วันจันทร์ที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2568

“พริษฐ์” ย้ำจุดยืนส่งศาลรัฐธรรมนูญตีความแก้ รธน. ไม่จำเป็น-ไม่เพียงพอ ยันรัฐสภาเดินหน้าพิจารณาได้โดยไม่ขัดคำวินิจฉัย 4/2564 ย้ำอุปสรรคไม่ได้อยู่ที่ข้อกังวลทางกฎหมาย แต่อยู่ที่การขาดเจตจำนงทางการเมืองของรัฐบาลในการผลักดัน รธน. ใหม่ให้สำเร็จ

 


พริษฐ์” ย้ำจุดยืนส่งศาลรัฐธรรมนูญตีความแก้ รธน. ไม่จำเป็น-ไม่เพียงพอ ยันรัฐสภาเดินหน้าพิจารณาได้โดยไม่ขัดคำวินิจฉัย 4/2564 ย้ำอุปสรรคไม่ได้อยู่ที่ข้อกังวลทางกฎหมาย แต่อยู่ที่การขาดเจตจำนงทางการเมืองของรัฐบาลในการผลักดัน รธน. ใหม่ให้สำเร็จ


วันที่ 17 มีนาคม 2568 ในการประชุมร่วมรัฐสภาเพื่อพิจารณาเรื่องขอให้รัฐสภามีมติขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยปัญหาเกี่ยวกับหน้าที่และอำนาจของรัฐสภาตามรัฐธรรมนูญมาตรา 210 วรรคหนึ่ง (2) พริษฐ์ วัชรสินธุ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ได้ลุกขึ้นอภิปรายว่า จุดยืนของตนต่อญัตตินี้มีความเรียบง่าย ตนเห็นว่าการส่งเรื่องไปศาลรัฐธรรมนูญ “ไม่จำเป็น” และ “ไม่เพียงพอ” ต่อการทำให้รัฐบาลประสบความสำเร็จในการรักษาคำพูดตนเองว่าจะผลักดันให้ประเทศเรามีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ก่อนการเลือกตั้งครั้งถัดไป


เหตุผลที่ตนไม่เห็นถึงความจำเป็นในการส่งเรื่องไปที่ศาลรัฐธรรมนูญ เพราะเป็นที่ชัดเจนแล้วว่าการที่รัฐสภาจะเดินหน้าพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญที่นำไปสู่การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ด้วยการทำประชามติรวมกัน 2 ครั้ง ไม่มีอะไรที่ขัดกับรัฐธรรมนูญหรือคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ สาระสำคัญของคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ 4/2564 อยู่ในย่อหน้าสุดท้าย สรุปสั้นๆ คือรัฐสภามีอำนาจจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ได้ เพียงแต่มีเงื่อนไขว่าจะต้องทำประชามติ 1 ครั้งก่อนและ 1 ครั้งหลัง


ดังนั้น ตนยืนยันว่าการที่รัฐสภาเดินหน้าพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญเรื่องสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) ตามที่พวกตนเสนอ สอดคล้องกับคำวินิจฉัยศาลฯ เพราะหากรัฐสภาเดินหน้าพิจารณาและให้ความเห็นชอบกับร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญดังกล่าว ก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะมี สสร. ขึ้นมาจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ขึ้นมาทันที แต่ร่างดังกล่าวระบุชัดว่าหากรัฐสภาเห็นชอบในวาระที่ 3 ให้มี สสร. มาจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ เราจะต้องจัดทำประชามติ 1 ครั้งก่อนตามบทบัญญัติมาตรา 256(8)ว่าประชาชนจะเห็นชอบกับการมี สสร. มาจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ตามที่รัฐสภาเห็นชอบหรือไม่ และหากเห็นชอบ เราถึงจะมีการเลือกตั้ง สสร. มาจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ และเมื่อ สสร. จัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่เสร็จแล้ว ต้องจัดทำประชามติอีก 1 ครั้งตามบทบัญญัติในร่างมาตรา 256/21 ว่าประชาชนเห็นชอบกับร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่ สสร. จัดทำหรือไม่


อย่างไรก็ตาม ตนเข้าใจว่าบางคนอาจมีความเห็นแตกต่างออกไปและมองว่าเราต้องทำประชามติเพิ่มขึ้นมาอีก 1 ครั้ง รวมเป็น 3 ครั้ง เพราะไปตีความว่าการทำประชามติ 1 ครั้งก่อนที่อยู่ในคำวินิจฉัยศาลฯ นั้น ไม่ได้หมายถึง “ก่อน” จะมีการจัดทำฉบับใหม่ แต่หมายถึง “ก่อน” จะมีการเสนอญัตติหรือร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญเรื่อง สสร. เข้าสู่การพิจารณาในรัฐสภา


ความจริงคนกลุ่มหนึ่งที่เคยคิดแบบนี้ก็คือประธานรัฐสภาและคณะกรรมการประธานรัฐสภา แต่หลังจากที่ตนได้รวบรวมหลักฐานและข้อมูลทั้งหมดเสนอต่อคณะกรรมการฯ เมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2567 ทางคณะกรรมการฯ และประธานรัฐสภาก็เปลี่ยนใจ หันมาเห็นตรงกับตนว่าประชามติ 2 ครั้งเพียงพอและรัฐสภาเดินหน้าพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญเรื่อง สสร. ได้


ดังนั้น วันนี้ตนขอนำเสนอหลักฐานและข้อมูลชุดเดียวกัน ด้วยความหวังว่าจะสามารถคลายข้อกังวลและเปลี่ยนใจสมาชิกรัฐสภาได้เช่นกัน ว่าสิ่งที่เราทำอยู่ไม่ขัดคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ


พริษฐ์กล่าวต่อว่า หลักฐานและข้อมูลที่ตนมีเพิ่มเติมจากคำวินิจฉัยกลางมีอยู่ 3 อย่าง (1) คำวินิจฉัยรายบุคคลของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ 9 คน ที่ประกอบออกมาเป็นคำวินิจฉัยกลาง 4/2564 เราจะพบว่าตุลาการเสียงส่วนใหญ่ให้ความเห็นที่ชัดเจนว่าการทำประชามติ 2 ครั้งนั้นเพียงพอ รัฐสภาสามารถดำเนินการพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญเรื่อง สสร. โดยไม่ต้องเพิ่มประชามติขึ้นมาอีก 1 ครั้งก่อนการพิจารณาในวาระที่ 1


หลักฐานที่ 2 คืออินโฟกราฟิกสรุปคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ 4/2564 ที่ถูกจัดทำโดยสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญเอง แสดงขั้นตอนในการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ กระบวนการเริ่มต้นด้วยการเสนอญัตติแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญหรือร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญเรื่อง สสร. ไม่มีส่วนไหนที่บอกว่าต้องทำประชามติเพิ่มขึ้นมาก่อนจะเสนอและพิจารณาญัตติ ซึ่งขั้นตอนทั้งหมดที่ปรากฏในอินโฟกราฟิก เป็นไปตามที่ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญของพรรคประชาชนที่ค้างอยู่ ได้เสนอไว้


หลักฐานที่ 3 คือผลการหารืออย่างไม่เป็นทางการกับประธานศาลรัฐธรรมนูญ ที่ตนและ กมธ.พัฒนาการเมืองฯ ได้ขอเข้าพบประธานศาลรัฐธรรมนูญเมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน 2567 แม้เป็นการประชุมอย่างไม่เป็นทางการที่ไม่มีผลผูกพันทางกฎหมาย และเป็นการประชุมกับประธานศาลฯ และตุลาการอีกคนรวมเป็น 2 คน ไม่ได้ประชุมกับทั้งองค์คณะ แต่ตนยืนยันว่าในการพูดคุยดังกล่าวโดยละเอียด ไม่มีใครในที่ประชุม เสนอว่าต้องทำประชามติ 3 ครั้ง และไม่มีใครทักท้วงว่าขั้นตอนการดำเนินการเหมือนกับที่ตนและพรรคประชาชนเสนอให้รัฐสภาดำเนินการนั้น ขัดกับคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ


ทั้งหมดเป็นเหตุผลและหลักฐานในเชิงข้อกฎหมายที่ตนหวังว่าจะโน้มน้าวสมาชิกรัฐสภาได้ว่าทำไมเราถึง “ไม่มีความจำเป็น” ที่จะต้องส่งเรื่องไปที่ศาลรัฐธรรมนูญ แต่นอกจาก “ไม่จำเป็น” แล้ว การส่งเรื่องไปศาลรัฐธรรมนูญยัง “ไม่เพียงพอ” ต่อการทำให้รัฐบาลผลักดันรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ได้สำเร็จ


พริษฐ์กล่าวต่อว่า ที่ต้องพูดแบบนี้ เพราะถึงแม้บางคนอาจมีข้อกังวลทางกฎหมายจริง ๆ จึงหวังจะใช้การส่งเรื่องไปที่ศาลรัฐธรรมนูญเพื่อคลายข้อกังวล แต่ตนก็เชื่อว่ามีบางคนเช่นกันที่ไม่ได้กังวลหรือสนใจเรื่องข้อกฎหมาย แต่ลึกๆ แล้วไม่อยากเห็นการแก้รัฐธรรมนูญ จึงต้องพยายามหา “ข้อกังวลทางกฎหมาย” ให้เจอ หวังจะใช้การยื่นเรื่องไปที่ศาลรัฐธรรมนูญเพื่อชะลอการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพื่อหวังว่าการดึงทุกคนมาถกเถียงกันเรื่องเทคนิคเชิงกฎหมาย จะทำให้สังคมหลงลืมไปว่าการแก้รัฐธรรมนูญจะเป็นประโยชน์กับประชาชนอย่างไร จะช่วยปราบโกงอย่างไร จะช่วยปลดล็อกท้องถิ่นอย่างไร จะช่วยปกป้องสิทธิเสรีภาพอย่างไร


ดังนั้น ตนเห็นว่าเราจำเป็นต้องเอาความจริงมาพูดว่าอุปสรรคสำคัญที่ทำให้การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ยังไม่สำเร็จ ไม่ใช่ “ข้อกังวลทางกฎหมาย” แต่คือ “การขาดเจตจำนงทางการเมือง” ของทุกๆ ฝ่ายในซีกรัฐบาล ซึ่งการส่งไปศาลรัฐธรรมนูญแก้ให้ท่านไม่ได้


เหตุการณ์ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ทำให้เราตั้งคำถามได้ถึงสภาวะขาด “เจตจำนง” ในการแก้ไขรัฐธรรมนูญของรัฐบาล


พริษฐ์ตั้งข้อสังเกตถึงเจตจำนงของ “พรรคร่วมรัฐบาล” โดยตั้งคำถามว่าหากเราเชื่อว่าสิ่งเดียวที่ทำให้พรรคร่วมรัฐบาลและ สว. หัวใจเดียวกัน ยังไม่สนับสนุนเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญคือ “ข้อกังวลทางกฎหมาย” และหากเราเชื่อว่าสิ่งเดียวที่จะทำให้เขาพร้อมเดินหน้าต่อคือ “ความชัดเจนจากศาลรัฐธรรมนูญ” แล้วเหตุใดเมื่อเดือนที่แล้ว สส. พรรคร่วมรัฐบาลหลายสิบคน และ สว. หัวใจเดียวกันอีกจำนวนมาก ถึงไม่มาลงมติสนับสนุนเพื่อเร่งให้มีการส่งเรื่องไปศาลรัฐธรรมนูญ


ดังนั้น หากวันนี้ทั้ง สส. และ สว. กลุ่มดังกล่าว ยังไม่มาลงมติสนับสนุนการส่งเรื่องไปที่ศาลรัฐธรรมนูญ ก็ชัดเจนแล้วว่าเหตุผลที่เขาไม่สนับสนุนการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ไม่ได้เป็นเพราะข้อกังวลทางกฎหมายที่เขาต้องการให้ศาลรัฐธรรมนูญช่วยคลี่คลาย และหากเป็นเช่นนั้นก็ไม่มีอะไรรับประกันว่าแม้ศาลรัฐธรรมนูญจะให้ความชัดเจนเกี่ยวกับข้อกฎหมายตามที่ผู้เสนอญัตติหวัง สส. และ สว. กลุ่มนี้ จะมาลงมติสนับสนุนการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่


พริษฐ์กล่าวว่า ตนยังขอตั้งคำถามถึงเจตจำนงของ “นายกฯ” เพราะก่อนที่เราจะต้องมาคุยกันเรื่องส่งเรื่องไปที่ศาลรัฐธรรมนูญ สิ่งที่หลายคนสงสัยคือนายกฯ ได้ทำอะไรไปบ้างหรือยังเพื่อคลายข้อกังวลของพรรคร่วมรัฐบาล เพราะนับจากวันที่ประธานสภาฯ บรรจุร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญของพรรคประชาชน จนถึงการประชุมรัฐสภาเพื่อพิจารณาร่างดังกล่าวเมื่อเดือนที่แล้ว นายกฯ มีเวลาเกือบ 2 เดือน แต่ร่างของ ครม. ก็ไม่มีการเสนอเข้ามา ทั้งๆ ที่เป็นนโยบายรัฐบาล แค่จะหารือกันภายใน ครม. เพื่อคลายข้อกังวลของพรรคร่วม ตนเข้าใจว่านายกฯ ก็ยังไม่ได้ทำ


เพราะเมื่อสื่อมวลชนไปสัมภาษณ์หลังสภาล่มว่านายกฯ ได้คุยกับพรรคร่วมรัฐบาลมาก่อนแล้วหรือไม่ นายกฯ ตอบเสียงแข็งว่า “คุยแล้ว” แต่ในเย็นวันเดียวกันรองนายกฯ อนุทิน ชาญวีรกูล กลับให้สัมภาษณ์ชัดเจนว่า “ท่านนายกฯ ไม่เคยมาคุยหรือหารือเรื่องแก้รัฐธรรมนูญเลย” มาถึงวันนี้ยังไม่รู้ว่าใครพูดจริงพูดไม่จริง และตนก็ไม่ได้บอกว่าการที่นายกฯ คุยกับพรรคร่วมฯ แล้วจะคลายข้อกังวลของพรรคร่วมฯ ได้แน่นอน แต่ถ้า สส. ฝ่ายค้านคนหนึ่งยังสามารถคลายข้อกังวลของประธานสภาได้ว่าประชามติ 2 ครั้งเพียงพอ แล้วทำไมนายกฯ และหัวหน้ารัฐบาล จะคลายข้อกังวลของพรรคร่วมฯ ไม่ได้


ด้งนั้นถ้าผู้เสนอญัตติจากพรรคแกนนำรัฐบาลคาดหวังว่าการส่งเรื่องไปศาลรัฐธรรมนูญวันนี้ จะแก้ปัญหาได้ทั้งหมด ตนอยากให้ทบทวนดีๆ เพราะแม้ศาลรัฐธรรมนูญให้คำตอบชัดเจนว่าเราเดินหน้ากันต่อได้ ก็ไม่มีอะไรรับประกันว่า สส. พรรคร่วมรัฐบาล และ สว. หัวใจเดียวกัน จะโหวตสนับสนุนร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญเรื่อง สสร. หากพวกเขายังไม่สนับสนุนญัตติของท่านในวันนี้


แต่หากศาลรัฐธรรมนูญตัดสินใจไม่รับเรื่องไว้วินิจฉัย เหมือนที่เคยตัดสินใจไปเมื่อตอนต้นปี 2567 หรือหากศาลรัฐธรรมนูญตัดสินใจรับเรื่อง แต่ไม่ได้ให้ความชัดเจนมากขึ้นกว่าที่เคยวินิจฉัยไว้เมื่อปี 2564 เราก็จะกลับมาอยู่ที่จุดเดิมในวันนี้ ที่ต้องอาศัย “เจตจำนงทางการเมือง” ของนายกฯ ในการแก้ไขปัญหา และโน้มน้าวสมาชิกรัฐสภาในซีกรัฐบาล ซึ่งไม่มีศาลรัฐธรรมนูญที่ไหนจะไปแก้แทนท่านนายกฯ ได้


พริษฐ์กล่าวว่า โดยสรุปตนเห็นว่าการส่งเรื่องไปที่ศาลรัฐธรรมนูญ “ไม่มีความจำเป็น” เพราะสิ่งที่เราทำไม่ได้ขัดกับรัฐธรรมนูญหรือคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ และการส่งเรื่องไปศาลรัฐธรรมนูญ “ไม่เพียงพอ” ต่อการแก้ไขปัญหาเพราะอุปสรรคหลักของเรื่องนี้ ไม่ได้อยู่ที่ “ข้อกังวลทางกฎหมาย” แต่อยู่ที่ “เจตจำนงทางการเมืองของรัฐบาล”


ทางออกของเรื่องนี้จึงไม่ได้อยู่ที่ศาลรัฐธรรมนูญ แต่อยู่ที่ทำเนียบรัฐบาล ดังนั้น สิ่งที่รัฐสภาแห่งนี้สมควรต้องทำมากกว่าในวันนี้ คือการส่งสัญญาณดังๆ ไปที่นายกฯ ให้แสดงภาวะความเป็นผู้นำ และเป็นเจ้าภาพในการสร้างความเป็นเอกภาพของรัฐบาล เพื่อร่วมกันผลักดันนโยบายเรือธงของตนเองให้สำเร็จได้จริง


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #พรรคประชาชน #เขียนรัฐธรรมนูญ #ศาลรัฐธรรมนูญ