วันพุธที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2568

ธิดา ถาวรเศรษฐ : คนฆ่าประชาชนลอยนวลพ้นผิดทุกครั้งมาตลอดตั้งแต่ปี พ.ศ. 2490 จนบัดนี้ อย่าให้สิ่งนี้เกิดกับคนไทยในปัจจุบันและภายภาคหน้าอีกเลย!!!

 


ธิดา ถาวรเศรษฐ : คนฆ่าประชาชนลอยนวลพ้นผิดทุกครั้งมาตลอดตั้งแต่ปี พ.ศ. 2490 จนบัดนี้ อย่าให้สิ่งนี้เกิดกับคนไทยในปัจจุบันและภายภาคหน้าอีกเลย!!!


v เรื่องราวเหตุการณ์ “เมษา-พฤษภา53” เป็นความต่อเนื่องของการต่อสู้เมื่อปี 2552


v ข้อแตกต่างคือ การชูคำขวัญชัดเจนกว่า คือ “ยุบสภา คืนอำนาจให้ประชาชน”



v การชุมนุมครั้งนี้เกิดขึ้นหลังการสรุปบทเรียนปี 2552 ที่มีลัทธิวีรชนเอกชน ไร้วินัย แย่งกันเป็นผู้นำมวลชน โดยวิธีการไม่ถูกต้อง จึงเกิดการประชุมใหญ่เมื่อวันที่ 7-8 กรกฎาคม 2552 ที่ดิฉันได้ร่างนโยบาย 6 ข้อ และยุทธศาสตร์ 2 ขา เพื่อประชาธิปไตย ทำให้องค์กร นปช. เป็นแนวร่วมที่มีรูปการณ์ชัดเจนขึ้น เพราะมีหลักนโยบายที่ต้องปฏิบัติร่วมกัน


v ดังนั้นจึงมีกลุ่มอิสระเกิดขึ้นจำนวนหนึ่ง ซึ่งไม่เห็นด้วยกับนโยบายข้อ 3 ที่เน้นการต่อสู้ “สันติวิธี” ซึ่งบางกลุ่มก็เกินเลย จนมีผลต่อคนเสื้อแดงจำนวนหนึ่งที่ต้องการได้รับชัยชนะและมีผลด้านลบ ถูกฆ่า ข่มขู่ ติดคุก แต่ นปช. เป็นองค์กรมวลชนขนาดใหญ่ที่สุดที่มีการชุมนุมนับแสนคน และมีมวลชนสนับสนุนทั้งโดยการจัดตั้งแกนนำและการเปิดโรงเรียนการเมืองที่ดิฉันเป็นผู้ริเริ่มและดำเนินการ เพื่อเกิดความเป็นเอกภาพในการนำ ทิศทาง นโยบาย และดูแลประชาชนให้สงบเรียบร้อยด้วยหนักนโยบาย


v ดิฉันไม่ขึ้นปราศรัย แต่เป็นวิทยากรใหญ่ของโรงเรียนการเมืองนปช. ซึ่งต่างกับแกนนำจำนวนมากที่คิดว่าการได้ขึ้นเวทีปราศรัย ร้องเพลง เท่ากับเป็นแกนนำ


v ขบวนการเสื้อแดง นปช. แม้จะมีนโยบายร่วมกัน แต่ก็ยังมีความแตกต่างกันในวิธีคิด วิธีทำงาน และเป้าหมายการเป็นแกนนำเพื่ออะไร หรือเพิ่มค่าตัวในพรรค เพื่อให้นายใหญ่เห็นคุณค่าและสามารถเรียกร้องค่าตอบแทน กระทั่งหลอกลวงว่า ตนเองมีมวลชนในสังกัดมาก นี่เป็นทั้งแกนนำนปช.ทุกระดับและกลุ่มอิสระ สอดคล้องกับพรรคที่ต้องการใช้ นปช. คนเสื้อแดง เป็นเครื่องมือของพรรค ก็พยายามหาวิธีติดต่อกับแกนนำเสื้อแดงให้ขึ้นกับพรรคโดยตรง  เพราะนปช.ที่มีดิฉันเป็นประธาน ดูออกว่าเป็นพันธมิตรที่อิสระ ไม่ได้เป็นคนของพรรค และยังมีความขัดแย้งกันหลายเรื่องกับพรรคเพื่อไทย (อาทิ การแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2550, ปัญหาการนิรโทษสุดซอย, การให้ ICC ดำเนินการเรื่องปี 2553)


v อย่างไรก็ตาม การที่ถือว่าทหารเข้ามาแทรกแซงการตั้งรัฐบาลใหม่ที่มี อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรี แทนที่จะเป็นรัฐบาลเพื่อไทย ก็เป็นเหตุผลที่ฟังได้ว่า เราเรียกร้องให้คืนอำนาจให้ประชาชน ยุบสภา มีการเลือกตั้งใหม่ มีเหตุผลพอที่จะชอบธรรมในการขับเคลื่อนชุมนุมในเวลานั้น (มีนาคม-เมษายน-พฤษภาคม 2553)


v การชุมนุมของ นปช. คนเสื้อแดง ตามหลักนโยบายของเราที่ใช้ “สันติวิธี” ก็ดำเนินมาตลอดการชุมนุมจาก 13 มีนาคม 2553 – 19 พฤษภาคม 2553 ไม่มีกองกำลังอาวุธสู้รับกับเจ้าหน้าที่แต่ประการใด สื่อมวลชนทุกฝ่าย ทูตานุทูตทุกประเทศ และนักสังเกตการณ์ทั่วไป สามารถเดินเข้าออกในที่ชุมนุมได้โดยตลอด ไม่มีส่วนปิดบังอำพรางใด ๆ มีกองไม้ไผ่ ยางรถยนต์ของมวลชนทำขึ้นก็เพียงเพื่อป้องกันทหาร ไม่มีลักษณะรุกรานหรือสู้รบแต่ประการใด



v เหตุการณ์สำคัญในวันที่ 10 เมษายน 2553 นั้น เป็นผลจากความเสียหน้าของกองทัพ ที่ถูกยึดรถและอาวุธในวันที่ 9 เมษายน ที่ทหารไปยึดสถานีดาวเทียมไทยคม มีนายทหารบางคนอ้างว่าตนเองเก่งกาจในวันนั้น ที่แท้หนีขึ้นไปอยู่ส่วนบนหลังคาที่คนเสื้อแดงไม่ได้ตามไปเอาเรื่อง ซ่อนตัวเสร็จ คนเสื้อแดงกลับแล้ว จึงค่อยออกมาแสดงตัวว่า “ข้าเก่งกว่าใคร” วันนั้นเรายึดอาวุธ ถ่ายรูป แล้วคืนให้ทั้งหมด นี่น่าจะเป็นความอัปยศที่เห็นเหตุให้มีปฏิบัติการ 10 เมษายน โดยการใช้พลซุ่มยิง ใช้รถถัง และกระสุนจริง จนมีการเสียชีวิตจำนวนมาก (รวมทั้งทหาร) ผลที่สุดที่กู้แล้วว่า ทหารถูกระเบิด M67 2 ลูก ที่เป็นระเบิดขว้าง จนบัดนี้ก็จับตัวชายชุดดำที่ถูกหาว่าเป็นผู้กระทำไม่ได้ ได้แต่มโนไป แรกก็ว่าคนเสื้อแดงมีชายชุดดำยิง M79 ต่อมาก็มโนว่ามีคนไปขว้างระเบิดที่บ้านเรือนไทยเก่าตรงข้ามโรงเรียนสตรีวิทยา ซึ่งเป็นไปไม่ได้ที่จะพ้นสายตาทหารที่ยึดพื้นที่ตรงนั้นพร้อมรถหุ้มเกราะเต็มถนน



คิดเอาก็แล้วกันว่าใครขว้าง เพราะคนเสื้อแดงอยู่ไกลออกไปนับร้อย ๆ เมตร บริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ขว้างไม่ถึงหรอก ประชาชนที่เสียชีวิตส่วนใหญ่ก็เดินทางมาจากราชประสงค์ ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ว่าเขาจะฆ่าประชาชนจริง ๆ จนบัดนี้ลิเกหลอก ๆ เรื่องชายชุดดำที่ทำขึ้นหลังรัฐประหาร 2557 ก็เป็นมวยล้มต้มคนดูยกฟ้องหมด หรือไม่มีหลักฐานอันควรเชื่อได้


เอกสารที่อัยการส่งมาให้ดูในการประชุมกรรมาธิการการกฎหมายฯ มีการทำคดีที่ว่าด้วยเรื่องชายชุดดำหรือพวกเกี่ยวข้องคดีอื่น ๆ เช่น ขอนแก่นโมเดล, สาธารณรัฐ ฯลฯ แต่เรื่องคนเสื้อแดงที่ถูกกระทำ อัยการสั่งยุติคดีฟ้องร้องตั้งแต่หลังรัฐประหารเป็นต้นมา DSI และตำรวจก็เช่นกัน ยุติคดีหมด มีแต่คดีหาเรื่องคนเสื้อแดง ตอนนี้ยังมีคดีเหลืออยู่บ้าง ส่วนมากยกฟ้อง หรือสั่งไม่ลงโทษ เพราะไม่มีหลักฐานประจักษ์พยานเพียงพอ หรือพยานโจทก์ให้การขัดกันเอง

 

แต่คดีการทำร้ายประชาชนและเจ้าหน้าที่รัฐจำนวน 181 คดี สั่งฟ้องเพียง 13 คดี สั่งไม่ฟ้อง 16 คดี งดการสอบสวน 140 คดี DSI และอัยการต้องตอบประชาชนว่าทำไม???


v การแยกมาตั้งที่ชุมนุมอีกที่ที่ราชประสงค์ ก็เพื่อกดดันภาคธุรกิจการค้าด้วย แต่ก็ทำอย่างสันติ เดินเที่ยวเข้านอกออกในได้ มีการตรวจตราด้วยการ์ดและตำรวจ ไม่ได้พกอาวุธ ที่จับได้มีแต่พวกเจ้าหน้าที่รัฐ


v ดิฉันเห็นว่า “กิจกรรมแรลลี่” น่าประทับใจอย่างยิ่ง ที่ได้รับการต้อนรับจากประชาชนเป็นอย่างดี ขบวนยาวเหยียด มีความสง่างาม ผู้คนยิ้มแย้มแจ่มใส มีรถราคาแพงไปจนกระบะธรรมดา รถมอเตอร์ไซด์มีจำนวนมากร่าเริง ภาคภูมิใจ สง่าผ่าเผย น่าประทับใจอย่างยิ่ง ถ้าเป็นรัฐบาลที่มียางอายก็ต้องยอมแพ้ยุติไปแล้ว ไม่เหมือนรัฐบาลพลเอกชวลิต ยงใจยุทธ มีคนมาประท้วง 10 กว่าคนก็ลาออก ในกรณีลอยตัวค่าเงินบาท



v การชุมนุมยืดเยื้อจาก 13 มีนาคม 2553 ถึง 19 พฤษภาคม 2553 เป็นเวลายาวนานที่กระทบกระเทือนความเชื่อมั่นต่อนานาชาติ รัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะถูกกดดันให้เจรจากับ นปช. รวมทั้งตั้ง คอป. ซึ่งสองอย่างนี้ก็เป็นการแสดงลิงหลอกฝรั่งนั่นแหละ ไม่ใช่เรื่องจริง เพราะทหารเขียนชัดว่า การทำสงครามในเมืองครั้งนี้ ได้รับการสนับสนุนจากฝ่ายการเมืองเป็นอย่างดี ฝ่ายการเมืองไม่มีนโยบายยุติการชุมนุมด้วยการเจรจา ให้ใช้การทหารเต็มที่ ตั้งแต่ 13 พฤษภาคม เป็นต้นไป (อ้างอิง : วารสารเสนาธิปัตย์ ปีที่ 59 ฉบับที่ 3 กันยายน - ธันวาคม 2553)


v ถ้ามองในเชิงการสู้รบ (แบบที่รัฐบาลและทหารคิด) ที่ ๆ เราชุมนุมก็กลายเป็นฐานที่มั่นในเมืองที่จำเป็นต้องล้อมปราบในที่สุด เขาพยายามล้อมปราบที่เวทีผ่านฟ้ามาแล้ว เรียกว่า “ขอคืนพื้นที่” แต่ที่ราชประสงค์ เรียกว่า “กระชับพื้นที่” ทั้งหมดที่ทำ เป็นการใช้การทหารล้วน ๆ ไม่ใช้แม้แต่การทหารนำการเมือง ประมาณว่ารบกันกับประชาชนมือเปล่า เหมือนรบกับอริราชศัตรูที่ถืออาวุธด้วยกัน หรือเหมือนปราบคอมมิวนิสต์ในป่าในยุคสงครามเย็น (ซึ่งสุดท้ายก็ต้องเจรจาและใช้มติ 66/23 ให้อภัยหมด)


   ตรงข้ามกับคนเสื้อแดง มีแต่ปราบปรามเข่นฆ่าฝ่ายเดียว แล้วร้องตะโกนว่ามันมีชายชุดดำอย่างน้อย 500 คน ดังนั้นจึงต้องใช้อาวุธฆ่าคนได้ไปถึง 500 ศพ กระมัง!


v เวลาผ่านไปจนถึงเดือนพฤษภาคมจึงมาถึงจุดถกเถียงว่า ควรยุติการชุมนุมหรือไม่? หลังจากคุณวีระกานต์ไปเจรจาอยู่หลายรอบ แต่ก็ลากกันมาจนถึงวันที่ 13 พฤษภาคม


ช่วงเวลาใกล้ 13 พฤษภาคม ดิฉันได้รับการติดต่อจากวุฒิสมาชิกนายทหารใหญ่ แต่แกนนำคนสำคัญขอเวลาอีก 4 วัน (เพื่ออะไรไม่รู้?) จากนั้นทางรัฐบาลบอกว่ารัฐบาลอภิสิทธิ์กล่าวว่า “มันสายเสียแล้ว” เอาเป็นว่าดิฉันไม่อยากจะโทษแกนนำกันเองที่ไม่ยอมยุติในเวลาที่เหมาะสม แต่เสียดายภาวะการนำของคุณวีระกานต์ มุสิกพงศ์ ที่มีความสุขุมและเป็นนักต่อสู้ที่เยือกเย็น การลาออกจากประธาน นปช. ของท่าน จึงเป็นเรื่องน่าเสียดายอย่างยิ่ง เพราะในสามเกลอ คนที่มีวุฒิภาวะสูงสุดคือคุณวีระกานต์


ฝ่ายทหารดีใจที่จัดการคุณวีระกานต์ให้ลาออกได้ และวันที่ 13 พฤษภาคม ก็ยิง เสธ.แดง ที่พวกเขาถือว่าเป็นหัวหน้าฝ่ายทหารของคนเสื้อแดง ทั้ง ๆ ที่ เสธ.แดง ไม่เคยเข้าร่วมประชุมแกนนำ และไม่เคยขึ้นเวทีปราศรัยเลย



การยุติการชุมนุมในบ่ายวันที่ 19 พฤษภาคม ก็ยังเป็นเหตุให้มีการตาย 6 ศพ ที่วัดปทุมวนารามอีก อันเป็นการกระทำที่โหดเหี้ยมมาก ยิงฝ่ายเดียว ยิงพยาบาลอาสา ไม่มีชายชุดดำสักคน ไม่มีกระสุนสวนมาสักนัด ยิงสบาย ๆ บนรางรถไฟฟ้าหน้าวัดนั่นแหละ คงเพื่อทำตัวเลขให้ได้เกิน 100 ศพกระมัง  แล้วภูมิใจว่า นี่คือการชนะสงครามในเมืองที่เป็นแบบอย่างให้ประเทศอื่น น่าสมเพชที่สุดสำหรับทหารไทยในเวลานั้น

 

v และนี่เป็นเหตุที่ทำให้เราต้องพยายามฟื้นคดีความที่ถูกยุติจากปี 2557 เป็นต้นมา และต้องแก้กฎหมายพระธรรมนูญศาลทหาร ให้ทหารที่ทำความผิดอาญาต่อประชาชนขึ้นศาลยุติธรรมพลเรือน และนักการเมืองที่ทำความผิดอาญาต่อประชาชน (เกินกว่าการปฏิบัติหน้าที่ปกติ) ให้ขึ้นศาลยุติธรรมพลเรือนเหมือนประชาชนทั่วไป พวกคุณไม่ใช่พวกเทวดาที่ทำอะไรก็ถูกหมด และพวกเราก็ไม่ใช่ไส้เดือนกิ้งกือที่เหยียบขยี้ตามใจชอบ เราเป็นคนเท่ากันในระบอบประชาธิปไตย



อย่าให้สิ่งนี้เกิดกับคนไทยในปัจจุบันและภายภาคหน้าอีกเลย คนฆ่าประชาชนลอยนวลพ้นผิดทุกครั้งมาตลอดตั้งแต่ปี พ.ศ. 2490 จนบัดนี้ เราทวงความยุติธรรมในอดีตเพื่อปัญหาความยุติธรรมในปัจจุบันและอนาคต


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #15ปีเมษาพฤษภา53 #คนเสื้อแดง #คปช53