วันจันทร์ที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2563

รุ้ง ปนัสยา : ผ่าทางตันรัฐธรรมนูญไทย ไม่แก้ไข...เขียนใหม่เท่านั้น!


ยูดีดีนิวส์ : เมื่อวันที่ 29 ส.ค. 63 คณะรณรงค์เพื่อรัฐธรรมนูญฉบับประชาชน (ครช.) ได้จัดเสวนาทางวิชาการในหัวข้อ "ผ่าทางตันรัฐธรรมนูญไทย ไม่แก้ไข...เขียนใหม่เท่านั้น" ที่ ห้องประชุมอนุสรณ์สถาน 14 ตุลา 16 ซึ่งหนึ่งในผู้ร่วมเวทีเสวนาและเป็นตัวแทนจากกลุ่มสหภาพนักเรียน นิสิต นักศึกษาแห่งประเทศไทยคือ รุ้ง ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล ซึ่งได้แสดงทัศนะต่อรัฐธรรมนูญ 60 ไว้อย่างน่าสนใจ มีรายละเอียดดังนี้

รุ้งกล่าวว่าในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เธออยู่ในสภานักศึกษาด้วย ซึ่งพรรคของเธอได้ทำโครงการสำรวจความคิดเห็นของนักศึกษาต่อการแก้ไขรัฐธรรมนูญปี 60 เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา โดยมีผู้ตอบแบบสำรวจ 1,410 คน และส่วนใหญ่เห็นควรให้แก้ไขรัฐธรรมนูญ 60

รุ้งแสดงทัศนะว่า เราเห็นได้ในชีวิตประจำวันอยู่แล้วมันมีอะไรหลาย ๆ อย่างที่ผิดปกติและผิดเพี้ยนไปจากที่ควรจะเป็น สิ่งที่สังคมน่าจะยอมรับไม่ได้แต่กลายเป็นว่ายอมรับได้ในรัฐธรรมนูญ ยกตัวอย่างเช่น การที่นายกฯ กล่าวคำถวายสัตย์ฯ ไม่ครบ แต่ว่าไม่ผิดรัฐธรรมนูญทั้ง ๆ ที่ในรัฐธรรมนูญเองบอกว่าต้องพูดให้ครบ แต่ทำไมมีผิด?

จึงเป็นคำถามต่อในแบบสำรวจว่า แล้วอย่างนี้ควรยกเลิกศาลรัฐธรรมนูญไปเลยไหม? ซึ่งนักศึกษาส่วนใหญ่ที่ตอบแบบสอบถามบอกว่า “ใช่” เนื่องจากว่าศาลรัฐธรรมนูญไม่สามารถวินิจฉัยเรื่องที่เกี่ยวกับตัวรัฐธรรมนูญเองได้อย่างโปร่งใสตรงไปตรงมา ดังนั้นเราจะมีศาลรัฐธรรมนูญไปทำไมคะ?

อีกคำถามในแบบสำรวจถามว่า ท่านเห็นด้วยหรือไม่กับการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อให้ทุกโครงการขนาดใหญ่ของรัฐต้องได้รับความเห็นชอบจากประชาชนที่ได้รับผลกระทบผ่านกระบวนการประชามติ

รุ้งกล่าวว่า จริง ๆ แล้วมันควรเป็นสิ่งที่ต้องทำอยู่แล้วด้วยซ้ำถ้าจะทำโครงการขนาดใหญ่ เช่น ที่จะนะ โครงการขนาดใหญ่ขนาดนั้น แต่รัฐไม่ถามคนในชุมชนก่อนเลยว่า โอเคไหม? อยากได้ไหม? ทำแล้วจะมีผลกระทบอะไรกับพวกเขาไหม? รัฐไม่ถาม แต่ทำไปเลย แล้วค่อยมาเปิดประชามติทีหลังตอนที่มันเป็นกระแสไปแล้ว ตอนที่มีคนไม่พอใจมาก ๆ มีคนออกมาประท้วงมาก ๆ จึงจัดประชาพิจารณ์

สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องผิดปกติ เพียงมองแค่ว่าที่ของของรัฐธรรมนูญมาจากการ “ฉีก” แล้ว “ร่างรัฐธรรมนูญใหม่” โดยใช้คนของตัวเองซึ่งเขียนทุกอย่างให้เอื้อประโยชน์กับตัวเองเพื่อที่จะอยู่ในอำนาจได้ต่อไปยาว ๆ

ในเรื่องของ LGBT รัฐธรรมนูญมาตรา 27 เขียนไว้เรื่องความเท่าเทียมของบุคคลว่า “ชายและหญิง” มีสิทธิเท่ากัน ทำไมไม่เขียนว่า “บุคคล” ทุกคนเท่ากัน เรื่องของการสมรสเท่าเทียมจะไม่เป็นปัญหาเลยถ้าเขียนว่า “บุคคล” ทั้งหลายเท่ากัน ไม่ต้องแบ่งเพศชายหญิง เพราะในปัจจุบันนี้ไม่ได้มีเพียงแค่สองเพศ ตอนนี้เราอยู่ในศตวรรษที่ 21 แล้ว โลกพัฒนาไปไกลแล้ว ในประเทศไทย LGBT มีเยอะเหลือเกินและเห็นได้ชัดมาก ทุกคนสามารถยอมรับได้ แต่ทำไมในรัฐธรรมนูญถึงยอมรับไม่ได้

ในเรื่องของการศึกษา ในรัฐธรรมนูญบอกว่าให้มีสิทธิได้รับการศึกษาขั้นพื้นฐาน แต่ไม่ได้บอกว่าให้ฟรี ทั้ง ๆ ที่นี่ควรจะเป็นสวัสดิการที่ทุกคนควรได้รับอยู่แล้วในเรื่องของการศึกษา คุณบอกว่าต้องการบุคคลที่จะมาพัฒนาประเทศ ต้องการบุคคลที่มีคุณภาพ มีความรู้มีการศึกษา แต่คุณไม่ให้กระทั่งการศึกษาที่ฟรี! ซึ่งงบประมาณอันดับหนึ่งในประเทศอยู่ที่กระทรวงศึกษาธิการ แต่ไม่สามารถให้การศึกษาที่ฟรีได้เพราะอะไร?

เรื่องเกณฑ์ทหารก็ควรยกเลิก เพราะทำไมเราต้องเสียเวลา 2 ปีในการที่เรียนและพัฒนาตัวเอง หรือคนทำงานต้องเสียเวลา 2 ปี กับการไปเกณฑ์ทหารที่เราไม่ได้มีสงครามด้วยซ้ำ!

เพราะรัฐธรรมนูญฉบับนี้มันไม่ได้มาจากประชาชน โครงสร้างประเทศเรามันถึงมีปัญหาอยู่อย่างนี้ รัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศไทย แต่ยังมีปัญหาในตัวเองอยู่ นี่เป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้และเราไม่ควรทนอยู่กับการที่มีกฎหมายที่ผิดเพี้ยนขนาดนี้ที่เป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ

ดังนั้นรัฐธรรมนูญฉบับนี้ควรแก้และแก้โดยเร็วที่สุด เพื่อให้มันมาจากประชาชนโดยแท้จริง โดยการเลือกตั้ง ส.ส.ร. ไม่ใช่แต่งตั้ง!

มีอีกข้อหนึ่งในแบบสำรวจที่ไม่เคยอยู่ในข้อเสนอที่ไหนเลย เป็นข้อเสนอที่ตนกับเพื่อน ๆ ตั้งมาว่า ถ้ามีข้อนี้เกิดขึ้นจริง การรัฐประหารจะไม่เกิดขึ้นอีกก็ได้ ซึ่งคำถามว่า “ท่านเห็นด้วยหรือไม่กับการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อให้ประชาชนมีสิทธิต่อต้านการรัฐประหารได้ในทุกรูปแบบโดยไม่ถือว่าเป็นความผิดตามกฎหมาย” รุ้งกล่าวว่า ถ้าการรัฐประหารคือปัญหา ประชาชนต้องออกมาแก้ปัญหา เหมือนที่เราพูดว่า “เมื่อความอยุติธรรมเป็นกฎหมาย การต่อต้านจึงเป็นหน้าที่”

และนี่คือหน้าที่ของเราในการออกมาพูด ออกมาวิพากษ์วิจารณ์ ออกมาสิ่งที่ผิดปกติในสังคมไทยตอนนี้ นี่คือหน้าที่ของเราทุกคน และขอให้ทุกคนแสดงความกล้าตรงนั้นในการพูดออกมา สิ่งที่เราไม่พอใจ สิ่งที่ผิดปกติในชีวิตประจำวันที่เราเห็น

"ศักดินาจงพินาศ ประชาราษฎร์จงเจริญ" รุ้งกล่าวทิ้งท้ายการเสวนา

ปิดหอชมเมือง!!! ห้ามจัดกิจกรรม มวลชนแน่นถนนข้างหอชมเมือง ไม่หวั่นแม้ตำรวจสั่งรื้อเวทีให้ยุติชุมนุม "สมุทรปราการดีดนิ้วไล่เผด็จการ" "เราจะไม่หยุด จนกว่าอำนาจมืดจะหมดไป"


ปิดหอชมเมือง!!! ห้ามจัดกิจกรรม มวลชนแน่นถนนข้างหอชมเมือง ไม่หวั่นแม้ตำรวจสั่งรื้อเวทีให้ยุติชุมนุม "สมุทรปราการดีดนิ้วไล่เผด็จการ" "เราจะไม่หยุด จนกว่าอำนาจมืดจะหมดไป"

UDD news วานนี้ (30 ส.ค.63) ณ ถนนศรีสมุทร​ ข้างหอชมเมืองสมุทร​ปราการ ตำบลปากน้ำ อำเภอเมืองสมุทรปราการ กลุ่ม #สมุทรปราการปลดแอก มีการนัดรวมตัวจัดกิจกรรม ‘"สมุทร​ปราการ​ดีดนิ้วไล่เผด็จการ​"

สำหรับกิจกรรมนี้มี สามข้อเรียกร้องและสองจุดยืน รวมทั้งหนึ่งความฝันตามคณะ #ประชาชนปลดแอก

โดยบรรยากา​ศ​ในช่วงเวลา 15.00 น. กลุ่มผู้ร่วมชุมนุมต่างทยอยเดินทางมาร่วมกิจกรรมอย่างต่อเนื่อง เจ้าหน้าที่ตำรวจทั้งในและนอกเครื่องแบบเข้ามาดูแลความปลอดภัยอย่างเข้มงวด และเป็นที่น่าสังเกตว่ารถไฟฟ้า (BTS) ปิดทางลงสถานีศาลากลางจังหวัด (ซึ่งอยู่ใกล้หอชมเมือง) โดยเจ้าหน้าที่ระบุว่า ไม่ทราบสาเหตุที่ปิด แต่เมื่อวานนี้ (29 ส.ค.63) ทางออกดังกล่าวเปิดใช้ปกติ

16.20 น. ตำรวจแจ้งให้ยุติการชุมนุม และขอให้รื้อเวที พร้อมนำเอกสารชี้แจงระเบียบการชุมนุมมาแจ้งให้ผู้ชุมนุมทราบ แต่ทางผู้จัดกิจกรรมและผู้ชุมนุมไม่ยอม ยืนยันจะจัดต่อ "ไมค์" ภาณุพงศ์ จาดนอก เผาเอกสารของตำรวจ กล่าวว่าเจ้าหน้าที่ไม่มีสิทธิห้ามจัดชุมนุม ไม่ยุติธรรมกับนักกิจกรรม ประชาชนบางส่วนขึ้นเวทีชูสามนิ้วและตะโกนให้ตำรวจออกไป

16.40 น. ตัวแทนประกาศบนเวทีว่า จะจัดกิจกรรมต่อไป เรียกร้องให้ตำรวจอย่ารับใช้เผด็จการและ #หยุดคุกคามประชาชน แล้วการปราศรัยก็เริ่มขึ้น โดยเป็นพี่น้องชาวสมุทรปราการพูดถึงการที่ทำไมต้องสนับสนุนกิจกรรมของคนรุ่นใหม่

จากนั้น 17.35 น. จุฑาทิพย์ ศิริขันธ์ ประธานสหภาพนักเรียน นิสิต นักศึกษาแห่งประเทศไทย (สนท) ขึ้นปราศรัย โดยพูดเนื้อหาต่อยอดจาก เวที สมัชชาแรงงาน ที่สมุทรปราการครั้งก่อน (งบประมาณในส่วนของสถาบันฯ) และกล่าวว่าตอนนี้ตนยังมีหมายจับในคดีการชุมนุมของเยาวชนปลดแอกเมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม 2563 ตอนนี้รอให้ตำรวจมาจับกุมอยู่ ซึ่งเป็นการประกาศบนเวทีท่ามกลางตำรวจประจำการรอบบริเวณหลายนาย ต่อมา 18.00 น. เคารพธงชาติพร้อมชูสามนิ้วร่วมกัน

จากนั้น สมยศ พฤกษาเกษมสุข ขึ้นปราศรัย โดยเน้นย้ำถึงทำไมต้องสนับสนุนคนรุ่นใหม่เช่นกัน

ต่อมา พริษฐ์ ชิวารักษ์ ขึ้นปราศรัยพร้อมประกาศรวมตัวชุมนุมใหญ่ 19 กันยายนนี้ ที่มธ.ท่าพระจันทร์

จากนั้น ซัน อาทิตยา ภาคีนักศึกษา ศาลายา ขึ้นปราศรัย กล่าวว่า "ไม่มีใครควรตายจากการพูดความจริง" และได้เชิญชวนผู้ร่วมกิจกรรมเปิดแฟลชและยืนสงบนิ่งเพื่อไว้อาลัยแก่ผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์ 6 ตุลา เป็นเวลา 1.12 นาที

ต่อมา "ไมค์" ภาณุพงศ์ จาดนอก ขึ้นปราศรัยได้เน้นปัญหาสิ่งแวดล้อม และพุ่งไปที่เรื่องเขื่อนเหมืองตะกั่ว จังหวัดพัทลุง ที่ตอนนี้ชาวบ้านมาชุมนุมเรียกร้องให้พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีลงนามหยุดเขื่อนเหมืองตะกั่วที่หน้ากระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พร้อมทั้ง"ไมค์"ประกาศว่าพรุ่งนี้จะไปร่วมกิจกรรมด้วย

ตามด้วย แอมมี่ The Bottom Blues โซโล่กีตาร์ ร้องเพลง ตอนหนึ่ง แอมมี่กล่าวว่า พี่น้องเสื้อแดงดูแลพวกเรามาตลอด ถึงเวลาแล้วที่เราต้องมาดูแลปกป้องพี่น้องเสื้อแดงบ้าง ซึ่งได้รับเสียงปรบมือจากผู้ชุมนุมอย่างต่อเนื่อง

21.30 น. ตัวแทนบนเวทีได้ประกาศเชิญผู้ปราศรัยและศิลปินทุกคนขึ้นมารวมกันบนเวที แล้วขอให้ทุกคนชู 3 นิ้วร่วมกันกับผู้ชุมนุม และร่วมร้องเพลง Do you hear the people sing? จากนั้น เพชร ธนกร ตัวแทนกลุ่ม 24 มิถุนา ออกมาเปิดเผยการทุจริตที่เกิดขึ้นใน จ.สมุทรปราการ แล้วกล่าวปิดงานจบกิจกรรมในวันนี้

ทั้งนี้เป็นที่น่าสังเกตุว่า หอชมเมืองไม่เปิดไฟส่องแสงสว่างตามปกติเหมือนเช่นทุกคืน ทั้งในตัวหอชมเมืองและบริเวณริมทาง ทำให้พื้นที่จัดกิจกรรมค่อนข้างมืด มีเพียงไฟของทีมงานผู้จัดกิจกรรมหน้าเวทีเท่านั้น


ชมประมวลภาพกิจกรรม









เยาวชนจัดกิจกรรม #ชู3นิ้วมาราธอน ถึง 2 ทุ่ม วันนี้ ที่ อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย


เยาวชนจัดกิจกรรม #ชู3นิ้วมาราธอน ถึง 2 ทุ่มวันนี้ ที่ อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย

ยูดีดีนิวส์ : 31 ส.ค. 63 เมื่อเวลา 09.00 น. กลุ่มเยาวชนนัดจัดกิจกรรมเชิงสัญลักษณ์ โดยร้องเพลงชาติและชู 3 นิ้ว มาราธอนต่อเนื่องตั้งแต่เวลา 08.00 - 20.00 น. รวม 12 ชม. แต่เนื่องจากเช้านี้มีฝนตกลงมา ทำให้กลุ่มผู้จัดกิจกรรมมาไม่ทันเวลาและได้เลื่อนมาเริ่มกิจกรรมในเวลา 09.00 น.

กลุ่มผู้จัดกิจกรรมวันนี้ประกอบด้วยนักเรียนมัธยมต้น มัธยมปลาย และนักศึกษามหาวิทยาลัย ซึ่งรวมตัวเป็นกลุ่มเยาวชน ได้คิดแคมเปญ #ชู3นิ้วมาราธอน ขึ้นมา โดยต้องการสื่อถึงสิทธิเสรีภาพในระบอบประชาธิปไตย ซึ่งมีความตั้งใจจะยืนชู 3 นิ้วให้ครบ 12 ชม. (ยืน 1 ชม. พัก 10 นาที) สลับกันกับผู้ร่วมกิจกรรมคนอื่น ๆ และในเวลา 18.00 น. ก็จะมีการเคารพธงชาติพร้อมกับชู 3 นิ้ว

สำหรับการเตรียมตัวของผู้ทำกิจกรรม มีการวอร์มร่างกาย ยืดเส้น ยืนสาย เพราะต้องยืนเป็นเวลานานท่ามกลางแสงแดดที่ร้อน ในส่วนของทีมงานผู้จัดกิจกรรมมีการหาซื้อร่มเพิ่มเติมเนื่องจากได้เตรียมร่มมาเพียง 1 คันเท่านั้น นอกจากนี้ยังวิ่งหาซื้อสเปรย์ฉีดเพื่อคลายกล้ามเนื้อและยาดมไว้เผื่อด้วย เท่าทีผู้สื่อข่าวสังเกตดูการทำงานและความพร้อม เห็นได้ชัดว่านี่เป็นการคิดกันสด ๆ หน้างานของเยาวชนล้วน ๆ โดยไม่มีผู้ใดอยู่เบื้องหลัง นอกจากนี้ยังมีประชาชนนำอาหารมามอบให้จำนวนหนึ่งด้วย

ตัวแทนเยาวชนกลุ่มนี้กล่าวว่า "เราหวังให้ประชาชนที่สนใจสามารถเข้ามาร่วมกิจกรรมได้ตามเวลาที่สะดวก ไม่ว่าจะยืนชู 3 นิ้วด้วยกัน 5 นาที หรือ 10 นาทีก็ได้ และใครที่อยากทำลายสถิติของพวกเราก็สามารถมาร่วมกิจกรรมได้เลย"

ผู้จัดกิจกรรมได้กล่าวกับผู้สื่อข่าวว่า อยากให้ทุกคนมี Freedom of speech (เสรีภาพในการพูด) ผมมองว่านักเรียนสามารถพูดในสิ่งที่ต้องการได้ และต้องการให้มีคนรับฟังปัญหาในทุกเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นปัญหาทางการศึกษาหรือปัญหาทางการเมือง โดยเฉพาะตอนนี้เรามองว่าเยาวชนยังไม่ได้รับสิทธิอย่างเท่าเทียมและทั่วถึง แค่สิทธิในการใช้ชีวิต บางคนยังไม่ได้รับอย่างเท่าเทียมเลย กับทั้งที่บ้าน หรือคนรอบตัว

ทั้งนี้ ในการทำกิจกรรมได้มีเจ้าหน้าที่ตำรวจจาก สน.ชนะสงคราม ทั้งในเครื่องแบบและนอกเครื่องแบบ มาพูดคุยกับเยาวชนเพื่อเป็นการอำนวยความสะดวกให้ด้วย

ประมวลภาพกิจกรรม (ช่วงเช้า)








วันอาทิตย์ที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2563

ทัตเทพ เรืองประไพกิจเสรี : ผ่าทางตันรัฐธรรมนูญไทย ไม่แก้ไข...เขียนใหม่เท่านั้น



ในรอบ 6 ปี ภายใต้รัฐธรรมนูญ 60 เห็นได้ชัดว่ามันเป็นเครื่องมือในการสืบทอดอำนาจของรัฐบาลเผด็จการ ที่เกิดจากโครงสร้างทางการเมืองที่บิดเบี้ยวจากรัฐธรรมนูญ 60 ซึ่งเนื้อหาที่มีปัญหาและที่มาก็ยังมีปัญหา 

ยูดีดีนิวส์ : เมื่อวันที่ 29 ส.ค. 63 คณะรณรงค์เพื่อรัฐธรรมนูญฉบับประชาชน (ครช.) ได้จัดเสวนาทางวิชาการในหัวข้อ "ผ่าทางตันรัฐธรรมนูญไทย ไม่แก้ไข...เขียนใหม่เท่านั้น" ซึ่งหนึ่งในผู้ร่วมวงเสวนาและเป็นตัวแทนนักศึกษาเยาวชนคนรุ่นใหม่ คือ นายทัตเทพ เรืองประไพกิจเสรี กลุ่มเยาวชนปลดแอก ได้แสดงทัศนะต่อรัฐธรรมนูญ 60 ไว้อย่างน่าสนใจ ดังมีรายละเอียดดังนี้

ทัตเทพ กล่าวว่า ประเทศเรามีปัญหาหลากหลายมาก ปัญหาของประชาธิปไตยไทย ปัญหาทางเศรษฐกิจ ปัญหาความเหลื่อมล้ำ ปัญหาความไม่เป็นธรรมทางสังคมที่ฝังรากและเรื้อรังมายาวนาน ซึ่งสาเหตุหลักมาจากโครงสร้างที่ถูกสร้างโดยกลุ่มชนชั้นนำที่มีจำนวนไม่ถึง 1% พวกเขาต้องการจะรักษาสถานะของพวกเขาเอาไว้ พวกเขาต้องการรักษาผลประโยชน์ของตัวเองเอาไว้ โดยที่ไม่เห็นหัวของประชาชนแต่อย่างไรเลย


ทัพเทพกล่าวต่อว่า “พวกเขาก็เลยสร้างโครงสร้างทางการเมืองที่บิดเบี้ยวด้วยเครื่องมือหลักของพวกเขา ก็คือ “รัฐธรรมนูญ” ที่เป็นตัวกำหนดโครงสร้างทางการเมืองทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลที่มีความยึดโยงกับประชาชนน้อยในตอนนี้ สภาที่มาจากการแต่งตั้งแต่มีอำนาจพอ ๆ กับสภาที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน หรือแม้แต่ระบบเลือกตั้งที่ทำให้พรรคการเมืองอ่อนแอ และหลายครั้งที่พวกเขาไม่สามารถใช้รัฐธรรมนูญเป็นเครื่องมือได้ เขาก็เลือกที่จะใช้กองทัพในการทำรัฐประหาร ล้มรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง”

โครงสร้างทางการเมืองที่บิดเบี้ยวเป็นผลพวงจากรัฐธรรมนูญนี้ ทำให้ผู้ที่ดำรงตำแหน่งในสถาบันทางการเมืองต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นสภาผู้แทนราษฎร วุฒิสภา รัฐบาล หรือแม้แต่ฝ่ายตุลาการเอง องค์กรอิสระ รวมไปถึงบรรดาเจ้าหน้าที่รัฐต่าง ๆ เขาไม่ได้บริหารงานหรือทำงานโดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อผลประโยชน์ของประชาชน ไม่ได้ทำงานเพื่อประชาชนอย่างแท้จริง

ถ้าเราลองดูสถานการณ์ปัจจุบันที่ผ่านมาในรอบ 6 ปี ภายใต้รัฐธรรมนูญ 60 นี้ เราเห็นกันได้อย่างชัดเจนแล้วว่ามันเป็นเครื่องมือในการสืบทอดอำนาจของรัฐบาลเผด็จการ ของคณะรัฐประหาร รัฐบาลเผด็จการอันมีเจ้านายที่ไม่ใช่ประชาชน ซึ่งผมสังเกตได้จากการคุกคามประชาชนทั้งทางกายภาพ ทางจิตวิทยา หรือแม้กระทั่งการยัดข้อหาคดีความต่าง ๆ ให้กับคนที่เขาออกมาเรียกร้องประชาธิปไตย คนที่เขาออกมาเรียกร้องเพื่ออนาคตที่ดีกว่า คนที่เขาออกมาเรียกร้องเพื่อปัญหาปากท้องของพวกเขา

ผมยังสังเกตได้อีกว่ามีคนจำนวนมากไม่ได้รับการเยียวยาอย่างถ้วนหน้าและทั่วถึง ภายหลังจากที่มีการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ภายหลังจากที่มาตรการล็อคดาวน์ มีคนต้องฆ่าตัวตายเพราะไม่มีหนทางในการดำเนินชีวิตต่อไป เป็นเพราะรัฐบาลไม่สามารถตอบสนองและแก้ไขปัญหาตรงนี้ได้

ผมสังเกตได้จากนักเรียนมัธยมในโรงเรียนชู 3 นิ้ว ผูกโบว์ขาว ถูกครู ผู้บริหาร หรือแม้กระทั่งเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงคุกคามด้วยวิธีการต่าง ๆ นานา

ผมสังเกตได้จากทุก ๆ ครั้งที่มีการเลือกตั้งหลังจากการเลือกตั้งใหญ่เมื่อวันที่ 24 มี.ค. 62 เป็นต้นมา การเลือกตั้งซ่อมต่าง ๆ ทำไมต้องมีเหตุไม่ชอบมาพากลอยู่ตลอดเวลาว่ามันบริสุทธิ์ยุติธรรมหรือเปล่า?

ผมสังเกตได้จากมีส.ว. 249 คน (ไม่นับรวมประธานซึ่งงดออกเสียงเป็นมารยาทเฉย ๆ) ที่มาจากการแต่งตั้งของหัวหน้า คสช. ที่ชื่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา มาโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีที่ชื่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อีกทีหนึ่ง

ตัวอย่างเหล่านี้ไม่ได้เกิดขึ้นโดยบังเอิญ มันเกิดจากโครงสร้างทางการเมืองที่บิดเบี้ยวจากรัฐธรรมนูญ 60 ซึ่งเนื้อหามีปัญหาแล้ว ที่มาก็ยังมีปัญหา คือมีการทำประชามติก็จริง แต่พี่ ๆ ของเราหลายคนถูกดำเนินคดีเพียงเพราะว่า “รณรงค์โหวตโน”

นี่คือสาเหตุและความจำเป็นว่าทำไมเราต้อง Reset ใหม่ทั้งระบบ ทำไมเราต้องมานั่งร่างรัฐธรรมนูญใหม่ด้วยเจตจำนงของพวกเราเอง ซึ่งตัวผู้ร่างรัฐธรรมนูญในรอบนี้จะต้องมาจากการเลือกตั้งของประชาชนโดยครอบคลุมทุกกลุ่มสาขาอาชีพ ไม่เว้นแม้แต่นักเรียน นิสิต นักศึกษาด้วย ให้ประชาชนได้ออกแบบรัฐธรรมนูญใหม่ด้วยมือของพวกเขาเอง ด้วยเจตนารมณ์ของพวกเขาเองผ่านสภาร่างรัฐธรรมนูญที่มาจากการเลือกตั้งโดยตรง  และระหว่างร่างประชาชนจะต้องมีส่วนร่วมได้ตลอดทั้งกระบวนการ

แต่เราอยู่ภายใต้รัฐบาลนี้มากว่า 6 ปี ผมคงไม่อาจไว้วางใจได้ว่าจะให้รัฐบาลนี้ดูแลการเลือกตั้ง ส.ส.ร. ดูแลกระบวนการร่างรัฐธรรมนูญใหม่ เพราะเขาอาจจะใช้อำนาจบางอย่างแทรกแซงได้ ผมคิดว่ารัฐบาลนี้ไม่ควรจะอยู่ต่อไป ควรออกไปได้แล้ว

แม้ในรัฐสภาจะมีการยื่นร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 256 ไปแล้ว แต่ดูทรงแล้วกระบวนการกว่าจะได้มาซึ่งรัฐธรรมนูญใหม่ต้องกินเวลากว่า 2 ปีหากใช้ช่องทางนั้น ซึ่งมันนานไป จะเป็นการเตะถ่วงซื้อเวลาไปเรื่อย ๆ

ดังนั้นเราต้องเป็นคนกำหนด บอกให้เขาทำ และไม่ยืดเยื้อ โดยวิธีการสร้างบรรยากาศทางการเมืองให้เอื้อต่อการเลือกตั้ง ส.ส.ร. และเอื้อต่อการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ โดยต้องมีรัฐบาลใหม่ที่มีความยึดโยงกับประชาชนเข้ามาบริหารประเทศ  โดยในช่วงเปลี่ยนผ่านผมขอเสนอว่าเราจะต้องแก้ไขรัฐธรรมนูญก่อนอย่างน้อย 2 ประเด็นดังนี้

1) แก้ไขระบบเลือกตั้งและคุณสมบัติของผู้รับสมัครเลือกตั้ง

-      เพื่อเป็นการลดภาระให้พรรคการเมืองได้ลงสมัครรับเลือกตั้งได้ ถ้าไปดูรัฐธรรมนูญฉบับนี้, พรป.พรรคการเมือง หรือ พรป.ว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส. มันค่อนข้างลำบากกับพรรคการเมืองมากในการลงเลือกตั้ง
-      ต้องนำเอาระบบเลือกตั้งแบบ MMA หรือ แบบจัดสรรปันส่วนผสม (บัตรเลือกตั้งใบเดียว) เอาออกไป เพราะการเลือกตั้งแบบบัตรใบเดียวนี้มันบิดเบือนเจตจำนงของประชาชน ต้องเอาระบบเลือกตั้งแบบบัตรสองใบกลับคืนมาเพื่อให้ประชาชนได้ลงคะแนนเสียงได้ตามเจตจำนงของตัวเอง
-      เพื่อเป็นการควบรวมเยาวชนคนรุ่นใหม่เข้ามามีปากเสียงในสภามากขึ้น จะขอให้แก้ไขคุณสมบัติของผู้มีสิทธิลงรับสมัครเลือกตั้งจากเดิมที่ 25 ปี เป็นอายุ 18 ปีบริบูรณ์

โดยทัตเทพได้ตั้งคำถามว่า :-
ทำไมเรามีสิทธิลงคะแนนได้?
ทำไมเราทำงานได้ตามกฎหมายแรงงาน?
ทำไมเราถึงติดคุกผู้ใหญ่ได้เพราะเราอายุ 18 ปี?
แล้วมีเหตุผลใดที่เราจะลงรับสมัครเลือกตั้งไม่ได้?

2) เราจะต้องเอา 250 ส.ว. ตามบทเฉพาะกาลที่ยกมือให้พล.อ.ประยุทธ์ออกไปทั้งชุด มาตรา 269 ถึงมาตรา 272 ต้องถูกลบไปจากรัฐธรรมนูญโดยเร็ว เพื่อไม่ให้ ส.ว. พวกนี้มีอำนาจมาโหวตนายกฯ ได้อีก

เมื่อแก้ 2 ข้อตามนี้แล้ว ตามธรรมเนียมของระบอบประชาธิปไตย ระบบรัฐสภา เมื่อมีการแก้ไขระบบเลือกตั้งจะต้องมีการยุบสภาเพื่อเลือกตั้งใหม่ หวังว่าจะปฏิบัติตามธรรมเนียมของระบอบประชาธิปไตยนะครับ ทัตเทพกล่าว

การเลือกตั้งใหม่เมื่อยุบสภาจะต้องทำให้แล้วเสร็จภายใน 45 – 60 วัน หลังจากนั้นเราก็จะได้สภาผู้แทนราษฎรชุดใหม่ เราก็จะมีรัฐบาลใหม่ตามมาที่มีความยึดโยงกับประชาชนมากขึ้น ให้เขาบริหารประเทศและสร้างบรรยากาศทางการเมืองให้เอื้อต่อการเลือกตั้ง ส.ส.ร. และร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่โดยไม่มีการแทรกแซงจากคนที่ประชาชนไม่ได้เลือก

และรัฐธรรมนูญฉบับใหม่จะต้องร่างด้วยเจตจำนงของประชาชนเองโดยไม่ชักช้า ใช้เวลาเพียง 6 เดือน หรืออย่างมากที่สุดไม่เกิน 1 ปีให้แล้วเสร็จ

สุดท้ายก่อนที่ผมจะจบ ผมขอฝากสิ่งหนึ่งบนเวทีนี้เป็นสารถึงรัฐสภา แน่นอนครับเราปฏิเสธไม่ได้ว่าถ้าหากเราต้องการรัฐธรรมนูญใหม่ เราต้องใช้กลไกรัฐสภา แต่ครั้งนี้กลไกรัฐสภาและสมาชิกรัฐสภาจะไม่ได้เป็นคนนำ ประชาชนจะเป็นคนนำ และพวกเขาจะต้องทำตามพวกเรา!

ฝากไปถึงสมาชิกรัฐสภานะครับไม่ว่าจะเป็น ส.ส. หรือ ส.ว. ก็ตาม  ตอนนี้สิ่งที่พวกคุณสามารถทำเพื่อประเทศชาติและประชาชนได้ คือทำทุกวิถีทางเพื่อเปิดทางให้มีการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ โดย ส.ส.ร. ที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนด้วยวิธีการที่บริสุทธิ์ยุติธรรม หน้าที่ของพวกคุณไม่ใช่การมาชี้นิ้วสั่งพวกเราว่า ประชาชนจะแก้รัฐธรรมนูญ จะร่างรัฐธรรมนูญใหม่ หมวดนั้นแก้ได้ หมวดนี้ห้ามแตะ

ไม่ใช่!!! ประชาชนต้องเป็นคนกำหนดเองได้ทุกหมวด ทุกมาตรา ของรัฐธรรมนูญ เพราะปัญหาทางการเมือง ปัญหาของประเทศไทย มันกระจายตัวอยู่ทุกหมวดตั้งแต่หมวดแรกจนถึงหมวดสุดท้าย

ดังนั้นขอให้สมาชิกรัฐสภาต้องมีความกล้าหาญทางจริยธรรม ขอให้เปิดทางให้ประชาชนได้กำหนดรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ด้วยเจตจำนงของพวกเขาเองทุกหมวด ทุกมาตรา ต้องนำมาถกเถียงและแก้ไขได้ครับ ทัตเทตกล่าวในที่สุด

#UDDnews
#ผ่าทางตันรัฐธรรมนูญไทย
#อนุสรณ์สถาน14ตุลา

ครช.เปิดเวที ผ่าทางตันรัฐธรรมนูญไทย ไม่แก้ไขเขียนใหม่เท่านั้น ระดมความคิดนักวิชาการ ตัวแทนภาคส่วนต่าง ๆ รวมทั้งเยาวชนคนรุ่นใหม่


UDD news : วานนี้ (29 ส.ค.63) ที่ห้องประชุม อนุสรณ์สถาน 14 ตุลา สี่แยกคอกวัว คณะรณรงค์เพื่อรัฐธรรมนูญฉบับประชาชน (ครช.) จัดงานเสวนาวิชาการ "ผ่าทางตันรัฐธรรมนูญไทย : ไม่แก้ไขเขียนใหม่ " เพื่อเปิดเวทีในการสรรค์สร้างสังคมประชาธิปไตย และหาทางออกเพื่อเปลี่ยนผ่านไปสู่การร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่ประชาชนทุกคน ทุกภาคส่วน มีส่วนร่วมไปด้วยกัน

โดยการเสวนา แบ่ง ออกเป็น 3 ช่วง

ช่วงแรก 13.00 - 15.00 น. เสวนาวิชาการโดยนักวิชาการและอาจารย์มหาวิทยาลัย ตอนหนึ่ง ศ.ดร.ธเนศ อาภรณ์สุวรรณ อดีตคณบดีคณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์กล่าวถึงรัฐธรรมนูญและมุมมองประวัติศาสตร์ ชี้ว่า"การเมืองประชาธิปไตยจากสามัญสำนึก ไม่ใช่การเมืองของนักกฏหมายที่ซับซ้อน อ่านแล้วต้องตีความแล้วตีความอีก

รวมทั้ง ดร.เดชรัตน์ สุขกำเนิด นักวิชาการอิสระกล่าวถึง เศรษฐกิจและรัฐธรรมนูญ ไม่รู้เศรษฐกิจจะขึ้นจากเหวได้หรือไม่ มั่นใจเราต้องสู้ต่อไปอีก 2 ปี ชี้เงินอุดหนุนเด็กเล็กใช้งบน้อยกว่าเรือดำนำ 2 ลำ

ช่วงท้ายมีการเปิดให้ตั้งคำถาม นายวรัญชัยโชคชัยชนะ ถามเวที ผ่าทางตันรัฐธรรมนูญไทย จะผ่าทางตัน แก้รัฐธรรมนูญได้หรือไม่? การชุมนุมของเด็กเยาวชนถูกคุกคามมาตลอด โดยไม่มีท่าทีตอบรับจากรัฐบาล แล้วคิดว่าเด็กรุ่นนี้จะทำสำเร็จหรือไม่ ?

ศ.ดร.ธเนศ อาภรณ์สุวรรณ กล่าวว่า "ขบวนการนักศึกษาประสบความสำเร็จแล้ว! เพราะได้จุดชนวนความคิด จุดความถูกต้องให้คนเห็น เปิดประตูนำไปสู่ความเปลี่ยนแปลง ขบวนการนักศึกษาเข้าสู่ศตวรรษใหม่ที่ 21 แล้ว ไม่ใช่ 14ตุลาฯ หรือ 6ตุลาฯ ขอยกนิ้วให้ เป็นการเคลื่อนไหวถูกต้องตามหลักการ เชื่อว่าพลังบริสุทธิ์เช่นนี้จะสามารถชนะได้

ช่วงที่สอง 15.00 - 16.40 น. มุมมองที่มีต่อรัฐธรรมนูญ 2560 และความจำเป็นในการแก้ไข โดยตัวแทนจากภาคส่วนต่าง ๆ ในสังคม ดังนี้ วิเชียร เจษฎากานต์ ประธานกรรมการเครือข่ายธุรกิจเพื่อสังคมและสิ่งแวดล้อม, นุชนารถ แท่นทอง ตัวแทนกลุ่มคนจนเมือง สลัม 4 ภาค ,เซีย จำปาทอง ตัวแทนสหภาพแรงงาน ,มานิต ศรีวานิชภูมิ ศิลปิน , สุรพล สงฆ์รักษ์ สหพันธ์เกษตรกรภาคใต้ (สกต.)

ช่วงที่สาม 16.40 - 19.00 มุมมองที่มีต่อรัฐธรรมนูญ 2560 และความจำเป็นในการแก้ไข โดยตัวแทนคนรุ่นใหม่ ตอนหนึ่ง ภัสราวลี ธนกิจวิบูลย์ผล (มายด์) กลุ่มมหานครเพื่อประชาธิปไตย ตั้งคำถาม ทำไมเราถึงอยากมีรัฐธรรมนูญใหม่ รัฐธรรมนูญปี 60 ให้อำนาจกับเรามากแค่ไหน

รัฐธรรมนูญ 60 ประกาศใช้แล้ว เราจึงต้องการรัฐธรรมนูญใหม่ ตัวแปรสำคัญที่จะได้คือการเอาอำนาจที่เกินขอบเขต ส.ว. เอาเสี้ยนหนามที่ขัดขวางประชาธิปไตยออกไปก่อน การมีอยู่ของส.ว.น่าอดสู อยากส่งเรียงถึงรัฐสภาเอาอำนาจออกไป แล้วให้ประชาชนใช้อำนาจในการเลือกผู้บริหารเองเสียที

ต่อมา นายณวิบูล ชมภู่ ประธานร่วมภาคนักศึกษา ศาลายา กล่าวถึงที่มา ส.ว. ประชาชนต้องมีสิทธิเลือก แนะให้จัดสมดุลอำนาจ รัฐธรรมนูญ 60 ควรยกเลิก ไม่ควรแก้ไข เพื่อมีรัฐธรรมนูญใหม่ที่ยึดโยงกับประชาชนโดยแท้จริง

จากนั้น นายทัตเทพ เรืองประไพกิจเสรี (ฟอร์ด) ตัวแทนคณะประชาชนปลดแอก เสนอแก้คุณสมบัติผู้สมัคร ส.ส. จากอายุ 25 เป็น 18 หวัง"คนรุ่นใหม่"เข้าสภา มองว่าขณะนี้ไม่ไว้วางใจรัฐ รัฐธรรมนูญ 60 เป็นเครื่องมือสืบทอดอำนาจรัฐบาลเผด็จการ ในตอนท้าย ทัตเทพ ได้กล่าวว่า กลไกรัฐสภาตะไม่เป็นคนนำ ประชาชนจะเป็นคนนำแล้วรัฐสภาจะต้องทำตาม ส.ส. และ ส.ว.สิ่งที่ทำได้ก็คือ เปิดทางให้มีการร่างรัฐธรรมนูญใหม่ โดย ส.ส.ร. ที่ไม่ใช่การชี้นิ้วสั่งว่าหมวดนี้แก้ได้-ไม่ได้ ประชาชนต้องเป็นผู้กำหนดได้ทุกหมวดในรัฐธรรมนูญ เปิดทางให้ทุกหมวด ทุกมาตรา ให้นำมาถกเถียงและแก้ไขได้ จากนั้นประชาชนในห้องประชุมต่างชูสามนิ้วร่วมกัน

ต่อมา ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล (รุ้ง) โฆษกสหภาพนักเรียน นิสิต นักศึกษาแห่งประเทศไทย ตอนหนึ่งได้กล่าวว่า เราไม่ควรทนอยู่กัยกฏหมายที่ผิดเพี้ยนขนาดนี้เป็นกฏหมายสูงสุดของประเทศ อีกข้อเสนอ ปนัสยา ตั้งคำถามว่า เห็นด้วยหรือไม่ ที่ประชาชนจะมีส่วนร่วมในการต้านรัฐประหารได้โดยที่ไม่ผิดกฎหมาย ทำให้ประชาชนในห้องประชุมต่างปรบมือแสดงความเห็นด้วย

หลังเสวนาจบ ปนัสยา ได้ถามผ่านไมโครโฟน ถึงชายคนหนึ่ง "ถ่ายรูปหนูส่งกรุ๊ปไลน์ ชื่อชุดปฏิบัติการที่ 2 ทำไมค่ะ ขอให้แสดงตัว" ชายดังกล่าว ได้ถูกเชิญไปด้านหน้าเวที ให้เปิดหน้ากากอนามัย โดยชายดังกล่าวเผยว่า มาดูแลความปลอดภัยแจ้งว่าชื่อ" ร.ต.อ.เสวต จันทมาส" จาก สน.ชนะสงคราม ฝ่ายสืบสวน จากนั้นอาจารย์ อนุสรณ์ อุณโณ ได้เข้ามาสอบถาม ได้ความว่าชายดังกล่าว ลงทะเบียนเข้างานแล้ว จากนั้นสถานการณ์กลับสู่ภาวะปกติ

หลังจบในส่วนเสวนา กิจกรรมได้ย้ายจากห้องประชุมด้านหลัง มาด้านหน้าอนุสรณ์สถาน 14 ตุลา มีการแสดงดนตรีจากวงสามัญชน และละครเงียบ จากกลุ่ม B-Floor

จากนั้น อ.อนุสรณ์ กล่าวปิดงาน โดยแจ้งว่า 19 กันยา 2563 นี้ ทางกลุ่ม ครช. จะจัดกิจกรรมปั่นจักรยานตามหาหมุดคณะราษฎร

#UDDnews
#ผ่าทางตันรัฐธรรมนูญไทย
#อนุสรณ์สถาน14ตุลา

ประมวลภาพในงานเสวนาและกิจกรรมฯ




















วันศุกร์ที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2563

ตอบชัด ๆ ชะตากรรมการต่อสู้ของ "คนเสื้อแดง" บาดเจ็บ - ล้มตาย - มีคดีติดตัว


ตอบชัด ๆ ชะตากรรมการต่อสู้ของ "คนเสื้อแดง"

บาดเจ็บ - ล้มตาย - มีคดีติดตัว

การบาดเจ็บ ล้มตาย 99 ศพ เรื่องการเสียชีวิตขอให้ติดตามวีดีทัศน์ “ยุทธการขอคืนพื้นที่เมษา 53 ตอนที่ 1 - ตอนที่ 2” และวีดีทัศน์ “ยุทธการยิงนกในกรง...พฤษภา 53” ที่เสียชีวิตเฉพาะพลเรือนเกือบ 90 ศพ และถ้านับก่อนหน้านั้นตั้งแต่ยุคปี 2549 เป็นต้นมา เช่น ลุงนวมทอง ไพรวัลย์

เรามีคนบาดเจ็บจำนวนมากที่เสียชีวิตภายหลังอันเนื่องจากการเจ็บป่วยที่สันนิษฐานว่าจากการได้รับแก๊สน้ำตาจำนวนมาก และบาดเจ็บจากการถูกอาวุธ ที่หนักที่สุดคือการถูกจับกุมคุมขัง ไม่ได้รับการประกันตัว ถูกดำเนินคดียาวนาน ถูกบังคับให้รับสารภาพในชั้นพนักงานสอบสวน และการถูกปรับปรำโดยพยานที่ฝ่ายเจ้าหน้าที่จัดหามา ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในคดีเผาศาลากลางจังหวัด คดี 112 เป็นต้น

ส่วนแกนนำ นปช. ถูกคุมขังในเบื้องต้น 9 เดือน จึงได้รับการประกันตัว และต้องถูกดำเนินคดีทั้งอาญาและแพ่ง ในส่วนคดีอาญานั้นมีตั้งแต่คดีปี 2550 ที่จบไปแล้ว ถูกตัดสินจำคุก 2 ปี 8 เดือน อาจได้รับการอภัยโทษใหญ่ในวาระครองราชย์ บางส่วนอาจได้รับการปล่อยตัว ลดโทษ พักโทษ แล้วแต่กรณี ยังมีคดีปี 2552, 2553 สำหรับปี 2552 ที่เราตั้งเวทีชุมนุมที่สะพานชมัยมยุรเชษฐและยุติการชุมนุมเอง ก็ถูกดำเนินคดีอยู่ในเวลานี้ พร้อมกับมีผู้ร้องให้ร่วมถูกดำเนินคดีที่ศาลพัทยาอีกคดีหนึ่งด้วย ตามที่แกนนำส่วนหนึ่งที่ไปพัทยาถูกตัดสินคดีไปแล้ว จำคุก 4 ปี ดังนั้นทางคดีอาญา แกนนำ นปช. ก็เหลือ 3 คดี คือ ปี 52 (2 คดี) ปี 53 (1 คดี ก่อการร้าย) คดีหลังแม้ศาลชั้นต้นจะยกฟ้อง แต่อัยการก็อุทธรณ์ ซึ่งแปลกมากที่อัยการอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงใหม่ (โดยที่ปกติทำไม่ได้ ต้องอุทธรณ์ในข้อกฎหมายเท่านั้น) ดังนั้นแกนนำก็มีวาระในการขึ้นศาลทั้งในสภาพที่ได้รับการประกันตัวหรือสภาพนักโทษในเรือนจำตามสถานการณ์ คงเป็นเช่นนี้ไปอีกหลายปี

ส่วนส่วนคดีแพ่งเรื่องการเผาทั้งที่ในกรุงเทพฯ นั้น คดีอาญาที่กล่าวหาคนเสื้อแดงถูกยกฟ้องและให้บริษัทประกันจ่ายค่าเสียหาย ทั้งที่เซ็นทรัลเวิลด์และตลาดหลักทรัพย์ แต่เมื่อมีเอกชนฟ้องคดีแพ่งทั้งรัฐบาล, กองทัพ และนปช. สุดท้ายศาลฎีกาแพ่งพิพากษาให้แกนนำนปช.ชดใช้ค่าเสียหายโดยถือว่ามีความผิดที่ทำให้มีคนไปเผาสถานที่ 2 แห่ง ต้องชดใช้ความเสียหาย 2 คดี รวมประมาณ 60 – 70 ล้านบาท

"คนเสื้อแดง" ก้าวข้าม "คุณทักษิณ" ไปนานแล้ว..... ถ้าไม่เพราะมีอุดมการณ์ “คนเสื้อแดง” ไม่ยืนหยัดมาจนบัดนี้แน่นอน!


"คนเสื้อแดง"  ก้าวข้าม  "คุณทักษิณ"  ไปนานแล้ว...
ถ้าไม่เพราะมีอุดมการณ์ "คนเสื้อแดง" ไม่ยืนหยัดมาจนบัดนี้แน่นอน!

ต้องขอบพระคุณท่านที่ติดตามบทสัมภาษณ์ของดิฉันที่ให้กับรายการ "มติชนสุดสัปดาห์" ซึ่งเป็นการสัมภาษณ์ค่อนข้างยาวและได้ตัดต่อลงเป็นตอน ๆ  พร้อมกับเราถอดเทปเป็นตอน ๆ เช่นกัน  คำถามบางคำถามจึงอาจไม่ได้ตอบสั้น ๆ  แต่เป็นการอธิบายค่อนข้างยาวที่ต้องมาตัดต่ออีกที  ดิฉันจึงคิดว่าบางคำถามดิฉันจะนำมาสรุปคำตอบอีกทีให้ชัดเจนค่ะ

คำถามว่า  "คนเสื้อแดง"  ก้าวข้ามคุณทักษิณแล้วหรือยัง?

คำถามนี้เป็นคำถามที่เกิดจากคนฝ่ายผู้รักประชาธิปไตยมักใช้ในทางกลับกัน  โดยโยนคำถามไปยังฝ่ายอนุรักษ์นิยมว่า  "คุณยังก้าวข้ามไม่พ้นทักษิณ"  เพราะไม่ว่าเรื่องอะไร ๆ ก็โยนให้ ดร.ทักษิณ  ชินวัตร  ทั้งสิ้นเป็นต้นเหตุ  ในขณะที่ "คนเสื้อแดง" และผู้ต่อต้านเผด็จการทหารก้าวข้ามไปนานแล้ว!!!

การก้าวข้ามคุณทักษิณของ "คนเสื้อแดง"  หมายความว่าเขาก้าวข้ามเรื่องผลประโยชน์ของตน  และการรักนับถือบุคคลเช่น คุณทักษิณ  ชินวัตร  (โดยยังสนับสนุนพรรคการเมืองที่เกี่ยวข้องกับ คุณทักษิณ  ชินวัตร)  ไปสู่การต่อสู้ของประชาชนในอุดมการณ์การต่อสู้เพื่อให้ได้ระบอบการเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตยแบบสากลที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข แต่อำนาจอธิปไตยเป็นของประชาชนไทยอย่างแท้จริง (ตามนโยบายข้อแรกของ นปช.)  

ทั้งคุณทักษิณเองก็ไม่ได้อยู่ในประเทศไทยกว่าสิบปีแล้ว  พรรคการเมืองก็มีการปรับเปลี่ยนไปตามลำดับ  ขณะที่การต่อสู้ของประชาชนก็ยังต้องทำการต่อสู้ให้ได้เป้าหมายแบบเดิม  

การก้าวข้ามคุณทักษิณของ "คนเสื้อแดง"  ไม่ได้แปลว่าเขาไม่สนับสนุนพรรคที่มาจากไทยรักไทย  แต่เขาก้าวข้ามเรื่องบุคคลไปสู่อุดมการณ์และผลประโยชน์ประเทศชาติ  

ในขณะที่ฝ่ายอนุรักษ์นิยมยังก้าวข้ามไม่พ้น คุณทักษิณ  ชินวัตร, ครอบครัวชินวัตร, พรรคที่เกี่ยวข้อง และแกนนำ นปช. "คนเสื้อแดง"

ตอนนี้มีตัวละครตัวใหม่ที่ฝ่ายจารีตนิยมและเผด็จการทหารต้องตกใจ  เมื่อเกิดปรากฏการณ์พรรคการเมืองใหม่ในเวทีรัฐสภา และกลุ่มเยาวชนต่อต้านเผด็จการรุ่นใหม่ที่ดูน่าประหวั่นพรั่นพรึงสำหรับพวกเขา  

นี่แหละที่เรียกว่า  "กงล้อประวัติศาสตร์"  ต้องก้าวไปข้างหน้าด้วยมือคนรุ่นต่อไปไม่สิ้นสุด  

เรื่องไม่ได้หยุดที่กำจัดและทำลาย ดร.ทักษิณ ชินวัตร, พรรคการเมือง, มวลชนคนเสื้อแดงและแกนนำ นปช. ที่ออกมาต่อต้านเผด็จการตั้งแต่ปี 2550 จนถึงปัจจุบัน

ถ้าไม่เพราะมีอุดมการณ์ "คนเสื้อแดง" ไม่ยืนหยัดมาจนบัดนี้แน่นอน!

"ดาวดิน สามัญชน" ในนามกลุ่ม #เราคือเพื่อนกัน จัดกิจกรรม #นอนแคมป์ไม่นอนคุก ณ อนุสรณ์สถาน 14 ตุลา ร่วมอ่าน #คำประกาศของราษฎร 5 ข้อเรียกร้อง ก่อนนัดชุมนุมใหญ่ 19 กันยา มธ.ท่าพระจันทร์


"ดาวดิน สามัญชน" ในนามกลุ่ม #เราคือเพื่อนกัน จัดกิจกรรม #นอนแคมป์ไม่นอนคุก ณ อนุสรณ์สถาน 14 ตุลา ร่วมอ่าน #คำประกาศของราษฎร 5 ข้อเรียกร้อง ก่อนนัดชุมนุมใหญ่ 19 กันยา มธ.ท่าพระจันทร์

16.00 น. ที่บริเวณอนุสรณ์สถาน 14 ตุลา สี่แยกคอกวัว ถนนราชดำเนิน มีประชาชนทยอยเดินทางมาร่วมให้กำลังใจ นายจตุภัทร์ บุญภัทรรักษา (ไผ่ ดาวดิน) ซึ่งจัดกิจกรรมภายใต้ชื่อ "นอนแคมป์ไม่นอนคุก" ปักหลักค้างคืนบริเวณอนุสรณ์ 14 ตุลาหนึ่งคืน ก่อนที่ช่วงเช้าวันรุ่งขึ้น (28 สิงหาคม ) จะเดินทางไปยังสน.สำราญราษฎร์ เพื่อรับทราบข้อกล่าวหาชุมนุมกับม็อบเยาวชนปลดแอก

ขณะที่บริเวณเวที มีการผลัดเปลี่ยนกันขึ้นปราศรัยจากตัวแทนกลุ่มต่าง ๆ

อาทิเช่น "กานต์นิธิ ลิ้มเจริญ" ตัวแทนคณะประชาชนปลดแอกกล่าวเริ่มต้นด้วยการสารภาพบาปว่า ตัวเองเป็นลูกชนชั้นกลาง และเคยเป็นสลิ่มมาก่อน เคยเห็นด้วยกับการฆ่าคนกลางเมือง แต่ไม่นานมานี่ได้ลองเปิดใจเรียนรู้กับประวัติศาสตร์นอกตำรา จึงทำให้รู้ว่าที่ผ่านมา ตัวเองก็คือฆาตกรทางอ้อม วันนี้จึงออกมาขอโทษ และปราศรัยเน้นย้ำเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยย้ำว่าสิ่งที่มวลชนออกมาเรียกร้องกันคือ 3 ข้อเรียกร้อง 2 จุดยืน และ 1 ความฝัน โดยทั้งหมดนี้จะได้มาจากการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ซึ่งมีความชอบธรรมและมาจากประชาชน และขอส่งเสียงฝากไปยังฝ่ายค้านว่าให้คุยกันให้จบว่าจะเอายังไง เพราะประชาชนคุยกันจบไปแล้วว่า ต้องเอา ส.ว. ออกก่อน แล้วร่างรัฐธรรมนูญใหม่ และทั้งสองเรื่องนี้ ต้องจบภายในสมัยประชุมนี้ !!!

อีกทั้ง "ผุสดี งามขำ" ผู้ซึ่งเป็นคนสุดท้ายที่อยู่ในราชประสงค์ในห้วงเวลาการสลายชุมนุม 19 พฤษภา 53 เป็นตัวแทนคนเสื้อแดง 

"ผุสดี"กล่าวว่าวันนี้มาในฐานะตัวแทนของคนเสื้อแดงเพื่ออยากมาขอโทษเด็ก ๆ เยาวชนที่ออกมาต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย ที่เคยดูถูกว่า เด็กสมัยนี้ไม่สนใจการเมือง ได้แต่เที่ยวเล่น ดูหนัง ช็อปปิ้ง เล่นเกม ไม่สนใจว่าบ้านเมืองจะเป็นอย่างไร แล้วเราจะฝากอนาคตของบ้านเมืองไว้กับเขาได้อย่างไร  จนมาถึงวันนี้ก็อยากจะกล่าวขอโทษที่เราเคยดูถูกพวกคุณ พร้อมชูผ้าโพกหัวที่ได้เตรียมไว้ประกอบการปราศรัย โดยกล่าวว่า ในช่วงเคลื่อนไหวคนเสื้อแดงไม่ได้ใช้กระดาษเหมือนคนรุ่นใหม่เหมือนตอนนี้ แต่เราจะแสดงออกจากเสื้อผ้าที่เราใส่ หรือผ้าโพกหัว โดยมีข้อความ เช่นอย่าเพิ่งยิงกูเพิ่งมา,เอาความยุติธรรมกลับคืนมา, ลมหายใจที่ไม่แพ้, กูทำอะไรก็ผิด, หยุดสองมาตราฐาน, ต่อต้านเผด็จการ ป้องประชาธิปไตย เป็นต้น

นอกจากการปราศรัยก็มีดนตรีสลับสับเปลี่ยน พร้อมทั้งละครใบ้ที่แสดงโดยนักเรียนนักศึกษาหญิง ที่ตอบจบการแสดง ชูป้าย"ใครฆ่าประชาชน"

20.00 น. ทนายอานนท์ นำภา ขึ้นปราศรัย กล่าวถึงทวิตเตอร์ติ่งเพื่อไทยกับติ่งก้าวไกล ปะทะทางความคิดกัน (ด่า)  อานนท์กล่าวว่าในระบอบประชาธิปไตยการด่ากันเป็นสิ่งที่งดงามมาก ด่ากันจะเป็นจะตายพอมีชุมนุมใหญ่พวกนี้มาจับมือกันเหมือนเดิม ถ้านักการเมืองทำไม่ดีเราต้องทำให้เขากลับมาอยู่กับร่องกับรอย

20.40 น. ผู้ชุมนุมร่วมอ่านประกาศคณะราษฎรร่วมกัน โดยมีข้อเรียกร้องทั้งหมด 5 ข้อ ซึ่งข้อเรียกร้องทั้ง 5 ข้อเป็นเจตจำนงของราษฎรที่ได้รวมตัวกัน เพื่อสู้ต่อกับรัฐบาลของคณะเผด็จการ พรรคการเมืองอันเป็นตัวแทนของราษฎรจะต้องรับฟังและร่วมแรงกับราษฎรผลักดันข้อเรียกร้องทั้ง 5 ข้อ นอกจากนี้ยังขอให้ประชาชนมาร่วมชุมนุมในวันที่ 19 กันยายนนี้ ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ ที่จะถึงนี้ด้วย

ทั้งนี้ด้านข้างอนุสรณ์สถาน 14 ตุลา มีซุ้มของหน่วยปฐมพยาบาลอาสามาตั้งศูนย์อำนวยการดูแล นอกจากนั้นยังมีโต๊ะอาหารและเครื่องดื่ม รวมถึงรถห้องน้ำที่ผู้จัดงานเตรียมมาคอยให้บริการผู้มาร่วมงานด้วย อีกทั้งยังมีการตั้งโต๊ะเชิญชวนประชาชนร่วมลงชื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญกับโครงการอินเทอร์เน็ตเพื่อกฎหมายประชาชน ( iLaw )

และบริเวณด้านนอกของ อนุสรณ์สถาน 14 ตุลา มีนิทรรศการรัฐธรรมนูญฉบับต่าง ๆ ของไทยวางรายรอบ พร้อมทั้งมีประชาชนปูเสื่อนั่งฟังการปราศรัยและร่วมกิจกรรมกันอย่างคึกคัก โดยพบว่าประชาชนเหล่านี้พก หัวใจตบ ตีนตบ สีแดงมาด้วย 

ซึ่งโดยตลอดเวลาของกิจกรรมมีเจ้าหน้าที่ตำรวจจาก สน.ชนะสงคราม และเจ้าหน้าที่หน่วยงานความมั่นคงนอกเครื่องแบบร่วมสังเกตการณ์ 

ทั้งนี้หลังจากอ่านคำประกาศของราษฎรจบ ก็ยังมีกิจกรรมอย่างต่อเนื่อง ทั้งดนตรี เสวนา และการฉายหนัง ก่อนที่ช่วงเช้าจะเดินทางไป สน.สำราญราษฏร์

#UDDnews #ประชาชนปลดแอก

ชมประมวลภาพกิจกรรม