วันอังคารที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2568

นายกฯ ยืนยัน โดนตรวจสอบมาตลอด ธุรกิจทุกอย่างของครอบครัวถูกตรวจสอบตามกฎหมายทุกประการ ย้ำ ในฐานะนายกฯ ตนไม่เคยใช้อำนาจแทรกแซงใด ๆ อย่าดูถูกข้าราชการไทย

 


นายกฯ ยืนยัน โดนตรวจสอบมาตลอด ธุรกิจทุกอย่างของครอบครัวถูกตรวจสอบตามกฎหมายทุกประการ ย้ำ ในฐานะนายกฯ ตนไม่เคยใช้อำนาจแทรกแซงใด ๆ อย่าดูถูกข้าราชการไทย


วันนี้ (25 มีนาคม 2568) เวลา 15.40 น. ณ ห้องประชุมสภาผู้แทนราษฎร ชั้น 2 อาคารรัฐสภา ถนนสามเสน เขตดุสิต กรุงเทพมหานคร นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เข้าร่วมการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ 26 ปีที่ 2 ครั้งที่ 26 (สมัยสามัญประจำปีครั้งที่สอง) เป็นพิเศษ กรณีฝ่ายค้านยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล ตามมาตรา 151 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย

 

ทั้งนี้ นางสาวแพทองธาร นายกรัฐมนตรีชี้แจงกรณีการครอบครองที่ดินโรงแรม Thames Valley เขาใหญ่ ว่า นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และรองนายกรัฐมนตรีนายอนุทิน ชาญวีรกูล ได้ชี้แจงในรายละเอียดไปบ้างแล้ว รวมถึงกรมที่ดินได้ชี้แจงในเรื่องการออกโฉนดที่ดินแปลงดังกล่าว ทุกอย่างเป็นไปตามกฎหมาย และบริษัทของครอบครัวทำทุกอย่างถูกต้องตามกฎหมายทั้งหมด ในการเข้าประกอบกิจการโรงแรมทุกอย่างเป็นไปด้วยความถูกต้อง เช่นเดียวกับผู้ประกอบการอื่นๆ ในพื้นที่การประกอบกิจการ การทำธุรกรรมเป็นไปอย่างถูกต้องตามกฎหมายทุกประการ


ส่วนประเด็น call center นายกรัฐมนตรีขอบคุณที่ได้ติดตามข้อมูลทั้งหมด รัฐบาลได้ปฏิบัติการและทำไปไกลกว่านั้นแล้ว แก้ปัญหาได้ไกลมากพอสมควร การแก้ปัญหาคอลเซ็นเตอร์ทำมาต่อเนื่องตั้งแต่รัฐบาลอดีตนายกรัฐมนตรีเศรษฐา มีการประสานงานต่างๆ กับประเทศเพื่อนบ้าน ไม่ว่าจะเป็นเมียนมา จีน และกัมพูชา ในการมาช่วยกัน ซึ่งนายกรัฐมนตรีเองได้เข้ามาตอบกระทู้สดด้วยตัวเองแล้ว ในเรื่องของการตัดน้ำมัน ตัดสัญญาณ มีคำชมจากประเทศจีน และประธานาธิบดีสี จิ้น ผิง ทันที ที่นายกรัฐมนตรีได้เดินทางเยือนว่ามีการตัดสินใจเด็ดขาด และมีการดำเนินการในเรื่องนี้อย่างรวดเร็ว โดยฝ่ายจีนมีการสนับสนุนในเรื่องข้อมูล การข่าวต่างๆ จึงพูดได้ว่าปัญหาคอลเซ็นเตอร์ที่ลดลงอย่างเห็นได้ชัดมาจากความร่วมมือของทุกประเทศ เป็นเรื่องที่น่ายินดีที่ไทยมีความสัมพันธ์ที่ดีกับประเทศเพื่อนบ้าน และเมื่อเกิดวิกฤตที่คล้ายๆ กัน ประเทศเพื่อนบ้านก็ให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่ เรื่องการซีลชายแดน ซึ่งสำคัญมาก ต้องขอความร่วมมือจากประเทศเพื่อนบ้าน ช่วยกันและได้ผลอย่างดีมากๆ ทำงานกันเป็นทีม

.

นอกจากนี้ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม DE ได้จัดตั้งศูนย์ AOC 1441 เพื่อเป็นศูนย์กลางในการบูรณาการทำงานร่วมกัน รับแจ้งเหตุจากพี่น้องประชาชนตลอด 24 ชั่วโมงจำนวน 100 คู่สาย ได้ระงับบัญชีม้าแล้วกว่า 1.92 ล้านบัญชี มีระบบติดตามบัญชีที่มีระบบธุรกรรมทางการเงินที่ผิดปกติ เพิ่มมาตรการธนาคาร ยกระดับการตรวจสอบการเปิดบัญชีใหม่ ตรวจสอบประวัติมากขึ้น เพื่อป้องกันต่อไปในอนาคตให้เปิดบัญชีม้าได้ยากยิ่งขึ้น มีการพิสูจน์ตัวตนมีการกวาดล้างซิมม้าไปแล้ว 2.4 ล้านเลขหมาย ระงับซิมต้องสงสัยที่มีการใช้งานผิดปกติ 2.8 ล้านเลขหมาย ตรวจสอบผู้ใช้ mobile banking ที่ลงทะเบียนหลังวันที่ 1 มกราคม 2568 จำนวน 3.176 ล้านเลขหมาย ตั้งแต่มีมาตรการจริง ตัดน้ำ-ตัดไฟ-สัญญาณอินเทอร์เน็ต-เสาสัญญาณ สถิติการรับแจ้งคดีอาชญากรรมออนไลน์ทั้งหมดของประเทศไทยลดลงไป 20% โดยเฉพาะคดีคอลเซ็นเตอร์ลดลงถึง 67% ความเสียหายที่เกิดขึ้นกับพี่น้องประชาชนลดลงกว่า 50% จากวันละ 100 ล้านบาทเหลือ 50 ล้านบาท ซึ่งตัวเลขนี้ยังไม่เป็นที่น่าพอใจ รัฐบาลจะดำเนินการให้เข้มข้นมากยิ่งขึ้น รวมทั้งเร่งรัด ร่าง พ.ร.ก. มาตรการป้องกัน และปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ซึ่งตอนนี้อยู่ในขั้นตอนของกฤษฎีกา และดิจิทัลวอลเล็ต ซึ่งตอนนี้มีการคัดค้านจากหลายองค์กร โดยยืนยันว่า รัฐบาลรับฟังความคิดเห็นต่าง ๆ ที่เป็นประโยชน์


ทั้งนี้ สิ่งที่เป็นนโยบายใหม่ ๆ ที่เกิดขึ้นครั้งแรก เป็นสิ่งที่คุ้นชินกันอยู่แล้ว เพราะรัฐบาลก็ริเริ่มอะไรใหม่ ๆ ที่เป็นประโยชน์ ยาวนานขึ้นเยอะ ไม่ว่าจะเป็นนโยบายดี ๆ ในอดีตที่นำกลับมาใช้ใหม่ ที่เป็นประโยชน์ต่อพี่น้องประชาชน เช่น โครงการ ODOS (One District One Scholarship) เป็นสิ่งที่จำเป็นต่อประเทศมาก ๆ เป็นการเตรียมคนรุ่นใหม่ให้พร้อมสำหรับอุตสาหกรรมใหม่ ๆ ในอนาคต การจ้างงานและอาชีพใหม่ ๆ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต โดยรัฐบาลพยายามเพิ่มมิติ เพิ่มโอกาสให้กับคนกลุ่มใหม่ ๆ เพื่อกระจายโอกาส เตรียมคนสู่โลกอนาคต และสำหรับคนในยุคปัจจุบัน รัฐบาลพยายามให้เกิดการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้กับบริษัทที่เข้ามาตั้ง เป็นทางลัดให้คนมีศักยภาพที่ดีมากยิ่งขึ้น ซึ่งสำหรับนโยบายดิจิทัลวอลเล็ตจะช่วยเพิ่มโอกาสให้คนกลุ่มใหม่ๆ ช่วยกระจายโอกาส และเตรียมคนสู่โลกอนาคต โดยนายกรัฐมนตรียืนยันว่าเป็นนโยบายที่ตรงเป้าแน่นอน ซึ่งในระยะที่ 3 จะมีการพัฒนาอย่างเต็มระบบและรัดกุม โดยจะเริ่มต้นในกลุ่มเยาวชน 16-20 ปี ที่มีกำลังบริโภค มีความตื่นตัวทางเทคโนโลยี เรียนรู้รวดเร็วและจะเป็นกำลังสำคัญในการเรียนรู้ระบบต่างๆ ให้ครอบครัวได้ เป้าหมายระยะยาวของนโยบายนี้จะยกระดับสังคมไทยเป็นสังคมดิจิทัล ซึ่งนายกรัฐมนตรีเชื่อมั่นเป็นอย่างยิ่งว่า ในหนึ่งวาระของรัฐบาลนี้จะเกิดผลเป็นรูปธรรม “ตรงทั้งปกและตรงเป้า”


สำหรับประเด็นที่ฝ่ายค้านกล่าวถึงการพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลตำรวจ ชั้น 14 ของนายทักษิณ ชินวัตร นั้น นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ตนอยากชี้แจงในฐานะของลูกสาวคนหนึ่ง ตั้งแต่เมื่อพ่อกลับมาอยู่ประเทศไทยและออกจากโรงพยาบาลชั้น 14 ตนยังไม่ได้เป็นนายกรัฐมนตรี ก็ไม่อยากให้ท่านอภิปรายให้เกิดความสับสน เหมือนกับว่าดิฉันเป็นนายกรัฐมนตรีแล้วและมีอำนาจในการสั่งข้าราชการ หรือว่าสั่งใครใดๆ ซึ่งขณะนั้นตนเป็นหัวหน้าพรรคเพื่อไทยและไม่มีอำนาจใดๆ เลย ซึ่งในเรื่องของความถูกต้อง ไม่ว่าจะอยู่ในตำแหน่งไหนก็ตาม ทุกคนมีหน้าที่ในการรักษากฎระเบียบ การจะอภิปรายอะไรแบบนี้ก็ต้องเห็นค่าของผู้ที่รักษากฎหมายและคนที่เป็นข้าราชการด้วย เพราะการพูดแบบนี้ เหมือนเป็นการด้อยค่าไปในตัว


”เชื่ออย่างยิ่งว่าลูกคนไหนก็ตาม ที่เห็นความไม่ยุติธรรม ที่เกิดขึ้นกับคุณพ่อ ซึ่งผ่านมาเกือบ 20 ปี ไม่มีใครอยากให้เกิด และสถานการณ์ทั้งหมดในรอบ 20 ปีที่ผ่านมาในประเทศ ทุกคนก็ทราบถึงความยากลำบากที่เราและประชาชนได้ประสบมา ในเรื่องของความอยุติธรรม ซึ่งถ้าหาใครซักคนที่เผชิญเรื่องของความไม่อยุติธรรม ดิฉันมั่นใจว่า นายทักษิณคือคนท็อปๆที่ได้รับความไม่ยุติธรรม ท่านถูกยึดอำนาจทางการเมืองและถูกอายัดทรัพย์สิน ถูกยึดทรัพย์สินถูกลอบสังหารหลายรอบ ซึ่งตนอยู่มหาวิทยาลัย ก็ทราบ สมัยนั้นการสื่อสารก็ยังไม่ค่อยดี ซึ่งในวันนั้นตนก็ไม่ได้มีความรู้สึกที่ดี และวันนั้นไม่ทราบด้วยว่าเกิดอะไรขึ้นได้ยินแค่ข่าวและรออีกสักพักสรุปแล้วว่าเกิดอะไรขึ้นกับคุณพ่อ ซึ่งไม่ใช่เกิดครั้งเดียวและเกิดขึ้นหลายครั้ง เป็นสิ่งที่ เกิดความเจ็บปวดในครอบครัว นอกจากนี้ยังถูกพลัดพรากไปไกลกัน อยู่คนละประเทศอยู่เสมอ ซึ่งได้เดินทางไปหาคุณพ่อบ่อยๆ เพื่อจะได้ไม่คิดถึงกันมากจนเกินไป โดยไปมาตลอด จนกระทั่งช่วงโควิด ท้องลูกคนแรก เดินทางยากลำบาก เมื่อท้อง 6 เดือนและได้อยู่กับคุณพ่อหนึ่งเดือน ก็เสียน้ำตา ตอนนั้นไม่รู้ว่าโควิดจะอยู่นานมากเท่าไหร่หรือความรุนแรงมากแค่ไหน“ นางสาวแพทองธาร กล่าว


นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า แน่นอนว่าความไม่ยุติธรรมเหล่านี้เกิดขึ้นทำให้ครอบครัวเราที่สนิทกันอยู่แล้ว รักกันมากยิ่งขึ้น เพราะเราผ่านช่วงเวลาที่ลำบากมาด้วยกัน ก็เข้าใจซึ่งกันและกัน เป็นสิ่งที่ทำให้ตนได้เติบโตขึ้นมาอย่างมีสติ และทราบว่าอะไรเป็นสิ่งที่ควรหรือไม่ควร และเป็นสิ่งที่ต้องเห็นใจซึ่งกันและกันอ ในเรื่องที่ลำบากก็มีข้อดีซ่อนอยู่เสมอ ตนเชื่ออย่างนั้น


นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ที่ผ่านมามีสมาชิกกล่าวหาว่า คุณพ่อได้กลับมาเพราะว่ามีการดีลผ่านปิศาจ ผ่านการจัดตั้งรัฐบาลชุดนี้ ซึ่ง 100% ไม่ใช่ความจริงเลย และนี่คือการตัดสินใจของท่านอย่างเต็มรูปแบบว่าจะกลับมา ซึ่งตนก็ไม่อยากให้ท่านกลับมาและติดคุกหรือถูกจำกัดที่ทาง ซึ่งนายทักษิณก็บอกว่า อยากใช้เวลาที่เหลือที่เมืองไทย และปีนี้อายุ 75 แล้วอยากใช้เวลาที่เหลือกับครอบครัวที่เมืองไทย เพราะเติบโตที่เมืองไทยมาโดยตลอดและรักและห่วงประชาชนมาก คิดอะไรก็คิดจะคิดเรื่องเศรษฐกิจ ทำให้ประชาชนรวย ทำให้ตนมีแรงบันดาลใจในการทำงาน ว่าแม้เจอเรื่องขนาดนี้ก็ยังคิดดีๆกับคนอื่นได้ เป็นสิ่งที่ต้องใช้พลังบวกเยอะๆในใจ


“แน่นอนว่าถ้าวันนั้น พรรคเพื่อไทยและพรรคก้าวไกลจับมือกันสำเร็จและตั้งรัฐบาลได้ ท่านเองเป็นผู้นำรัฐบาลและเราเป็นพรรคร่วมรัฐบาลอย่างไรนายทักษิณ ก็กลับมาอยู่ดี ไม่ว่ารัฐบาลจะจัดตั้งโดยใคร นี่คือเรื่องจริง ที่คุณพ่อตั้งใจแล้วว่าจะกลับมาให้ได้ ส่วนเรื่องกระบวนการขอพระราชทานอภัยโทษ เป็นสิทธิของผู้ต้องคดีความ ซึ่งมีขั้นตอนกระบวนการต่างๆ ที่ตนขอไม่ก้าวล่วงและเป็นสิทธิของผู้มีคดีความทุกคน ส่วนจะพูดว่าป่วยจริงหรือป่วยหลอก เมื่อแพทย์วินิจฉัยแล้วว่าต้องรักษาตัวที่โรงพยาบาล ก็คือสิ่งที่ชัดเจน จะให้ตนบอกว่าพ่ออายุ 70 กว่า ป่วย ท่านจะเชื่อหรือไม่ ก็คงไม่เชื่อ ป่วยเป็นโควิดหนักมากน้ำหนักลดลงทำให้เกิดอาการผมร่วง ท่านก็คงเชื่อ และถ้าบอกว่าคนอายุ 70 กว่าต้องผ่าตัดและการผ่าตัดไม่ง่าย เหมือนคนอายุ 20 30 40 ท่านคงไม่เชื่อ จึ่งไม่รู้ว่าต้องอธิบายแบบไหน ขณะนี้ มีการยื่นตรวจสอบกับทางแพทยสภา ซึ่งผลจะออกมาอีกไม่นานนี้ หวังว่าทุกท่านจะยอมรับ“ นางสาวแพทองธาร กล่าว


นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เมื่อมีกระบวนการตรวจสอบนายทักษิณในกระบวนการต่างๆในฐานะลูกสาวที่รักคุณพ่อก็ห่วงใยแน่นอน และในฐานะนายกฯ ไม่เคยใช้อำนาจไปแทรกแซง อย่าดูถูกข้าราชการไทยในสมัยนี้แล้วทุกอย่างตรวจสอบได้ไม่เคยแทรกแซงกระบวนการเหล่านี้เลย และตลอดกาลการอภิปรายสมาชิกเรียกร้องให้ตนลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นสิทธิ์ของทุกคนในสภาอันทรงเกียรติแห่งนี้ที่ทำได้


“แต่สิ่งหนึ่งที่ท่านทำไม่ได้ คือขอให้ดิฉันลาออกจากความเป็นลูกสาวหรือความเป็นแม่ สิ่งนี้ลาออกไม่ได้ และพร้อมที่จะทำงานให้กับคนทุกกลุ่ม ทุกคน ทุกจังหวัด ทุกที่ เพราะว่าสวมหมวกของนายกรัฐมนตรีของประเทศไทยและทำหน้าที่นี้อย่างเต็มที่และสุดความสามารถ แน่นอนว่าในฐานะลูกสาว ก็คือลูกสาวของนายทักษิณ ชินวัตร ดิฉันพูดคำนี้ด้วย ความภาคภูมิใจตั้งแต่สามารถพูดได้ ขอให้ทุกคนดูและพิสูจน์ความสามารถและความตั้งใจในการทำงานอย่างเต็มที่ ในฐานะนายกรัฐมนตรี หากจะมีการวิพากษ์วิจารณ์ใดๆ ก็ขอวิจารณ์ในเรื่องการทำงาน ก็น่าจะเป็นประโยชน์กว่า ทั้งต่อสภาแห่งนี้และต่อประเทศของเรา” นางสาวแพทองธาร กล่าว


นายรังสิมันต์ โรม สส. บัญชีรายชื่อพรรคประชาชน ขอใช้สิทธิ์พาดพิง ที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นกลุ่มพันธมิตรฯ ว่า ตอนอายุ 14 ปีเมื่อตอนที่พ่อของนายกรัฐมนตรี ถูกรัฐประหาร และเมื่อมาเรียนที่กรุงเทพฯ ก็ไม่เคยเข้าร่วมกับกลุ่มพันธมิตรเลย และไม่เห็นด้วยกับอุดมการณ์ของกลุ่มพันธมิตร ยืนยันว่า หลังจากมีการรัฐประหารครั้งที่สองของ รัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ตนคือคนแรกแรกที่ออกมาต่อต้าน เรามาต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย ดังนั้นการกล่าวหาว่าตนเคยเข้าร่วมกลุ่มพันธมิตร ยืนยันว่าไม่เคยเข้าร่วมและไม่เคยยึดสนามบิน อีกเรื่องยืนยันว่า ถ้าพรรคก้าวไกลได้เป็นรัฐบาล อดีตนายกรัฐมนตรีจะไม่ได้รับสิทธิพิเศษใดๆ อย่างแน่นอน


นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ขอบคุณในการชี้แจง และพร้อมรับข้อมูลใหม่ๆ อยู่เสมอ และท่านจะได้เข้าใจว่าการถูกเข้าใจผิดนั้นเป็นอย่างไร


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #แพทองธารชินวัตร #อภิปรายไม่ไว้วางใจ