วันพฤหัสบดีที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2565

“เพื่อไทย” ติดป้าย 8 นโยบาย รับประชาชนกลับบ้านปีใหม่ 2566 “ประเสริฐ” มั่นใจ ปีหน้ารัฐบาลเพื่อไทยพร้อมพลิกคุณภาพชีวิตคนไทยทุกคน

 


“เพื่อไทย” ติดป้าย 8 นโยบาย รับประชาชนกลับบ้านปีใหม่ 2566 “ประเสริฐ” มั่นใจ ปีหน้ารัฐบาลเพื่อไทยพร้อมพลิกคุณภาพชีวิตคนไทยทุกคน


วันนี้ (29 ธ.ค. 2565) นายประเสริฐ จันทรรวงทอง ส.ส.นครราชสีมา และเลขาธิการพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า หลังจากที่พรรคเพื่อไทยได้เปิดตัววิสัยทัศน์รัฐบาลพรรคเพื่อไทยในปี 2570 โดยนางสาวแพทองธาร ชินวัตร ประธานคณะที่ปรึกษาด้านการมีส่วนร่วมและนวัตกรรม พรรคเพื่อไทย และหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย  ภายใต้แนวคิด ‘คิดใหญ่ ทำเป็น เพื่อไทยทุกคน : Think Big, Act Smart, For All Thais’ เมื่อวันที่ 6 ธันวาคม 2565 ที่ผ่านมา พบว่าได้รับการตอบรับจากพี่น้องประชาชนเป็นอย่างดี  ประชาชนต้องการเห็นความเปลี่ยนแปลงในคุณภาพชีวิต อยากเห็นความเปลี่ยนแปลงของประเทศ ไปในทิศทางที่ดีกว่าวันนี้  เพราะมีความเชื่อมั่นในพรรคเพื่อไทย พรรคที่คิดได้และทำเป็น  เป็นพรรคการเมืองที่พี่น้องประชาชนให้ความไว้วางใจว่าจะสามารถฝากชีวิต ฝากอนาคตของลูกหลานไว้ได้  จึงได้มอบหมายให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) และผู้ซึ่งประสงค์สมัครรับเลือกตั้ง ส.ส. ที่พรรคได้ประกาศรายชื่อทั้งหมด  นำแผ่นป้ายนโยบายหลัก 8 ด้าน ดำเนินการติดตั้งให้แล้วเสร็จทั่วทุกภูมิภาคของประเทศไทยก่อนช่วงเทศกาลปีใหม่ ปี 2566 ที่กำลังจะมาถึงนี้  โดยแผ่นป้ายนโยบายทั้ง 8 ด้าน ได้แก่


1. ค่าแรงขั้นต่ำ 600บ./วัน ปริญญาตรี 25,000 บ./เดือน ภายในปี 2570

2. เพื่อไทยมายาเสพติดหมดไป คืนชีวิตปลอดภัยให้ประชาชน

3. ยกระดับ 30 บาท บัตรประชาชนใบเดียวรักษาทั่วไทย จองคิวได้เร็ว วัคซีนมะเร็งปากมดลูกฟรี ซึมเศร้าใกล้บ้านรักษาฟรี

4. เพื่อไทยเป็นรัฐบาล ค่าไฟ ค่าน้ำมัน ค่าแก๊ส ลดราคาทันที

5. ราคาพืชผลเกษตรขึ้นยกแผง เพื่อไทยเคยทำได้และจะทำอีก

6. อินเทอร์เน็ตความเร็วสูงทุกหมู่บ้าน สร้าง Blockchain สัญชาติไทย ค้าขายออนไลน์สร้างรายได้ใหม่ให้ครอบครัว

7. เร่งสร้างคนทำงานทักษะสูง สร้างงาน 20 ล้านตำแหน่ง รายได้ไม่ต่ำกว่า 200,000 บาท/ปี 

8. นโยบายดี ๆ ใครก็พูดได้ แต่พรรคที่ทำได้และทำเป็น คือ เพื่อไทย


นายประเสริฐ กล่าวอีกว่า การเลือกช่วงเวลาติดแผ่นป้ายนโยบายในช่วงเทศกาลปีใหม่  เพื่อเป็นส่งมอบความสุขและความหวังในการเดินทางเข้าสู่ปี 2566 ปีแห่งการเริ่มต้นใหม่  เปลี่ยนไปสู่รัฐบาลใหม่  เปลี่ยนผู้นำประเทศคนใหม่  และจะดียิ่งไปกว่านั้นคือ พี่น้องประชาชนจะได้รัฐบาลพรรคเพื่อไทย เป็นรัฐบาลที่จะนำพาคุณภาพชีวิตที่ดีกว่าวันนี้ 


“พรรคเพื่อไทยเลือกเอาช่วงเวลาแห่งความสุขของพี่น้องประชาชนทุกคนในการติดตั้งแผ่นป้ายนโยบายของเราทั้ง 8 นโยบาย เพื่อให้ประชาชนที่เดินทางกลับภูมิลำเนาในช่วงเทศกาลปีใหม่นี้ได้เห็นนโยบายของเราได้อย่างทั่วถึง ส่วนพรรคใดติดแผ่นป้ายนโยบายก่อนหรือหลัง ติดเร็วหรือช้า ก็เป็นแนวทางของแต่ละพรรคที่จะทำได้ แต่เพื่อไทยเรายึดมั่นที่ตัวนโยบายที่สด ใหม่ และของเดิมที่เราเคยทำจะดียิ่งกว่าเดิม มั่นใจว่าทำได้จริงแล้วจึงประกาศไปสู่พี่น้องประชาชน” นายประเสริฐ กล่าว


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #เพื่อไทย




ธิดา ถาวรเศรษฐ : เมื่อประยุทธ์ไม่ใช่จ๊อกกี้ขี่ม้า แต่เป็นคนขี่เสือ [ที่ไม่ยอมลง] : แลไปข้างหน้าฯ EP.106

วันอังคารที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2565

ศาลขอนแก่นยกฟ้อง 10 นักกิจกรรมราษฎรโขงชีมูล 2 คดี กรณีชุมนุมเรียกร้องปล่อยตัวนักโทษการเมือง/ประณามความรุนแรง ศาลชี้! การชุมนุมเป็นสิทธิทางการเมือง

 


ศาลขอนแก่นยกฟ้อง 10 นักกิจกรรมราษฎรโขงชีมูล 2 คดี กรณีชุมนุมเรียกร้องปล่อยตัวนักโทษการเมือง/ประณามความรุนแรง ศาลชี้! การชุมนุมเป็นสิทธิทางการเมือง


วันนี้ (27 ธ.ค. 2565) ศาลแขวงจังหวัดขอนแก่นนัดฟังคำพิพากษาในคดีที่นักกิจกรรมกลุ่มราษฎรโขงชีมูลชุมนุมเมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2564 ณ สวนเรืองแสง เรียกร้องให้ปล่อยตัวนักโทษทางการเมือง และคดีหน้าสภ.ย่อย เพื่อแสดงออกเชิงสัญลักษณ์เรียกร้องให้ตำรวจขอโทษในการสลายการชุมนุมที่แยกดินแดง จำเลยทั้งหมด 9 คน ร่วมฟังนัดอ่านคำพิพากษา อาทิ อรรถพล บัวพัฒน์ วิชิรวิทย์ เทศศรีเมือง เป็นต้น


อัยการฟ้องนักกิจกรรมใน 4 ข้อหา คือ

1. ร่วมกันจัดกิจกรรมซึ่งมีผู้เข้าร่วมจำนวนมากในลักษณะติดต่อสัมผัสกันได้ง่ายในพื้นที่เฝ้าระวัง ฝ่าฝืนข้อกำหนดและประกาศออกตามความในมาตรา 9 ของ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ

2. ร่วมกันก่อให้เกิดสภาวะที่ไม่ถูกสุขลักษณะ เป็นเหตุให้โรคแพร่ระบาดออกไป ฝ่าฝืนคำสั่งเจ้าพนักงานควบคุมโรคติดต่อ ตาม พ.ร.บ.โรคติดต่อฯ มาตรา 34

3. ร่วมกันโฆษณาโดยใช้เครื่องขยายเสียงด้วยกําลังไฟฟ้าโดยไม่ได้รับอนุญาต 

4. ร่วมกันกีดขวางการจราจร ตาม พ.ร.บ.จราจรฯ มาตรา 108


ศาลมีคำพิพากษายกฟ้องทั้งสองคดี โดยให้เหตุผลว่า จำเลยมีการชุมนุมเพื่อแสดงออกความคิดเห็นทางการเมือง ไม่มีการพูดปราศรัยให้เกิดความไม่สงบเรียบร้อย ไม่ได้ทำให้ทรัพย์สินเสียหายหรือกีดขวางทางจราจร ทั้งยังไม่ปรากฎว่า เป็นผู้จัดเตรียมการชุมนุม ซึ่งการชุมนุมจัดในพื้นที่โล่ง ไม่เกิดความเสี่ยงต่อแพร่ระบาดของ Covid-19 ไม่มีรายงานผู้ติดเชื้อ COVID- 19 ภายหลังการชุมนุม


การนัดฟังคำพิพากษาในวันนี้ นับเป็นการพิพากษาคดี พรก.ฉุกเฉิน ภายหลังการชุมนุมคดีสุดท้ายที่ถูกสั่งฟ้อง หลังจากที่คั่งค้างมาตั้งแต่ต้นปี 2564 ซึ่งยกฟ้องทุกคดี


ขอบคุณภาพและที่มา : The Isaan Record


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #Theisaanrecord

“ณัฐวุฒิ” ชี้! “เนวิน” ประกาศพร้อมจับมือทุกขั้ว เป้าหมายยก “อนุทิน” เป็นนายกฯ “เพื่อไทย” ต้องเดินหน้าประกาศนโยบายให้ชัดเพื่อแลนด์สไลด์ ตั้งรัฐบาลประชาธิปไตยเพื่อสร้างความเปลี่ยนแปลง!

 




“ณัฐวุฒิ” ชี้! “เนวิน” ประกาศพร้อมจับมือทุกขั้ว เป้าหมายยก “อนุทิน” เป็นนายกฯ “เพื่อไทย” ต้องเดินหน้าประกาศนโยบายให้ชัดเพื่อแลนด์สไลด์ ตั้งรัฐบาลประชาธิปไตยเพื่อสร้างความเปลี่ยนแปลง!


วันที่ 27 ธันวาคม 2565 นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ผู้อำนวยการครอบครัวเพื่อไทย ได้กล่าวในรายการ หัวใจไม่หยุดเต้น EP.62 ซึ่งเผยแพร่ทางยูทูปช่อง ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ Official ตอน “ไม่เล่นเกมตีไพ่จับมือเพื่อไทย เดินหน้าแลนด์สไลด์ ฝ่ายประชาธิปไตยตั้งรัฐบาล” โดยนายณัฐวุฒิ กล่าวว่า


ชัดเจนแล้วนะครับว่า พล.อ.ประยุทธ์ ไปอยู่พรรครวมไทยสร้างชาติ แต่ที่ยังไม่ชัดก็คือไม่รู้ว่าชาติหนี้หรือชาติหน้า กระนั้นก็ตามบรรดาลูกน้องลูกหาบวี้ดว้ายกระตู้วู้ ประกาศตัวเข้าร่วมพรรคกันเป็นขนานใหญ่


แต่ที่ผมยังเจ็บใจแทนไม่หายคือ พล.อ.ประวิตรกับพรรคพลังประชารัฐนี่แหละครับ คือ พล.อ.ประยุทธ์ นอกจากไปแน่ ๆ แล้ว ยังตั้ง คุณพีระพันธุ์ หัวหน้าพรรคใหม่ มาทำหน้าที่เลขาธิการนายกฯ บริหารงบกลางในโค้งสุดท้ายก่อนยุบสภา แต่กับเก้าอี้รัฐมนตรี 2 ที่นั่งที่ปลดไปจากพลังประชารัฐไม่ตั้งคืนให้เขา ของประชาธิปัตย์ตั้ง คุณนริศ ขำนุรักษ์ ไปได้ แต่ของพลังประชารัฐไม่ยอมตั้งให้ งานนี้ถ้า พล.อ.ประวิตรและคนพรรคพลังประชารัฐ ไม่รู้สึกเจ็บก็เกินไปล่ะครับ!!!


การเมืองจากนี้ในมุมแคบ ๆ คือสัมพันธภาพระหว่าง 3ป ปฏิสัมพันธ์ระหว่าง “พรรคพลังประชารัฐ” กับ “พรรครวมไทยสร้างชาติ” จึงน่าจับตามองนะครับ เพราะนายกฯ จะลงพื้นที่ เลขาธิการนายกฯ จะทำอะไร เท่ากับเป็นการหาเสียงให้กับพรรคการเมืองที่ตั้งขึ้นใหม่ “พลังประชารัฐ” ก็มองตาปริบ ๆ เราจึงเห็นภาพการลงพื้นที่ไล่หลังกันระหว่าง พล.อ.ประยุทธ์ กับ พล.อ.ประวิตร อยู่เนือง ๆ ประเภทพื้นที่เดียวกัน จังหวัดเดียวกัน ไปซ้ำกัน อย่างนี้แหละครับเป็นสัญญาณว่า ยิ่งใกล้วันยุบสภา การขับเคี่ยวของสองพรรคก็จะยิ่งเข้มข้นขึ้น


ส่วนส.ส.พลังประชารัฐที่จะย้ายไปอยู่กับประยุทธ์ หรือปักหลักอยู่กับประวิตร มันก็มีข้อพิจารณาบางประการนะครับ คือประยุทธ์มีกระแส แต่ประวิตรมีกระสุน ดังนั้นนักการเมืองที่ต้องการอิงกระแสก็คงจะถลาไปหาประยุทธ์ แต่นักการเมืองที่แข็งแรงในพื้นที่อาจจะปักหลักอยู่กับพล.อ.ประวิตร อาศัยกระสุนและทรัพยากรที่อุดมสมบูรณ์กลับเข้าสภาอีกครั้งก็เป็นได้


ส่วนในภาพใหญ่ก็ชัดนะครับว่าการเมืองไทยจะเดินหน้าไปสู่การเลือกตั้ง ยุบสภาเมื่อไหร่ก็เมื่อนั้นล่ะครับ ส่วนผลการเลือกตั้งก็จะนำไปสู่ 2 ทางแยก 1) อำนาจรัฐยังคงอยู่กับขั้วรัฐบาลเดิม 2) เกิดความเปลี่ยนแปลง พรรคการเมืองฝ่ายประชาธิปไตยสามารถตั้งรัฐบาลได้


เงื่อนไขสำคัญก็คือ “พรรคเพื่อไทย” แลนด์สไลด์ได้จริงหรือเปล่าในสนามเลือกตั้ง

 

ถ้า “เพื่อไทย” แลนด์สไลด์ได้ เงื่อนไขต่อไปก็คือ การตัดสินใจโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีของ ส.ว. 250 คน ที่ประวิตรเลือกให้ประยุทธ์ตั้ง


ผมเชื่อว่าถ้าแลนด์สไลด์กันจริง ๆ จะเห็นส.ว. 250 คน อยู่กับ 3ป ครับ 1) อยู่กับประยุทธ์ 2) อยู่กับประวิตร และ 3) อยู่เป็น


ประเภท “อยู่เป็น” นี่หมายความว่า พอเห็นเขาแลนด์สไลด์ จะยกมือไปสนับสนุนพล.อ.ประยุทธ์อย่างเก่าก็กระไรอยู่ เพราะกระแสสังคม กระแสของประชาชนคงจะกดดันเข้ามา จุดนี้อาจจะรวมตัวกันยกมือสนับสนุนให้กับ “พรรคเพื่อไทย” เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล และอย่าประมาทนะครับ ผมเชื่อว่าถึงเวลา ส.ว. กลุ่มนั้นน่าจะมีจำนวนไม่น้อย เราไม่ได้พูดกันเรื่องจุดยืนหรืออุดมการณ์นะครับ เราพูดกันเรื่อง “อยู่เป็น” ล้วน ๆ


ส่วนการขยับตัวของพรรคการเมืองต่าง ๆ ก็ต้องติดตามกันอย่างใกล้ชิด พรรคเล็กกับพรรคเกิดใหม่ ผมว่ายังเป็นโจทย์ยากที่จะเดินเข้าสู่สนามเลือกตั้งอย่างแข็งแรงได้


ส่วนพรรคร่วมรัฐบาลปัจจุบัน ผมคิดว่า “ชาติไทยพัฒนา” คล่องตัว เคลื่อนที่เร็ว และง่ายที่สุด หากจะต้องมีการจัดขั้วจัดตั้งรัฐบาลหลังการเลือกตั้ง ขณะที่ “พรรคภูมิใจไทย” พลันที่คุณเนวินประกาศพร้อมจับมือกับทุกขั้วทุกข้างแม้กระทั่งพรรคเพื่อไทยก็ตาม สปอร์ตไลท์ทางการเมืองจับส่องไปยังสองพรรคนี้ทันที


ในมุมมองผมเชื่อว่า คุณเนวินตีไพ่ใบนี้ไม่ได้มีเป้าหมายเรื่องจะเอาเพื่อไทยเป็นรัฐบาลนะครับ แต่ปลายทางสำคัญคือจะเอาคุณอนุทินเป็นนายกรัฐมนตรี อ่านเกมว่าจะเดินไปเสียบตรงกลางแล้วกินทั้งสองข้าง ในกรณีที่ พล.อ.ประยุทธ์ ได้คะแนนเลือกตั้งน้อยมาก ไม่สามารถไปต่อได้ และพรรคเพื่อไทยมีปัญหาในการจัดตั้งรัฐบาล อาจจะด้วยว่าคะแนนเสียงยังไม่มากพอ หรือว่าผู้คุมเกมอำนาจยังไม่สบายใจ ตรงนั้นล่ะครับ “ภูมิใจไทย” อาจจะดันชื่อคุณอนุทินมาเป็นนายกรัฐมนตรีก็เป็นไปได้


ไพ่ใบนี้ไม่ซับซ้อนล่ะครับ เมื่อก้าวเดินก็มองเห็น สำคัญว่า “พรรคเพื่อไทย” อย่าไปเสียสมาธิ กองเชียร์ก็อย่าไปวิตกกังวลครับ มาถึงยกนี้ “เพื่อไทย” มีหน้าที่เดินหน้าเต็มตัว ประกาศนโยบายให้ชัดเจน และไปสู่เป้าหมายแลนด์สไลด์ ตั้งรัฐบาลของฝ่ายประชาธิปไตยให้ได้


ในบริบทการเมืองแบบนี้เชื่อว่าหลังการเลือกตั้งจะมีพรรคการเมืองที่ได้ที่นั่งเกิน 100 ไม่เกินสองพรรค และอันดับ 1 กับอันดับ 2 จะห่างกันไม่ต่ำกว่า 100 ที่นั่ง นี่จะเป็นการเลือกตั้งครั้งประวัติศาสตร์ เป็นการเลือกตั้งที่จะกำหนดทิศทางและอนาคตของประเทศไทยอย่างแท้จริง ถ้าสร้างความเปลี่ยนแปลง เอาพรรคการเมืองฝ่ายประชาธิปไตยตั้งรัฐบาลได้ จะเห็นแสงสว่างรออยู่ข้างหน้า


แต่ถ้าเปลี่ยนแปลงไม่ได้ “ประยุทธ์” กลับมา มืดดำทั้งแผ่นดิน บ้านเมืองเสียหายเสียเวลามา 8 ปี แล้วได้นายทหารกะล่อนคนหนึ่งมาทำหน้าที่นายกรัฐมนตรี เห็นชัด ๆ กันแบบนี้ แล้วถ้า พล.อ.ประยุทธ์ ยังไปต่อได้ เราจะหวังอะไรกันอีกล่ะครับ!


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #ณัฐวุฒิใสยเกื้อ

วันจันทร์ที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2565

ไต่สวนถอนประกัน "เก็ท-ใบปอ" แล้วเสร็จ เจ้าตัวชวนจับตา ศาลนัดฟังคำสั่ง 9 ม.ค. 66 ชี้ พยานฝ่ายผู้ร้องมีน้ำหนักไม่เพียงพอ ขณะที่"ตะวัน"เริ่มไต่สวนถอนประกัน 9 ม.ค. เช่นเดียวกัน

 



ไต่สวนถอนประกัน "เก็ท-ใบปอ" แล้วเสร็จ เจ้าตัวชวนจับตา ศาลนัดฟังคำสั่ง 9 ม.ค. 66 ชี้ พยานฝ่ายผู้ร้องมีน้ำหนักไม่เพียงพอ ขณะที่ "ตะวัน" เริ่มไต่สวนถอนประกัน 9 ม.ค. เช่นเดียวกัน


วันนี้ (26 ธ.ค. 2565) ที่ ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก เมื่อเวลา 09.30 น. ศาลนัดไต่สวนถอนประกัน "เก็ท โสภณ" กรณี ปราศรัยในการชุมนุม #ทัวร์มูล่าผัว เมื่อวันที่ 22 เม.ย. 2565 และ "ใบปอ ณัฐนิช" กรณี แชร์โพสต์ข้อความเกี่ยวกับ “งบสถาบันกษัตริย์” จากเพจ “ทะลุวัง” เมื่อวันที่ 17 เม.ย. 2565 โดยเหตุจากการร่วมชุมนุมช่วงประชุม APEC ที่ผ่านมา


สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2565 ตั้งแต่เวลา 13.30 น. ศาลอาญา รัชดาฯ ไต่สวนพยานโจทก์ได้เพียง 3 ปาก ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจสารวัต สืบสวน-สอบสวน และเนื่องจากมีรายละเอียดและเอกสารจำนวนมาก อีกทั้งต้องสืบพยานโจทก์อีก 1 ปาก รวมถึงจำเลยทั้งสอง เก็ทและใบปอจะขึ้นเบิกความต่อศาลด้วย ศาลจึงสั่งให้เลื่อนการไต่สวนเพิ่มเติมไปเป็นวันนี้


สำหรับบรรยากาศวันนี้ หน้าห้องพิจารณาคดี 801 เจ้าหน้าที่ได้ตั้งโต๊ะตรวจบัตรประชาชนและมีการจดชื่อและเลขที่บัตรประชาชนผู้ที่จะเข้าไปฟังการไต่สวนในครั้งนี้ด้วย


คืบหน้าล่าสุด ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนรายงานว่า ในวันนี้ศาลอาญานัดไต่สวนถอนประกัน "เก็ท-ใบปอ" ต่ออีกครั้ง ทนายจำเลยแถลง พยานโจทก์ไม่มีน้ำหนักพอที่จะขอถอนประกันทั้งคู่ได้ จึงไม่นำพยานจำเลยเข้าเบิกความ โดยศาลนัดฟังคำสั่งถอนประกันวันที่ 9 มกราคม 2566


ภายหลังลงจากห้องพิจารณา "เก็ท-ใบปอ" ได้เดินออกมาพบมวลชนด้านนอกศาลและให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าว


เก็ท กล่าวว่า วันนี้เป็นการไต่สวนถอนประกันตนและใบปอเป็นครั้งที่ 3 แล้ว ด้านใบปอ กล่าวเสริมว่า เป็นการไต่สวนพยานที่สืบเนื่องจากครั้งที่แล้วที่มีการไต่สวนพยานโจทก์ไป 3 ปาก วันนี้จึงมีการไต่สวนพยานโจทก์เพิ่มอีก 1 ปาก และพยานจำเลยอีก 2 ปาก ซึ่งวันนี้ทางทนายได้ยื่นว่า คดีของเก็ทได้ยื่นอุทธรณ์แล้ว และคำสั่งอุทธรณ์ยังไม่ออก ซึ่งเป็นพฤติการณ์เดียวกันที่ถอนประกัน "ใบปอ" เราทั้งสองคนเลยขอเลื่อนการไต่สวนถอนประกันไป เพราะไม่มีผลต่อชั้นศาลอาญาแล้ว เนื่องด้วยศาลอาญามีคำสั่งรับอุทธรณ์ และส่งคำร้องไปยังศาลอุทธรณ์ ทำให้ระหว่างนี้อำนาจการไต่สวนเป็นอำนาจของศาลอุทธรณ์จนกว่าศาลอุทธรณ์จะมีคำสั่ง


"เก็ท" กล่าวเสริมด้วยว่า เรื่องที่อุทธรณ์ก็จะเป็นในส่วนของคำสั่งที่ไม่เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ ซึ่งการจำกัดเวลาออกจากบ้านจะส่งผลกระทบทั้งในด้านการเรียนและการทำงานของทั้งตนและใบปอ ซึ่งเป็นการละเมิดต่อสิทธิขั้นพื้นฐานตามรัฐธรรมนูญ จึงได้มีการยื่นอุทธรณ์ ซึ่งศาลอุทธรณ์ได้รับเรื่องแล้ว กลายเป็นว่าศาลอาญายังยืนยันที่จะไต่สวนถอนประกันต่อ


"เก็ท" ให้ความเห็นว่า ตามที่จริงพอตรวจสอบไปที่ศาลอุทธรณ์มีการรับเรื่องไปแล้ว ก็จะต้องหมดหน้าที่ของศาลอาญาไปแล้ว จริง ๆ แล้วศาลอาญาสามารถยกคำร้องในส่วนของการถอนประกันในวันนี้ได้เลยด้วยซ้ำ "ใบปอ" ได้กล่าวเสริมว่า แต่ทางศาลอาญาก็ยังนัดที่จะให้มาฟังคำสั่งในวันที่ 9 มกราคม ที่จะถึงนี้


และวันที่ 9 มกราคม จะเป็นการนัดฟังคำสั่งเลยของเก็ทและใบปอว่าจะถอนหรือไม่ถอนประกัน และเพิ่มเติมส่วนของ "ตะวัน" วันนี้เพิ่งทราบว่ามีหมายเรียกมาไต่สวนถอนประกันวันนี้ด้วย แต่ตะวันไม่ได้รับหมาย อีกทั้งวันนี้ "ตะวัน" มีนัดไปรายงานตัวที่ สน.ปทุมวัน จึงขอเลื่อนไป 9 ม.ค. 2566


"ใบปอ" ได้เล่าบรรยากาศในห้องพิจารณาไต่สวนว่า กระบวนการต่าง ๆ ในวันนี้ล่าช้ามาก เพราะจะต้องมีการไปปรึกษาผู้บริหารศาลตลอด ไม่ว่าจะเป็นการนัดเพื่อเรียกฟังคำไต่สวน หรือวันนัดฟังคำสั่งทุกอย่างจะต้องไปปรึกษาผู้บริหารศาล ซึ่งครั้งที่แล้วผู้พิพากษาท่านก็ได้บอกว่าผู้พิพากษาที่มาไต่สวนมีหน้าที่ไต่สวนเท่านั้น ไม่ได้มีหน้าที่ออกคำสั่งแต่อย่างใด มาถึงวันนี้ก็ยังไม่ทราบว่าใครเป็นผู้มาร้องเพื่อถอนประกัน แต่ก็เป็นที่รู้ว่าเจ้าหน้าที่ศาลที่เรียกอัยการ เรียกตำรวจ หาหลักฐานมาเพื่อยื่นถอนประกันทั้งเก็ทและใบปอ 


ด้วยอ่านในสำรวนของเก็ท, ใบปอ และตะวัน ก็เป็นลักษณะเดียวกัน คือเจ้าหน้าที่ศาลเป็นคนยื่นถอนเอง ไม่ได้มีใครไปร้องเพื่อให้ถอนประกันแต่อย่างใด


"เก็ท" กล่าวต่อไปว่า พยานโจทก์ที่มาครั้งที่แล้วเป็นตำรวจทั้งหมด "ใบปอ" เสริมตรงนี้ว่า ตำรวจที่มาสืบพยานโจทก์ครั้งที่แล้วก็จะบอกว่าเป็นฝ่ายสืบสวนสอบสวน เป็นฝ่ายเอกสาร ไม่ได้เป็นฝ่ายลงพื้นที่ ไม่ได้ลงพื้นที่จริงในวันนั้น แต่มีหน้าที่ดูตามไลฟ์ตามสื่อโซเชียลมีเดีย ไปดูเอกสารว่าในส่วนของ "เก็ท-ใบปอ" ว่าไปทำอะไรมาบ้าง ติดเงื่อนไขอะไรบ้าง แล้วก็มาพิจารณาว่าผิดตรงไหน แต่ไม่ได้เป็นคนที่ไปลงพื้นที่เหตุการณ์จริง ซึ่งมั่นใจว่าพยานผู้ร้องมีข้อมูลไม่หนักแน่นเพียงพอ ทั้งนี้ศาลก็ไม่ได้ยอมรับว่าเป็นผู้ร้องถอนประกันนะ แต่ในสำนวนเขียนเอาไว้ว่าเจ้าหน้าที่ศาลเป็นคนแจ้ง เรียกไต่สวนถอนประกัน "ใบปอ" กล่าว


"ใบปอ" ได้กล่าวทิ้งท้ายเอาไว้ว่า ฝากติดตามวันที่ 9 มกราคม 2566 คำสั่งไต่สวนถอนประกันว่า "ใบปอ-เก็ท" จะถูกถอนประกันหรือไม่ และก็ในวันนั้นก็เป็นวันเริ่มไต่สวนถอนประกัน "ตะวัน" ด้วย


ด้าน "เก็ท" ได้ฝากให้คนข้างนอกอย่าลืมว่ายังมีเพื่อที่ยังถูกคุมขังในเรือนจำอยู่ในเวลานี้อีกหลายคน การเรียกร้องสิทธิประกันตัวจึงยังต้องมีต่อไป

 

#UDDnews #ยูดีดีนิวส์




วันอาทิตย์ที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2565

" นิด้าโพล" เผยผลสำรวจคนที่ประชาชนสนับสนุนให้เป็นนายกอันดับ 1 "แพทองธาร" เพื่อไทย 34% อันดับ 2 "ประยุทธ์" รวมไทยสร้างชาติ 14.05 % ตามมาด้วย "พิธา" ก้าวไกล 13.25%

 


" นิด้าโพล" เผยผลสำรวจคนที่ประชาชนสนับสนุนให้เป็นนายกอันดับ 1 "แพทองธาร" เพื่อไทย 34% อันดับ 2 "ประยุทธ์" รวมไทยสร้างชาติ 14.05 % ตามมาด้วย "พิธา" ก้าวไกล 13.25%


วันนี้ (25 ธ.ค. 2565) ศูนย์สำรวจความคิดเห็น “นิด้าโพล” สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เปิดเผยผลสำรวจของประชาชน เรื่อง “การสำรวจคะแนนนิยมทางการเมือง รายไตรมาส ครั้งที่ 4/2565” ทำการสำรวจระหว่างวันที่ 17-22 ธันวาคม 2565 จากประชาชนที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป กระจายทุกภูมิภาคระดับการศึกษา อาชีพ และรายได้ทั่วประเทศ รวมทั้งสิ้น จำนวน 2,000 หน่วยตัวอย่าง 


จากการสำรวจเมื่อถามถึงบุคคลที่ประชาชนจะสนับสนุนให้เป็นนายกรัฐมนตรีในวันนี้ พบว่า 


อันดับ 1 ร้อยละ 34.00 ระบุว่าเป็น น.ส.แพทองธาร (อุ๊งอิ๊งค์) ชินวัตร (พรรคเพื่อไทย) เพราะ ชื่นชอบพรรคเพื่อไทย นโยบายของพรรคสามารถทำได้จริง ต้องการเปิดโอกาสให้คนรุ่นใหม่เข้ามาบริหารประเทศ ขณะที่บางส่วนระบุว่า ชื่นชอบผลงานในอดีตของตระกูลชินวัตร


อันดับ 2 ร้อยละ 14.05 ระบุว่าเป็น พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา (พรรครวมไทยสร้างชาติ) เพราะ เป็นคนตรงไปตรงมา พูดจริงทำจริง มีความซื่อสัตย์สุจริต ทำให้บ้านเมืองเกิดความสงบ ขณะที่บางส่วนระบุว่า จะได้บริหารประเทศอย่างต่อเนื่อง 


อันดับ 3 ร้อยละ 13.25 ระบุว่าเป็น นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ (พรรคก้าวไกล) เพราะ ต้องการเปิดโอกาสให้คนรุ่นใหม่เข้ามาบริหารประเทศ มีวิสัยทัศน์และแนวคิดแบบคนรุ่นใหม่ ขณะที่บางส่วนระบุว่า ชื่นชอบนโยบายของพรรคก้าวไกล 


อันดับ 4 ร้อยละ 8.25 ระบุว่า ยังหาคนที่เหมาะสมไม่ได้ 


อันดับ 5 ร้อยละ 6.45 ระบุว่าเป็น คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ (พรรคไทยสร้างไทย) เพราะ ชื่นชอบนโยบายของพรรค มีประสบการณ์ด้านการบริหารประเทศ ขณะที่บางส่วนระบุว่า ต้องการเปิดโอกาสให้ผู้หญิงเข้ามาบริหารประเทศ 


อันดับ 6 ร้อยละ 6.00 ระบุว่าเป็น พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส (พรรคเสรีรวมไทย) เพราะเป็นคนตรงไปตรงมา พูดจริงทำจริง มีความซื่อสัตย์สุจริต และชื่นชอบวิธีการทำงาน 


อันดับ 7 ร้อยละ 5.00 ระบุว่าเป็น นายอนุทิน ชาญวีรกูล (พรรคภูมิใจไทย) เพราะ ชื่นชอบนโยบายพรรคภูมิใจไทย และชื่นชอบผลงานที่ผ่านมา 


อันดับ 8 ร้อยละ 2.65 ระบุว่าเป็น นายกรณ์ จาติกวณิช (พรรคชาติพัฒนากล้า) เพราะ มีความรู้ความสามารถ และมีความเชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจ 


อันดับ 9 ร้อยละ 2.60 ระบุว่าเป็น นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว (พรรคเพื่อไทย) เพราะ ชื่นชอบพรรคเพื่อไทย เป็นคนพูดจริงทำจริง และชื่นชอบผลงานที่ผ่านมา 


อันดับ 10 ร้อยละ 2.30 ระบุว่าเป็น นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ (พรรคประชาธิปัตย์) เพราะ ชื่นชอบพรรคประชาธิปัตย์ ชื่นชอบผลงานที่ผ่านมา และมีประสบการณ์ด้านการบริหารประเทศ 


เมื่อเปรียบเทียบกับผลการสำรวจคะแนนนิยมทางการเมือง รายไตรมาส ครั้งที่ 3/65 เดือนกันยายน 2565 พบว่า ผู้ที่ระบุว่า คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ (พรรคไทยสร้างไทย) พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส (พรรคเสรีรวมไทย) ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ (พรรคสร้างอนาคตไทย) และยังหาคนที่เหมาะสมไม่ได้ มีสัดส่วนลดลง ในขณะผู้ที่ระบุว่า น.ส.แพทองธาร (อุ๊งอิ๊งค์) ชินวัตร (พรรคเพื่อไทย) พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา (พรรครวมไทยสร้างชาติ) นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ (พรรคก้าวไกล) นายอนุทิน ชาญวีรกูล (พรรคภูมิใจไทย) นายกรณ์ จาติกวณิช (พรรคชาติพัฒนากล้า) นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว (พรรคเพื่อไทย) และนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ (พรรคประชาธิปัตย์) มีสัดส่วนเพิ่มขึ้น


สำหรับพรรคการเมืองที่ประชาชนจะสนับสนุนในวันนี้ พบว่า 


อันดับ 1 ร้อยละ 42.95 ระบุว่าเป็น พรรคเพื่อไทย 

อันดับ 2 ร้อยละ 16.60 ระบุว่าเป็น พรรคก้าวไกล 

อันดับ 3 ร้อยละ 8.30 ระบุว่า ไม่สนับสนุนพรรคการเมืองใดเลย 

อันดับ 4 ร้อยละ 6.95 ระบุว่าเป็น พรรครวมไทยสร้างชาติ 

อันดับ 5 ร้อยละ 5.35 ระบุว่าเป็น พรรคประชาธิปัตย์ 

อันดับ 6 ร้อยละ 5.25 ระบุว่าเป็น พรรคภูมิใจไทย 

อันดับ 7 ร้อยละ 4.00 ระบุว่าเป็นพรรคพลังประชารัฐ 

อันดับ 8 ร้อยละ 3.40 ระบุว่าเป็น พรรคเสรีรวมไทย 

อันดับ 9 ร้อยละ 3.25 ระบุว่าเป็น พรรคไทยสร้างไทย 

อันดับ 10 ร้อยละ 1.35 ระบุว่าเป็น พรรคชาติพัฒนากล้า 

ร้อยละ 2.60 ระบุอื่น ๆ ได้แก่ พรรคสร้างอนาคตไทย พรรคกล้า พรรคชาติไทยพัฒนา พรรคไทยภักดี พรรคประชาชาติ พรรคไทยศรีวิไลย์ และไม่ตอบ/ไม่สนใจ


เมื่อเปรียบเทียบกับผลการสำรวจคะแนนนิยมทางการเมือง รายไตรมาส ครั้งที่ 3/65 เดือนกันยายน 2565 พบว่า ผู้ที่ระบุว่า พรรคประชาธิปัตย์ พรรคพลังประชารัฐ และไม่สนับสนุนพรรคการเมืองใดเลย มีสัดส่วนลดลง ในขณะผู้ที่ระบุว่า พรรคเพื่อไทย พรรคก้าวไกล พรรครวมไทยสร้างชาติ พรรคภูมิใจไทย พรรคเสรีรวมไทย พรรคไทยสร้างไทย และพรรคชาติพัฒนากล้า มีสัดส่วนเพิ่มขึ้น


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #นิด้าโพล

วันศุกร์ที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2565

"ประยุทธ์" ชัดแล้ว ประกาศเป็นแคนดิเดตนายกฯ พรรครวมไทยสร้างชาติแล้ว ยันคุย ‘บิ๊กป้อม’ เรียบร้อยแล้ว สัมพันธ์พี่น้องทหาร ยากแตกแยก

 


"ประยุทธ์" ชัดแล้ว ประกาศเป็นแคนดิเดตนายกฯ พรรครวมไทยสร้างชาติแล้ว ยันคุย ‘บิ๊กป้อม’ เรียบร้อยแล้ว สัมพันธ์พี่น้องทหาร ยากแตกแยก

 

วันนี้ (23 ธ.ค. 65) ที่ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนที่ทำเนียบรัฐบาล ถึงการเตรียมเข้าร่วมงานกับพรรครวมไทยสร้างชาติ และเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีพรรค โดยระบุว่าเท่าที่ทราบตอนนี้มีเพียงคนเดียว

 

ทั้งนี้ เหตุผลที่ตัดสินใจประกาศในวันนี้เพราะพรรคพลังประชารัฐได้ประกาศเสนอชื่อ พล.อ.ประวิตร ในฐานะหัวหน้าพรรคเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีแล้ว

 

วันนี้จึงประกาศให้ชัดเจนว่าจะไปอยู่กับพรรครวมไทยสร้างชาติ แต่ยืนยันว่า การแยกตัวมาอยู่พรรครวมไทยสร้างชาติ ไม่ได้มีปัญหากับพล.อ.ประวิตร เพราะได้พูดคุยและบอกกล่าว ทำความเข้าใจกันแล้ว ซึ่งเข้าใจกันดี ไม่มีปัญหา เพราะความสัมพันธ์แบบทหารกับทหารมีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้ง ยากที่จะแตกแยกได้ ซึ่งตั้งแต่จบมา ก็มีพล.อ.ประวิตร เป็นผู้บังคับบัญชาคนแรก และอยู่ในความดูแลของ พล.อ.ประวิตร มาโดยตลอด

 

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวอีกว่า หลังจากนี้จะไปสมัครเป็นสมาชิกพรรคไทยรวมไทยสร้างชาติ แต่รอกำหนดวันที่ชัดเจนก่อน ยืนยันว่า ได้ตัดสินใจมานานแล้ว ซึ่งขึ้นอยู่กับประชาชนจะให้การสนับสนุน เพราะต้องการสานต่องานที่ตนเองวางรากฐานไว้ในงานที่ยังทำไม่สำเร็จ ที่ผ่านมาตนเองได้ทำเพื่อประชาชนในทุกพื้นที่ แม้บางพื้นที่จะไม่มี ส.ส.ของพรรคพลังประชารัฐ และพรรครัฐบาลก็ตาม แต่ก็ยังไปทุกพื้นที่และอนุมัติงบประมาณในการแก้ปัญหาให้ อย่างล่าสุด ไปที่จังหวัดเชียงราย ก็ไม่มี ส.ส.รัฐบาล แต่ตนก็ยังไป เพราะมองประชาชนเป็นหลัก

 

เมื่อผู้สื่อข่าวถามย้ำว่า นี่ถือเป็นการประกาศชัดว่าพร้อมสู้ศึกเลือกตั้งใช่หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า นี่ยังไม่ชัดอีกหรือ ส่วนครอบครัวสนับสนุนเต็มที่หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า เข้าใจกันว่าทำเพื่ออะไร

 

ส่วนการจะจับมือกับพล.อ.ประวิตร​ หลังจากนี้หรือไม่ ก็อยู่ที่ผลการเลือกตั้ง ว่าใครได้เป็นฝ่ายค้านใครได้เป็นรัฐบาล ถึงเวลานั้นก็ค่อยมาดูอีกครั้ง

 

ผู้สื่อข่าวถามว่า การมาทำพรรคเอง ถือเป็นความท้าทายหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ ตอบว่า หัวหน้าพรรคก็ทำของเขาอยู่แล้ว สิ่งสำคัญคือต้องมาคุยกันถึงสิ่งที่รัฐบาลได้ทำไว้แล้วต้องมาสานต่ออย่างมั่นคงและยั่งยืน

 

#UDDnews #ยูดีดีนิวส์

ธิดา ถาวรเศรษฐ : โศกนาฏกรรมราชนาวีไทย 2565 : แลไปข้างหน้าฯ EP.105

วันพฤหัสบดีที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2565

พิพากษา จำคุก “เพชร ธนกร” 3 ปี ข้อหา ม.112 เหตุปราศรัยในม็อบ #คนนนท์ท้าชนเผด็จการ เป็นเยาวชนขณะเกิดเหตุ ลดโทษกึ่งหนึ่ง ให้รอลงอาญา 2 ปี

 


พิพากษา จำคุก “เพชร ธนกร” 3 ปี ข้อหา ม.112 เป็นเยาวชนขณะเกิดเหตุ ลดโทษกึ่งหนึ่ง ให้รอลงอาญา 2 ปี เหตุปราศรัยในม็อบ #คนนนท์ท้าชนเผด็จการ เมื่อ 10 ก.ย. 63

 

วันนี้ (22 ธ.ค. 2565) ที่ศาลเยาวชนและครอบครัวกลางจังหวัดนนทบุรี นัดฟังคำพิพากษาในคดีของ “เพชร ธนกร” นักกิจกรรมทางการเมือง วัย 19 ปี ถูกฟ้องในข้อหาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และ มาตรา 116 จากการขึ้นปราศรัยในการชุมนุม #คนนนท์ท้าชนเผด็จการ ที่ ลานกิจกรรมท่าน้ำนนทบุรี เมื่อวันที่ 10 กันยายน 2563 นั้น

 

ในเวลาต่อมา ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน ได้รายงานคำพิพากษาในคดีดังกล่าว ความว่า

 

ด่วน! ศาลเยาวชนฯ จ.นนทบุรี พิพากษาลงโทษจำคุก 3 ปี "เพชร ธนกร" เหตุขึ้นปราศรัยในชุมนุม #คนนนท์ท้าชนเผด็จการ ที่ บริเวณลานกิจกรรมท่าน้ำนนทบุรี เมื่อ 10 ก.ย. 63  แต่พิจารณาลดโทษให้กึ่งหนึ่ง เพราะขณะเกิดเหตุจำเลยมีอายุ 17 ปี เหลือจำคุก 1 ปี 6 เดือน ให้รอลงอาญา 2 ปี

 

สำหรับข้อหา ม.116 ยุยงปลุกปั่น ศาลพิพากษายกฟ้อง พิเคราะห์จากคำให้การพยานและหลักฐานฝ่ายโจทก์แล้ว ไม่ถือว่ามีน้ำหนักเพียงพอจะชี้ว่าจำเลยมีความผิดตามฟ้อง

 

สำหรับคดีนี้ เพชรถูกดำเนินคดีพร้อมกับนักกิจกรรมอีก 4 ราย ได้แก่ “รุ้ง” ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล, “ไมค์” ภาณุพงศ์ จาดนอก, “ไบรท์” ชินวัตร จันทร์กระจ่าง และ “เพนกวิน” พริษฐ์ ชิวารักษ์ หากแต่ขณะเกิดเหตุเพชรยังเป็นเยาวชน (อายุ 17 ปี) จึงถูกแยกมาดำเนินคดีที่ศาลเยาวชนและครอบครัวจังหวัดนนทบุรี

 

เริ่มแรก “เพชร” ถูกแจ้งข้อหา “ยุยงปลุกปั่น” ตามมาตรา 116 เท่านั้น ต่อมาพนักงานอัยการจังหวัดคดีเยาวชนและครอบครัวจังหวัดนนทบุรีได้มีหนังสือให้พนักงานสอบสวนแจ้งข้อหา มาตรา 112 เพิ่มเติม เพราะเห็นว่าถ้อยคำปราศรัยของ “เพชร” บางส่วนมีการตั้งคำถามถึงความจำเป็นในการใช้คำราชาศัพท์ และเรื่องการประทับในต่างประเทศของในหลวง ร.10 จึงถือว่ามีพฤติการณ์เข้าข่ายข้อหาหมิ่นประมาทกษัตริย์ฯ ด้วย

 

ที่มา : ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน

 

#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #TLHR #มาตรา112