วันศุกร์ที่ 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2567

‘ชัยธวัช’ ขีดเส้น 1 เดือน ให้รัฐบาลส่งร่างแก้กม.ประชามติต่อสภาฯ ชี้หากรัฐบาลสื่อสารเรื่องนี้ไม่ชัด อาจถูกครหายื้อเวลา

 


ชัยธวัช’ ขีดเส้น 1 เดือน ให้รัฐบาลส่งร่างแก้กม.ประชามติต่อสภาฯ ชี้หากรัฐบาลสื่อสารเรื่องนี้ไม่ชัด อาจถูกครหายื้อเวลา

 

วันที่ 3 พฤษภาคม 2567 ที่รัฐสภา นายชัยธวัช ตุลาธน สส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคก้าวไกล ฐานะผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร กล่าวเรียกร้องให้รัฐบาล เร่งส่งร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ประชามติ (แก้ไขเพิ่มเติม) ต่อสภาผู้แทนราษฎร หลังจากที่มีมติชัดเจนว่าจะแก้ไขกฎหมายดังกล่าวให้แล้วเสร็จก่อนเริ่มทำประชามติถามประชาชนต่อการแก้ไขรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2560 ซึ่งตนมองว่าควรเร่งทำให้เร็วที่สุด ภายในเวลา 1 เดือน และในช่วงเดือนมิ.ย. ที่สภาฯ จะเปิดประชุมสมัยวิสามัญ ควรเริ่มพิจารณาได้ เพราะขณะนี้มีร่างแก้ไขที่บรรจุในวาระแล้ว คือ ฉบับของพรรคก้าวไกล และของพรรคเพื่อไทย ดังนั้นควรร่วมมือกันทำ ให้พ.ร.บ.ประชามติฉบับแก้ไขประกาศใช้เร็วที่สุด

 

นายชัยธวัช กล่าวด้วยว่าระหว่างที่รอแก้ไข พ.ร.บ.ประชามติ ตนมองว่ารัฐบาลมีเวลาที่จะทบทวนคำถามประชามติ ซึ่งฝ่ายค้านได้ท้วงติงไปแล้วว่า คำถามที่รัฐบาลเห็นชอบกับข้อเสนอของคณะกรรมการศึกษาแนวทางการทำประชามติแก้รัฐธรรมนูญนั้นเป็นคำถามที่มีปัญหาและไม่ดีในเชิงหลักการของการตั้งคำถามประชามติ โดยการตั้งคำถามที่ดีต้องไม่ซับซ้อน หรือเป็นคำถามซ้อนคำถาม และคำถามที่ดีที่สุด คือ ประชาชนเห็นด้วยหรือไม่จัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่

 

ควรเอาความเห็นต่างในรายละเอียดออกไป ขณะที่ความเห็นต่างนั้น รัฐบาลสามารถใส่ไว้ในร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญที่เตรียมเสนอต่อรัฐสภาได้ หากประชามติผ่านแล้ว ดังนั้นในชั้นประชามติไม่จำเป็นต้องใส่รายละเอียดที่คนเห็นต่างกัน หากอยากให้ประชามติผ่าน หรือเป็นเอกภาพที่สุด” นายชัยธวัช กล่าว

 

เมื่อถามว่ามองอย่างไรกับการทำประชามติแก้รัฐธรรมนูญของรัฐบาลที่ไม่ชัดเจน นายชัยธวัช กล่าวว่า เป็นปัญหาของรัฐบาลที่สื่อสารไม่ชัดเจน เพราะในวันที่ ครม. มีมติต่อการทำประชามติ เมื่อ 23 เม.ย. ในเอกสารที่เผยแพร่ในเว็ปไซต์ของรัฐบาลไม่ชัดเจนว่ามีมติอย่างไร จนล่าสุดมีมติว่าต้องแก้พ.ร.บ.ประชามติก่อนทำประชามติครั้งที่หนึ่ง ดังนั้นการทำประชามติรอบแรกในเดือนส.ค. จะไม่เกิดขึ้น เพราะต้องรอแก้ พ.ร.บ.ประชามติก่อน

 

เมื่อถามว่ากรณีดังกล่าวถือว่าจงใจยื้อเวลาหรือไม่ นายชัยธวัช กล่าวย้ำว่า ตนมองว่ารัฐบาลต้องสื่อสารตรงไปตรงมาและชัดเจนกับประชาชน ไม่เช่นนั้นจะถูกมองว่ายื้อเวลา กลับไปกลับมา

 

#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #ก้าวไกล #ประชามติ #รัฐธรรมนูญ

“เพื่อไทย” เปิดตัว 9 ว่าที่ผู้สมัครนายกอบจ.สู้ศึกเลือกตั้ง เน้นคนในพื้นที่ ทำงานเพื่อ ปชช. พร้อมเปิดตัวเพลง “เพื่อไทย ไว้ใจ ได้ใจ” โดยคณะหมอลำ “รัตนศิลป์อินตาไทยราษฎร์”

 


เพื่อไทย” เปิดตัว 9 ว่าที่ผู้สมัครนายกอบจ.สู้ศึกเลือกตั้ง เน้นคนในพื้นที่ ทำงานเพื่อ ปชช. พร้อมเปิดตัวเพลง “เพื่อไทย ไว้ใจ ได้ใจ” โดยคณะหมอลำ “รัตนศิลป์อินตาไทยราษฎร์”

 

วันที่ 3 พ.ค.67 ภายในงาน ‘10 เดือนที่ไม่รอ ทำต่อให้เต็ม 10’ ของพรรคเพื่อไทย งานแสดงวิสัยทัศน์ และความคืบหน้าในนโยบายต่าง ๆ พร้อมประกาศเป้าหมายการทำงานในอนาคต นายสรวงศ์ เทียนทอง สส.สระแก้ว และเลขาธิการพรรคเพื่อไทย ประกาศความพร้อมสู้ศึกเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (นายก อบจ.) ซึ่งจะหมดวาระลงในช่วงปลายปีนี้ โดยเปิดตัวว่าที่ผู้สมัครนายก อบจ.ในนามพรรคเพื่อไทย บางส่วน รวม 9 คน

 

ได้แก่ นายอนุสรณ์ วงศ์วรรณ ว่าที่ผู้สมัครนายก อบจ.ลำพูน (นายก อบจ. ลำพูน ปัจจุบัน) ขออาสาเข้ามายกระดับจังหวัดลำพูนสู่เมืองกีฬา โดยจะพัฒนาสนามกีฬาและโครงสร้างพื้นฐานที่เกี่ยวข้องให้สำเร็จ

 

นายอนุวัธ วงศ์วรรณ ว่าที่ผู้สมัครนายก อบจ.แพร่ (นายก อบจ.แพร่ปัจจุบัน) ขออาสาเข้ามารับใช้พี่น้องประชาชนสานงานต่อเนื่องให้สำเร็จ

 

น.ส.ตวงรัตน์ โล่ห์สุนทร ว่าที่ผู้สมัครนายก อบจ.ลำปาง (นายก อบจ.ลำปางปัจจุบัน) พร้อมเข้ามาผลักดันการท่องเที่ยวแบบมีเป้าหมาย ส่งเสริมอุทยานธรณี หรือ จีโอพาร์ค ส่งเสริมให้แหล่งทรัพยากรที่มีมาก ทั้งเหมืองแม่เมาะ ซากดึกดำบรรพ์ โบราณสถาน วัดเก่าแก่ จำนวนมาก

 

นายศราวุธ เพชรพนมพร ว่าที่ผู้สมัครนายก อบจ.อุดรธานี อดีต สส.อุดรธานี พรรคเพื่อไทย ขออาสาเข้ามาพัฒนาระบบสาธารณูปโภค พัฒนาแหล่งน้ำที่สะอาดให้เพียงพอต่อความต้องการ แก้ปัญหาน้ำท่วม น้ำแล้ง ในจังหวัดเพื่อพี่น้องประชาชน

 

นายวิเชียร สมวงศ์ ว่าที่ผู้สมัครนายก อบจ.ยโสธร (นายก อบจ.ยโสธรปัจจุบัน) ขออาสาเข้ามาสานต่อการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานภายในพื้นที่ให้สำเร็จ พร้อมชูโครงการสร้างศูนย์ฟอกไตสำหรับบริการประชาชน ช่วยลดอัตราการเสียชีวิตจากโรคไต ซึ่งเป็นสาเหตุการเสียชีวิตของคนในจังหวัดยโสธร

 

นายอนุชิต หงษาดี ว่าที่ผู้สมัครนายก อบจ.นครพนม อดีตนายก อบต.โพนสวรรค์ มาพร้อมแนวคิด ‘คนรุ่นใหม่ เข้าใจปัญหา พัฒนานครพนม’ ขออาสาเข้ามาดูแลโครงสร้างพื้นฐานของจังหวัด ส่งเสริมผลิตภัณฑ์ชุมชน ส่งเสริมการท่องเที่ยว ด้วยการสร้างแอปพลิเคชันให้ข้อมูลการท่องเที่ยวแต่ละอำเภอ พัฒนาสาธารณูปโภคเพื่อการท่องเที่ยว เป็นต้น

 

นายพลพัฒน์ จรัสเสถียร ว่าที่ผู้สมัครนายก อบจ.มหาสารคาม คนรุ่นใหม่ใส่ใจประชาชน คุ้นเคยกับพื้นที่เป็นอย่างดีเนื่องจากลงพื้นที่แูแลพี่น้องประชาชนร่วมกันกับพี่ชาย นายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี มาโดยตลอด ขออาสาเข้ามาดูแลชาวมหาสารคามตั้งแต่วัยเด็กถึงผู้สูงวัยเพื่อไทย เพื่อมหาสารคาม’

 

นายอัครา พรหมเผ่า ผู้สมัครนายก อบจ.พะเยา (นายก อบจ.พะเยาปัจจุบัน) พร้อมพัฒนาต่อยอดโครงการส่งเสริมอาชีพเศรษฐกิจสร้างสรรค์ ส่งเสริมซอฟต์พาวเวอร์ จ.พะเยา เพิ่มแหล่งเรียนรู้นอกห้องเรียน เพิ่มขีดความสามารถ และขยายโอกาสด้านการศึกษา พร้อมกับการจัดตั้งศูนย์ Daycare ร่วมกับหน่วยงานในเครือข่ายเพื่อรองรับผู้สูงอายุที่มีจำนวนมากขึ้น

 

นายมนู พุกประเสริฐ ว่าที่ผู้สมัคร นายก อบจ.สุโขทัย (นายก อบจ. สุโขทัยปัจจุบัน) อดีตนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดสุโขทัย 2 สมัย อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ขออาสาเข้ามารับใช้พี่น้องประชาชนสานงานต่อเนื่องให้สำเร็จ

 

นอกจากนี้ ภายในงานยังมีการแสดงของคณะหมอลำคณะรัตนศิลป์อินตาไทยราษฎร์ ร่วมขับร้องเพลงหมอลำ ที่รวบรวมนโยบายของพรรคเพื่อไทยได้อย่างไพเราะสนุกสนาน โดยหมอลำคณะนี้เปรียบเสมือนโรงเรียนสอนหมอลำที่ถ่ายทอดการแสดงศิลปะอีสานให้กับเยาวชนคนรุ่นใหม่ จนได้รับการแต่งตั้งเป็นศูนย์อนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรมหมอลำอีสาน ประจำ จ.ขอนแก่น จากศูนย์วัฒนธรรม จ.ขอนแก่น

 

สำหรับเพลงหมอลำที่คณะรัตนศิลป์อินตาไทยราษฎร์ คือ เพลง “เพื่อไทย ไว้ใจ ได้ใจ”

 

#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #เพื่อไทย #ว่าที่ผู้สมัครนายกอบจ




“เพื่อไทย” จัดอีเวนต์ใหญ่ “10 เดือนที่ไม่รอ ทำต่อให้เต็ม 10” เปิดตัวว่าที่ผู้สมัคร นายกอบจ. “แพทองธาร” ยันตัดสินใจถูกต้องมาก ที่จัดตั้งรัฐบาลผสม เมื่อ 10 เดือนที่แล้ว ชี้ “ครม.เศรษฐา 2” ถูกฝาถูกตัว นโยบายการเงิน ต้องดันเศรษฐกิจประเทศ ด้วย

 


เพื่อไทย” จัดอีเวนต์ใหญ่ “10 เดือนที่ไม่รอ ทำต่อให้เต็ม 10” เปิดตัวว่าที่ผู้สมัคร นายกอบจ. “แพทองธาร” ยันตัดสินใจถูกต้องมาก ที่จัดตั้งรัฐบาลผสม เมื่อ 10 เดือนที่แล้ว ชี้ “ครม.เศรษฐา 2” ถูกฝาถูกตัว นโยบายการเงิน ต้องดันเศรษฐกิจประเทศ ด้วย

 

วันนี้ (3 พฤษภาคม 2567) เวลา 10.00 น. ณ ที่ทำการพรรคเพื่อไทย สำนักงานใหญ่ พรรคเพื่อไทย จัดงาน ‘10 เดือนที่ไม่รอ ทำต่อให้เต็ม 10’ งานแสดงวิสัยทัศน์และความคืบหน้านโยบายต่าง ๆ ของพรรคเพื่อไทย หลังจากจัดตั้งรัฐบาลเข้าสู่เดือนที่ 9 พร้อมประกาศเป้าหมายการทำงานในอนาคต โดยภายในงาน มีนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี นางสาวแพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าพรรคเพื่อไทย คณะรัฐมนตรีสัดส่วนของพรรคเพื่อไทย กรรมการบริหารพรรค ผู้บริหารพรรค, สส., ว่าที่ผู้สมัครนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดของพรรคเพื่อไทย และ บุคลากรของพรรค เข้าร่วมงานกันอย่างคับคั่ง

 

น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ในนามหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ขอยืนยันว่าเราตัดสินใจถูกต้องมากที่จัดตั้งรัฐบาลผสมเมื่อ 10 เดือนที่แล้ว ปัญหาปัจจุบันที่หมักหมมไว้จากการปฏิวัติรัฐประหาร ทั้งระบบราชการที่โตเกินไป ความอืดอาดในการทำงาน ด้วยโครงสร้างที่ไม่ทันต่อเหตุการณ์ที่เปลี่ยนไป เทคโนโลยี เศรษฐกิจ และภัยคุกคามทางความมั่นคงที่พัฒนาไปเร็วมาก รวมถึงภัยต่อเยาวชนชาติ จากยาเสพติด ทำให้ประชาชนของชาติอ่อนแอ ประชาชนขาดโอกาสในการทำมาหากิน เศรษฐกิจใต้ดินสูงเป็นประวัติการณ์

 

เพื่อไทยเป็นพรรคการเมืองที่มีประสบการณ์ในการบริหารประเทศมากที่สุด หากไม่เป็นแกนนำรัฐบาลผสม คงยากที่ปัญหาหมักหมมจะแก้ไขได้ กฎหมายพยายามจะให้ธนาคารแห่งประเทศไทยเป็นอิสระจากรัฐบาล เรื่องนี้เป็นปัญหาและอุปสรรคในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ เพราะนโยบายการคลังถูกใช้งานข้างเดียวอย่างหนัก จนทำให้หนี้สูงขึ้นทุกปี จากการตั้งงบประมาณขาดดุล ถ้านโยบายการเงินที่บริหารโดยธนาคารแห่งประเทศไทยไม่ยอมเข้าใจและร่วมมือ ประเทศจะไม่มีทางลดเพดานนี้ได้ 10 เดือนที่ผ่านมา เราใช้ความพยายามในการวิเคราะห์ เข้าใจ เพื่อแก้ปัญหาที่ยาก และซับซ้อน และก้าวเดินต่อในทุกมิติ เพราะเราเสียเวลาและโอกาสไปถึงเกือบ 2 ทศวรรษจากการรัฐประหาร เรามั่นใจว่าเราทำได้ และจะทำให้ได้คะแนนเต็ม 10 ก่อนการเลือกตั้งครั้งหน้า

 

น.ส.แพทองธาร กล่าวว่า ในมิติทางเศรษฐกิจ เริ่มต้นด้วยการเติมเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ เพราะเงินถูกดูดออกจากระบบไปมาก จึงเป็นเหตุหนึ่งที่ทำให้เศรษฐกิจโตต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของประเทศในอาเซียน และค่าแรงที่เพิ่มขึ้นเป็น 400 บาท จะทำให้ทุกคนต้องปรับตัว เพิ่มผลผลิตจากความพอกินของพนักงาน พรรคเพื่อไทยจะผลักดันเศรษฐกิจในทุกมิติ ไม่ใช่แค่เติมเงินและเพิ่มค่าแรง แต่รวมไปถึงเม็ดเงินใหม่จากต่างประเทศจะเข้ามาจากการลงทุนและการสร้างโอกาสให้คนไทยทุกคน โดยการนำของนายกรัฐมนตรี เศรษฐา ทวีสิน

 

ในมิติของการบริหารราชการแผ่นดิน จะเปลี่ยนจากรัฐบาลอุ้ยอ้าย อืดอาด ไม่โปร่งใส เป็นรัฐบาลดิจิทัล บริหารด้วยความรวดเร็ว โปร่งใสตรวจสอบการทำธุรกรรมต่างๆได้ และมี super app ในการบริการ ทุกมิติของภาครัฐ และเราจะปรับโครงสร้างกระทรวง ทบวง กรม ใหม่อีกครั้งหนึ่งเร็วๆ นี้ พร้อมจะแก้กฎหมายทางเศรษฐกิจอีกหลายฉบับ ทั้งการยกเลิกกฎหมายล้าสมัย เขียนกฏหมายใหม่ให้ไทยกลับมาเป็น Hub ทั้งการบินและการเงิน ของอาเซียนให้ได้

 

ในด้านความมั่นคงและการต่างประเทศ จะผูกมิตรกับทุกมหาอำนาจ และยินดีให้ไทยเป็นที่เจรจาความขัดแย้งจากทุกฝ่าย

 

พรรคเพื่อไทยจะเป็นพรรคการเมืองที่เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลที่มีศักยภาพ มีนโยบายที่ดี มีรัฐมนตรีที่เก่ง สร้างอนาคตให้ประเทศไทย และที่สำคัญ จะต้องสามารถผลักดันนโยบายให้เกิดขึ้นจริงในอนาคต แม้คู่แข่งพยายามทำลายความเชื่อมั่นของประชาชนที่มีต่อเรา ด้อยค่าในสิ่งที่เราทำ ซึ่งไม่ใช่เรื่องใหม่ ในสมัยไทยรักไทย เกิดวาทกรรม “30 บาทตายทุกโรค” แต่ทุกอย่างผ่านไป ด้วยการทำงานนโยบายสำเร็จ ผลงานเท่านั้นจะพิสูจน์ ไม่ใช่วาทกรรม หรือการใส่ความต่อว่าจากใคร เพราะ 30 บาทรักษาทุกโรคใช้ได้จริง และกำลังเดินหน้าพัฒนาครั้งใหญ่ในรอบ 20 ปี เป็น 30 บาทรักษาทุกที่”หัวหน้าพรรคเพื่อไทย กล่าว

 

น.ส.แพทองธาร ยังได้ประกาศวิสัยทัศน์ พรรคเพื่อไทยในอนาคต จะเป็นพรรคการเมืองที่เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลที่มีศักยภาพ มีนโยบายที่ดี สร้างอนาคตให้ประเทศไทย พร้อมเปิดตัว ทีม PTP Academy อย่างไม่เป็นทางการ (Soft Launch) หน่วยงานพัฒนาศักยภาพบุคลากร สร้างองค์ความรู้ทางวิชาการ เปิดพื้นที่เชื่อมโยงการทำงานของพรรคกับหน่วยงานข้างนอก ซึ่งได้เริ่มดำเนินการแล้วระยะหนึ่ง มีการจัดอบรมเพิ่มองค์ความรู้ให้กับ สส.ของพรรค เพื่อให้การทำงานการเมืองมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

 

พรรคเพื่อไทยจะครองสติ ไม่หวั่นไหว ไม่เล่นเกมส์โต้ตอบไปมาเพราะไม่เป็นประโยชน์ต่อประชาชน เรามีอำนาจหน้าที่และความรับผิดชอบอยู่ในมือซึ่งกำลังลงมือทำ และเราทำได้ อย่างแน่นอน ในขณะที่นโยบายกำลังเดินไปข้างหน้า พรรคเพื่อไทยก็กำลังพัฒนาไม่หยุดยั้งเพื่ออนาคตของประเทศไทย รัฐบาลเพิ่งปรับ ครม. ซึ่งมีเสียงจากนักวิชาการหลายท่านที่น่าเชื่อถือได้ให้คำยืนยันว่า ถูกฝาถูกตัวมากที่สุด ทุกอย่างกำลังขับเคลื่อนไปข้างหน้า ไม่มีทางเลยที่เราจะแย่กว่าเดิม เรารู้ว่าการทำงานให้บ้านเมืองนั้น เป็นงานที่ Thank Less and End Less ต้องทุ่มเทและไม่มีวันสิ้นสุด แต่เราเต็มใจที่จะทำ เพราะเราเป็นพรรคการเมืองแห่งการเปลี่ยนแปลงเพื่อความเจริญของประเทศ นางสาวแพรทองธาร กล่าว

 

#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #เพื่อไทย #แพรทองธารชินวัตร

"จาตุรนต์" ซัดระเบียบ "กกต." ทำให้การเลือก " สว." แย่ยิ่งกว่าจับฉลาก !

 


"จาตุรนต์" ซัดระเบียบ "กกต." ทำให้การเลือก " สว." แย่ยิ่งกว่าจับฉลาก !

 

วันที่ 3 พฤษภาคม 2567 นายจาตุรนต์ ฉายแสง ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทย โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Chaturon Chaisang ระบุว่า

 

ระเบียบ กกต.ว่าด้วยการแนะนำตัวในการเลือกสมาชิกวุฒิสภาที่ออกมาเมื่อวันที่ 25 เมษายนที่ผ่านมา มีปัญหาอย่างมากทั้งไม่ตรงตามเจตนารมณ์ของ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา แต่ยิ่งไปกว่านั้นไม่ตรงตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ เพราะจงใจปิดกั้นและจำกัดสิทธิเสรีภาพของทุกฝ่าย ทั้งผู้สมัคร ผู้ที่จะช่วยเหลือผู้สมัคร ประชาชนทั่วไปที่ต้องการมีส่วนร่วม รวมไปถึงสื่อมวลชน

 

ขัดต่อ “พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา” ได้แก่

 

- ในมาตรา 21 ระบุว่า “ให้ผู้อำนวยการเลือกตั้งระดับอำเภอต้องประกาศรายชื่อผู้สมัครที่อย่างน้อยต้องระบุอาชีพและอายุของผู้สมัครให้ประชาชนทราบโดยทั่วไป…” จะเห็นเลยว่าเจตนาของกฎหมายต้องการให้ประชาชนทั่วไปได้รับรู้ข้อมูลข่าวสาร แต่ระเบียบกลับห้ามเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารทุกรูปแบบ

 

- ในมาตรา 37 และมาตรา 38 ที่กฎหมายจะระบุชัดเจนว่าห้ามไม่ให้ไปหาเสียงกันในวันเลือกตั้ง แต่ตอนที่จะแนะนำตัวก่อนถึงช่วงเลือกนั้นได้ระบุไว้ในมาตรา 36 ว่า “ผู้สมัครอาจแนะนำตัวได้ตามวิธีการและเงื่อนไขที่คณะกรรมการกำหนด…” จะเห็นว่าในมาตรานี้ไม่ได้ระบุว่าห้ามทำสิ่งใดเหมือนในมาตรา37และ38 แต่ กกต.กลับออกระเบียบห้ามสารพัดจึงถือว่าการออกระเบียบนี้เกินกว่าที่กฎหมายบัญญัติไว้

 

ขัด “รัฐธรรมนูญและหลักการประชาธิปไตย” ได้แก่

 

- มาตรา 114 “สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภาย่อมเป็นผู้แทนปวงชนชาวไทย…” : ถือเป็นเรื่องใหญ่มาก เพราะหลักประชาธิปไตยถือว่าประชาชนเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตย ซึ่งสมาชิกวุฒิสภาจะต้องเป็นผู้แทนปวงชนชาวไทย แต่ระเบียบกลับออกมาไม่ให้ประชาชนรับรู้อะไรทั้งสิ้นเกี่ยวกับการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา

 

- สิทธิเสรีภาพสื่อมวลชน โดยดูจากระเบียบ ข้อ 11 ที่จงใจไม่ให้สื่อมวลชนมาทำหน้าที่ แม้ไม่ได้ห้ามสื่อมวลชนโดยตรงเพราะในรัฐธรรมนูญจะถือว่าไปจำกัดการทำหน้าที่ของสื่อ แต่กกต.ไปพลิกแพลงห้ามผู้สมัครหรือผู้ช่วยผู้สมัครไม่ให้สัมภาษณ์ต่อสื่อแทน รวมถึงห้ามแจกใบปลิว ห้ามติดป้ายประกาศ ห้ามลงสื่อออนไลน์ จึงเป็นการเลือกตั้งที่แปลกประหลาดมากที่ไม่ต้องการให้ประชาชนได้รับรู้ข้อมูลข่าวสารใดๆทั้งสิ้น แต่จำกัดข้อมูลอยู่แต่ผู้สมัครด้วยกัน ก็หมายความว่าผู้สมัครจะต้องส่งไลน์หรือสร้างไลน์กลุ่มขึ้นมาส่งประวัติเท่านั้น

 

ทั้งนี้ในระบบกติกาแบบนี้ต้องการให้สว.เป็นตัวแทนกลุ่มอาชีพต่าง ๆ แต่วิธีการเลือกแบบไขว้คือผู้ที่จะเป็นตัวแทนกลุ่มอาชีพที่ได้รับเลือกในขั้นตอนสุดท้ายจะมาจากการเลือกของผู้ที่อยู่ในอาชีพอื่นเป็นหลัก ดังนั้นการเลือกคนในกลุ่มอาชีพใดกลุ่มอาชีพหนึ่งนี้โดยไม่รู้ข้อมูลอะไรเลย แล้วประชาชนก็ไม่ได้มามีส่วนเกี่ยวข้องเลย ก็หมายความว่าจะไม่มีหลักประกันอะไรเลยว่าผู้ที่ได้รับเลือกมีความเหมาะสมจะเป็นตัวแทนกลุ่มอาชีพได้จริง

 

การทำแบบนี้จะทำให้การเลือกตั้งแย่กว่าการจับฉลาก มันจะเลวร้ายกว่ามาก เพราะแทนที่ กกต.จะไปให้ความสำคัญ กับการป้องกันการทุจริต เช่น คนมีอำนาจ คนมีเครือข่าย คนมีเงินมากๆจะได้เปรียบมาก ที่สามารถจะจ้างคนจำนวนมากๆไปสมัคร แต่ กกต.กลับไม่เน้นเรื่องนี้

 

ที่แย่ไปกว่านั้น กกต.ไม่เข้าใจเลยว่าว่าการป้องกันการทุจริตเหล่านี้ที่ดีที่สุด คือการให้ข้อมูลข่าวสารแก่ประชาชนให้มากที่สุด ประชาชนถึงจะช่วยป้องกัน ช่วยกันตรวจสอบ เพราะฉะนั้นการแนะนำการเชิญชวน ให้มีการมาสมัครกันมากๆก็ดี การให้ข้อมูลข่าวสารต่อประชาชนให้มากๆก็ดี หรือการให้ผู้ที่สมัครหรือผู้ช่วยผู้สมัครสามารถสื่อสารกับประชาชนได้ จึงไม่ใช่เป็นเรื่องควรห้ามแต่เป็นเรื่องควรส่งเสริมอย่างจริงจัง

 

เปรียบเทียบได้จากเงื่อนไขการเลือกตั้งสส. ที่ห้ามจูงใจด้วยการสัญญาว่าจะให้ ห้ามจัดมหรสพ หรือการข่มขู่ แต่สามารถจูงใจได้ถ้าทำโดยสุจริต ทั้งจูงใจให้ไปเลือกตั้งหรือแม้กระทั่งจูงใจให้ไปเลือกผู้สมัครแต่ละคน ซึ่งตรงข้ามกับกฎระเบียบการเลือก สว. ที่ห้ามไม่ให้จูงใจให้คนไปสมัคร และห้ามไม่ให้ข้อมูลแก่ประชาชน และเราจะรู้ได้อย่างไรว่าผู้สมัครเป็นที่ยอมรับของคนในอาชีพนั้นหรือไม่ ผู้สมัครมีความคิดอย่างไรเกี่ยวกับป้องกันการไปทุจริตคอรัปชั่น มีความคิดอย่างไรเกี่ยวกับการดูแลให้ได้องค์กรอิสระ หรือเวลาจะรับรอง ประธานตุลาการ ศาลปกครอง อัยการ การไปทำหน้าที่สำคัญทั้งหลายเหล่านี้คนที่ไปสมัครมีความคิดอย่างไร จึงจะไม่มีใครรู้

 

ดังนั้นระเบียบของ กกต. นี้จึงขัดต่อหลักการสำคัญของประชาธิปไตยคือสิทธิเสรีภาพของประชาชน และหลักการที่สำคัญคือ “สมาชิกวุฒิสภาต้องเป็นผู้แทนปวงชนชาวไทย” แต่จะเป็นตัวแทนปวงชนชาวไทยได้อย่างไร ในเมื่อประชาชนไม่รู้อะไรสักอย่างเกี่ยวกับพวกคุณเลย

 

#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #กกต #เลือกสว #จาตุรนต์ฉายแสง

วันพฤหัสบดีที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2567

"ชูศักดิ์" เผย “กมธ.นิรโทษ” จ่อชงนิรโทษฯคดีเหตุจูงใจทางการเมืองตั้งแต่ปี 48 ถึง ปัจจุบัน พร้อมแยกพิจารณาคดี ม.112 เหตุเป็นเรื่องละเอียดอ่อน

 


"ชูศักดิ์" เผย “กมธ.นิรโทษ” จ่อชงนิรโทษฯคดีเหตุจูงใจทางการเมืองตั้งแต่ปี 48 ถึง ปัจจุบัน พร้อมแยกพิจารณาคดี ม.112 เหตุเป็นเรื่องละเอียดอ่อน


วันที่ 2 พ.ค.2567 เวลา 15.50 น.ที่รัฐสภา นายชูศักดิ์ ศิรินิล สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการ(กมธ.) วิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางการตราพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) นิรโทษกรรม แถลงภายหลังการประชุมว่า ที่ประชุมมีมติเห็นชอบร่วมกันว่า จะมีการนิรโทษกรรมการกระทำและการแสดงออกทั้งหลายที่มีมูลเหตุจูงใจทางการเมือง โดยมีคำนิยามว่ามูลเหตุทางการเมือง หมายถึงการกระทำอะไรบ้าง โดยจะนิรโทษกรรมตั้งแต่ปี 2548 เป็นต้นมาจนถึงปัจจุบัน ส่วนจะนิรโทษกรรมการกระทำอะไรบ้าง ที่ประชุมมีความเห็นชอบร่วมกันว่าการกระทำที่มีโทษนั้นควรจะเป็นการกระทำที่อยู่ในบทนิยามคำว่า”มีมูลเหตุจูงใจทางการเมือง” ซึ่งคณะอนุกรรมการฯ จะไปสรุปประเภทคดีว่ามีการกระทำอะไรตั้งแต่ 2548 จนถึงปัจจุบัน ที่อยู่ในข่ายมูลเหตุจูงใจทางการเมือง ก็จะนำเข้ามาเป็นรายละเอียดพร้อมทั้งแยกแยะให้เห็น เนื่องจากการกระทำหลายอย่างดูแล้วไม่ใช่ และไม่อยู่ในข่ายที่เป็นมูลเหตุจูงใจทางการเมืองโดยตรง แต่การกระทำในทางกฎหมายที่เรียกว่าเป็นความผิดในหลายบท เช่น บางคนอาจจะโดนคดีหลักและมีคดีรอง เช่น คดีจราจรทางบก คดีนำเข้าข้อมูลคอมพิวเตอร์ คดีเกี่ยวกับพ.ร.ก.ฉุกเฉิน เป็นต้น


นายชูศักด์ กล่าวต่อว่า ทางกมธ.ฯจะแยกแยะการกระทำประเภทนี้ว่ามีการกระทำอะไรบ้างที่จะสมควรได้รับการนิรโทษกรรมหรือไม่ ซึ่งบางเรื่องจะมีขอมติให้ขอนิรโทษกรรมไปเลย เพราะบางคดีเป็นความผิดที่ไม่รุนแรงนัก เช่น ความผิดพ่วง เป็นต้น นอกจากนั้นที่ประชุมยังมีมติขอขยายพิจารณาออกไปอีก 60 วัน แต่กมธ.คงใช้ไม่เต็มทั้ง 60 วัน โดยกมธ.จะทำรายงานสรุปให้เสร็จก่อนเปิดสภาฯในครั้งหน้าในเดือนก.ค.


เมื่อถามว่ามีคดีอะไรบ้างที่จะให้นิรโทษกรรม นายชูศักด์ กล่าวว่า เป็นคดีที่เราระบุเกิดตั้งแต่ปี 2548 เป็นต้นมา จนถึงปัจจุบันเกี่ยวกับเหตุการณ์ แต่ไม่ได้ระบุถึงประเภทคดีแบบเป็นรายคดีว่าหมายถึงการกระทำหรือคดีอะไรบางที่อยู่ในข่ายควรที่จะได้รับนิรโทษกรรม ซึ่งจะทำเป็นรายละเอียดไปเสนอให้กับคณะกรรมการที่ตั้งขึ้นเพื่อพิจารณาเรื่องนี้ได้พิจารณาในชั้นรายละเอียด ส่วนจะเป็นคดีอะไรบ้างเราจะทำเป็นรายละเอียดแนบเป็นรายงานเพิ่มเติมเข้าไป


“เราก็คิดว่าถ้ามีมูลเหตุจูงใจทางการเมืองแล้วส่วนใหญ่ก็ต้องได้รับการนิรโทษกรรมทั้งหมด โดยไม่มีการแลกเปลี่ยนอะไร”นายชูศักดิ์ กล่าว


นายชูศักดิ์ กล่าวต่อว่า ส่วนคดีเกี่ยวกับมาตรา 112 จะแยกไปเป็นอีกกรณีหนึ่งเพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนและมีความเห็นที่อาจจะยังไม่ตรงกันมาก เราจึงคิดว่าหน้าจะแยกออกมาเป็นการเฉพาะเพื่อพิจารณาว่าเรามีมาตรการอย่างหนึ่งอย่างใดหรือไม่โดยจะไม่พิจารณาร่วมไปในเรื่องที่เราพูดกันไปแล้ว 


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #กมธ #นิรโทษกรรม #มาตรา112

“ชัยธวัช” ชี้ กมธ.นิรโทษกรรมสรุปแล้ว ยึดแนวทาง “ตั้ง คกก.กลั่นกรอง” แทนการกำหนดฐานความผิด-เหตุการณ์แบบเหมารวม ย้ำรัฐบาลควรส่งสัญญาณชัดไปถึงตำรวจ-อัยการ ไม่ดำเนินคดีการเมืองเพิ่มระหว่างรอกฎหมายนิรโทษกรรม

 


“ชัยธวัช” ชี้ กมธ.นิรโทษกรรมสรุปแล้ว ยึดแนวทาง “ตั้ง คกก.กลั่นกรอง” แทนการกำหนดฐานความผิด-เหตุการณ์แบบเหมารวม ย้ำรัฐบาลควรส่งสัญญาณชัดไปถึงตำรวจ-อัยการ ไม่ดำเนินคดีการเมืองเพิ่มระหว่างรอกฎหมายนิรโทษกรรม


วันที่ 2 พฤษภาคม 2567 ณ ห้องแถลงข่าวอาคารรัฐสภา ชัยธวัช ตุลาธน หัวหน้าพรรคก้าวไกล และผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร แถลงความคืบหน้าการประชุมคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางการตราพระราชบัญญัตินิรโทษกรรม โดยกล่าวว่า ในวันนี้คณะกรรมาธิการฯ ได้มีข้อสรุปร่วมกันว่าจะใช้แนวทางการ “ตั้งคณะกรรมการ” ขึ้นมาเป็นผู้พิจารณากลั่นกรองคดีที่เข้าข่ายการนิรโทษกรรม แทนการกำหนดฐานความผิดหรือเหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึ่งเป็นการเฉพาะ เพราะหากทำเช่นนั้นจะไม่สอดคล้องกับปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองไทยที่สืบเนื่องมาตั้งแต่ปี 2548 จนถึงปัจจุบัน ซึ่งมีคดีความจำนวนมาก และมีลักษณะฐานความผิดที่หลากหลายและซับซ้อน


ชัยธวัชกล่าวต่อไปว่า ดังนั้นในทางปฏิบัติ การตั้งคณะกรรมการขึ้นมาพิจารณากลั่นกรองจึงน่าจะเป็นรูปแบบที่เหมาะสมและสอดคล้องกับความเป็นจริงมากกว่า ซึ่งเป็นเรื่องคณะกรรมาธิการฯ เห็นพ้องต้องกันแล้ว โดยหลังจากนี้คณะกรรมาธิการฯ จะพิจารณากันต่อไปถึงเรื่องที่มา องค์ประกอบ และอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการว่าควรจะเป็นอย่างไร เช่น ใครควรจะเป็นผู้แต่งตั้งคณะกรรมการ รัฐบาลหรือสภาฯ องค์ประกอบของคณะกรรมการควรมาจากภาคส่วนใดบ้างจึงจะได้รับการยอมรับจากคนทั้งสังคม คณะกรรมการควรมีอำนาจในการออกคำสั่งนิรโทษกรรมได้ทันที หรือควรต้องดำเนินการผ่านตำรวจและกระบวนการยุติธรรม ฐานความผิดประเภทใดบ้างที่ควรยกเว้นไม่นิรโทษกรรมหรือนิรโทษกรรมแบบมีเงื่อนไข รวมถึงจะมีการเปิดช่องให้ประชาชนที่ตกหล่นจากการนิรโทษกรรมสามารถยื่นเรื่องเข้ามาพิจารณาเพิ่มเติมได้โดยตรงหรือไม่ รายละเอียดเหล่านี้จะมีความชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งถือเป็นแนวโน้มที่ดีของกระบวนการนิรโทษกรรมประชาชน


อย่างไรก็ตาม ในฐานะผู้นำฝ่ายค้าน ชัยธวัชมองว่าสถานการณ์การดำเนินคดีทางการเมืองในปัจจุบันยังไม่มีแนวโน้มที่ดีขึ้นมากนัก โดยระหว่างที่คณะกรรมาธิการฯ กำลังพิจารณาศึกษาการออกกฎหมายนิรโทษกรรม มีอีกหลายกลไกที่รัฐบาลนายกรัฐมนตรีเศรษฐา ทวีสินสามารถดำเนินการได้ทันทีเพื่อบรรเทาสถานการณ์ เช่น ควรมีนโยบายที่ชัดเจนไปยังสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ว่าการปฏิบัติต่อพี่น้องประชาชนที่แสดงออกทางการเมืองจะต้องยึดหลักสิทธิเสรีภาพ ไม่ใช้อำนาจนอกกฎหมาย ไม่ตีความกฎหมายอย่างเคร่งครัดหรือตึงเกินไปจนทำให้มีคดีความเพิ่มขึ้น รวมถึงไม่นำเหตุการณ์ในอดีตมาตั้งข้อหากับประชาชนเพิ่มเติมอีก 


ขณะเดียวกัน คณะรัฐมนตรีควรมีมติส่งความเห็นไปยังฝ่ายอัยการ ว่าคดีความที่เกี่ยวข้องกับการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่างกันทางการเมืองควรจะมีการกลั่นกรองและไม่สั่งฟ้อง ขึ้นไปสู่ชั้นศาล หากไม่ได้เป็นกรณีที่ไม่สมควรแก่เหตุหรือรุนแรงเกินไป ซึ่งมาตรา 21 ของ พ.ร.บ.องค์กรอัยการและพนักงานอัยการได้เปิดช่องไว้แล้วว่า อัยการสามารถสั่งไม่ฟ้องคดีที่เห็นว่าไม่เป็นประโยชน์แก่สาธารณชนได้ ดังนั้น หากรัฐบาลส่งสัญญาณที่ชัดเจนว่าต้องการจะลดบรรยากาศความขัดแย้งทางการเมือง สถานการณ์การดำเนินคดีทางการเมืองก็จะทุเลาลงไปได้ โดยไม่จำเป็นต้องรอกฎหมายนิรโทษกรรมเพียงอย่างเดียว


“ผมเห็นช่องหรือกลไกที่อำนาจของฝ่ายบริหารสามารถแก้ไขปัญหาได้ ซึ่งรัฐบาลควรจะพิจารณาเพื่อลดเงื่อนไขความขัดแย้งทางการเมืองลง เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่ประชาชนคาดหวัง หลังจากการมีรัฐบาลชุดใหม่ที่ไม่ได้มาจากคณะรัฐประหาร” ชัยธวัชกล่าว


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #กมธ #นิรโทษกรรม




คลังเผย นายกฯ สั่งเร่งรัดงบปี 67 เต็มพิกัดมาโดยตลอด บัญชีกลางชู 8 มาตรการ เร่งงบค้างท่อ

 


คลังเผย นายกฯ สั่งเร่งรัดงบปี 67 เต็มพิกัดมาโดยตลอด บัญชีกลางชู 8 มาตรการ เร่งงบค้างท่อ  


วันนี้ (2 พฤษภาคม 2567) นายพรชัย ฐีระเวช ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ตามที่ได้มีสื่อสารมวลชนบางรายเขียนลงในคอลัมน์เผยแพร่ข่าวเกี่ยวกับการเบิกจ่ายเงินงบประมาณ โดยเห็นว่า รัฐบาลโดย นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ไม่ได้ให้ความสำคัญเกี่ยวกับการเร่งรัดเบิกจ่ายงบประมาณประจำปี 2567 นั้น


กระทรวงการคลังขอเรียนว่า ข้อมูลที่ปรากฏในสื่อดังกล่าวเป็นข้อมูลที่คลาดเคลื่อน ไม่ตรงกับข้อเท็จจริงในปัจจุบัน ซึ่งรัฐบาลโดยท่านนายกรัฐมนตรี ได้ให้ความสำคัญเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวมาโดยตลอด โดยที่ผ่านมาได้สั่งการและมอบหมายให้กระทรวงการคลังดำเนินการเร่งรัดเบิกจ่ายงบประมาณประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 ดังนี้


1. มาตรการเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณ


กระทรวงการคลังโดยกรมบัญชีกลางได้ออกแนวทางการเร่งรัดเบิกจ่ายงบประมาณ โดยให้หน่วยรับงบประมาณดำเนินการ ดังนี้


1.1 เมื่อได้รับอนุมัติเงินจัดสรรแล้ว กรณีเป็นรายการที่จะต้องดำเนินการหรือเบิกจ่ายโดยสำนักงานในส่วนภูมิภาค ให้เร่งดำเนินการส่งเงินจัดสรรต่อไปยังสำนักงานในส่วนภูมิภาคภายใน 5 วัน นับแต่วันที่ได้รับอนุมัติเงินจัดสรร เพื่อให้สำนักงานในส่วนภูมิภาคดำเนินการใช้จ่ายหรือก่อหนี้ผูกพันต่อไป


1.2 รายการปีเดียว ให้หน่วยรับงบประมาณพิจารณากำหนดระยะเวลาการส่งมอบงานให้รวดเร็วขึ้น เพื่อให้สามารถเบิกจ่ายได้ทันภายในเดือนกันยายน 2567


1.3 รายการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณที่เป็นรายจ่ายลงทุนรายการใหม่ ให้ดำเนินการก่อหนี้ผูกพันให้แล้วเสร็จภายในเดือนพฤษภาคม 2567


1.4 ให้หัวหน้าหน่วยรับงบประมาณรวมทั้งทุนหมุนเวียนภายใต้สังกัด กำกับดูแลเร่งรัดการดำเนินการเพื่อให้สามารถก่อหนี้ และเบิกจ่ายเงินงบประมาณให้แล้วเสร็จโดยเร็ว พร้อมทั้งรายงานผลให้กรมบัญชีกลาง ทุกวันที่ 5 ของเดือนถัดไป


1.5 ดำเนินการเบิกหักผลักส่ง เงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 ชดใช้เงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 ไปพลางก่อนภายในเดือนกรกฎาคม 2567


1.6 สำหรับหน่วยงานของรัฐที่ได้รับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 จากสำนักงบประมาณ และได้ดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างจนถึงขั้นตอนได้ตัวผู้รับจ้างไว้แล้ว ให้เร่งลงนามในสัญญาหรือข้อตกลงเป็นหนังสือโดยเร็ว


2. มาตรการลดระยะเวลาการดำเนินการจัดซื้อจัดจ้าง


2.1 การเผยแพร่ร่างประกาศและร่างเอกสารซื้อหรือจ้างด้วยวิธีประกวดราคาอิเล็กทรอนิกส์ กำหนดให้วงเงินเกิน 500,000 บาท แต่ไม่เกิน 10,000,000 บาท ให้อยู่ในดุลพินิจของหัวหน้าหน่วยงานของรัฐที่จะให้มีการเผยแพร่ เพื่อรับฟังความคิดเห็นจากผู้ประกอบการหรือไม่ก็ได้ จากเดิมที่กำหนดเพดานไว้ที่ 5,000,000 บาท


2.2 การเผยแพร่ประกาศและเอกสารซื้อหรือจ้างโดยวิธีประกาศเชิญชวนทั่วไป


(1) การซื้อหรือการจ้างด้วยวิธีประกวดราคาอิเล็กทรอนิกส์ ให้หน่วยงานของรัฐดำเนินการเผยแพร่ประกาศและเอกสารซื้อหรือจ้างด้วยวิธีประกวดราคาอิเล็กทรอนิกส์สำหรับการซื้อหรือจ้างครั้งหนึ่งซึ่งมีวงเงินเกิน 500,000 บาท แต่ไม่เกิน 100,000,000 บาท ไม่น้อยกว่า 3 วันทำการ ทั้งนี้ สำหรับการซื้อหรือจ้างครั้งหนึ่ง ซึ่งมีวงเงินเกิน 100,000,000 บาท ไม่น้อยกว่า 20 วันทำการ ซึ่งเป็นการลดระยะเวลาจากที่กำหนดไว้ในระเบียบฯ


(2) การจ้างที่ปรึกษา และการจ้างออกแบบหรือควบคุมงานก่อสร้าง โดยวิธีประกาศเชิญชวนทั่วไป ให้หน่วยงานของรัฐเผยแพร่ประกาศและเอกสารการจ้าง เป็นเวลาติดต่อกันไม่น้อยกว่า 3 วันทำการ โดยระยะเวลาการดำเนินการดังกล่าว ให้ใช้กับปีงบประมาณ 2567 เท่านั้น ซึ่งเป็นการลดระยะเวลาจากที่กำหนดไว้ในระเบียบฯ


ทั้งนี้ เพื่อให้การเบิกจ่ายงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจเป็นไปตามเป้าหมาย กระทรวงการคลังและคณะกรรมการติดตามเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณและการใช้จ่ายภาครัฐ จึงได้มีมาตรการเร่งรัดการเบิกจ่ายงบลงทุนหลายประการ เช่น การกำหนดเป้าหมายการเบิกจ่ายงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจให้ไม่น้อยกว่าร้อยละ 95 ของกรอบงบลงทุนเป็นตัวชี้วัดของผู้บริหารสูงสุด การกำหนดให้รัฐวิสาหกิจเร่งลงนามในสัญญาให้แล้วเสร็จภายในเดือนมีนาคม 2567 โดยให้รัฐวิสาหกิจที่ใช้เงินงบประมาณในการลงทุน เตรียมความพร้อมเพื่อให้สามารถลงนามในสัญญาได้ทันทีเมื่อได้รับการจัดสรรงบประมาณ เป็นต้น


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #โฆษกกระทรวงการคลัง

“เซีย” ฉะโฆษกแรงงาน ออกจากห้องแอร์มาฟังเสียงพี่น้องแรงงานบ้าง ค่าครองชีพแบบนี้ต้องขึ้นค่าแรงทั่วประเทศได้แล้ว งงบอกให้ “เย็นให้พอ รอให้ได้” ทั้งที่กระทรวงแรงงานให้ข่าวสับสนเอง


เซีย” ฉะโฆษกแรงงาน ออกจากห้องแอร์มาฟังเสียงพี่น้องแรงงานบ้าง ค่าครองชีพแบบนี้ต้องขึ้นค่าแรงทั่วประเทศได้แล้ว งงบอกให้ “เย็นให้พอ รอให้ได้” ทั้งที่กระทรวงแรงงานให้ข่าวสับสนเอง

 

วันที่ 2 พฤษภาคม 2567 เซีย จำปาทอง สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล กล่าวถึงกรณีที่โฆษกกระทรวงแรงงานกล่าวว่าขอให้ตน “เย็นให้พอ รอให้ได้” ในเรื่องการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ เพราะกฎหมายกำหนดให้เป็นอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการค่าจ้าง ซึ่งเป็นองค์กรไตรภาคีที่ประกอบด้วยผู้แทนฝ่ายนายจ้าง ผู้แทนฝ่ายลูกจ้าง และผู้แทนฝ่ายรัฐบาล ดังนั้น ฝ่ายการเมืองหรือรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานจึงไม่สามารถเข้าไปก้าวก่ายหรือทำอะไรได้ตามอำเภอใจ พร้อมขออย่าให้ตนนำพี่น้องแรงงานมาอ้างเพื่อเรียกคะแนนให้ตัวเองหรือสร้างความขัดแย้ง

 

เซียกล่าวว่า นายกรัฐมนตรีเศรษฐา ทวีสินตั้งเป้าหมายว่าจะปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำทั่วประเทศเป็น 400 บาทต่อวันให้ได้ภายในปี 2567 ขณะที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานก็ออกมายืนยันอย่างหนักแน่นเมื่อวานนี้ว่าจะปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเป็น 400 บาททั่วประเทศในวันที่ 1 ตุลาคมนี้ การออกมาพูดเช่นนี้ก็ยังไม่ผ่านมติที่ประชุมคณะกรรมการค่าจ้างเช่นกัน ถ้าโฆษกกระทรวงแรงงานกล่าวว่าขอให้ตน “เย็นให้พอ รอให้ได้” เพราะรัฐบาลนี้ทำงานโดยยึดหลักกฎหมาย แล้วรัฐบาลจะออกมาให้คำมั่นเช่นนี้ได้อย่างไร นี่คือความย้อนแย้งหรือไม่ แล้วจะไม่ให้ตนกล่าวว่าเป็นการให้ความหวังกับพี่น้องแรงงานแบบลมๆ แล้งๆ ได้อย่างไร

 

เซียกล่าวต่อไปว่า เหตุการณ์นี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่รัฐบาลเศรษฐาให้ความหวังกับพี่น้องแรงงานแบบลมๆ แล้งๆ เช่นเมื่อวันที่ 26 มีนาคม 2567 รัฐบาลออกข่าวตีปี๊บใหญ่โตว่าได้อนุมัติปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเป็น 400 บาทต่อวันแล้วใน 10 จังหวัด แต่ที่จริงเป็นการขึ้นแค่บางพื้นที่ในจังหวัดนั้นๆ และขึ้นเฉพาะธุรกิจโรงแรม 4 ดาวที่มีลูกจ้าง 50 คนขึ้นไป อีกทั้งพื้นที่ที่ปรับขึ้นส่วนใหญ่ก็เป็นพื้นที่เมืองที่ปกติได้รับค่าแรงเกิน 400 บาทอยู่แล้ว

 

ขณะที่เมื่อวันที่ 22 เมษายน 2567 ก็มีข่าวว่ารัฐมนตรีว่ากระทรวงแรงงานจะประกาศเซอร์ไพรส์ใหญ่ในวันแรงงานสากล 1 พฤษภาคม โดยจะปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำทั่วประเทศเป็น 400 บาท ซึ่งสุดท้ายต้องออกมาแก้ข่าวว่าเป็นการสื่อสารที่คลาดเคลื่อน นี่คือความสับสนและความไม่ชัดเจนที่รัฐบาลเศรษฐาก่อขึ้นเอง ให้ความหวังกับพี่น้องแรงงานเอง เมื่อมีพี่น้องแรงงานและผู้ประกอบการ SME สะท้อนข้อกังวลจากความไม่แน่นอนเช่นนี้ขึ้นมา ตนก็แค่สื่อสารความทุกข์ร้อนเหล่านั้นออกไป แล้วจะมาบอกให้ตน “เย็นให้พอ รอให้ได้” ได้อย่างไร

 

ท่านโฆษกฯ อย่าพูดเพื่อเอาใจนายโดยไม่ลืมหูลืมตา ขอให้รัฐบาล รัฐมนตรี รวมถึงท่านโฆษกฯ ออกมาจากห้องแอร์ เปิดใจมองเรื่องนี้ให้รอบด้าน รับฟังเสียงพี่น้องแรงงานบ้าง ยอมรับความจริงว่าจากสภาพค่าครองชีพปัจจุบัน ค่าแรงขั้นต่ำต้องสูงขึ้นกว่านี้ได้แล้ว ความเดือดร้อนของพี่น้องแรงงานรอไม่ได้ ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าเทอมลูก ค่าเช่าบ้าน ค่าสินค้าอุปโภคบริโภค มันรอไม่ได้ ต้องจ่ายเป็นประจำ ท่านให้สัญญาครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ก็ผิดสัญญาครั้งแล้วครั้งเล่า แล้วมาบอกให้ผมกับพี่น้องแรงงาน ‘เย็นให้พอ รอให้ได้’ ใครจะมาเย็นกับท่านครับ” เซียกล่าว

 

เซียกล่าวทิ้งท้ายว่า ตนและพรรคก้าวไกลให้ความสำคัญกับพี่น้องแรงงานตลอดมา จึงได้เสนอร่างแก้ไข พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงานเข้าสภาฯ ซึ่งหนึ่งในสาระสำคัญคือการจัดตั้งกลไก “การปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำแบบอัตโนมัติทุกปี” ผ่านสูตรคำนวณที่อ้างอิงตัวชี้วัดสำคัญ เช่น การเติบโตทางเศรษฐกิจ หรือค่าครองชีพที่เพิ่มขึ้น ซึ่งจะเป็นประโยชน์กับทุกฝ่าย คือ แรงงานไม่ต้องลุ้นปีต่อปีว่าปีนี้ค่าแรงจะขึ้นเท่าไร รายได้จะโตทันรายจ่ายหรือไม่ ขณะที่ผู้ประกอบการก็คาดการณ์ต้นทุนและวางแผนธุรกิจไปข้างหน้าได้ ทำให้เศรษฐกิจในภาพรวมเติบโตอย่างมีเสถียรภาพและเติบโตสำหรับทุกคน อย่างไรก็ตาม เป็นเรื่องน่าเสียดายที่ร่างฯ ดังกล่าวไม่ผ่านความเห็นชอบในสภาฯ ตั้งแต่วาระ 1 แต่ตนและพรรคก้าวไกลยืนยันว่าจะทำงานอย่างหนักต่อไปผ่านกลไกกรรมาธิการ และการประสานงานร่วมกับภาคส่วนต่างๆ เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของพี่น้องแรงงานทุกคนให้ดียิ่งขึ้น

 

#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #ค่าแรงขั้นต่ำ #กระทรวงแรงงาน #ก้าวไกล

วันพุธที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2567

“รัฐบาลเก่าผ่านไป รัฐบาลใหม่จะทำให้ชีวิตคนทำงานดีขึ้นกี่โมง?”

 


“รัฐบาลเก่าผ่านไป รัฐบาลใหม่จะทำให้ชีวิตคนทำงานดีขึ้นกี่โมง?”


วันนี้ (1 พ.ค. 67) เวลา 17.00 น. ที่ลานหน้า หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร สหภาพคนทำงานจัดกิจกรรม รวมทุกความหวัง ความฝัน และข้อเสนอของคนทำงาน #Mayday2024 


โดยส่งสารว่า

- หากเราอยากมีงานที่มั่นคง มีคุณค่า และสวัสดิการดี

- หากเราอยากมีค่าแรงที่เพียงพอต่อการดำรงชีวิต

- หากเราอยากเห็นคนทำงานรวมตัวคานอำนาจรัฐและทุนและเสนอทางเลือกใหม่

- หากเราอยากเห็นบุคลากรทางการแพทย์มีชั่วโมงทำงานที่น้อยลง

- หากเราอยากเห็นแรงงานเป็นสว. และเขียนรัฐธรรมนูญใหม่

- หากเราอยากเป็นคนทำงานที่เข้าถึงทำแท้งปลอดภัย

- หากเราอยากเห็นพนักงานค้าบริการเข้าถึงสิทธิและสวัสดิการ

- หากเราอยากรู้สึกปลอดภัยในสังคมนอกกล่องเพศ

- หากเราอยากเห็น #นิรโทษกรรมประชาชน

#เราทุกคนคือคนทำงาน


สำหรับกิจกรรมภายในงาน มีการออกบูธ อาทิ 


เสี่ยง ”เซียมซีคนทำงาน“

ลองเกิดใหม่เป็นเพื่อนคนทำงานอาชีพต่างๆและจินตนาการกันดูว่าชีวิตของพวกเขาเป็นอย่างไร


เล่นเกม ”เธอและฉันฝันถึงชีวิตที่ดีกว่า“ 

เล่าเรื่องความจริงและความฝืนของคุณไปกับเพื่อนๆสร้างเป็นภาพบนผืนผ้าขนาดใหญ่


และบูธกิจกรรมจากองค์กรต่าง ๆ ประกอบด้วย iLaw, ทำทาง, สหภาพแพทย์ผู้ปฏิบัติงาน, สังคมนิยมแรงงาน, Non-Binary Thailand, Thumbrights, Empower และโมกหลวงริมน้ำ


ซึ่งบรรยากาศเป็นไปอย่างคึกคัก นอกเหนือจาก ที่ตั้งใจมาร่วมงานยังมีประชาชนที่สัญจรผ่านไปมาแวะเข้ามาร่วมกิจกรรมด้วย โดยยุติกิจกรรมเวลา 20.00 น. 


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #สหภาพคนทำงาน #WorkersUnion #วันแรงงานสากล #mayday2024





“พิจารณ์” เผยผลประชุม กมธ.ถ่ายโอนธุรกิจกองทัพฯ เชิญ 3 หน่วยงานร่วมถกเรื่องถ่ายโอน “สนามงู” ทอท.ชี้มีแผนสร้างแท็กซี่เวย์คู่ขนาน ยกระดับดอนเมืองรับผู้โดยสารเพิ่มปีละ 3 ล้านคน เงินสะพัดอย่างน้อย 6 พันล้านบาท เทียบกับรายได้สนามกอล์ฟแค่ปีละ 20 ล้าน

 


“พิจารณ์” เผยผลประชุม กมธ.ถ่ายโอนธุรกิจกองทัพฯ เชิญ 3 หน่วยงานร่วมถกเรื่องถ่ายโอน “สนามงู” ทอท.ชี้มีแผนสร้างแท็กซี่เวย์คู่ขนาน ยกระดับดอนเมืองรับผู้โดยสารเพิ่มปีละ 3 ล้านคน เงินสะพัดอย่างน้อย 6 พันล้านบาท เทียบกับรายได้สนามกอล์ฟแค่ปีละ 20 ล้าน


วันที่ 1 พฤษภาคม 2567 พิจารณ์ เชาวพัฒนวงศ์ รองหัวหน้าพรรคก้าวไกล ในฐานะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางการถ่ายโอนธุรกิจของกองทัพฯ เปิดเผยและให้ความเห็นต่อผลการประชุมคณะกรรมาธิการฯ ที่เกิดขึ้นเมื่อวานนี้ ในกรณีการถ่ายโอนสนามกอล์ฟกานตรัตน์ หรือ “สนามงู” ที่อยู่กึ่งกลางระหว่างสองรันเวย์ของสนามบินดอนเมือง โดยมีการเชิญตัวแทนจากกองทัพอากาศ สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (กพท.) และบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) (ทอท.) มาให้ความเห็น


พิจารณ์ระบุว่า การประชุมเมื่อวานนี้โดยหลักแล้วเป็นการสอบถามความเห็นจากทั้ง 3 หน่วยงานเกี่ยวกับการถ่ายโอนสนามกอล์ฟกานตรัตน์ แบ่งเป็น 2 ประเด็นหลักคือด้านความปลอดภัยและการใช้ประโยชน์ในพื้นที่ เริ่มจากตัวแทนของกองทัพอากาศที่ชี้แจงว่า การมีอยู่ของสนามกอล์ฟกานตรัตน์ไม่ส่งผลต่อปัญหาด้านความปลอดภัย โดยอ้างอิงกฎระเบียบขององค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (ICAO) ในภาคผนวกที่ 17 ว่าด้วยมาตรฐานความปลอดภัย (security) ซึ่งกองทัพอากาศระบุว่าได้ทำถูกต้องทุกอย่างแล้ว เช่น กำหนดให้มีการตรวจค้นผู้เล่นที่จะเข้าพื้นที่เฝ้าระวัง การอบรมผู้ช่วยนักกอล์ฟหรือแคดดี้ ดังนั้น ในแง่มาตรฐานความปลอดภัยถือว่าผ่านเกณฑ์ ไม่มีอะไรน่ากังวล


ส่วนในด้านการใช้ประโยชน์ กองทัพอากาศมองว่า ทอท.ยังไม่มีความชัดเจนว่าจะใช้ประโยชน์จากพื้นที่สนามกอล์ฟกานตรัตน์อย่างไร ดังนั้น การถ่ายโอนสนามกอล์ฟกานตรัตน์ให้ ทอท.น่าจะเป็นภาระมากกว่าการใช้ประโยชน์ ขณะที่การให้กองทัพอากาศใช้ประโยชน์ต่อไปจะเป็นประโยชน์มากกว่า


พิจารณ์กล่าวต่อไปว่า อย่างไรก็ตาม ตัวแทนจาก กพท.ได้แสดงข้อกังวลถึงปัญหาด้านความปลอดภัย โดยอ้างอิงกฎระเบียบของ ICAO ในภาคผนวกที่ 14 ที่ระบุว่า จากกึ่งกลางของรันเวย์สองข้างต้องมีพื้นที่โล่งข้างละ 140 เมตร เพื่อป้องกันไม่ให้เครื่องบินชนกับวัตถุอื่นหากเกิดกรณีเครื่องบินลงจอดแล้วลื่นไถลออกนอกรันเวย์


ทั้งนี้ ต้องยอมรับว่าทั้งสนามกอลฟ์กานตรัตน์และสนามบินดอนเมืองต่างก็เกิดขึ้นมาก่อนการกำหนดมาตรฐานของ ICAO เพียงแต่มีการชดเชยตามเงื่อนไขที่ ICAO ยอมรับว่าเป็นความเสี่ยงภัยที่ยอมรับได้ โดยสนามบินดอนเมืองได้ชดเชยให้ผิวรันเวย์มีแรงเสียดทานเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า และปัจจุบันมีแผนดำเนินการที่จะขยับรางน้ำออกไปให้อยู่ในระยะ 105 เมตร แต่ด้วยความที่ยังไม่ถึง 140 เมตรตามมาตรฐาน การมีอยู่ของสนามกอล์ฟกานตรัตน์จึงเป็นอุปสรรคในการดำเนินการตามมาตรฐานของ ICAO ให้เป็นไปโดยสมบูรณ์


พิจารณ์ระบุต่อไปว่า ขณะที่ตัวแทนจาก ทอท.ได้ชี้แจงในประเด็นสำคัญ โดยโต้แย้งกองทัพอากาศว่า ทอท.มีแผนที่จะใช้พื้นที่บริเวณสนามกอล์ฟกานตรัตน์ทำทางขับคู่ขนาน (parallel taxiway) ไปกับรันเวย์ทั้งสองข้าง เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการรองรับเที่ยวบินของสนามบินดอนเมือง จากเดิม 60 เที่ยวบินต่อชั่วโมง กลายเป็น 70-75 เที่ยวบินต่อชั่วโมง


นอกจากนี้ ทอท.ยังระบุว่า ทุก 1 เที่ยวบินที่เพิ่มขึ้นต่อชั่วโมงจะเท่ากับจำนวนผู้โดยสารที่เพิ่มขึ้น 1 ล้านคนต่อปี หากประเมินในแง่มูลค่าทางเศรษฐกิจ อาจไม่จำเป็นต้องคำนวณเที่ยวบินที่จะเพิ่มขึ้น 10-15 เที่ยวต่อชั่วโมงก็ได้ เพราะในความเป็นจริงเที่ยวบินเหล่านั้นก็ไม่ได้เป็นเที่ยวบินพาณิชย์ทั้งหมด อย่างน้อยคำนวณแค่ 3 เที่ยวบินต่อชั่วโมงก็พอ เมื่อคูณเข้าไปจะมีผู้โดยสารเพิ่มขึ้นถึง 3 ล้านคนต่อปีเป็นอย่างน้อย และมูลค่าทางเศรษฐกิจที่ประเมินได้จากการใช้จ่ายของผู้โดยสารจะตกอยู่ประมาณ 6,000-10,000 ล้านบาทต่อปี


พิจารณ์กล่าวต่อไปว่า เมื่อเปรียบเทียบระหว่างรายได้ปัจจุบันของสนามกอล์ฟกานตรัตน์ที่ในปี 2566 มีรายได้ราว 20 ล้านบาท และมีการส่งเข้ากองทุนสวัสดิการกองทัพอากาศ 5.5 ล้านบาท กับ 6,000-10,000 ล้านบาทต่อปีจากการให้ ทอท.ใช้ประโยชน์ จะเห็นถึงความแตกต่างอย่างเห็นได้ชัด


อย่างไรก็ตาม ทางคณะกรรมาธิการฯ ยังต้องพิจารณาศึกษาเรื่องนี้เพิ่มเติมอีก และจำเป็นต้องขอข้อมูลเพิ่มเติมจาก ทอท.ให้ชี้แจงรายละเอียดเป็นเอกสารว่าอาศัยวิธีการคำนวณแบบใด ขณะที่กองทัพอากาศก็แย้งว่าสนามบินดอนเมืองไม่สามารถเพิ่มเที่ยวบินต่อชั่วโมงอย่างที่ ทอท.กล่าวอ้างได้ เพราะมีข้อจำกัดด้านการจราจรทางอากาศ ซึ่งคณะกรรมาธิการฯ จะขอข้อมูลจากบริษัทวิทยุการบินแห่งประเทศไทยต่อไปเช่นกันว่าเป็นเช่นนั้นจริงหรือไม่


“ถ้าเอาความปลอดภัยเป็นที่ตั้ง การยกเลิกสนามงูจะทำให้ความปลอดภัยของสนามบินดอนเมืองสูงขึ้น จะทำให้รางน้ำตามแนวรันเวย์สามารถขยับมาอยู่ในแนวที่ห่างจากจุดกึ่งกลางรันเวย์ 140 เมตรได้ ส่วนเรื่องการเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจเป็นเรื่องที่ยังต้องพิสูจน์กันในแง่คณิตศาสตร์ ว่าการลงทุนให้เกิดทางแท็กซี่คู่ขนานจะเพิ่มขีดความสามารถในการรองรับเที่ยวบินต่อชั่วโมงได้หรือไม่ หากทำได้จริง เพียงแค่ 3 เที่ยวบินต่อชั่วโมง เรากำลังพูดถึงผู้โดยสารถึง 3 ล้านคนที่เพิ่มขึ้นต่อปี ซึ่งเป็นเม็ดเงินอย่างน้อย 6 พันล้านบาทต่อปี” พิจารณ์กล่าว


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #กมธ #ธุรกิจกองทัพ

จม.จากแดน 4 "อานนท์" เขียนถึงลูก พ่อถูกลงโทษจากการพูดความจริง อีก 2 ปี รวม 3 คดี เกิน 10 ปี เผยจิตใจพ่อยังเข้มแข็ง บ่นเมื่อไหร่อากาศร้อนอบอ้าวจะหมดไป

 


จม.จากแดน 4 "อานนท์" เขียนถึงลูก พ่อถูกลงโทษจากการพูดความจริง อีก 2 ปี รวม 3 คดี เกิน 10 ปี เผยจิตใจพ่อยังเข้มแข็ง บ่นเมื่อไหร่อากาศร้อนอบอ้าวจะหมดไป 


เมื่อวันที่ 30 เมษายน 2567 เพจเฟสบุ๊ค"อานนท์ นำภา" โพสรูปจดหมายจากเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ พร้อมข้อความระบุว่า


เขียนตอน 4 ทุ่มของคืนวันที่ 29 เม.ย. 2567 พ่อทนความร้อนไม่ไหวต้องลุกมาอาบน้ำในบล็อกของเรือนนอน โชคดีได้แป้งเย็นของน้าคนหนึ่งในห้องเดียวกัน ได้โรยตัวด้วยแป้งเย็นหลังอาบน้ำใหม่ สติปัญญาค่อยกลับมา เมื่อไหร่อากาศร้อนผ่าวแบบนี้จะหมดไป เฮ้อ…


ปราณและขาลลูกรัก วันนี้พ่อไปฟังคำพิพากษาคดีม.112 ที่ศาลอาญากรุงเทพใต้ ได้โทษทัณฑ์จากการพูดความจริงมาอีก 2 ปี รวม 3 คดีตอนนี้ก็เกิน 10 ปีเป็นที่เรียบร้อย เหลือที่ยังไม่ได้ตัดสินอีก 10 กว่าคดี ไม่ว่าจะตัดสินอย่างไร โทษที่ออกมามันก็เป็นเพียงตัวเลขเท่านั้น การติดคุกของพ่อคือการรับโทษไม่ใช่การรับผิด การพูดความจริงเพื่อประโยชน์สาธารณะในประเทศประชาธิปไตยไม่มีทางเป็นความผิดไปได้ 


อย่างไรก็ตามในอีกมุมหนึ่งการที่พ่อยังอยู่ในคุกและจำนวนโทษที่ค่อยๆสูงขึ้นมันก็ช่วยสะท้อนถึงปัญหาของสังคมไทยเป็นอย่างดี ลูกทั้งสองไม่ต้องเป็นห่วง พ่อติดคุกด้วยความมุ่งหมายและจุดหมายที่ตั้งมั่น ความเข็มแข็งของจิตใจยังมีอยู่อย่างเหลือเชื่อ ยิ่งได้รับกำลังใจอันมากมายจากมิตรสหายและรับทราบว่าทุกคนกำลังต่อสู้ตามวิถีของตน ยิ่งทำให้ไฟการต่อสู้ในใจพ่อลุกโชน


ใกล้เปิดเทอมแล้ว ปีนี้เจ้าปราณก็จะได้ขึ้นป.3 ส่วนเจ้าขาลย่างเข้าขวบปีที่ 2 รออีกปีนิดๆก็จะได้เข้าอนุบาลแล้ว ความยากลำบากของแม่ของพวกเธอก็จะมากขึ้นไปด้วย ฝากพวกเธอทั้งสองคนให้กำลังใจแม่ด้วย ตอนที่แม่ขับรถไปส่ง ปราณต้องไม่ลืมรัดเข็มขัดนิรภัยและต้องให้น้องนั่งในคาร์ซีทเท่านั้น และห้ามเล่นกันรบกวนแม่เด็ดขาด


พ่อคงต้องนอนแล้ว เมื่อเช้าตื่นเช้ากว่าปกติ พรุ่งนี้คงต้องตื่นเช้าเพราะต้องถูกเบิกตัวไปทำหน้าที่ทนายความให้พี่คนหนึ่งที่โดนม.112 จากการร้องเพลงหน้าเรือนจำ หลับฝันดีทั้งสามคน


รักและคิดถึง

อานนท์ นำภา


สำหรับ อานนท์ นำภา ทนายความจากศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน นั้น ขณะนี้ถูกคุมขังอยู่ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพ ภายหลังศาลอาญาพิพากษาจำคุก 4 ปี ปรับเป็นเงิน 20,000 บาท โดยไม่รอลงอาญา ในคดี #มาตรา112 เมื่อวันที่ 26 กันยายน 2566 เหตุจากการขึ้นปราศรัยใน #ม็อบ14ตุลา63


ต่อมา 17 ม.ค. 67 ศาลอาญาสั่งจำคุก "อานนท์ นำภา" เพิ่มอีก 4 ปี จากคดีมาตรา 112 กรณีโพสต์เฟซบุ๊กปี 2564 โดยให้บวกโทษเก่าอีก 4 ทำให้อานนท์มีโทษจำคุกรวมแล้ว 8 ปี


โดยล่าสุดเมื่อวันที่ 29 เม.ย. 2567 เวลา 09.00 น. ศาลอาญากรุงเทพใต้ นัดฟังคำพิพากษาคดีของ อานนท์ นำภา ทนายความสิทธิมนุษยชน และหนึ่งในแกนนำกลุ่มคณะราษฎร 2563 วัย 39 ปี หลังถูกฟ้องใน 4 ข้อกล่าวหา ได้แก่ หมิ่นประมาทกษัตริย์ฯ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112, ฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ, พ.ร.บ.โรคติดต่อฯ และ ใช้เครื่องขยายเสียงโดยไม่ได้รับอนุญาต เหตุมาจากการปราศรัยถึงข้อเรียกร้องปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ ในกิจกรรม ‘เสกคาถาผู้พิทักษ์ปกป้องประชาชน’ หรือ #ม็อบแฮร์รี่พอตเตอร์2 ที่ลานหอศิลปวัฒนธรรมกรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 3 ส.ค. 2564


ศาลพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดทุกข้อหาตามฟ้อง พิพากษาจำคุกรวม 3 ปี 1 เดือน ปรับ 150 บาท ก่อนลดเพราะให้การเป็นประโยชน์ เหลือจำคุก 2 ปี 20 วัน และปรับ 100 บาท


ทำให้ปัจจุบันอานนท์ถูกลงโทษจำคุกรวมทั้งสิ้น 10 ปี 20 วันแล้ว เมื่อรวมกับสองคดีในข้อหามาตรา 112 ที่ศาลอาญามีคำพิพากษาลงโทษจำคุกคดีละ 4 ปี ไปเมื่อวันที่ 26 ก.ย. 2566 และ 17 ม.ค. 2567 ที่ผ่านมา


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #อานนท์นำภา #นิรโทษกรรมประชาชน

ราชกิจจานุเบกษา ประกาศแต่งตั้ง "มาริษ เสงี่ยมพงษ์" เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ คนใหม่

 


ราชกิจจานุเบกษา ประกาศแต่งตั้ง "มาริษ เสงี่ยมพงษ์" เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ คนใหม่


วันนี้ 1 พฤษภาคม 2567 ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ประกาศแต่งตั้งรัฐมนตรี โดยมีรายละเอียดดังนี้


พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศว่า ตามที่ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งนายเศรษฐา ทวีสิน เป็นนายกฯ และแต่งตั้งรัฐมนตรีเพื่อบริหารราชการแผ่นดินนั้น


บัดนี้นายกฯ ได้กราบบังคับทูลว่ารัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศได้ลาออกจากตำแหน่ง สมควรแต่งตั้งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศแทนตำแหน่งที่ว่าง เพื่อความเหมาะสมและบังเกิดประโยชน์ต่อการบริหารราชการแผ่นดิน


อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 158 ของรัฐธรรมนูญ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ


ทั้งนี้ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป


ประกาศ ณ วันที่ 30 เมษายน พุทธศักราช 2567 เป็นปีที่ 9 ในรัชกาลปัจจุบัน


ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ

เศรษฐา ทวีสิน

นายกรัฐมนตรี


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ 

เจ็บจำ ถูกทำร้าย ต้องวางวาย อีกกี่คน? ตอนนั้น 19 พฤษภา 53 คุณทำอะไรอยู่ #14ปีเมษาพฤษภา53 ตอนนี้ คุณอยากพูดอะไรกับวีรชนคนเสื้อแดง #14ปีคนฆ่ายังลอยนวล

 


เจ็บจำ ถูกทำร้าย ต้องวางวาย อีกกี่คน?

ตอนนั้น 19 พฤษภา 53 คุณทำอะไรอยู่ #14ปีเมษาพฤษภา53

ตอนนี้ คุณอยากพูดอะไรกับวีรชนคนเสื้อแดง #14ปีคนฆ่ายังลอยนวล

 

ก่อนที่เราจะไปพบกันวันอาทิตย์ที่ 19 พฤษภาคม 2567 ที่ราชประสงค์ บริเวณใต้สะพานลอย ฝั่งเซ็นทรัลเวิลด์

 

คุณอาจจะอยู่ร่วมในเหตุการณ์จริงในห้วงเวลาสลายการชุมนุมปี 53 หรืออาจจะไม่อยู่

 

คุณอาจจะเคยไม่สนใจการออกมาต่อสู้ของคนเสื้อแดง

 

คุณอาจจะเคยเห็นต่างจากคนเสื้อแดง

 

และวันเวลาดำเนินไปจนถึงขณะนี้ 1 พฤษภาคม 2567 สถานการณ์บ้านเมืองทำให้การรับรู้ของพวกเราประชาชนสะท้อนแก่นปัญหาของประเทศชาติมากขึ้น

 

ยูดีดีนิวส์ - UDD news ชวนเชิญพี่น้องประชาชนโพสคลิปหรือข้อความบอกเล่าเรื่องราว

 

ตอนนั้น 19 พฤษภา 53 คุณทำอะไรอยู่

พร้อมติดแฮชแท็ค #14ปีเมษาพฤษภา53

 

ตอนนี้ คุณอยากพูดอะไรกับวีรชนคนเสื้อแดง

พร้อมติดแฮชแท็ค #14ปีคนฆ่ายังลอยนวล

 

โดยโพสลงในช่องทางออนไลน์ของท่าน อย่าลืมติดแฮชแท็ค #14ปีเมษาพฤษภา53 #14ปีคนฆ่ายังลอยนวล

 

หรือคอมเมนท์ที่ใต้โพสของเพจ ยูดีดีนิวส์-UDD news เราจะนำมารวบรวม เพื่อสื่อสารกับพี่น้องที่ไปร่วมงาน สดุดีรำลึกวีรชนในวันที่ 19 พฤษภาคม 2567 ที่จะถึงนี้

 

ขอเชิดชูทุกวีรกรรม

ขอสรรเสริญทุกวีรชน

 

#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #คปช53 #นปช #คนเสื้อแดง

เครือข่ายแรงงานเพื่อสิทธิประชาชนพร้อมแนวร่วม ฉลองมหาสงกรานต์แรงงานสากล หน้าทำเนียบ เรียกร้อง 10 ข้อรัฐบาลไทย ลั่น ค่าจ้างขั้นต่ำ 400 บาท ทั่วประเทศกี่โมง

 


เครือข่ายแรงงานเพื่อสิทธิประชาชนพร้อมแนวร่วม ฉลองมหาสงกรานต์แรงงานสากล หน้าทำเนียบ เรียกร้อง 10 ข้อรัฐบาลไทย ลั่น ค่าจ้างขั้นต่ำ 400 บาท ทั่วประเทศกี่โมง

 

วันนี้ (1 พฤษภาคม 2567) ที่ถนนพิษณุโลก เครือข่ายแรงงานเพื่อสิทธิประชาชน พร้อมกลุ่มสหภาพแรงงานย่านรังสิตและใกล้เคียง, กลุ่มไรเดอร์และคนโรงงาน, กลุ่มคนงานข้ามชาติ Bright Future (แรงงานชาวเมียนมา) และกลุ่มแรงงานชาวกัมพูชา จัดกิจกรรม ‘มหาสงกรานต์ แรงงานสากล’ เดินขบวนกลางกทม. จากถนนพิษณุโลก ซอย 7 ไปยังทำเนียบรัฐบาล เนื่องในวันกรรมกรสากล 1 พฤษภาคม 2567

 

โดยเมื่อขบวนมาถึงสะพานชมัยมรุเชฐ ขบวนได้หยุดทำกิจกรรมกันที่นี่ เนื่องจากเจ้าหน้าที่ตำรวจนำแผงรั้วเหล็กมากั้นพร้อมทั้งเจ้าหน้าที่ยืนตั้งแนวเพื่อไม่ให้ขบวนข้ามไปถึง หน้าทำเนียบรัฐบาล

 

สำหรับการเคลื่อนขบวนมายังทำเนียบ ก็เพื่อส่งเสียงเรียกร้องรัฐบาลเศรษฐาเพิ่มค่าจ้างให้สูงขึ้น ปกป้องคุ้มครองสิทธิคนงานไรเดอร์ คุ้มครองแรงงานข้ามชาติให้ได้รับสิทธิตามกฎหมายแรงงาน รวมถึงมีการสลับกันปราศรัยของแกนนำกลุ่มสหภาพแรงงานย่านรังสิต ไรเดอร์ แรงงานข้ามชาติพม่า - กัมพูชา และแรงงานคนรุ่นใหม่

 

สำหรับบรรยากาศทั่วไป แรงงานชาวไทย ได้ทำป้ายเรียกร้อง เป็นสแตนดี้รูปนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี พร้อมข้อเรียกร้องค่าแรงขั้นต่ำ 400 บาท จะขึ้นกี่โมง

 

ขณะที่ แรงงานชาวเมียนมาที่ร่วมขบวนในครั้งนี่ ได้ถือธง NUG รัฐบาลเงาเมียนมา พร้อมรูปนางอองซาน ซูจี ซึ่งมีตัวแทนขึ้นปราศรัยเป็นภาษาเมียนมา ขณะที่มวลชนนำรูป พล.อ.อาวุโส มิน อ่อง หล่าย ผู้นำทหารเมียนมา เหยียบลงบนถนน ตลอดการฟังปราศรัย

 

ด้านน.ส.ธนพร วิจันทร์ แกนนำเครือข่ายแรงงานเพื่อสิทธิประชาชน เป็นตัวแทนอ่านแถลงการณ์ วันกรรมกรสากล 2024 เน้นย้ำว่า วันที่ 1 พฤษภาคมวันนี้ เครือข่ายแรงงานฯ ใช้คำว่าวันกรรมกรสากล ไม่ใช่วันแรงงานแห่งชาติ เพราะมองว่าไม่ใช่วันของแรงงานชาติใดชาติหนึ่ง โดยมีรายละเอียดระบุว่า ในนามของกรรมกรทุกอาชีพ และทุกสัญชาติเรียกร้องรัฐบาลไทย 10 ข้อ

 

1. ต้องให้สัตยาบันอนุสัญญา ILO ฉบับที่ 87 และ 98 และผ่านกฎหมายที่เกี่ยวข้องเพื่อคุ้มค สิทธิเสรีภาพการรวมกลุ่มสำหรับคนทุกสัญชาติอย่างเท่าเทียม

 

2. คุ้มครองสิทธิมนุษยชนของแรงงานข้ามชาติในการแสดงออกทางการเมือง และระงับการร่วม มือกับเผด็จการในเมียนมา กัมพูชาและรัฐบาลเพดิจการอื่น ๆ โดยเฉพาะในเรื่องการปราบปราบประชาชนชาวต่างชาติภายในประเทศไทย

 

3. ต้องบังคับใช้กฎหมายแรงงานเพื่อคุ้มครองสิทธิของแรงงานอย่างจริงจัง โดยเฉพาะในกรณีของการจ่ายค่าชดเชยการเลิกจ้าง ค่าแรง เงินประกันสังคม เป็นต้น

 

4. ต้องยืนหยัดในประชาธิปไตยสากล ปล่อยตัวผู้ต้องขังทางการเมือง ปกป้องสิทธิในการแสดงออก เดินหน้าภารกิจด้านมนุษยธรรมและพลักดันสันติภาพไร้พรมแดน

 

5. ต้องรับรองหลักการค่าจ้างเพื่อการดำรงชีวิต โดยปรับเพิ่มค่าจ้างขั้นต่ำให้สูงขึ้นเพียงพอสำหรับการดำรงชีพอย่างมีศักดิ์ศรีของคนทำงานและครอบครัว

 

6. ต้องผลักดันสิทธิลาคลอด 180 วันแบบแบ่งกันลาได้ จนเป็นกฎหมายบังคับใช้

 

7. ต้องแก้ไขกฎหมายคุ้มครองแรงงานให้ครอบคลุมแรงงานทุกอาชีพและอัตลักษณ์เท่าเทียมกันรวมถึงการปรับลดเพดานชั่วโมงการทำงานโดยไม่ลดค่าจ้างจากเดิม

 

8. เก็บภาษีอัตราก้าวหน้าและภาษีมั่งคั่งเพื่อจัดทำรัฐสวัสดิการถ้วนหน้าของทุกคน

 

9. ยกเลิกกฎหมายปราบปรามค้าประเวณี คุ้มครองผู้ค้าบริการในฐานะแรงงาน

 

10. ต้องผลักดันการเขียนรัฐธรรมนูญฉบับประชาชนผ่านการเลือกตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญ ทั้งหมด โดยปราศจากการจำกัดควบคุมเนื้อหาการแก้ไขใดใดทั้งสิ้น

 

จากนั้น นายเจษฎา ศรีปลั่ง หรือเจมส์ แกนนำเครือข่ายคนรุ่นใหม่นนทบุรี ได้เตรียมปืนฉีดน้ำและขัน ชวนพี่น้องร่วมเล่นวันไหลทำเนียบ ใช้ปืนฉีดน้ำ และแป้งปะพรหมไปที่ รถของเจ้าหน้าที่ตำรวจ โดยขอความร่วมมือพี่น้องไม่ให้ฉีดน้ำหรือปะพรมแป้งไปที่ตัว ของเจ้าหน้าที่ตำรวจ อีกทั้งเชิญชวนพี่น้องมารดน้ำดำหัวและประพรมแป้งที่สแตนดี้ของนายกเศรษฐา อีกทั้ง เปิดเพลงรำวงก่อนที่จะยุติกิจกรรมในเวลา 11.30 น.

 

#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #วันแรงงานสากล #วันกรรมกร #เครือข่ายแรงงานเพื่ิอสิทธิประชาชน #Mayday