างไรก็ตาม ภายหลังพบพนักงานสอบสวนแล้วเสร็จ เวลา 13.05 น. "รังสิมันต์" ได้ออกมาพบพี่น้องประชาชนที่รอให้กำลังใจตั้งแต่ช่วงเช้า


โดย "รังสิมันต์" ได้แจ้งรายละเอียดความคืบหน้าของคดีระบุว่า ได้มีการเปลี่ยนพนักงานสอบสวนชุดใหม่ และพนักงานสอบสวนได้แจ้งรายละเอียดในคดีพร้อมกับสอบปากคำเพิ่มเติม ซึ่งทางทนายจะส่งคำให้การเป็นลายลักษณ์อักษรให้พนักงานสอบสวนภายในวันที่ 30 เมษายน 2565 และจะมีการนัดหมายตนไปรับทราบนัดอัยการครั้งต่อไป ที่สำนักงานอัยการตลิ่งชัน


สำหรับคดีนี้ในเบื้องต้นตนไม่มีความกังวลแต่อย่างใด เพราะถือว่าเป็นการทำหน้าที่ผู้แทนของประชาชน และพร้อมต่อสู้คดี ส่วนกรณีที่มีการออกหมายจับก่อนหน้านี้ ขอยืนยันว่าเป็นขั้นตอนที่มิชอบตามกฎหมาย เนื่องจากตนไม่เคยมีเจตนาที่จะหลบหนี และพร้อมให้ความร่วมมือกับพนักงานสอบสวน แต่กระบวนการการออกหมายเรียกที่ผ่านมาออกในสมัยประชุมสภาฯ อีกทั้งที่ผ่านมาหากตนติดภารกิจในการปฏิบัติหน้าที่ฝ่ายนิติบัญญัติก็ได้แจ้งเหตุขัดข้องแก่ทางตำรวจอยู่เสมอ รังสิมันต์กล่าว


รังสิมันต์ ได้ทิ้งท้ายว่า ขอขอบคุณพี่น้องประชาชนที่เดินทางมาให้กำลังใจตั้งแต่เช้า นี่คือพลังงานที่เติมเต็มให้ผมและพรรคก้าวไกล ยืนหยัดที่จะทำหน้าที่ผู้แทนประชาชน ท้าชนกับความไม่เป็นธรรมต่อไป


สำหรับบรรยากาศด้านหน้าสน.พี่น้องประชาชนมารอให้กำลังใจตั้งแต่ช่วงเช้า โดยอาเล็ก โชคร่มพฤกษ์ พร้อมด้วยศิลปินเพื่อราษฎรได้มาเล่นดนตรีระหว่างที่รอ"รังสิมันต์"เข้าไปพบพนักงานสอบสวนด้านใน


#คดีป่ารอยต่อ #UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #หมายจับโรม




บรรยากาศคึกคัก! วันแรกการรับสมัครชิงตำแหน่ง “ผู้ว่าฯ กทม.” และส.ก. 50 เขต “ชัชชาติ” มาคนแรก เป็นที่ฮือฮา “สกลธี” จับได้เบอร์ 3


บรรยากาศคึกคัก! วันแรกการรับสมัครชิงตำแหน่ง “ผู้ว่าฯ กทม.” และส.ก. 50 เขต “ชัชชาติ” มาคนแรก เป็นที่ฮือฮา “สกลธี” จับได้เบอร์ 3


วันนี้ (31 มี.ค. 65) ที่อาคารไอราวัตพัฒนา ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร 2 ถนนดินแดง ซึ่งเป็นวันแรกในการรับสมัครชิงตำแหน่ง “ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร” และ “สมาชิกสภากรุงเทพมหานคร” (ส.ก.)  โดยจะมีการเปิดรับสมัครตั้งแต่วันนี้ 31 มี.ค.  – 4 เม.ย. 65 เวลา 08.30 – 16.30 น. ไม่เว้นวันหยุดราชการ และจะมีการเลือกตั้งในวันอาทิตย์ที่ 22 พฤษภาคม 2565 ตั้งแต่เวลา 08.00 – 17.00 น. ซึ่งถือเป็นการเลือกตั้งใหญ่ของกรุงเทพฯ เป็นครั้งแรกในรอบ 9 ปี สำหรับตำแหน่งผู้ว่าฯ กทม. และเกือบ ๆ 12 ปี สำหรับการเลือกตั้ง ส.ก.




เวลา 05.50 น. นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ปั่นจักรยานมายื่นเอกสารสมัครรับเลือกตั้ง ผู้ว่าฯ กทม. โดยเดินทางมาเป็นคนแรก และให้สัมภาษณ์ว่า ปกติคนเป็นคนออกกำลังกาย วันนี้จึงปั่นจักรยานมา ไม่กังวลใจ จากนั้นได้สักการะพระอินทร์ทรงช้างเอราวัณ ที่ลานด้านหน้า ก่อนเข้าด้านในเพื่อจับฉลากหมายเลขเพื่อยื่นใบสมัครต่อไป


โดยหลังจากจับฉลาก นายชัชชาติ พร้อมทีมงานมีกำหนดการลงพื้นที่ หาเสียงในพื้นที่ อนุสาวรีย์ชัยฯ - สีลม  - ปากคลองตลาด ด้วยขบวนรถ EV  ต่อจากนั้นเดินหาเสียงต่อในซอยละลายทรัพย์ สาทร ช่องนนทรี 



เวลา 06.10 น. นายสกลธี ภัททิยกุล อดีตรองผู้ว่าฯ กทม. เดินทางมาถึงและให้สัมภาษณ์ว่า เมื่อคืนนอนแต่หัวค่ำทำใจให้สบาย พร้อมจับหมายเลขประจำตัวผู้สมัคร และถือฤกษ์สะดวกในการเดินทางมาในวันนี้ ปกติหากมีการลงสมัครทางการเมืองจะเดินทางไปไหว้ศาลหลักเมืองและพระแม่ธรณีบีบมวยผม รวมถึงศาลเจ้าพ่อเสือทุกครั้ง ส่วนวันนี้จะพิเศษเพราะจะสักการะพระอินทร์ทรงช้างเอราวัณ เพราะเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร อย่างไรก็ตาม ตนไม่กังวลในเรื่องของตัวผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม. คนใด เพราะเหมือนเป็นการแข่งขันกับตัวเอง นำเสนอนโยบายให้กับประชาชนชาวกรุงเทพฯ


ถามว่าหมายเลข 6 คือเลขในใจ เพราะมีการชูนโยบาย 6 ด้าน ใช่หรือไม่ นายสกลธีกล่าวว่า เลขนี้ตนชอบอยู่แล้ว ถ้าได้ก็จะสามารถนำมาต่อยอดกับนโยบายได้ และเป็นเรื่องดี สำหรับนโยบายนั้นมาจากประสบการณ์ที่ตนเคยเป็นรองผู้ว่าฯ กทม. มาแล้ว ซึ่งหลายอย่างที่ได้ทำจะนำมาต่อยอด และในสิ่งที่ยังไม่ได้ทำในช่วงที่เป็นรองผู้ว่าฯ เนื่องจากไม่ได้ดูแลกำกับอยู่ก็จะนำมาใส่เป็นนโยบายในการหาเสียงครั้งนี้ ซึ่งหลายอย่างมาจากการร้องเรียนของประชาชน

 

นายสกลธี ย้ำตอนท้ายว่ากรุงเทพฯดีอยู่แล้ว เพียงแต่ต้องมีการจัดการที่ดีขึ้นและดีกว่านี้ ซึ่งภายหลังจับได้เบอร์เลือกตั้ง มีกำหนดเคลื่อนขบวนรถแห่สู่ศาลหลักเมือง กทม. (สนามหลวง) เพื่อสักการะบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ณ ศาลหลักเมือง ศาลเจ้าพ่อเสือ (ถนนตะนาว) พระบรมราชานุเสาวรีย์ รัชกาลที่ 1 (สะพานพุทธฯ) ต่อไป



เวลา 07.00 น. พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง เดินทางมาถึงพร้อมด้วย ร.ต.อ.พงศกร ขวัญเมือง บุตรชาย ซึ่งเป็นหนึ่งในทีมงาน "คนลุยเมือง" โดย พล.ต.อ.อัศวิน ได้กล่าวก่อนเข้าไปสมัครรับการเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม.ว่า มีความพร้อมสำหรับเลือกตั้งครั้งนี้ รวมถึงมีความพร้อมในการสานต่องานเก่าที่ได้ทำไว้แล้วแต่ยังไม่จบและอยากทำสิ่งที่เหลือให้ก้าวหน้าต่อไป อยากให้ประชาชนมีความสุข มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น นี่คือเหตุผลที่มาลงสมัครแข่งขันครั้งนี้

 

พล.ต.อ.อัศวิน กล่าวอีกว่า เราทำงานมาแล้ว ผลงานเป็นที่ประจักษ์ว่าเราทำอะไรไปบ้าง และอยากทำต่อให้จบ ส่วนพรรคการเมืองหรือใครที่สนับสนุนตนก็ยินดีและขอบคุณทุกคน  ตนไม่มีพรรค มีแต่พวก  นโยบายหลักของเราคือ คนกรุงเทพฯต้องปลอดภัย สงบสุข และต้องมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น สำหรับประเด็นคำถามที่มองว่า 5 ปีที่ผ่านมา ทำไมไม่ทำ พล.ต.อ.อัศวิน กล่าวว่า 5 ปีที่ผ่านมา แล้วตนทำมาตลอด ขอถามกลับแล้วคนที่เป็นผู้ว่าฯ กทม. ก่อนหน้านี้หลายสิบปีทำไมไม่ทำ มีแต่นโยบายสวยหรู อย่างไรก็ตามตนไม่กังวลที่เคยเป็นผู้ว่าฯกทม.ที่มาจากการแต่งตั้งแล้วมาสู่เวทีการแข่งขัน  ซึ่งมีความมั่นใจและอยากมาสู้ในระบบการเลือกตั้งเพื่อเข้าไปสานต่องานเดิมเพื่อประชาชน



ในเวลา 07.15 น. ดร.เอ้ สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ ผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม. สังกัดพรรคประชาธิปัตย์ พร้อมด้วย ผู้สมัครทีม ส.ก. ของพรรค เดินทางมาสมัครรับเลือกตั้งเป็นผู้ว่าฯ กทม. โดยระบุว่า วันนี้ไม่มีความกังวล แต่สารภาพว่าตื่นเต้นมาก ตื่นเต้นสุด ๆ และคิดว่าวันนี้จะเป็นวันที่มีความสุข ได้ก้าวออกมาจาก comfort zone ได้ทำงานที่รอคอยมา 30 ปี

 

ทั้งนี้ได้มีคนสำคัญของพรรคประชาธิปัตย์มาให้กำลังใจด้วย เช่น  ปริญญ์ พานิชภักดิ์ ผู้อำนวยการการเลือกตั้ง กทม. และ ส.ก. พรรคประชาธิปัตย์ พร้อมด้วย ดรุณวรรณ ชาญพิพัฒนชัย  รองผู้อำนวยการศูนย์ ฝ่ายการสื่อสาร และรองโฆษกพรรค วิชัย สังข์ประไพ รองผู้อำนวยการศูนย์ ฝ่ายมวลชนสัมพันธ์ ณัฏฐ์ บรรทัดฐาน รองผู้อำนวยการศูนย์ ฝ่ายปฏิบัติการณ์เลือกตั้ง และ ธนวัฒน์ ปัญญาสกุลวงศ์ รองผู้อำนวยการศูนย์ ฝ่ายอำนวยการเลือกตั้ง


“หากให้โอกาส ผมจะทำหน้าที่ให้ดีที่สุด ไม่ให้เสียความตั้งใจของตัวเอง ผมจะไม่ให้ทำให้ท่านผิดหวัง” ดร.เอ้ กล่าว


ส่วนตัวอยากได้เบอร์ 1 เพราะสื่อถึงการเป็นอันดับ 1 และทำให้คนจำง่าย อีกทั้งยังไม่รู้สึกหนักใจกับการเลือกตั้งครั้งนี้ ว่าพรรคประชาธิปัตย์จะถูกตัดคะแนนเสียง เพราะเชื่อว่าคนกรุงเทพฯ มีวิธีเลือกผู้ว่าของเขาอยู่แล้ว สำหรับนโยบายแรกที่อยากจะทำหลังได้รับตำแหน่ง คือการติดตั้งสัญญาณอินเตอร์เน็ตฟรีทั่วกรุงเทพฯ


ด้าน นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ผู้สมัครฯ สังกัดพรรคก้าวไกล กล่าวว่า วันนี้ตนเดินทางมาพร้อมกับผู้สมัคร ส.ก. ทั้ง 50 เขต และหากในวันนี้ ตนจะได้เบอร์อะไรนั้นก็คงเป็นเรื่องของดวง ถ้าคนรักเบอร์ไหนเขาก็เลือก พร้อมฝากบอกคนกรุงเทพฯ สำหรับการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. ที่จะมาถึงว่า "ได้เวลาที่เราจะคืนเมืองที่คนเท่ากัน ให้กับพวกเราทุกคน 22 พฤษภา ออกไปกาให้คนเท่ากัน" รวมทั้งยังกล่าวเพิ่มอีกว่า ถ้าตนได้เป็นผู้ว่าฯ กทม. ตนก็ทราบว่ามีหลายอย่างที่คนกรุงเทพฯ ต้องการ อย่างรถไฟฟ้าสายสีเขียวก็ต้องดึงสัญญามาเปิดเผย ว่าสัญญาที่ลึกลับนี้คืออะไร จะได้แก้ปัญหาได้ หรือปัญหาโรงขยะที่อ่อนนุช เขตประเวศ ลาดกระบัง สวนหลวง ที่สร้างปัญหาให้กับคนกรุงเทพฯ เป็นแสน ๆ คน โดยที่ประชาชนก็สงสัยว่าบริษัทที่รับเหมาเป็นเครือข่ายของ คสช.หรือเป็นกรรมการนายทหารระดับสูง ก็ต้องไปตรวจสอบดูที่สัญญาผู้รับเหมา


นายวิโรจน์ ยังกล่าวอีกว่า ณ วันนี้เรายังแก้ไขปัญหากรุงเทพไม่ได้หรอก หากต้องเว้นวรรคให้กับอภิสิทธิ์ชน เกรงใจคนนั้นคนนี้ แล้วก็ยอมให้เอาภาษีของเราไปปรนเปรอให้กับนายทุนผู้รับเหมา และด้วยเงื่อนไขที่มันไม่เป็นธรรมเช่นนี้ จะบริหารให้คนกรุงเทพฯได้รับความเป็นธรรมได้อย่างไร มันก็ต้องคืนความเป็นธรรมให้คนกรุงเทพด้วย


ด้าน น.ส.รสนา โตสิตระกูล อดีต ส.ว. กทม. กล่าวว่าตนมาในนามอิสระ ซึ่งตนอิสระจากกลุ่มทุนและนักการเมือง แต่ไม่อิสระจากประชาชน วันนี้ตนเองมีความมั่นใจในการสู้ศึกเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. เชื่อว่าหากหยุดโกง กรุงเทพฯก็จะมีความเปลี่ยนแปลง


สำหรับกรณีที่สังคมมองว่าเป็นม้านอกสายตานั้น น.ส.รสนา กล่าวว่า มาจากการที่พวกคุณสร้างกระแสกันได้ เพราะคุณมีกระสุน ดิฉันไม่มีกระสุน เพราะดิฉันไม่มีกลุ่มทุน หรือพรรคการเมืองหนุน ดังนั้นอยากฝากเตือนไปยังผู้สมัครรายอื่น ถึงการที่ กกต. ให้ใช้เงิน 49 ล้านบาทในการหาเสียง ขณะที่เงินเดือนของผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร 4 ปีเพียงแค่ 10 ล้านบาท มันมีความสมเหตุสมผลหรือไม่?


ส่วนโยบาย ตนขอนำเสนอเรื่องบำนาญประชาชน 3,000 บาทลดราคาตั๋วให้เหลือ 20 บาทตลอดสาย และอยู่ให้ได้กับโรคโควิด 19 ด้วยฟ้าทะลายโจรและยาไทย เพื่อให้ประชาชนสามารถทำมาหากินได้อย่างมั่นใจ หากได้รับเลือกครั้งนี้ ยืนยันไม่ทำโปรเจคใหญ่ เช่น อุโมงค์น้ำราคาหลายหมื่นบาท แต่จะสนับสนุนขุดลอกคูคลองทั้ง 1,600 สาย ทั้งกทม. เพิ่มการจ้างงานเพื่อให้ประชาชนมีรายได้ เกิดการท่องเที่ยวแบบตะวันออก ตั้งกองทุนติดโซล่าเซลล์บนหลังคาเพื่อลดค่าใช้จ่ายต่อเดือนของประชาชนเดือนละ 500 บาทเพิ่มการติดกล้อง CCTV ที่ใช้ได้จริงร่วมกับเอกชนทั้งหลายกว่า 5 แสนตัวเพื่อให้มีความปลอดภัย


เวลา 09.00 ผู้สื่อข่าวรายงาน ผลการจับสลากเบอร์ประจำตัวผู้สมัครรับการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม มีดังนี้  

เบอร์ 1 นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร 

เบอร์ 2 พันโทหญิง ฐิฏา รังสิตพล มานิตกุล 

เบอร์ 3 นายสกลธี ภัททิยกุล 

เบอร์ 4 นายสุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ 

เบอร์ 5 นายวีรชัย เหล่าเรืองวัฒนะ 

เบอร์ 6 พล.ต.อ. อัศวิน ขวัญเมือง 

เบอร์ 7 นางสาวรสนา โตสิตระกูล 

เบอร์ 8นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ 

เบอร์ 9 นางสาววัชรี วรรณศรี 

เบอร์ 10 นายศุภชัย ตันติคมน์ 

เบอร์ 11 น.ต. ศิธา ทิวารี 

เบอร์ 12 นายประยูร ครองยศ 

เบอร์ 13 นายพิศาล กิตติเยาวมาลย์ 

เบอร์ 14 นายธเนตร วงษา


#เลือกตั้งผู้ว่ากทม

#UDDnews #ยูดีดีนิวส์
















“หญิงหน่อย” นำทีมพา “ผู้พันปุ่น” สมัครผู้ว่าฯ กทม. บอกไม่หวังเบอร์ เพราะมีเวลาทำความเข้าใจกับประชาชน

 


หญิงหน่อย” นำทีมพา “ผู้พันปุ่น” สมัครผู้ว่าฯ กทม. บอกไม่หวังเบอร์ เพราะมีเวลาทำความเข้าใจกับประชาชน


วันนี้ (31 มี.ค. 65) ที่ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร 2 คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานพรรคไทยสร้างไทย นำ น.ต.ศิธา ทิวารี ผู้สมัคร ผู้ว่าฯ กทม. สังกัดพรรคไทยสร้างไทย และผู้สมัครสมาชิกสภากรุงเทพมหานคร (ส.ก.) 50 เขต


โดย น.ต.ศิธา เปิดเผยว่า วันนี้บรรยากาศคึกคักมาก ตนเดินทางมาพร้อมผู้สมัครส.ก.ของพรรค โดยถือฤกษ์สะดวก เพื่อเป็นการไม่สร้างภาระให้เจ้าหน้าที่กทม. ส่วนตัวนั้นไม่คาดหวังจะได้เบอร์อะไร เพราะมีเวลาทำความเข้าใจกับประชาชน หากได้เป็นผู้ว่าฯ สิ่งแรกที่ตนจะทำคือทำสิ่งที่ผู้ว่ากทม.คนก่อนไม่เคยทำ


น.ต.ศิธา กล่าวต่อว่า เรื่องเร่งด่วนและทำได้ทันทีคือ ทดสอบระบบระบายน้ำ กทม.ใช้งบบำบัดและระบายน้ำไปแสนกว่าล้าน แต่เงินที่จ่ายไปกับระบบที่ได้ไม่สอดคล้องกัน ถ้ามีระบบบริหารจัดการที่ดีจะระบายน้ำได้มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น 50% รวมถึงการแก้ปัญหาจราจรจะประสานงานกับผู้เกี่ยวข้อง เชื่อว่าประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นไม่ต่ำกว่า 50% เช่นกัน


"ผมจะทำในสิ่งที่ผู้ว่าฯ กทม.ไม่เคยทำ โดยการให้ประชาชนมีส่วนร่วมกับการบริหาร โดยการเลื่อน-ลด-ปลด-ย้ายข้าราชการ และให้มีส่วนร่วมกับการกำหนนดงบประมาณ จะไม่มีการใช้งบกับสิ่งไม่จำเป็นอีกต่อไป และที่บอกว่าเตรียมผ่าตัดใหญ่กรุงเทพฯ ผมมองว่าอาจยังไม่หายต้องใช้ยาแรง ผมมองปัญหาเหมือนภูเขาน้ำแข็ง ผู้ว่าฯ กทม.ที่ผ่านมานโยบายที่ประกาศ เป็นการทุบภูเขาน้ำแข็งจากด้านบนแค่ 10% ข้างล่างอีก 90% เป็นสิ่งที่เราจะทำลายด้วย"


ในเวลาต่อมาผลการจับฉลากเบอร์ที่ใช้ในการหาเสียง ปรากฎว่า น.ต.ศิธา ทิวารี ได้หมายเลข 11


#เลือกตั้งผู้ว่ากทม #ไทยสร้างไทย

#UDDnews #ยูดีดีนิวส์




เพื่อไทยส่งทีมผู้สมัคร ส.ก. ชิงสนามเลือกตั้ง กทม. 50 เขต ยอมรับนโยบายตรงกับ "ชัชชาติ" 60%

 


เพื่อไทยส่งทีมผู้สมัคร ส.ก. ชิงสนามเลือกตั้ง กทม. 50 เขต ยอมรับนโยบายตรงกับ "ชัชชาติ" 60%


หลังจากเปิดตัวว่าที่ผู้สมัครสมาชิกสภากรุงเทพมหานคร (ส.ก.) ของพรรคไปเมื่อวันที่  24 มี.ค. ที่ผ่านมา โดยใช้สโลแกน “เลือกเพื่อไทย เลือกอนาคตที่มั่งคั่งให้คนกรุงเทพฯ” ภายใต้การนำของ แพทองธาร ชินวัตร ประธานที่ปรึกษาด้านการมีส่วนร่วมและนวัตกรรม และหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย และ นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทย


วันนี้ (31 มี.ค. 65) ที่ศาลาว่าการกรุงเทพฯ 2 ได้เปิดให้มีการรับสมัครระหว่างวันพฤหัสบดีที่ 31 มีนาคม ถึง วันจันทร์ที่ 4 เมษายน 2565 ตั้งแต่เวลา 08.30 – 16.30 น. ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นสมควรให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นและผู้บริหารท้องถิ่นของกรุงเทพมหานคร โดยกำหนดวันเลือกตั้งในวันอาทิตย์ที่ 22 พ.ค. 2565


ทีมผู้สมัคร ส.ก. ของพรรคเพื่อไทยทั้ง 50 เขต ได้เดินทางมาสมัครรับเลือกตั้ง โดยมี ชัยเกษม นิติสิริ ประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์และทิศทางการเมือง และ พวงเพ็ชร ชุนละเอียด ผู้อำนวยการการเลือกตั้ง ส.ก.พรรคเพื่อไทย เป็นผู้นำทีมในครั้งนี้


พวงเพ็ชร เปิดเผยว่า พรรคเพื่อไทยส่งผู้สมัคร ส.ก. ครบทั้ง 50 เขต และมีนโยบายที่ชัดเจน ซึ่งหลังการเลือกตั้งก็เป็นเลือกที่ตั้งรอดูต่อไปว่า ผู้ว่าฯ กทม. ที่มาจากการเลือกตั้งจะมีนโยบายที่ตรงกันหรือไม่ หากตรงกันก็พร้อมที่จะผลักดัน พร้อมยอมรับว่า แนวนโยบายของพรรคเพื่อไทยและชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้สมัครผู้ว่า กทม. ในนามอิสระนั้นมีความใกล้เคียงกัน 50-60 เปอร์เซ็นต์


พวงเพ็ชร กล่าวต่อว่า ผู้สมัครของพรรคทุกคนเป็นคนขยัน ติดดิน และทำงานในพื้นที่อย่างต่อเนื่อง ศึกษาปัญหาในพื้นที่มาตลอด โดยคาดว่าผู้สมัครจะสอบผ่าน ได้รับเลือกตั้งมากที่สุด และคิดว่าไม่ใช่เรื่องเสียเปรียบที่พรรคเพื่อไทยไม่ได้ส่งผู้สมัครผู้ว่า กทม. โดยตรง เพราะผู้สมัคร ส.ก. ทุกเขตต่างเป็นคนที่ทำงานในพื้นที่จริง และมีความสามารถที่จะทำงานในสภาด้วย


เมื่อถามต่อว่า หากผู้ว่าฯ กทม. ที่ได้รับการเลือกตั้งไม่ใช่คนที่มีแนวโนยายตรงกันกับทีม ส.ก. ของพรรค จะสามารถร่วมงานกันได้หรือไม่ พวงเพ็ชร ระบุว่า สามารถทำงานได้กับทุกคน และเชื่อว่าจะสามารถผลักดันแนวแนวโยบายของพรรคให้ผู้ว่าร่วมขับเคลื่อนได้


สำหรับแนวนโยบายหลักของพรรคเพื่อไทย มีดังนี้


1) 30 บาท ถึงที่หมาย : ผลักดันให้กระทรวงคมนาคมบริหารจัดการรถไฟ รถไฟฟ้า รถไฟลอยฟ้า หน่วยงานเดียว เพื่อการบริหารค่าโดยสารที่เชื่อมต่อกันเป็นโครงข่าย เสียค่าแรกเข้าเพียงครั้งเดียว ผู้โดยสารจะเข้ามาใช้งานมากขึ้น ทำให้ค่าตั๋วโดยสารถูกลงด้วย


2) 50 เขต 50 โรงพยาบาล : ยกระดับศูนย์บริการสาธารณสุขที่มีอยู่แล้วเขตละ 1 แห่ง หรือสร้างโรงพยาบาลชุมชนขนาด 120 เตียง ที่สามารถดูแลประชาชนเบื้องต้นแบบครบวงจร โดยให้ กทม. รับงบประมาณกองทุนประกันสุขภาพจำนวน 15,000 ล้านบาท มาบริหารจัดการเอง


3) 437 สถานศึกษา พัฒนาสร้างรายได้ : เปิดพื้นที่โรงเรียนในสังกัด กทม. 437 แห่ง ให้กลายเป็นพื้นที่สำหรับทุกคน ให้เป็นพื้นที่ของงาน เงิน และอนาคต ทั้งการศึกษาในระบบ โดยเพิ่มการเรียนภาษาที่ 2 อังกฤษและจีน เพิ่มทักษะคอมพิวเตอร์และโปรแกรมมิ่ง เพื่อให้เด็กและเยาวชน มีทักษะความรู้ในโลกสมัยใหม่ รวมทั้งการศึกษานอกระบบ ต้องทำให้โรงเรียนเป็นศูนย์การเรียนรู้ตลอดชีวิต (Maker space) โดย กทม.มีหน้าที่สนับสนุนงบประมาณ จัดจ้างครู อุปกรณ์ เช่น การทำอาหาร ตัดเย็บเสื้อผ้า โรงถ่ายหนัง มาสร้างสรรค์งานร่วมกัน จนเกิดเป็นสตาร์ทอัพ


4) กองทุนพัฒนาชุมชน 200,000 บาท : ทุกชุมชนใน กทม.ไม่เกิน 6,000 แห่ง ชุมชนแออัด หมู่บ้าน และคอนโด ต้องได้รับงบประมาณ 200,000 บาทต่อปี ให้ แต่ละชุมชนนำเสนองบประมาณเพื่อพัฒนาพื้นที่ผ่านเขตของตนเองได้ โดยจะมีคณะกรรมการที่ได้รับการเลือกตั้งภายในชุมชน มีผลงานชัดเจนจากการบริหารกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองมาแล้ว มาร่วมตัดสินใจใช้งบประมาณแบบมีส่วนร่วม


5) 50 เขต 50 ซอฟต์เพาเวอร์ : คนชุมชนหรือย่านนั้น จัดงานแสดงศิลปะ วัฒนธรรม อาหาร แฟชัน ดนตรี โดยคนในท้องถิ่นที่จะสามารถออกแบบอีเวนต์เพื่อดึงดูดเศรษฐกิจ สร้างงาน สร้างเงินด้วยตนเอง กรุงเทพฯ จะไม่หลับใหล เปิดตลอด 24 ชั่วโมง 7 วัน เป็นซอฟต์เพาเวอร์ที่ทรงพลัง สร้างงาน สร้างเงินให้กับประเทศ


#เลือกตั้งผู้ว่ากทม65 #เพื่อไทย 

#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ 









วันพุธที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2565

"ก้าวไกล" ยัน เดินหน้าผลักดันร่างพ.ร.บ.สุราก้าวหน้า-สมรสเท่าเทียมต่อ หลัง ถูกครม.ตีตก ชี้ รัฐจงใจไม่รับร่างกฏหมายที่เสนอโดยตัวแทนของประชาชน แนะ หากร่างถูกส่งกลับสภา ขอ ส.ส.ทุกพรรค โหวตรับหลักการ

 


"ก้าวไกล" ยัน เดินหน้าผลักดันร่างพ.ร.บ.สุราก้าวหน้า-สมรสเท่าเทียมต่อ หลัง ถูกครม.ตีตก ชี้ รัฐจงใจไม่รับร่างกฏหมายที่เสนอโดยตัวแทนของประชาชน แนะ หากร่างถูกส่งกลับสภา ขอ ส.ส.ทุกพรรค โหวตรับหลักการ


วันนี้ (30 มี.ค. 65) เมื่อเวลา 12.05 น. ที่รัฐสภาพรรค"ก้าวไกล" แถลงจุดยืน หลัง ครม.ปัดตกทั้ง ร่าง พ.ร.บ.สุราก้าวหน้า และ สมรสเท่าเทียม ย้ำ รัฐบาลจงใจทำลายความชอบของรัฐสภา มีความพยายามคว่ำร่างกฎหมายที่เสนอโดย ส.ส เเละประชาชนหลายฉบับ ชวน ประชาชนส่งสารถึง ส.ส.ร่วมโหวตรับหลักการ ยืนยัน เปิดสมัยประชุมสภาพร้อมสู้ต่อ

.

ณัฐวุฒิ บัวประทุม, ศิริกัญญา ตันสกุล รองหัวหน้าพรรคก้าวไกล พร้อมด้วย ธัญวัจน์ กมลวงศ์วัฒน์ ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ในฐานะผู้ริเริ่มเสนอร่างแก้ไขพระราชบัญญัติประมวลกฎหมายแพ่งเเละพาณิชย์ ป.พ.พ.1448 หรือร่างพ.ร.บ.สมรสเท่าเทียม เเถลงข่าวต่อสื่อมวลชนที่อาคารรัฐสภา หลังจากคณะรัฐมนตรีมีมติไม่เห็นด้วยกับการเสนอ ร่างพระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต ( ฉบับที่ ) พ.ศ…. หรือร่าง พ.ร.บ.สุราก้าวหน้า เเละไม่เห็นด้วยกับร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งเเละพาณิชย์ ป.พ.พ.1448 หรือร่างพ.ร.บ.สมรสเท่าเทียม

.

ณัฐวุฒิ กล่าวว่า กรณีนี้ที่เกิดขึ้นพรรคก้าวไกลมีความเห็นใน 3 ประเด็นสำคัญ ประเด็นเเรก รัฐบาลจงใจทำลายความน่าเชื่อถือของสภาผู้แทนราษฎร ที่มีหน้าที่ตรวจสอบถ่วงดุลอำนาจของรัฐในทุกระบบ อาทิ กรณีห้ามหรือไม่ให้พูดถึงการอภิปรายไม่ไว้วางใจในที่ผ่านมา ทั้งในการตั้งข้อหาเเละดำเนินคดีต่อผู้เเทนราษฎรของพรรคก้าวไกลที่อภิปรายในหลายประเด็นที่เกี่ยวข้องกับรัฐบาล เป็นการทำลายความชอบธรรมในฐานะนักนิติบัญญัติ ผู้พิจารณากฎหมายให้ไม่สามารถดำเนินการได้ 

.

ประเด็นที่สอง ขอสะท้อนกลับไปในประเด็นที่ นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมเเละความมั่นคงของมนุษย์ มีท่าทีต่อ ร่าง พ.ร.บ.ภาษีสรรพสามิต ที่เสนอโดย เท่าพิภพ ลิ้มจิตรกร ส.ส.พรรคก้าวไกล โดย นายจุติ กล่าวว่า เป็นเกมการเมือง ขอชี้เเจงตรงนี้ว่า พรรคก้าวไกลทำนโยบายตามที่เราหาเสียงไว้ เเต่ตรงกันข้ามพบว่าหลายเรื่องที่พรรครัฐบาลเคยหาเสียงไว้ ทั้งพรรคพลังประชารัฐเเละประชาธิปัตย์ กลับไม่ได้ดำเนินการตามที่ตัวเองหาเสียงไว้ เรื่องนี้คือไม่ใช่เรื่องการเมือง ถึงจะเป็นเรื่องการเมือง ก็เป็นการเมืองที่เราต้องการทลายทุนผูกขาด เป็นหนึ่งในนโยบายที่เราหาเสียงไว้ตั้งเเต่สมัยอดีตพรรคอนาคตใหม่ 

.

ประเด็นที่สาม รัฐบาลมีความพยายามอุ้มกฎหมายที่เสนอโดยส.ส. และประชาชนหลายรูปแบบด้วยกัน พรรคก้าวไกลยกร่างกฎหมายทั้ง 2 ฉบับ ตั้งเเต่สมัยอดีตพรรคอนาคตใหม่ เเต่ใช้เวลากว่า 3 ปี กว่าที่กฎหมายดังกล่าวจะได้บรรจุเข้าสู่ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร

.

"พรรคก้าวไกลมีจุดยืนว่า เเม้ว่าคณะรัฐมนตรีจะไม่เห็นด้วยกับร่างกฎหมายทั้ง 2 ฉบับ เเต่เรายืนยันว่า เมื่อร่างกฏหมายดังกล่าวตีกลับเข้าสู่สภา พรรคก้าวไกลยืนยันจะรับหลักการ เเละขอให้สมาชิกสมาผู้เเทนราษฎรทุกคนที่ร่วมลงมติ ร่วมอภิปราย ขอให้มาร่วมรับหลักการอีกครั้ง เพื่อการปลดล็อกทั้งในเรื่องสุราก้าวหน้า เเละสมรสเท่าเทียม เรายืนยันว่าเราพร้อมเคียงข้างประชาชน

.

"เรามาไกลเกินกว่าจะเเพ้ เราพร้อมสู้เพื่อชัยชนะที่ประชาชนให้ฉันทามติกับพวกเราในฐานะผู้แทนของประชาชน” ณัฐวุฒิ กล่าว 

.

ด้าน ธัญวัจน์ กล่าวว่า นักการเมืองหากมีประวัติว่าเคยไม่รับร่างกฎหมายสมรสเท่าเทียมจะเป็นเรื่องที่น่าละอายมาก เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องที่เข้าใจง่าย เป็นสิทธิมนุยชนขั้นพื้นฐานของครอบครัว เเละ 60 วันที่ร่างกฎหมายฉบับนี้ได้ถูกอุ้มไปให้คณะรัฐมนตรีพิจารณา ตนได้มีโอกาสหารือกับทุกภาคส่วนในขั้นตอนของคณะกรรมการกฤษฎีกา ซึ่งในการหารือทุกฝ่ายต่างก็เห็นด้วย 

.

“คณะรัฐมนตรีฟังตรงนี้ อำนาจอยู่ในมือของท่าน ท่านสามารถรับร่างกฎหมายทั้ง 2 ฉบับได้ เพราะสมรสเท่าเทียมไม่เท่ากับ พ.ร.บ.คู่ชีวิต พรรคก้าวไกลยืนยันว่าจะผลักดันร่างกฎหมายสมรสเท่าเทียมต่อไป ขอขอบคุณประชาชนที่ส่งกำลังใจมาในข้อความทุกช่องทาง เเน่นอนว่าเราเสียใจเราผิดหวัง เเต่เราในฐานะผู้แทนราษฎรเราจะต้องต่อสู้ผลักดันต่อไป" ธัญวัจน์ กล่าว 

.

ขณะที่ ศิริกัญญา ระบุทิ้งท้ายว่า ขอให้ประชาชนอย่าหมดหวัง พรรคก้าวไกลจะผลักดันร่างกฎหมายทั้ง 2 ฉบับต่อไป โดยกระบวนการของกฎหมาย ร่างทั้งสองฉบับยังไม่เสร็จสิ้นกระบวนการทางรัฐสภา หากประชาชนเห็นด้วยกับ ร่างพ.ร.บ.ภาษีสรรพสามิตและร่างพ.ร.บ.สมรสเท่าเทียม ขอให้ส่งเสียง ส่งข้อความ ส่งเอกสารไปที่ ส.ส.เขตของตน เพื่อให้เป็นตัวแทนของประชาชนในสภารับหลักการร่างกฎหมายทั้งสองฉบับอีกครั้งหนึ่ง เพื่อให้ร่างที่ถูกอุ้มโดยคณะรัฐมนตรีกลับมาได้รับการโหวตอีกครั้งในสภา


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #สมรสเท่าเทียม #สุราก้าวหน้า




ตำรวจนอกเครื่องแบบ 2 นาย ถามหา "สยาม ธีรวุฒิ" ถึงบ้าน แม้ถูกบังคับสูญหายเกือบ 3 ปีแล้ว แม่สยาม ชี้ เจ้าหน้าที่รัฐควรทำหน้าที่ในการตามหาบุคคลที่หายตัวไป มิใช่มาถามหาคนหายจากครอบครัว

 


ตำรวจนอกเครื่องแบบ 2 นาย ถามหา "สยาม ธีรวุฒิ" ถึงบ้าน แม้ถูกบังคับสูญหายเกือบ 3 ปีแล้ว แม่สยาม ชี้ เจ้าหน้าที่รัฐควรทำหน้าที่ในการตามหาบุคคลที่หายตัวไป มิใช่มาถามหาคนหายจากครอบครัว 


วันนี้ (30 มี.ค. 65) ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน รายงานผ่านทวิตเตอร์ ระบุว่า 29 มี.ค. 65 ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนได้รับแจ้งจากกัญญา ธีรวุฒิ มารดาของ “สยาม ธีรวุฒิ” นักกิจกรรมทางการเมืองที่ถูกบังคับสูญหายไปเป็นระยะเวลาเกือบ 3 ปี แล้ว ว่าได้มีเจ้าหน้าที่ตำรวจนอกเครื่องแบบเข้าคุกคามถึงบ้าน เพื่อถามหาตัวสยาม 


แม่ของสยามเล่าถึงเหตุการณ์ว่า เมื่อวันที่ 29 มี.ค. 2565 เวลาประมาณ 11.20 น. ได้มีเจ้าหน้าที่นอกเครื่องแบบจำนวน 2 นาย ระบุว่ามาจาก สภ.กระทุ่มแบน แต่ไม่ได้แจ้งชื่อ-สกุลให้ทราบ ได้เดินทางมาที่บ้านของตน และเข้าสอบถามกับเธอว่าที่นี่คือบ้านของ “สยาม ธีรวุฒิ” หรือไม่ โดยแม่ก็ได้ตอบกลับในทันทีว่ามีธุระอะไรกับลูกของเธอที่หายตัวไปหรือไม่ เจ้าหน้าที่ทั้งสองก็นิ่งเงียบและไม่ได้ตอบกลับอะไรเธอ ก่อนที่จะถามว่าอดีตนักกิจกรรมรายนี้อยู่บ้านหรือไม่ และสยามหายตัวไปตั้งแต่เมื่อไหร่ ก่อนจะขอถ่ายรูปแม่ไว้ และเดินทางกลับไป 


แม่ของสยามระบุว่า การมาติดตามของตำรวจในครั้งนี้ เป็นไปได้ว่าเหตุเนื่องจากใกล้วันครบรอบ 3 ปี ที่สยามกับเพื่อนผู้ลี้ภัยทางการเมืองอีกสองคนถูกบังคับสูญหายไปที่ประเทศเวียดนาม เมื่อวันที่ 8 พ.ค. 2562 อีกทั้งในช่วงวันเกิดของสยามในช่วงวันที่ 31 ตุลาคม ตลอด 2 ปีที่ผ่านมา ก็พบว่ามักมีเจ้าหน้าที่มาสอดส่องที่บ้านอยู่ตลอดด้วย


อย่างไรก็ตาม เธอได้ตั้งคำถามถึงเจ้าหน้าที่รัฐ ที่ควรทำหน้าที่ในการตามหาบุคคลที่หายตัวไป มิใช่มาถามหาคนหายจากครอบครัว การกระทำเช่นนี้สร้างความเจ็บปวดเหมือนกัน ที่ถึงตอนนี้เกือบสามปีแล้ว ก็ยังไม่รู้ว่าลูกชายของเธออยู่ที่ไหน และเธอได้เรียกร้องให้เจ้าหน้าที่รัฐในฐานะที่เป็นเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน ช่วยเห็นใจเธอบ้าง และแสดงความจริงใจในการออกตามหาลูกชายของเธอเสียที


ทั้งนี้เมื่อวันที่ 8 พ.ค. 2562 “ไอซ์” สยาม ธีรวุฒิ พร้อมนักเคลื่อนไหวอีก 2 ราย คือ “ลุงสนามหลวง” หรือ ชูชีพ ชีวะสุทธิ์ และ “สหายยังบลัด” หรือ กฤษณะ ทัพไทย ซึ่งเป็นผู้ลี้ภัยทางการเมืองหลังการรัฐประหาร 2557 ได้ถูกจับกุมที่ประเทศเวียดนาม และมีรายงานว่าได้ถูกส่งตัวกลับมายังประเทศไทย แต่แล้วกลับไม่มีใครสามารถติดต่อหรือทราบชะตากรรมของทั้งสามคนอีกเลยนับจากนั้น 


มารดาของสยามได้พยายามติดตามหาลูกชายและร้องเรียนกับหน่วยงานต่างๆ แต่จวนครบสามปีแล้ว ยังไม่มีความคืบหน้าใด ๆ


ข้อมูล : ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #สยามธีรวุฒิ

ศาลอาญา “ยกฟ้อง” 2 เสื้อแดง ใน 3 สำนวน คดีวางระเบิดปี 53 ระบุโจทก์ไม่มีพยานเห็นจำเลยในที่เกิดเหตุ

 


ศาลอาญา “ยกฟ้อง” 2 เสื้อแดง ใน 3 สำนวน คดีวางระเบิดปี 53 ระบุโจทก์ไม่มีพยานเห็นจำเลยในที่เกิดเหตุ

 

วันนี้ (30 มี.ค. 65) ที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ศาลชั้นต้นมีการอ่านคำพิพากษา คดีหมายเลขดำที่ อ2613/2564, คดีหมายเลขดำที่ อ2614/2564 คดีหมายเลขดำที่ อ2615/2564 ที่พนักงานอัยการเป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง นายเสกสรร วรปีติเจริญกุล จำเลยที่ 1 และนายกิตติศักดิ์ สุ่มศรี จำเลยที่ 2 ในคดีวางระเบิดแสวงเครื่อง 3 แห่งในปี 2553

 

คำฟ้องระบุพฤติการณ์สรุปว่า เมื่อวันที่ 25 ก.ค. 53 จำเลยทั้งสองร่วมกันมีระเบิดแสวงเครื่อง 1 ลูกโดยระเบิดประกอบเป็นระบบไฟฟ้าโดยใช้นาฬิกาปลุกแบบคอร์ทเป็นตัวจุดระเบิดกับลูกระเบิดขว้างชนิดสังหาร นำไปวางไว้ที่บริเวณที่ทิ้งขยะใกล้กับป้ายรถเมล์หน้าห้างสรรพสินค้าบิ๊กซี ราชดำริ มีผู้เสียชีวิต 1 คน และบาดเจ็บหลายคน

 

ส่วนอีกสองสำนวนระบุว่า เมื่อวันที่ 3 เม.ย. 53 เป็นเหตุระเบิดเเสวงเครื่องบริเวณทางเท้าหน้าบ้านเลขที่ 260-262 ถนนหลานหลวง เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย กรุงเทพ และวันเดียวกัน บริเวณหน้าองค์การโทรศัพท์ฯ ถนนกรุงเกษมแขวงวัดโสมนัสเขตป้อมปราบศัตรูพ่าย กรุงเทพฯ

 

นายวิญญัติ ชาติมนตรี ทนายความได้โพสต์รายละเอียดว่า ในส่วน 3 คดีในวันนี้ ที่ห้องพิจารณาคดี 802 ศาลได้อ่านคำพิพากษา คดีทั้ง 3 สำนวน โดยศาลมีคำสั่งรวมสำนวนทั้งสามเรื่องเข้าด้วยกัน เพื่อความสะดวกในการพิจารณาคดี ซึ่งศาลมีคำพิพากษา “ยกฟ้อง” ทั้ง 3 สำนวน เนื่องจากโจทก์ไม่มีพยานปากใดเห็นจำเลยทั้งสองอยู่ในที่เกิดเหตุทั้ง 3 แห่ง โจทก์ไม่ได้นำสืบให้เห็นว่าลักษณะการต่อวงจรระเบิดที่ตรวจพบในรถฮอนด้าซีวิคมีวงจรเหมือนกับระเบิดทั้งสามคดีนี้

 

สำหรับจำเลยที่ 2 นายกิตติศักดิ์ สุ่มศรี นั้น เคยถูกฟ้องในคดีชายชุดดำ ซึ่งศาลฎีกามีคำพิพากษายกฟ้อง ในฐานความผิดร่วมกันครอบครองอาวุธสงคราม เหตุเกิดวันที่ 10 เมษายน 2553 ไปแล้ว แต่ไม่ได้รับการปล่อยตัวจากเรือนจำ เนื่องจากต่อมานายกิตติศักดิ์ ถูกอัยการนำตัวฟ้องว่าเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ระเบิดทั้งสามแห่งตามคดีนี้ และเขาก็ยังเป็นคนเดียวที่ถูกดำเนินคดีมากที่สุด ล่าสุด นายกิตติศักดิ์ ถูกฟ้องในคดีพยายามฆ่าเจ้าพนักงาน (ทหาร ศอฉ.) ที่แยกคอกวัว ว่าใช้อาวุธปืนสงครามก่อเหตุพยายามฆ่าเจ้าพนักงาน เมื่อวันที่ 10 เมษายน 2553 ซ้ำอีกคดีหนึ่ง (เป็นคดีที่ 6)

 

ดังนั้น นายกิตติศักดิ์ จะยังไม่ได้รับการปล่อยตัวในวันนี้ เพราะยังเหลือเพียงอีก 1 คดี ที่ฟ้องมาล่าสุด ซึ่งทนายจำเลยจะหาทางรวบรวมหลักทรัพยประกันตัวต่อไป ทั้งนี้ นายกิตติศักดิ์ ถูกคุมขังอย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2557

 

#นปช #คนเสื้อแดง

#UDDnews #ยูดีดีนิวส์

 

ขอบคุณภาพ : ข่าวสดออนไลน์

“ณัฐวุฒิ” ขอศาลใช้ดุลยพินิจช่วยประคับประคองสังคม เหตุยกคำร้อง “เดียร์ รวิสรา” ให้โอกาสเด็กเรียนต่อเยอรมนีหลังได้ทุน!


“ณัฐวุฒิ” ขอศาลใช้ดุลยพินิจช่วยประคับประคองสังคม เหตุยกคำร้อง “เดียร์ รวิสรา” ให้โอกาสเด็กเรียนต่อเยอรมนีหลังได้ทุน!


วันนี้ (30 มี.ค. 65) นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ได้โพสต์แสดงความคิดเห็น กรณี “เดียร์” รวิสรา เอกสกุล จำเลยคดี ม.112 จากการอ่านแถลงการณ์ภาษาเยอรมันในการชุมนุมหน้าสถานทูตเยอรมันฯ เมื่อ 26 มี.ค. 63 ได้ยื่นคำร้องถึง 6 ครั้ง กรณีขอเดินทางออกนอกราชอาณาจักร เพื่อไปศึกษา ณ ประเทศเยอรมัน และล่าสุด ศาลอาญากรุงเทพใต้ มีคำสั่งยกคำร้อง โดย “ณัฐวุฒิ” ได้โพสต์ข้อความว่า


ผมไม่รู้จัก รวิสรา เอกสกุล “เดียร์” จำเลยจากการอ่านแถลงการณ์หน้าสถานฑูตเยอรมันเป็นการส่วนตัว กิจกรรมที่เธอไปทำเป็นช่วงผมอยู่ในเรือนจำ ทราบแต่ข่าวจากเพื่อนมิตรที่ไปเยี่ยม


มาอ่านเรื่องของเธอที่พยายามยื่นคำร้องต่อศาล ขอเดินทางไปศึกษาต่อเพราะได้ทุนที่เยอรมัน แต่ละครั้งศาลมีเงื่อนไขขอเอกสารหลักฐาน หนังสือรับรองต่างๆ “เดียร์” กับครอบครัวและผู้เกี่ยวข้องเพียรหามายื่น จนล่าสุดเป็นครั้งที่ 6 ศาลยังคงไม่อนุญาต ระบุเหตุผลว่าคุณสมบัติผู้กำกับดูแลไม่เป็นไปตามระเบียบศาล


ไม่ทราบว่าศาลมีเหตุอื่นในการพิจารณาหรือไม่ แต่ส่วนตัวผมไม่มีเจตนาอื่น เพียงสงสารเด็กที่โอกาสซึ่งยากจะได้รับกำลังจะหลุดลอยไป ถึงจะไม่ทราบรายละเอียดหลักสูตรหรือหลักการของทุนนี้ แต่นึกภาพแม่ดีใจตอนผมได้ไปแข่งโต้คารมมัธยมศึกษา แล้วน้ำตาคลอเมื่อรู้ว่าชนะโรงเรียนดัง ๆ ในกรุงเทพฯ กลับมา ผมว่าหัวอกคนเป็นพ่อแม่ของ “เดียร์” กับโอกาสของลูกคงไม่ต่างกัน


แม้การพิจารณาจะเป็นอำนาจศาล แต่ในสถานการณ์แหลมคมของยุคสมัย การใช้ดุลยพินิจของศาลจะมีส่วนช่วยประคับประคองสังคมได้


ตัวอย่างการกำหนดเงื่อนไขของแกนนำนักศึกษาหลายคน ทั้งติดกำไล ระบุเวลาห้ามออกจากบ้าน ฯลฯ คือเรื่องใหม่ที่คนเคยคุกเคยศาลอย่างผมไม่เคยเห็น แม้อยากให้น้อง ๆ ได้อิสรภาพเต็มใบ แต่ยอมรับว่าเป็นนวัตกรรมของกระบวนการยุติธรรม ลดแรงเสียดทานระหว่างเรี่ยวแรงแห่งอดีตกับพลังแห่งอนาคตอย่างน่าสนใจ


กรณีของ “เดียร์” ถ้ามีแนวพิจารณาที่รักษาโอกาสเรียนต่อของเด็ก เช่น กำหนดพื้นที่กำหนดเวลาการใช้ชีวิต รายงานตัวออนไลน์ หรืออื่น ๆ เชื่อว่าทุกฝ่ายน่าจะยอมรับได้ ผู้พิพากษาลูกชาวบ้านหลานชาวนาก็มีมาก คำว่าโอกาสมีคุณค่าสำหรับชีวิตอย่างไรท่านย่อมทราบ


มิพักต้องกล่าวเรื่องคนรุ่นเราจะส่งต่ออนาคตให้เด็กรุ่นนี้อย่างไร เพียงรักษาปัจจุบันที่งดงามให้พวกเขาได้บ้าง ทำได้ก็ควรทำนะครับ


ที่มา : fb. นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ


#มาตรา112 #UDDnews #ยูดีดีนิวส์

ศาลยกคำร้อง “เดียร์ รวิสรา” ครั้งที่ 6 ชี้คุณสมบัติผู้กำกับดูแลไม่เป็นไปตามระเบียบศาล ขณะมหาวิทยาลัยที่เยอรมันจะเปิดสอน 4 เม.ย. นี้แล้ว

 




ศาลยกคำร้อง “เดียร์ รวิสรา” ครั้งที่ 6 ชี้คุณสมบัติผู้กำกับดูแลไม่เป็นไปตามระเบียบศาล ขณะมหาวิทยาลัยที่เยอรมันจะเปิดสอน 4 เม.ย. นี้แล้ว


วานนี้ (29 มี.ค. 65) กรณี "เดียร์" รวิสรา เอกสกุล จำเลยคดี ม.112 จากการอ่านแถลงการณ์ภาษาเยอรมันในการชุมนุมหน้าสถานทูตเยอรมันฯ เมื่อ 26 มี.ค. 63 ยื่นคำร้องเป็นครั้งที่ 6 กรณีขอเดินทางออกนอกราชอาณาจักร เพื่อไปศึกษา ณ ประเทศเยอรมัน โดยศูนย์ทนายเพื่อสิทธิมนุษยชน รายงานผ่านทางทวิตเตอร์ ความว่า


11.30 น. ที่ศาลอาญากรุงเทพใต้ ศาลดำเนินการไต่สวนคำร้องขอเดินทางออกนอกราชอาณาจักรของ #รวิสรา เสร็จสิ้นแล้ว โดยศาลทำการไต่สวนพยาน 3 ปาก ได้แก่ วริศรา, นายประกัน และพ่อของรวิสรา


ในเวลาต่อมา ศูนย์ทนายฯ ได้รายงานว่า ศาลยกคำร้องของ #รวิสรา เรื่องขอเดินทางออกนอกราชอาณาจักร โดยระบุว่า จำเลยไม่มีผู้กำกับดูแลที่เหมาะสมตามคุณสมบัติของระเบียบคณะกรรมการบริหารศาลยุติธรรม ที่จะกำกับดูแลและป้องกันการหลบหนีของจำเลย ที่จะเดินทางไปพักอาศัย-เรียนต่อประเทศเยอรมนี ศาลจึงยกคำร้อง


ทั้งนี้ ผู้ลงนามคำสั่งคือ นายสันติ ชูกิจทรัพย์ไพศาล รองอธิบดีศาลอาญากรุงเทพใต้


ศูนย์ทนายฯ รายงานเพิ่มเติมว่า มหาวิทยาลัยที่เยอรมันที่ “เดียร์ รวิสรา” ได้ทุนการศึกษานั้น จะเปิดเรียนในวันที่ 4 เมษายน 2565 หรือในอีก 6 วันนี้แล้ว


สำหรับการยื่นคำร้องของ “เดียร์ รวิสรา” มีเป็นลำดับดังนี้

 

ครั้งที่ 1 เมื่อ 7 ก.พ. 65 และครั้งที่ 2 เมื่อ 2 มี.ค. 65 ศาลมีคำสั่งยกคำร้อง โดยอ้างว่า “ยังไม่ผ่านการคัดเลือกว่าจะได้รับทุนหรือไม่” ประกอบกับศาลมองว่า เงื่อนไขที่จำเลยเสนอว่าหากได้รับอนุญาต ยินดีจะไปรายงานตัวและแสดงที่อยู่ต่อสถานทูตหรือสถานกงสุลไทยที่ประเทศเยอรมันทุกๆ 30 วัน โดยขอให้อาจารย์จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยซึ่งเป็นนายประกัน และบิดาของจำเลยเป็นผู้กำกับดูแลตามเงื่อนไขดังกล่าว “เป็นการยากที่จะกำกับดูแล

 

ครั้งที่ 3 เมื่อ 10 มี.ค. 65 เจ้าหน้าที่แจ้งว่า ศาลต้องการให้ยื่นเอกสารรับรองจากมหาวิทยาลัยที่ได้ทุนว่ารวิสราได้รับทุนจริง และในการตั้งผู้กำกับดูแลต้องมีคำรับรองให้ความยินยอมจากผู้นั้นมาด้วย โดยที่ศาลไม่มีอำนาจตั้งเอกอัครราชทูตให้เป็นผู้กำกับดูแลจำเลยเองได้ รวิสาจึงขอคืนคำร้อง เพื่อเตรียมจัดหาเอกสารดังกล่าวมายื่นเพิ่มเติมใหม่ต่อไป

 

ครั้งที่ 4 เมื่อ 15 มี.ค. 65 รวิสราได้ยื่นคำร้องโดยยืนยันว่า ได้รับทุนดังกล่าวจริง พร้อมส่งเอกสารเพิ่มเติมแก่ศาล ซึ่งประกอบด้วย

·   หนังสือรับรองจากมหาวิทยาลัยวิทยาศาสตร์ประยุกต์ออสนาบรึค (University of Applied Science Osnabrück) สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี ลงวันที่ 11 มี.ค. 2565 ฉบับภาษาเยอรมันและฉบับแปลเป็นภาษาไทย

·   จดหมายมอบทุนและเอกสารการมอบทุน

·   จดหมายจากตัวแทนผู้มอบทุนประจำประเทศไทย ซึ่งแจ้งรายละเอียดการมอบทุนและกำหนดการแผนการศึกษา ฉบับลงวันที่ 22 ก.พ. 2565 และจดหมายของเอกอัครราชทูตเยอรมนีประจำกรุงเทพมหานคร ถึงจำเลย ฉบับลงวันที่ 18 ก.พ. 2565

 

และศาลอาญากรุงเทพใต้ ได้มีคำสั่งให้รวิสรานำหนังสือของมหาวิทยาลัยที่อนุญาตให้พักหรือหยุดการศึกษาไว้ชั่วคราวเพื่อเดินทางกลับมาร่วมการพิจารณาคดีและฟังคำพิพากษามายื่นต่อศาลก่อน แล้วศาลจึงจะพิจารณาคำร้องขอเดินทางออกนอกราชอาณาจักรต่อไป

 

ครั้งที่ 5 เมื่อวันที่ 21 มี.ค. 65 ศาลเห็นว่าเอกสารของมหาวิทยาลัยที่ “เดียร์ รวิสรา” ได้รับทุนการศึกษานั้น ไม่ปรากฏว่าได้ผ่านการรับรองจากสถานทูตเยอรมันประจำประเทศไทย จึงเห็นควรให้ไปดำเนินการในส่วนนี้ให้เรียบร้อยก่อน และให้เสนอชื่อผู้กำกับดูแลซึ่งมีภูมิลำเนาอยู่ในประเทศไทยและมีภูมิลำเนาอยู่ประเทศเยอรมัน เช่น อาจารย์ ญาติใกล้ชิด มาให้ศาลพิจารณาเพิ่มเติมก่อน แล้วจึงพิจารณาสั่งคำร้องขอเดินทางออกนอกราชอาณาจักรต่อไป


และล่าสุดยื่นคำร้องครั้งที่ 6 วานนี้ (29 มี.ค.) ศาลก็ยกคำร้อง โดยระบุว่า จำเลยไม่มีผู้กำกับดูแลที่เหมาะสมตามคุณสมบัติของระเบียบคณะกรรมการบริหารศาลยุติธรรม


#มาตรา112

#UDDnews #ยูดีดีนิวส์

คืบหน้า! รัสเซีย-ยูเครนเจรจาที่ตุรกี

 





คืบหน้า! รัสเซีย-ยูเครน เจรจาที่ตุรกี


เมื่อวานนี้ (29 มีนาคม 2565) ผู้แทนรัสเซียและยูเครนได้พบปะเพื่อเจรจากันที่พระราชวังดอลมาบาเช กรุงอิสตันบูล ประเทศตุรกีโดยมีประธานาธิบดีรีเซพ ตอยยิบ เออร์โดวันเป็นผู้อำนวยความสะดวกในการเจรจาโดยมีประเด็นในการเจรจาดังต่อไปนี้


- ในเรื่องที่รัสเซียขอให้ยูเครนมีสถานะเป็นกลางทางทหารได้แก่การไม่เข้าร่วมภาคีทางทหารใดๆ ไม่ครอบครองอาวุธปรมาณูและไม่ให้ชาติอื่นตั้งฐานทัพในยูเครน ยูเครนจะเอาเรื่องสถานะดังกล่าวไปทำประชามติก่อนจะแก้รัฐธรรมนูญให้สอดคล้องกับสถานะเป็นกลางทางการทหาร และยูเครนขอให้มีประเทศต่างๆที่เกี่ยวข้องเช่นสหรัฐอเมริกา อังกฤษ ฝรั่งเศส รัสเซีย โปแลนด์ เยอรมนี อิสราเอลและตุรกีร่วมรับประกันความปลอดภัยและความเป็นกลางทางการทหาร โดยรัสเซียไม่แสดงท่าทีคัดค้านหากยูเครนจะเข้าร่วมสหภาพยุโรป


- เรื่องสถานะของแคว้นไครเมียยูเครนจะขอใช้เวลาเจรจากับรัสเซียภายใน 15 ปีข้างหน้า


-เรื่องสถานะของแคว้นดอเนียสก์และลูกังสก์ให้ประธานาธิบดีของทั้งสองประเทศเป็นผู้เจรจากันโดยตรง


โดยทางฝ่ายรัสเซียแถลงว่าจะลดกำลังทหารในพื้นที่เมืองเคียฟและเชอร์นิฮีฟเพื่อเพิ่มความเชื่อใจระหว่างกันในช่วงการเจรจา และทั้งฝ่ายยูเครนและรัสเซียแจ้งว่าหากมีความคืบหน้ามากกว่านี้การเจรจาโดยตรงระหว่างประธานาธิบดีโวโลดิมีร์ เซเลนสกีแห่งยูเครน และประธานาธิบดีวลาดิมิร์ ปูตินแห่งรัสเซียในอนาคต


สลักธรรม โตจิราการ

30 มีนาคม 2565


#สงครามรัสเซียยูเครน

#รัสเซีย #ยูเครน

#UDDnews #ยูดีดีนิวส์

วันอังคารที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2565

เลื่อนสืบพยานโจทก์ คดีปักหมุดคณะราษฎรที่ท้องสนามหลวง #19กันยาทวงอำนาจคืนราษฎร ไปวันที่ 24 พ.ค. นี้

 


เลื่อนสืบพยานโจทก์ คดีปักหมุดคณะราษฎรที่ท้องสนามหลวง #19กันยาทวงอำนาจคืนราษฎร ไปวันที่ 24 พ.ค. นี้


วันนี้ (29 มี.ค. 65) กรณีศาลนัดสืบพยานคดีปักหมุดคณะราษฎรที่ท้องสนามหลวง ในการชุมนุม #19กันยาทวงอำนาจคืนราษฎร ซึ่งจัดโดยแนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม เมื่อวันที่ 19-20 กันยายน 2563 โดยมี อานนท์ นำภา, พริษฐ์ ชิวารักษ์ หรือ เพนกวิน, ภาณุพงศ์​ จาดนอก หรือ ไมค์ ระยอง, จตุภัทร์ บุญภัทรรักษา หรือ ไผ่ดาวดิน และพวก รวม 22 ราย เป็นผู้ถูกกล่าวหานั้น ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน ได้รายงานผ่านทางทวิตเตอร์ ความว่า


ศาลอาญา รัชดาฯ เลื่อนนัดสืบพยานในคดี #19กันยาทวงอำนาจคืนราษฎร เนื่องจากทนายจำเลยแถลงว่า มีพยานเอกสาร ซึ่งเป็นเอกสารสำคัญที่ฝ่ายจำเลยต้องการ ซึ่งศาลเคยให้ฝ่ายจำเลยไปเตรียมเอกสารมาแล้ว แต่ไม่ได้เอกสาร ทนายจำเลยจึงยื่นคำร้องขอหมายเรียกพยานเอกสารดังกล่าวในวันนี้


ศาลได้นำคำร้องไปปรึกษาผู้บริหารศาลแล้วเห็นว่า เอกสารดังกล่าวไม่เกี่ยวกับคดี จึงไม่ออกหมายเรียกพยานดังกล่าวให้


ทนายจำเลยแถลงว่า เอกสารดังกล่าวมีความสำคัญต่อการซักค้านพยานโจทก์ ศาลจึงอนุญาตเลื่อนสืบพยานโจทก์ไปวันที่ 24 พ.ค.65 เวลา 9.00 น.


สำหรับการเลื่อนการพิจารณาคดี #19กันยาทวงคืนอำนาจราษฎร  ในวันนี้ มีสถานทูตเดนมาร์กและเบลเยี่ยม รวมถึงเจ้าหน้าที่จาก Trial Watch มาเข้าร่วมสังเกตการณ์ด้วย


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์