วันอาทิตย์ที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2567

“ธนาธร” รับเชิญติวเข้ม “ปลดล็อกท้องถิ่น” สมาชิกก้าวไกลชลบุรีเตรียมสู้ศึกนายก อบจ. ชูยุทธศาสตร์ “3 ขา” ก้าวไกลผลักดันกระจายอำนาจ ก้าวหน้าเก็บเกี่ยวความรู้-พัฒนานโยบาย ประชาชนร่วมติดตาม

 


ธนาธร” รับเชิญติวเข้ม “ปลดล็อกท้องถิ่น” สมาชิกก้าวไกลชลบุรีเตรียมสู้ศึกนายก อบจ. ชูยุทธศาสตร์ “3 ขา” ก้าวไกลผลักดันกระจายอำนาจ ก้าวหน้าเก็บเกี่ยวความรู้-พัฒนานโยบาย ประชาชนร่วมติดตาม

 

วันที่ 31 มีนาคม 2567 ที่โรงแรมแมนดาริน อีสต์ วิลล์ พัทยา จ.ชลบุรี พรรคก้าวไกล จ.ชลบุรี จัดเวทีพบปะสมาชิกและผู้สนับสนุนพรรคก้าวไกล “ก้าวไกล ก้าวต่อไป อบจ.” พร้อมเสวนาปลดล็อกท้องถิ่น โดยมี ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานมูลนิธิคณะก้าวหน้า และ กัณวีร์ สืบแสง สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเป็นธรรม เป็นวิทยากรรับเชิญร่วมวงเสวนา โดยมี โอฬาร ถิ่นบางเตียว อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์และนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา เป็นผู้ดำเนินรายการเสวนา

 

โดยนอกจากการบรรยายถึงหลักการของการกระจายอำนาจ รวมทั้งปัญหาและอุปสรรคที่ผ่านมาของการกระจายอำนาจในประเทศไทยแล้ว ธนาธรยังได้ย้ำว่าการกระจายอำนาจเป็นวาระที่ใหญ่และสำคัญต่ออนาคตของประเทศมาก และเป็นหนึ่งในวาระที่พรรคอนาคตใหม่มาจนถึงพรรคก้าวไกลเห็นว่าเป็นวาระ 1 ใน 3 อันดับแรกที่สำคัญที่สุดในการเปลี่ยนแปลงประเทศ

 

วันนี้แนวโน้มของสังคมเป็นไปในทางบวกมากขึ้น มีผู้คนให้ความสนใจกับการกระจายอำนาจมากขึ้น มีคนเข้าใจมากขึ้นว่าโครงสร้างการบริหารประเทศไทยต้องถูกออกแบบกันใหม่ และที่สำคัญเราได้เห็นการพัฒนาการในการเมืองท้องถิ่นที่ดีขึ้นมาก แม้จะยังมีการเมืองท้องถิ่นแบบที่มุ่งเข้าไปเพื่อรักษาอำนาจและผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจอยู่ แต่การเมืองท้องถิ่นที่มีคุณภาพก็มีมากขึ้นเรื่อยๆ เช่นกัน

 

ธนาธรกล่าวต่อไปว่าแม้จะยังมีอิทธิพลของการเมืองท้องถิ่นแบบเก่าอยู่อีกมาก แต่สิ่งที่เราทำได้ในการร่วมยกระดับการเมืองท้องถิ่น คือการทำให้ประชาชนเห็นว่าการเมืองท้องถิ่นสำคัญกับชีวิตของตัวเองจริงๆ อย่างเช่นที่คณะก้าวหน้าที่ผ่านมาได้เข้าไปสนุบสนุนเทศบาลและ อบต. หลายแห่งในการพัฒนาน้ำประปาดื่มได้ จนมี อปท. หลายแห่งติดต่อขอดูงานและนำไปขยายผลต่อในพื้นที่ของตัวเองมากมาย นั่นคือการใช้แรงบันดาลใจในการยกระดับการเมืองท้องถิ่น

 

อีกแง่หนึ่งก็คือการที่ประชาชนมีความใส่ใจในการเมือง โดยเฉพาะในระดับท้องถิ่นที่มีความสำคัญกับชีวิตประจำวันของประชาชนมากกว่าการเมืองในระดับชาติเสียอีก เช่น ยกตัวอย่างใน จ.ชลบุรีเอง ท่านทราบหรือไม่ว่า อบจ.ชลบุรีเป็นหนึ่งใน อบจ.ที่ได้รับงบประมาณเยอะที่สุดในประเทศนอกจากกรุงเทพมหานคร แข่งกันระหว่างชลบุรีกับสมุทรปราการมาตลอดหลายปี มีงบประมาณอยู่ราว 4 พันล้านบาทต่อปี รวม 4 ปีในวาระของ อบจ. เป็นจำนวนถึง 1.6 หมื่นล้านบาท

 

คำถามที่ตามมาคือท่านรู้หรือไม่ว่างบประมาณเหล่านั้นใช้ไปในการทำอะไรบ้าง? ใน จ.ชลบุรีเอง อบต. และเทศบาลหลายแห่งมีงบประมาณไม่ใช่น้อย แค่เมืองพัทยาก็ปีละ 2 พันล้านบาทแล้ว แต่ละปีใช้ไปทำอะไรบ้างท่านรู้หรือไม่?

 

ผมจึงอยากชักชวนให้ประชาชนทุกคนมาร่วมกันสนใจการเมืองท้องถิ่นในพื้นที่ของตัวเองด้วย การมีส่วนร่วมทางการเมืองที่แข็งขันของประชาชนจะเป็นตัวกำหนดให้ประชาชนไม่ออกนอกลู่นอกทาง ถ้าท่านสนใจการเมืองท้องถิ่น ใช้อำนาจในฐานะผู้ทรงสิทธิ ท่านจะได้รับการตอบสนอง ยิ่งแข็งขันในการตรวจสอบติดตามยิ่งทำให้เขาอยู่ในร่องในรอยมากขึ้น” ธนาธรกล่าว

 

ธนาธรยังกล่าวตอนหนึ่ง ว่าสิ่งที่เราทำร่วมกันได้ในวันนี้ คือการที่พรรคก้าวไกลผลักดันการกระจายอำนาจ คณะก้าวหน้าเก็บเกี่ยวความรู้ สร้างแรงบันดาลใจ พัฒนานโยบายท้องถิ่นสู่การออกแบบนโยบายระดับชาติ สำหรับประชาชน ตนขอฝากทุกท่านให้ติดตามสนใจการเมืองท้องถิ่นในบ้านของเราเอง ทำให้ประชาชนเข้าใจว่า อปท. ที่ทำงานดีสามารถทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ของเราดีขึ้นได้

 

#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #ก้าวไกล #คณะก้าวหน้า




คนรุ่นใหม่อุดหนุนหนังสือ“การขับเคลื่อนทวงความยุติธรรม 2553 - 2566 ” จาก นปช.ถึง คปช.53 ร่วมพูดคุยสอบถามข้อมูล "หมอเหวง' ที่มาแจกลายเซ็น บูธสุขภาพใจ J17

 


คนรุ่นใหม่อุดหนุนหนังสือ“การขับเคลื่อนทวงความยุติธรรม 2553 - 2566 ” จาก นปช.ถึง คปช.53 ร่วมพูดคุยสอบถามข้อมูล "หมอเหวง' ที่มาแจกลายเซ็น บูธสุขภาพใจ J17

 

วันนี้ (31 มีนาคม 2567) ที่งาน“สัปดาห์หนังสือแห่งชาติครั้งที่ 52 และสัปดาห์หนังสือนานาชาติ ครั้งที่ 22” ซึ่งจัดขึ้นที่ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ชั้น LG ฮอลล์ 5-7 ถึงวันที่ 8 เมษายน 2567

 

เวลา 15.00 น. ที่บูธ J17 นพ.เหวง โตจิราการ ได้มาพบปะนักอ่านพร้อมแจกลายเซ็นเป็นวันที่ 2 ซึ่งได้รับความสนใจจากคนรุ่นใหม่ เข้ามาสอบถามรายละเอียดและข้อมูลต่าง ๆ ในหนังสือรวมถึงเรื่องราวเหตุการณ์ในอดีตกับนพ.เหวง

 

ขณะที่นพ.เหวง ฝากอนุชนคนรุ่นหลัง ให้ตามเรื่องนี้ไปถึงที่สุด ทวงความยุติธรรม ให้คนเสื้อแดงให้ได้ หนังสือเล่มนี้คือหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่อยากให้มีเก็บไว้

 

ทั้งนี้นอกจากบูธสุขภาพใจ J17 ภายในงานสามารถซื้อได้ที่ บูธ ฟ้าเดียวกัน K02 และ บูธ อ่าน K27

 

รวมถึงงานรำลึกและสดุดีวีรชน เมษา - พฤษภา 53 ในวันพุธที่ 10 เมษายน 2567 เที่ยงเป็นต้นไป ที่อนุสรณ์สถาน 14 ตุลา ก็จะมีการจำหน่ายหนังสือเล่มนี้ด้วย

 

#สัปดาห์หนังสือแห่งชาติ67 #UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #คปช53 #นปช #คนเสื้อแดง














สัปดาห์หนังสือ 2567 วันที่สามคึกคัก 'หมอเหวง' มาพร้อมหนังสือ“การขับเคลื่อนทวงความยุติธรรม 2553 - 2566 ” จาก นปช.ถึง คปช.53 พบปะนักอ่าน-แจกลายเซ็น บุธสุขภาพใจ คนรุ่นใหม่ให้ความสนใจเข้าพูดคุยซื้อเก็บเป็นหลักฐานประวัติศาสตร์

 


สัปดาห์หนังสือ 2567 วันที่สามคึกคัก 'หมอเหวง' มาพร้อมหนังสือ“การขับเคลื่อนทวงความยุติธรรม 2553 - 2566 ” จาก นปช.ถึง คปช.53 พบปะนักอ่าน-แจกลายเซ็น บุธสุขภาพใจ คนรุ่นใหม่ให้ความสนใจเข้าพูดคุยซื้อเก็บเป็นหลักฐานประวัติศาสตร์


ตามที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ชั้น LG ฮอลล์ 5-7 สมาคมผู้จัดพิมพ์และผู้จำหน่ายหนังสือแห่งประเทศไทย (PUBAT) พร้อมด้วยพันธมิตรสำนักพิมพ์ ร่วมจัดงาน สัปดาห์หนังสือแห่งชาติ ครั้งที่ 52 และสัปดาห์หนังสือนานาชาติ ครั้งที่ 22 ตั้งแต่วันที่ 28 มีนาคม-8 เมษายน


โดยบรรยากาศในวันนี้ (30 มี.ค. 67) เวลา 16.40 น. ที่ฮอลล์ 6 บูธสุขภาพใจ J17 นพ.เหวง โตจิราการ ได้นำหนังสือ“การขับเคลื่อนทวงความยุติธรรม 2553 - 2566 ” จาก นปช.ถึง คปช.53 มาพบปะนักอ่าน พร้อมแจกลายเซ็น โดยได้ความสนใจจากประชาชนโดยเฉพาะคนรุ่นใหม่เข้ามาซื้อและพูดคุยอย่างต่อเนื่อง


สำหรับหนังสือ “การขับเคลื่อนทวงความยุติธรรม 2553 - 2566 ” จาก นปช.ถึง คปช.53 สามารถซื้อได้ที่ Hall 6 บูธ สุขภาพใจ J17, บูธ ฟ้าเดียวกัน K02 และ บูธ อ่าน K27


นพ.เหวง ได้กล่าวว่า หนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือสำคัญมากสำหรับเยาวชนคนรุ่นใหม่เพราะได้บันทึกวีรชนประชาธิปไตยประชาชนทั้งหมด น่าจะไม่ต่ำกว่าเกือบ ๆ 90 รายหรือจะเรียกได้ว่า 90 ศพก็ได้ ทั้งยังมีรายละเอียดของการชันสูตรพลิกศพแล้ว มีการยื่นเรื่องให้ศาลเพื่อมีคำสั่งการตายจำนวนอย่างน้อย 20 ราย ยังเหลืออีก 62 ศพที่ยังไม่เข้าสู่การชันสูตรพลิกศพ จึงจำเป็นต้องพิมพ์เป็นหนังสือไว้


เนื่องจากดูแล้วคนที่เกี่ยวข้องคงจะประเมินเฉยอย่างเช่นรัฐบาลชุดปัจจุบัน ซึ่งเขาพยายามอ้างว่าเขาเป็นตัวแทนคนเสื้อแดง คือใช้สีแดงมาเป็นโลโก้ แต่ดูท่าทางเขาจะไม่ให้เอาใจใส่ในกรณีของการทวงคืนความยุติธรรมให้กับคนเสื้อแดง


เหตุผลที่ต้องทำเรื่องนี้ เนื่องจากว่าประเทศไทยมีการสังหารประชาชน 2 มือเปล่ากลางถนนโดยทหาร จะเรียกได้ว่าทหารใช้อาวุธสงครามกองทัพและอาวุธสงครามโดยอำนาจของรัฐ สั่งให้กองทัพมาใช้อาวุธสงครามกับประชาชนที่มีความคิดเห็นต่าง เราจะหยุดเรื่องนี้ได้ก็ต่อเมื่อเราเอาทหารที่ฆ่าประชาชนสองมือเปล่ารวมทั้งคนสั่งทหารที่ฆ่าประชาชนสองมือเปล่ามารับโทษตามกฎหมายให้ได้ นั่นคือต้องคืนความยุติธรรมให้กับวีรชนประชาธิปไตย เมษา - พฤษภา ปี 53 ให้ได้ ไม่เช่นนั้นเมืองไทยก็จะเกิดเรื่องนี้ซ้ำซาก


ซ้ำซากก็คือจะการใช้อำนาจรัฐเผด็จการ ใช้ทหารและกองทัพสังหารประชาชนสองมือเปล่าด้วยอาวุธสงครามไปชั่วฟ้าดินสลาย แต่ถ้าตรงข้ามเราทำสำเร็จเหตุการณ์นี้ก็จะยุติโดยสิ้นเชิง


เพราะฉะนั้นหนังสือเล่มนี้จึงมีความสำคัญมากและกระบวนการในการทวงความยุติธรรมจึงมีความสำคัญมาก ผมเองก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าจะสำเร็จหรือเปล่า แต่ก็มีมุ่งมั่นในการที่จะทำให้เกิดความสำเร็จให้ได้ ถ้าสำเร็จในชีวิตผมได้ผมก็จะมีความสุข ถ้าหากสำเร็จในช่วงชีวิตผมไม่ได้ ก็อยากจะฝากให้เยาวชนคนรุ่นหลังดำเนินการต่อไป ด้วยวิธีการวิธีการหนึ่ง


ถ้าหมดอายุความในประเทศไทยเราสามารถเดินทางไปเดินเรื่องที่ศาลอาญาระหว่างประเทศได้โดยรับรองเขตอำนาจศาลอาญาระหว่างประเทศเฉพาะกรณีเมษา- พฤษภา ปี 53 ซึ่งเรื่องนี้สามารถทำได้ ไม่เกี่ยวข้องกับสถาบันใด ๆ ทั้งสิ้นนะ


เพราะฉะนั้นพวกขวาจัด พวกอนุรักษ์นิยมจะมาใส่ร้ายป้ายสี หาว่าเกี่ยวข้องกับสถาบันเป็นเรื่องไม่จริงครับ เพราะว่ารับรองเขตอำนาจศาลอาญาระหว่างประเทศเฉพาะกรณีเมษา-พฤษภา 53 จะเกี่ยวข้องกับศอฉ.กับรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะเท่านั้น 


ผมหวังว่าก่อนที่ผมจะสิ้นลมหายใจ ถ้าจะทวงความยุติธรรมให้กับวีรชนประชาธิปไตยได้ก็คือเอาทหารที่ฆ่าประชาชน สองมือเปล่า เอาคนสั่งทหารที่ฆ่าประชาชนสองมือเปล่า เอาพวกศอฉ.กับรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ มารับโทษทางกฎหมายให้ได้ ต้องมีคณะกรรมการขึ้นมาชุดหนึ่งเพื่อตามเรื่องนี้ให้ถึงที่สุดและต้องไปดำเนินการแก้ไขกฎหมายให้ทหารที่ทำผิดอาญาต่อพลเรือนต้องขึ้นศาลพลเรือน แล้วก็ให้นักการเมืองที่กระทำผิดทางอาญาต่อพลเรือนต้องขึ้นศาลพลเรือนเลย รวมไปถึงการใช้รับรองรับรองเขตอำนาจศาลอาญาระหว่างประเทศ เฉพาะกรณีในเหตุการณ์เมษา-พฤษภา ปี 53 ฝากอนุชนคนรุ่นหลัง ให้ทำเรื่องนี้ไปถึงที่สุดทวงความยุติธรรม ยุติธรรมให้คนเสื้อแดงให้ได้ แล้วก็หยุดทหารฆ่าประชาชนกลางเมืองให้ได้ หยุดอำนาจรัฐที่สั่งทหารฆ่าประชาชนที่มีความเห็นต่างให้ได้ ไม่งั้นมันจะซ้ำซากครับ นพ.เหวง กล่าว 


ทั้งนี้ พรุ่งนี้ (31 มี.ค. 67) นพ.เหวง ยังมาพบปะนักอ่านและแจกลายเซ็นที่บุธสุขภาพใจ J17 เวลา 15.00 น. มาพบกันได้ค่ะ 


 #UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #คปช53 #นปช #คนเสื้อแดง #สัปดาห์หนังสือแห่งชาติ




วันเสาร์ที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2567

📷 30 มีนาคม 2567 ประมวลภาพบรรยากาศ นพ.เหวง โตจิราการ พบปะนักอ่าน - แจกลายเซ็น หนังสือ“การขับเคลื่อนทวงความยุติธรรม 2553 - 2566 ” จาก นปช.ถึง คปช.53 ที่บูธสุขภาพใจ J17 ในงานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติ 67

 


30 มีนาคม 2567 ประมวลภาพบรรยากาศ นพ.เหวง โตจิราการ พบปะนักอ่าน - แจกลายเซ็น หนังสือ“การขับเคลื่อนทวงความยุติธรรม 2553 - 2566 ” จาก นปช.ถึง คปช.53 ที่บูธสุขภาพใจ J17 ในงานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติ 67 ซึ่งจะมีไปถึงวันที่ 8 เมษายน 2567


นอกจากบูธสุขภาพใจ J17 ภายในงานสามารถซื้อได้ที่ บูธ ฟ้าเดียวกัน K02 และ บูธ อ่าน K27 


โดยพรุ่งนี้(31 มี.ค. 67)นพ.เหวง ยังมาพบปะนักอ่านและแจกลายเซ็นที่บุธสุขภาพใจ J17 เวลา 15.00 น. มาพบกันได้ค่ะ 


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #คปช53 #นปช #คนเสื้อแดง สัปดาห์หนังสือแห่งชาติ











วันศุกร์ที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2567

“ดีอี-สธ.” จับมือพัฒนาระบบคลาวด์กลางด้านสาธารณสุข เชื่อมต่อข้อมูลสุขภาพประชาชนไว้บนระบบเดียวกัน ยกระดับ “30 บาท รักษาได้ทุกที่ด้วยบัตรประชาชนใบเดียว” สร้างสะดวก รวดเร็ว ปลอดภัย ป้องกันข้อมูลรั่วไหลและถูกโจรกรรม ด้วยมาตรฐานสากล ISO 27001

 


“ดีอี-สธ.” จับมือพัฒนาระบบคลาวด์กลางด้านสาธารณสุข เชื่อมต่อข้อมูลสุขภาพประชาชนไว้บนระบบเดียวกัน ยกระดับ “30 บาท รักษาได้ทุกที่ด้วยบัตรประชาชนใบเดียว” สร้างสะดวก รวดเร็ว ปลอดภัย ป้องกันข้อมูลรั่วไหลและถูกโจรกรรม ด้วยมาตรฐานสากล ISO 27001


วันที่ 29 มีนาคม 2567 นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) และนายแพทย์ชลน่าน ศรีแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ร่วมกันเปิดโครงการ ‘พัฒนาระบบคลาวด์กลางด้านสาธารณสุขของประเทศไทย’ ภายใต้กิจกรรมที่ 1 ‘การพัฒนาบริหารจัดการการแลกเปลี่ยนข้อมูลสุขภาพทั่วประเทศ’ โดยมีนายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงดีอี พร้อมด้วยนายภุชพงค์ โนดไธสง เลขาธิการคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และนายธีรวุฒิ ธงภักดิ์ รองเลขาธิการคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ตลอดจนคณะผู้บริหาร เจ้าหน้าที่กระทรวงดีอีและกระทรวงสาธารณสุข พร้อมผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมงาน ณ โรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ แอท เซ็นทรัลพลาซา ลาดพร้าว กรุงเทพฯ โดยภายในงานได้มีการเสวนา ในหัวข้อ ‘ความเป็นมาของโครงการ เป้าหมาย การใช้บริการ Cloud การ Exchange ข้อมูล’ ซึ่งมีผู้ร่วมเสวนา ได้แก่ นายธีรวุฒิ ธงภักดิ์ รองเลขาธิการคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และนายแพทย์สุรัคเมธ มหาศิริมงคล ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศ กระทรวงสาธารณสุข


นายประเสริฐ กล่าวว่า กระทรวงดีอี โดยสำนักงานคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สดช.) มุ่งมั่นที่จะพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเทคโนโลยีสมัยใหม่ ซึ่งระบบคลาวด์กลางด้านสาธารณสุขเป็นสิ่งสำคัญและมุ่งมั่นให้บริการแก่ประชาชน โดยจัดให้มีระบบคลาวด์กลาง GDCC เพื่อให้บริการด้านการประมวลผลและจัดเก็บข้อมูลที่ปลอดภัยสำหรับหน่วยงานภาครัฐ สนับสนุนบริการภาครัฐตามยุทธศาสตร์ชาติ ทั้งนี้ การพัฒนาระบบสารสนเทศแพลตฟอร์มกลางบนคลาวด์มีความสำคัญและจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับ รพ.สต.ทั่วประเทศ ที่ขาดแคลนบุคลากรด้านคอมพิวเตอร์และงบประมาณ ซึ่งระบบนี้จะได้รับการดูแล ปรับปรุงและพัฒนาจากหน่วยงานส่วนกลางแบบออนไลน์ เป็นการลงทุน สำหรับการพัฒนาและดูแลระบบที่มีต้นทุนต่ำ แต่สามารถเชื่อมโยงการดูแลสุขภาพทุกระดับ ระบบสารสนเทศจะมีระบบประมวลผลแบบกลุ่มเมฆ (Cloud Computing) ในรูปแบบ Private Cloud ที่มีความยืดหยุ่นในการใช้งาน มีการรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์ ช่วยลดงบประมาณให้กับภาครัฐ ในระยะยาวได้ โดยกระทรวงดีอีจะดำเนินการจัดหา พัฒนา ดูแลระบบคลาวด์กลางสำหรับข้อมูลสุขภาพที่มีความปลอดภัย พร้อมกับการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล


“สดช. และ สธ. ในฐานะหน่วยงานรัฐผู้ดำเนินงานให้บริการโครงการคลาวด์กลาง เชื่อมั่นว่าระบบนี้จะเป็นประโยชน์อย่างมากต่อการดูแลสุขภาพของประชาชน และเป็นการขับเคลื่อนสู่ Health 4.0 อย่างเป็นระบบ ซึ่งโครงการนี้ไม่เพียงแค่เป็นการปรับปรุงการบริหารจัดการข้อมูลสุขภาพเท่านั้น แต่ยังเป็นการลงทุนที่สำคัญในการเดินหน้าของประเทศไทยสู่ Health 4.0 ที่จะช่วยสร้างพื้นที่ในการพัฒนาและส่งเสริมนวัตกรรมในด้านสุขภาพอย่างยั่งยืน” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กล่าวย้ำ


ขณะที่ นายแพทย์ชลน่าน ศรีแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า รัฐบาลภายใต้การนำของ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง มีนโยบายเร่งผลักดันการพัฒนาระบบสุขภาพระดับชาติ เพิ่มขีดความสามารถด้านสาธารณสุข สร้างบทบาทของนวัตกรรมด้านสุขภาพ รวมถึงสร้างสภาพแวดล้อมและโครงสร้างพื้นฐานด้านสุขภาพดิจิทัล เพื่อให้ประชาชนทุกคน ทุกพื้นที่ มีโอกาสเข้าถึงบริการทางการแพทย์ได้อย่างเท่าเทียมกัน ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขมีการพัฒนาระบบสุขภาพดิจิทัลมาอย่างต่อเนื่อง ที่สำคัญคือ ‘แอปพลิเคชันหมอพร้อม’ แพลตฟอร์มสุขภาพดิจิทัลที่มีผู้ใช้งานกว่า 25.4 ล้านคน รวมถึงการพัฒนาโรงพยาบาลในสังกัดให้เป็นโรงพยาบาลอัจฉริยะ นำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ในการให้บริการ มีการเชื่อมต่อข้อมูลสุขภาพของประชาชนบนฐานข้อมูลที่มีความปลอดภัย ช่วยให้ประชาชนเข้ารับบริการได้อย่างสะดวก รวดเร็วลดการรอคอยและลดค่าใช้จ่ายในการเดินทางได้


“สำหรับโครงการพัฒนาระบบคลาวด์กลางฯ ซึ่งเป็นความร่วมมือของกระทรวงสาธารณสุข โดยศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร และ กระทรวงดีอี โดยสำนักงานคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ริเริ่มดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2565 เป้าหมายสำคัญคือ การพัฒนาระบบบริหารจัดการข้อมูลสุขภาพของโรงพยาบาลในสังกัดกระทรวงสาธารณสุขทั้งปฐมภูมิ ทุติยภูมิ ตติยภูมิ และส่วนกลาง ให้อยู่บนระบบเดียวกัน รวมทั้งยกระดับการทำงานหน่วยงานรัฐด้วยเทคโนโลยีดิจิทัลที่ทันสมัย พร้อมระบบรักษาความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ตามมาตรฐานสากล ISO 27001 ช่วยป้องกันไม่ให้ข้อมูลรั่วไหลหรือถูกโจรกรรม และสามารถนำข้อมูลสำคัญมาวิเคราะห์เพื่อวางแผนในการบริหารจัดการด้านการแพทย์และสาธารณสุขของประเทศไทยได้อย่างเหมาะสม รวมทั้งยังรองรับการขับเคลื่อนนโยบายยกระดับ 30 บาท รักษาทุกที่ด้วยบัตรประชาชนใบเดียว ที่ต้องมีการเชื่อมโยงข้อมูลสุขภาพจากโรงพยาบาลภาครัฐ โรงพยาบาลเอกชน คลินิก ร้านยา ร้านแล็บที่เข้าร่วมโครงการ ทำให้ผู้ให้บริการทางการแพทย์ทราบข้อมูลสุขภาพชุดเดียวกัน เช่น ประวัติการแพ้ยา แพ้อาหาร การรักษาที่ผ่านมา ผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการ สามารถให้การรักษาผู้ป่วยได้อย่างเหมาะสม” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าว


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #30บาทรักษาทุกที่ 





"พวงเพ็ชร" ชวนชม “ดนตรีในสวน” ทุกวันที่ 28 ตลอดปีมหามงคล เพื่อเฉลิมพระเกียรติในหลวง ร.10


“พวงเพ็ชร” ชวนชม “ดนตรีในสวน” ทุกวันที่ 28 ตลอดปีมหามงคล เพื่อเฉลิมพระเกียรติในหลวง ร.10


วันที่ 29 มีนาคม 2567 ดร.พวงเพ็ชร ชุนละเอียด รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นประธานเปิดกิจกรรมดนตรีในสวนเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567  ณ สวนเบญจกิติ โดยมี นางสุดฤทัย เลิศเกษม อธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ นางวันทนีย์ วัฒนะ ปลัดกรุงเทพมหานคร คณะผูับริหารกรมประชาสัมพันธ์และกรุงเทพมหานคร รวมถึงประชาชนทั่วไปร่วมติดตามดนตรีชมอย่างคับคั่ง


กิจกรรมดนตรีในสวนจัดขึ้นโดยความร่วมมือของกรมประชาสัมพันธ์และกรุงเทพมหานคร เพื่อเปิดโอกาสให้ประชาชนได้ร่วมรับบทเพลงอันไพเราะและทรงคุณค่า เช่น เพลงพระราชนิพนธ์ ในพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และบทเพลงทั่วไป ในบรรยากาศสวนสวยใจกลางกรุงเทพมหานคร เพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวตลอดปีมหามงคล และเป็นการแสดงออกถึงความจงรักภักดีต่อสถาบันกษัตริย์ ซึ่งเป็นสถาบันหลักของชาติ


ดร.พวงเพ็ชร กล่าวว่า กิจกรรมในครั้งนี้เป็นการใช้บทเพลงเป็นสื่อกลาง สร้างความสามัคคีกลมเกลียวของคนในชาติ ช่วยส่งเสริมความรัก ความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ทำให้ประเทศไทยเกิดความสงบสุขภายใต้ร่มพระบารมีของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และพระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์ ขณะเดียวกันดนตรีและบทเพลง นับเป็น Soft Power ใน 11 สาขาที่รัฐบาลขับเคลื่อน เพื่อต่อยอดสู่ทรัพย์สินทางปัญญาเชิงสร้างสรรค์ ที่ช่วยเพิ่มขีดความสามารถของประเทศไทย ซึ่งกิจกรรม “ดนตรีในสวน” จะจัดทุกวันที่ 28 ของทุกเดือน ตลอดปีมหามงคลนี้


ทั้งนี้ บรรยากาศภายในงานเต็มไปด้วยความสนุกสนาน และได้รับความสนใจจากชาวต่างชาติ ประชาชนส่วนมากที่มาร่วมชมดนตรีพร้อมใจสวมใส่เสื้อสีเหลือง สีประจำวันพระราชสมภพของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ขณะที่ ดร.พวงเพ็ชร สวมผ้าบาติกสีเหลือง ของกลุ่มยาริงบาติก จ.ปัตตานี ที่ซื้อมาเมื่อครั้งลงพื้นที่ จ.ปัตตานี


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #ดนตรีในสวน





ก้าวไกลรุมสับค่าแรง 400 เฉพาะกิจการโรงแรม - เฉพาะ 10 พื้นที่ “เซีย” ให้ฉายา “ปรับค่าจ้างแบบศรีธนญชัย” เรียกร้องทบทวน ให้เป็นธรรม-เท่าเทียมทั่วประเทศ


ก้าวไกลรุมสับค่าแรง 400 เฉพาะกิจการโรงแรม - เฉพาะ 10 พื้นที่ “เซีย” ให้ฉายา “ปรับค่าจ้างแบบศรีธนญชัย” เรียกร้องทบทวน ให้เป็นธรรม-เท่าเทียมทั่วประเทศ

 

วันที่ 29 มีนาคม 2567 สส.พรรคก้าวไกล นำโดย เซีย จำปาทอง สส.บัญชีรายชื่อ และ สหัสวัต คุ้มคง สส.ชลบุรี เขต 7 แถลงข่าวไม่เห็นด้วยต่อมติที่ประชุมคณะกรรมการค่าจ้าง เมื่อวันที่ 26 มีนาคม 2567 ที่พิจารณาปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำเป็น 400 บาทต่อวัน ใช้สำหรับนายจ้างและลูกจ้างที่ทำงานในสถานประกอบการประเภทกิจการโรงแรมระดับ 4 ดาวขึ้นไป และมีลูกจ้างตั้งแต่ 50 คนขึ้นไป นำร่องในเขตพื้นที่ 10 จังหวัด โดยเกือบทั้งหมดเป็นการปรับขึ้นเฉพาะบางเขตตำบล ยกเว้นภูเก็ตที่ปรับขึ้นทั้งจังหวัด ทั้งนี้จะนำเข้าที่ประชุม ครม. พิจารณามีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 13 เมษายน

 

เซียกล่าวว่า คนทำงานทุกคนต้องกินต้องใช้เหมือนๆ กัน ตนเข้าใจหัวอกของผู้ใช้แรงงานดีว่าการเพิ่มค่าตอบแทนในแต่ละวัน จะทำให้พวกเขามีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ดังนั้นเห็นด้วยกับการขึ้นอัตราค่าจ้างขั้นต่ำให้แก่พี่น้องแรงงานทุกอุตสาหกรรมและต้องเท่ากันทั่วประเทศ แต่ไม่เห็นด้วยกับการขึ้นค่าจ้างเช่นนี้ โดยขอเรียกว่าเป็นการ “ปรับค่าจ้างแบบศรีธนญชัย”

 

ตนและเพื่อนสมาชิก เคยอภิปรายในที่ประชุมสภาฯ หลายครั้ง ว่าอัตราค่าจ้างขั้นต่ำที่เพียงพอต่อการดำรงชีพ ต้องสอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน ทุกวันนี้แค่อาหารหนึ่งมื้อก็มากกว่า 85 บาทแล้ว อาหาร 3 มื้อก็มากกว่าค่าจ้างขั้นต่ำ ยังไม่นับค่าเสื้อผ้า ค่าที่พักอาศัย ยารักษาโรค ค่าน้ำค่าไฟ ค่าเดินทางไปทำงาน ค่าภาษีสังคม แต่สิ่งที่เกิดขึ้นวันนี้ กระทรวงแรงงานกลับปรับขึ้นอัตราค่าจ้างขั้นต่ำเป็น 400 บาทเฉพาะกิจการประเภทโรงแรมและเฉพาะบางพื้นที่เท่านั้น

 

โดยอ้างเหตุผลว่าอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว เป็นอุตสาหกรรมที่มีความสำคัญต่อเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ และ 10 พื้นที่เป้าหมายเป็นพื้นที่ที่มีรายได้จากการท่องเที่ยวสูง จึงเป็นพื้นที่นำร่อง ตนขอฝากคำถามไปยังกระทรวงแรงงานว่า กิจการประเภทอื่นๆ ไม่มีความสำคัญต่อการพัฒนาประเทศนี้หรืออย่างไร และแรงงานที่ทำงานอยู่ในพื้นที่อื่นนอกเหนือจากที่พวกท่านกำหนด กำลังแรงงานของพวกเขาไม่มีความสำคัญต่อประเทศนี้หรือ

 

การปรับเพิ่มอัตราค่าจ้างขั้นต่ำที่ไม่เท่าเทียมกันในแต่ละพื้นที่และแต่ละประเภทกิจการ เป็นการทำงานแบบศรีธนญชัย ในอนาคตจะก่อให้เกิดความเหลื่อมล้ำมากขึ้นและจะมีส่วนทำให้เกิดการเคลื่อนย้ายแรงงานไปทำงานในพื้นที่ที่ค่าตอบแทนสูง เป็นผลให้เกิดการกระจุกตัวอยู่ในพื้นที่ไม่กี่แห่ง และไม่เกิดการกระจายรายได้อย่างทั่วถึง ในขณะที่สินค้าอุปโภคบริโภค ราคาน้ำมัน ค่าไฟ ค่าเชื้อเพลิงทั่วประเทศ ไม่ได้แตกต่างกันเลย” เซียกล่าว

 

สส.บัญชีรายชื่อพรรคก้าวไกล กล่าวต่อว่า ถ้ากระทรวงแรงงานเล็งเห็นความสำคัญของผู้ใช้แรงงานจริง ควรพิจารณาปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำให้เท่ากันทั่วประเทศ จึงขอฝากข้อเรียกร้องไปยังรัฐบาล กระทรวงแรงงาน ให้พิจารณาทบทวนการปรับค่าจ้างขั้นต่ำใหม่ดังนี้

 

1. ปรับค่าจ้างขั้นต่ำให้เป็นธรรมตามหลักสากล ครอบคลุมแรงงานทุกภาคส่วน โดยปรับจากอัตราค่าจ้างขั้นต่ำไปสู่การปรับเป็นอัตราค่าจ้างเพื่อชีวิต เพื่อให้แรงงานสามารถเลี้ยงดูตนเองและครอบครัวได้อย่างสมศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์

 

2. ด้วยเป้าหมายค่าจ้างขั้นต่ำ 600 บาทเท่ากันทั่วประเทศ ตามที่พรรคแกนนำจัดตั้งรัฐบาลเคยให้คำมั่นสัญญาตอนหาเสียงเลือกตั้ง ขอเสนอให้คณะกรรมการค่าจ้างฯ ปรับสูตรการคำนวณอัตราค่าจ้างขั้นต่ำใหม่ ดังที่ สส. พรรคก้าวไกลเคยอภิปรายในที่ประชุมสภาฯ เนื่องจากสูตรที่ใช้ในปัจจุบันไม่สอดคล้องกับสภาพความเป็นจริง

 

เซียกล่าวว่า แน่นอนว่าเมื่อนำสูตรการคำนวณมาใช้ ตามที่กระทรวงแรงงานได้ปรับขึ้นนั้น อย่างไรเสีย 600 บาทไม่มีโอกาสจะเกิดขึ้นในปี 2570 แน่นอน ข้อเสนอของพรรคก้าวไกลคือการปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ 450 บาทเท่ากันทั่วประเทศ ควบคู่กับการจัดสวัสดิการให้กับประชาชนทุกช่วงวัย ส่วนการปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำในแต่ละปี ให้เป็นไปตามการขยายตัวของเศรษฐกิจโดยประกาศของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ หรืออัตราเงินเฟ้อตามประกาศของกระทรวงพาณิชย์

 

ด้านสหัสวัต ตั้งคำถามไปถึง รมว.แรงงาน และรัฐบาลว่า ที่ผ่านมา กระทรวงแรงงานได้ตั้งอนุกรรมาธิการศึกษาเรื่องสูตรค่าแรงใหม่ แต่สูตรที่ออกมาแทบไม่ต่างจากเดิม และวันนี้ถ้าคำนวณตามสูตร ไม่มีทางเป็น 400 บาท จึงสงสัยว่าได้ยึดตามสูตรจริงหรือไม่ เรื่องนี้เป็นประเด็น เพราะเมื่อขึ้นอัตราค่าจ้างขั้นต่ำไม่ได้ จะอ้างว่ามีสูตรล็อกอยู่

 

นอกจากนี้ เวลาขึ้นอัตราค่าจ้างขั้นต่ำไม่ได้ สิ่งที่จะอ้างคือคณะกรรมการไตรภาคี แต่วันนี้ที่ขึ้นได้เป็นเพราะคณะกรรมการไตรภาคีหรือเพราะผลงานของ รมว.แรงงาน หรือรัฐบาล เอาให้ชัดว่าการกำหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ อำนาจอยู่ที่ใครกันแน่

 

วันนี้ขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ 400 บาท บอกเป็นผลงานรัฐบาล แต่พอขึ้นไม่ได้ เป็นความผิดของคณะกรรมการไตรภาคี” สหัสวัตกล่าว

 

ต่อคำถามของผู้สื่อข่าว เซียกล่าวว่า สิ่งที่แปลกประหลาดมากที่สุดจากเรื่องนี้ ในฐานะที่ตนทำงานในขบวนการแรงงาน ไม่เคยเห็นการปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำที่ประกาศเพิ่มแค่เฉพาะหนึ่งตำบลในลักษณะนี้มาก่อน ไม่เข้าใจว่ากระทรวงแรงงานทำงานแบบไหน อย่างไรก็ตาม หวังว่ารัฐบาลและกระทรวงแรงงานจะพิจารณาทบทวนการปรับเพิ่มอัตราค่าจ้างขั้นต่ำให้เท่าเทียมกันทั่วประเทศ และเป็นไปตามเป้าหมายที่รัฐบาลเคยหาเสียงไว้คือ 600 บาทในปี 2570 ส่วนจะทำอย่างไรนั้น ต้องไปถามพรรคเพื่อไทยว่ามาตรการในการปรับเพิ่มที่เรียกว่าแบบขั้นบันไดนั้น วิธีการเป็นอย่างไร มีกำหนดการ รายละเอียดอย่างไร

 

สิ่งที่เกิดขึ้น ท่านกำลังเล่นละครตบตาผู้ใช้แรงงานหรือไม่ การปรับเพิ่มอัตราค่าจ้างขั้นต่ำเมื่อตอน 1 มกราคม 2567 ระหว่าง 2-16 บาท ท่านนายกฯ พึงพอใจหรือไม่ และจะดำเนินการอย่างไร ที่นายกฯ เคยบอกให้กลับไปทบทวนก่อนจะปรับขึ้น แต่สุดท้ายท่านก็ยอมจำนน ไม่เคยพูดเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้ ทั้งที่นี่คือแนวนโยบายของรัฐบาลในการดูแลพี่น้องผู้ใช้แรงงานให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นตามที่เคยสัญญา” เซียกล่าว

 

#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #ค่าแรงขั้นต่ำ #ก้าวไกล




ศาลอาญายกฟ้อง ม็อบพันธมิตรฯ บุกสนามบินดอนเมือง เรียกร้องอดีตนายกฯ สมชาย ลาออก เมื่อปี 2551 ชี้ชุมนุมโดยสงบปราศจากอาวุธ ทำเพื่อส่วนรวม

 


ศาลอาญายกฟ้อง ม็อบพันธมิตรฯ บุกสนามบินดอนเมือง เรียกร้องอดีตนายกฯ สมชาย ลาออก เมื่อปี 2551 ชี้ชุมนุมโดยสงบปราศจากอาวุธ ทำเพื่อส่วนรวม

 

วันนี้ (29 มีนาคม 2567) เมื่อเวลา 07.30 น. ที่ ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) นำโดยนาย ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ คณบดีวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต ได้เดินทางมาศาลเพื่อฟังคำพิพากษาในคดีม็อบ พธม.บุกสนามบินดอนเมือง หมายเลขดำ อ.1087 /56 ที่พนักงานอัยการคดีอาญา 9 เป็นโจทก์ฟ้องนายสุริยันต์ ทองหนูเอียด, นายไชยวัฒน์ สินสุวงศ์, น.ส.สโรชา พรอุดมศักดิ์, นายการุณ ใสงาม, นายวีระ สมความคิด, พล.อ.ปฐมพงษ์ เกษรศุกร์ และ น.ส.ศิริลักษณ์ ผ่องโชค หรือ "จอย" อดีตนักแสดงชื่อดัง ร่วมกับพวก รวม 67 คน เป็นจำเลย ในความผิดฐาน "ร่วมกันชุมนุมปลุกปั่นยุยงก่อความวุ่นวายในบ้านเมืองฯ" ที่ ห้องพิจารณาคดี 701

 

จากกรณีเมื่อระหว่างวันที่ 24 พ.ย.- 3 ธ.ค.51 พวกจำเลยที่1-14 ได้ร่วมกันชักชวนให้ประชาชนมาร่วมชุมนุมใหญ่โดยกระจายไปตามพื้นที่ต่างๆ และปิดล้อมอาคารวีไอพี ท่าอากาศยานดอนเมือง ซึ่งอยู่ในความครอบครองของสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี และอยู่ในความดูแลของบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด(มหาชน) หรือทอท. และนำจานรับสัญญาณโทรทัศน์ของจำเลยไปติดตั้งใกล้เครื่องรับสัญญาณเรด้าร์ ของบริษัทวิทยุการบินฯ ปิดกั้นสะพานกลับรถ ตรวจค้นตัวจนท.บริษัท การบินไทย ร่วมกันขู่เข็ญใช้กำลังประทุษร้ายบุคคลและทรัพย์สิน ทำลายทรัพย์สินของบริษัท ของท่าอากาศยานไทยฯ เสียหาย 627,080 บาท เพื่อกดดันให้นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรีขณะนั้นลาอออกจากตำแหน่ง คดีนี้จำเลยให้การปฏิเสธ โดยวันนี้ศาลเริ่มพิจารณาในเวลา 09.00 น.


ขณะที่นายสนธิ ลิ้มทองกุล อดีตแกนนำกลุ่มพันธมิตรได้เดินทางมาที่ศาลอาญาในวันนี้ด้วยเพื่อเป็นกำลังใจให้กับจำเลยชุดที่ 2 เนื่องจาก นายสนธิเป็นจำเลยในชุดแรก ที่ถูกพิจารณาคดีไปแล้ว


โดยการฟังคำพิพากษาวันนี้ศาลจะอ่านคำพิพากษาเมื่อจำเลยทั้ง 67 คนมาครบจำนวน ส่วนผู้ป่วยสามารถใช้สิทธิ์โดยรายงานตัวผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ได้

 

ล่าสุด ศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานแล้ว เห็นว่าพวกจำเลย เป็นกลุ่มผู้ชุมนุมมาจากหลายอาชีพ ทั้งศิลปิน นักร้อง ดารา สื่อมวลชน อดีตเอกอัครราชทูต มาชุมนุม เพื่อคัดค้านการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ซึ่งเป็นน้องเขยของนายทักษิณ ชินวัตร มีการทุจริตเชิงนโยบาย และศาลฎีกาแผนกอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองได้พิพากษาจำคุกนายทักษิณ ชินวัตรหลายคดี โดยเป็นการชุมนุมตามรัฐธรรมนูญ ชุมนุมโดยสงบปราศจากอาวุธไม่เป็นความผิดฐานร่วมกันก่อการร้าย ฐานชุมนุมก่อความวุ่นวายในบ้านเมืองฯ มาตรา 116 และพ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ไม่ผิดฐานหน่วงเหนี่ยวกักขัง และข่มขืนใจผู้อื่น จึงมีคำพิพากษายกฟ้องจำเลยทั้งหมดทุกข้อหา

 

#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #ม็อบพันธมิตร #ปิดสนามบินดอนเมือง