วันพุธที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2564

#นักเรียนเลว ทำกิจกรรมสะท้อนปัญหาการเรียนออนไลน์ผ่านกิจกรรม “เรียนออนไลน์เราจะตายกันหมด”

 



#นักเรียนเลว ทำกิจกรรมสะท้อนปัญหาการเรียนออนไลน์ผ่านกิจกรรม “เรียนออนไลน์เราจะตายกันหมด”


วันนี้ (30 มิ.ย. 64) กลุ่มนักเรียนเลวได้ทำกิจกรรม สะท้อนปัญหาทางการศึกษา โดยเฉพาะเรื่องการเรียนออนไลน์ ในปัจจุบัน ซึ่งเป็นเวลากว่า 1 ปีที่รัฐบาลประกาศเลื่อนเปิดเทอม และบังคับให้เด็กเรียนออนไลน์อย่างต่อเนื่องโดยไม่มีมาตรการช่วยเหลือและเยียวยาอย่างประสิทธิภาพเลยแม้แต่น้อย


สิ่งที่เด็กไทยต้องเจอในทุก ๆ วันคือการถูกบังคับให้นั่งอยู่หน้าจอคอมวันละ 7-8 ชั่วโมง ติดกัน 6 วันต่อสัปดาห์ เด็กต้องอดทนกับการสั่งงานเยอะ ๆ สอบติดกันหลายวิชา บางโรงเรียนยังมาบังคับให้แต่งเครื่องแบบนักเรียนและเคารพธงชาติออนไลน์อีก ระบบที่ไม่เข้าใจความเหนื่อยล้าที่นักเรียนต้องแบกรับทำให้เด็กไทยสูญเสียช่วงเวลาอันแสนมีค่าไปกับความกดดันและสุขภาพจิตที่ย่ำแย่ลงทุกวัน บางครอบครัวไม่มีแม้แต่อินเตอร์เน็ตหรืออุปกรณ์ที่เพียงพอต่อการเรียนด้วยซ้ำ


รัฐบาลได้เรียนรู้อะไรจากปัญหาที่เกิดซ้ำ ๆ เหล่านี้หรือไม่? แม้จะมีโควิดอีกกี่ระลอก รัฐบาลชุดนี้ก็ยังทำตัวเหมือนคนที่ไม่เข้าใจปัญหา บอกเด็กว่าไม่มีอินเตอร์เน็ตก็ไปดูทีวีบ้าง บอกว่าเคารพธงชาติออนไลน์เป็นการฝึกวินัยบ้าง และยังลดงบประมาณสำหรับกระทรวงศึกษาธิการอีก รัฐบาลควรฟังเสียงผู้ที่อยู่ในระบบการศึกษาให้มากขึ้น และออกมาจากหอคอยงาช้างบ้าง


การเรียนออนไลน์ไม่ผิด แต่การบังคับให้เรียนออนไลน์โดยไม่มีการสนับสนุนที่เพียงพอ สำหรับประเทศด้อยพัฒนาอย่างประเทศไทย คือการผลักภาระค่าใช้จ่ายและความรับผิดชอบทั้งหมดให้กับนักเรียนและผู้ปกครอง เราจะต้องเห็นข่าวเด็กเครียดจนฆ่าตัวตายจากนโยบายที่ไร้ความรับผิดชอบไปอีกนานแค่ไหน 


"เรียนออนไลน์เราจะตายกันหมด"


#นักเรียนเลว #เรียนออนไลน์ #UDDnews #ยูดีดีนิวส์

ประมวลภาพ











วันอังคารที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2564

ศาลอาญากรุงเทพใต้ ให้ประกันตัว "เบนจา-ป๊อกกี้"คดี ม.112 ใส่ครอปท็อปเดินพารากอน วงเงินคนละ 2 แสนบาท พร้อมเงื่อนไข

 


ศาลอาญากรุงเทพใต้ ให้ประกันตัว "เบนจา-ป๊อกกี้" คดี ม.112 ใส่ครอปท็อปเดินพารากอน วงเงินคนละ 2 แสนบาท พร้อมเงื่อนไข


วันนี้ (29 มิ.ย. 64) ที่ศาลอาญากรุงเทพใต้ เขตยานนาวา กรุงเทพฯ ตามที่เวลา 10.00 น. น.ส.เบนจา อะปัญ สมาชิกกลุ่ม #แนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม และนายภวัต หิรัณย์ภณ หรือ ป๊อกกี้ มีนัดฟังคำสั่งอัยการที่สำนักงานอัยการกรุงเทพใต้ ในคดี ม.112 จากกิจกรรม #ใครๆก็ใส่ครอปท็อป เดินพารากอน เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2563


ต่อมา เวลา 11.45 น. อัยการมีคำสั่งฟ้อง เบนจา และ ภวัต ต่อศาลอาญากรุงเทพใต้ ทนายความจึงยื่นประกันตัวทั้งสองระหว่างพิจารณาคดี โดยวางหลักประกันเป็นเงินสด 200,000 บาท


กระทั่ง เวลา 12.21 น. ศาลมีคำสั่งอนุญาตให้ประกันตัวทั้งสองโดยให้วางหลักประกันเป็นเงินสดคนละ 200,000 บาท และกำหนดเงื่อนไขห้ามร่วมกิจกรรมที่อาจก่อให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมือง และห้ามเดินทางออกนอกประเทศ และมาศาลตามนัด


ทั้งนี้ศาลได้เลื่อนอ่านคำสั่งฟ้องให้จำเลยรับทราบพร้อมกัน ในวันที่ 2 สิงหาคม 2564 เวลา 10.00 น .


สำหรับคดีนี้มีผู้ถูกดำเนินคดีทั้งหมด 7 คน ได้แก่ พริษฐ์ ชิวารักษ์ หรือเพนกวิน, ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล หรือรุ้ง, ภาณุพงศ์ จาดนอก หรือไมค์, เบนจา อะปัญ, ภวัต หิรัณย์ภณ, ณัฐ (นามสมมติ) และธนกร (สงวนนามสกุล) ซึ่ง 2 รายสุดท้ายเป็นเยาวชนอายุไม่เกิน 18 ปี  ซึ่งกิจกรรมในวันดังกล่าวจัดขึ้นเพื่อรณรงค์การยกเลิกประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 โดยคดีนี้มีประชาชนคือ ว่าที่ ร.ต.นรินทร์ ศักดิ์เจริญชัยกุล สมาชิกกลุ่มไทยภักดี เป็นผู้เข้าแจ้งความให้ดำเนินคดีนักกิจกรรมทั้งหมด


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์

"ตบส้นสูงบุกทำเนียบ" รวมพลพนักงานสถานบริการ อาบอบนวด อะโกโก้ บาร์ เรียกร้องเยียวยา 5 พันต่อเดือน หลังถูกสั่งปิดกิจการ อัดรัฐแก้ปัญหาแบบแก้ผ้าเอาหน้ารอด

 


"ตบส้นสูงบุกทำเนียบ" รวมพลพนักงานสถานบริการ อาบอบนวด อะโกโก้ บาร์ เรียกร้องเยียวยา 5 พันต่อเดือน หลังถูกสั่งปิดกิจการ อัดรัฐแก้ปัญหาแบบแก้ผ้าเอาหน้ารอด


วันนี้ (29 มิ.ย. 64) เวลา 09.00 น. หน้าทำเนียบรัฐบาล นำโดย นางสาวชัชลาวัณย์ เมืองจันทร์ มูลนิธิเอ็มพาวเวอร์ และตัวแทนพนักงานบริการในสถานบริการ อาบอบนวด อะโกโก้ บาร์ คาราโอเกะ และพนักงานบริการอิสระออนไลน์ รวมตัวเข้ายื่นหนังสือ ถึงพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชานายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ผ่านนายธนกร วังบุญคงชนะ เลขานุการรัฐมนตรี ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะโฆษกประจำศูนย์บริหารสถานการณ์เศรษฐกิจจากผลกระทบของการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา2019 (โควิด-19) เพื่อเรียกร้องให้ภาครัฐดำเนินการเยียวยาพนักงานบริการ เนื่องจากคำสั่งปิดสถานบริการตามมาตรการของรัฐและศบค. เป็นจำนวนเงิน 5,000 บาทต่อเดือน จนกว่าสถานการณ์จะกลับมาปกติ 


สำหรับกิจกรรมในครั้งนี้ "สั่งปิดได้ต้องเยียวยาด้วย ตบส้นสูงพบกันหน้าทำเนียบ" โดยนำรองเท้าส้นสูงจำนวน 30 คู่ โดยรองเท้าแต่ละคู่นั้นจะเขียนข้อความติดไว้ อาทิ การเยียวยารัฐไม่แก้ปัญหา แต่แก้ผ้าเอาหน้ารอด, สั่งปิดร้านอาหารสามารถขายเหล้าเบียร์ได้ แต่บาร์ถูกสั่งปิดต่อ คุณเอาส่วนไหนคิด,  ภาษีเราก็เสียเหมือนคนอื่น ทำไมไม่เยียวยาเราบ้าง, ควรหยุดล่อซื้อเพื่อป้องกันโควิด 


จากนั้นตัวแทน บาร์ คาราโอเกะ อาบอบนวด อิสระออนไลน์ สปานวด ได้ส่งตัวแทนพูดถึงความเดือดร้อนและข้อเรียกร้อง ต่อรัฐบาล 


ลิลลี่ (นามสมมุติ) ตัวแทนจากธุรกิจอะโกโก้กล่าวว่า ตนทำงานอะโกโก้มา 3 ปี อยู่มาหลายที่อยู่มาหลายร้าน ภาพที่เห็นก็คือตอนนี้ทุกคนสู้กับความเงียบของถนนเส้นเดิมที่เคยมีนักท่องเที่ยวตลอดเวลา บางร้านพนักงานทำงานหลักร้อย ชวนนึกภาพว่าคนตกงานพร้อมกันทีเดียว 100 คนแล้วในถนนถนนหนึ่งมีร้านไม่ต่ำกว่า 20 ร้านบางร้านมีคนทำงานเยอะ บางร้านมีคนทำงานเป็นร้อยคนถ้าลองเฉลี่ยแค่โซน ๆ เดียวก็หลักหลายพัน นึกภาพดูว่าคนตกงานทั้งถนนพร้อมกันทีเดียวหลายพัน


ขณะที่ น.ส.ทันตา ผู้หญิงนักปกป้องสิทธิมนุษยชนในฐานะตัวแทนพนักงานบริการอาบอบนวดกล่าวว่าในช่วงวิกฤตโควิดนี้ร้านถูกสั่งปิด พนักงานไม่มีสวัสดิการไม่มีประกันสังคม ตั้งแต่ปิดมายังไม่ได้รับการช่วยเหลือใด ๆ จากทางร้าน เงินเยียวยาก็ต้องยอมรับว่ามันไม่พอกับแม้กระทั่งค่าเช่าห้องด้วยซ้ำ โดยเฉพาะเมื่อเจอการระบาดรอบใหม่และการเยียวยาไม่ได้ให้เป็นเงินสดยิ่งทำให้ไม่สามารถนำไปใช้ให้ตรงตามความต้องการตามสภาพปัญหาของเราได้ ที่มาในวันนี้จึงอยากทราบคำตอบจากรัฐบาลว่าจะมีการเยียวยาเราในรูปแบบไหนเพิ่มเติมบ้าง


จากนั้นได้ร่วมกันอ่านแถลงการณ์กลุ่มก่อนที่จะยื่นหนังสือกับตัวแทนรัฐบาล โดยรองปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี นายสมพาศ นิลพันธ์ ได้เป็นตัวแทนออกมารับมอบ


ช่วงท้ายของกิจกรรมได้มีการนำชุดบิกินี รองเท้าส้นสูง ซึ่งถือเป็นสัญลักษณ์ของพนักงานบริการ แต่ไม่ได้ใช้เนื่องจากถูกสั่งปิดกิจการ เพราะได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 แล้วยังไม่ได้รับการเยียวยาจากรัฐบาลและศบค.นำมาแขวนที่หน้าประตูทำเนียบ


โดยทางกลุ่มจะเฝ้าติดตาม ทวงถาม ให้รัฐบาลดำเนินการเยียวยาให้กับพนักงานบริการตามข้อเรียกร้องดังกล่าวโดยเร่งด่วน พร้อมขอความชัดเจนในแนวทางแก้ไขปัญหาที่เป็นรูปธรรม ทั้งเรื่องวัคซีน การเปิด-ปิด สถานบริการ หากยังไม่ได้รับความชัดเจนยืนยันจะกลับมาใหม่ 


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์

#สั่งปิดได้ต้องเยียวยาด้วย

#โควิด19

#ขายตัวไม่ใช่อาชญากรรม

#ตบส้นสูงบุกทำเนียบ


ประมวลภาพ









ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ : หัวใจไม่หยุดเต้น EP.48 ตอน นายกฯ จะฮาไปไหน ชาวบ้านฉิบหายกันหมดแล้ว

 


นายกฯ จะฮาไปไหน ชาวบ้านฉิบหายกันหมดแล้ว

โดย ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ใน หัวใจไม่หยุดเต้น EP.48

 

การออกประกาศปิดแค้มป์ก่อสร้าง ห้ามนั่งกินอาหารในร้านของรัฐบาลที่ลักหลับตอนตี 1 คืนวันเสาร์ที่ผ่านมา สร้างเสียงวิพากษ์วิจารณ์ไปทั่วประเทศ ทั้งจากคนที่ได้รับผลกระทบโดยตรงและประชาชนที่รับไม่ได้กับวิธีบริหารจัดการ

 

ปีกว่า ๆ ที่ผ่านมา เราเห็นข่าวพัฒนาการของเชื้อโรคสายพันธุ์ต่าง ๆ ที่น่าเจ็บปวดก็คือคนไทยไม่เคยเห็นพัฒนาการในการรับมือวิกฤตโรคระบาดของรัฐบาลนี้ เรื่องเดิม ๆ ปัญหาเก่า ๆ ที่เราเคยวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลมาตลอดก็ยังคงเป็นปัญหาให้พูดถึงกันอยู่ ทั้งการจัดหา การกระจายวัคซีน การเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบ ท่าทีของผู้นำรัฐบาลและการสื่อสารของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งไม่มีความชัดเจน ครบถ้วน และไม่ตรงไปตรงมากับประชาชน

 

ถึงวันนี้ยังไม่มีใครประเมินได้ว่าสถานการณ์วิกฤตโควิด-19 จะมีบทสรุปอย่างไร แต่ผมเชื่อว่าในใจคนไทยส่วนใหญ่สรุปแล้วล่ะครับว่ารัฐบาลชุดนี้ นายกรัฐมนตรีประยุทธ์ จันทร์โอชา ไม่มีปัญญาแก้ไขปัญหาได้แน่ ๆ

 

ไม่ได้ตั้งใจจะพูดให้ตกใจกันไปใหญ่โตนะครับ แต่ที่ชี้ประเด็นให้เห็นกันตรง ๆ เพราะถึงวันนี้รัฐบาลยังสร้างความเชื่อมั่นไม่ได้เลย แต่ละเรื่องแต่ละมาตรการที่ประกาศเป็นเพียงคำพูดปากเปล่า ไม่มีแผนรองรับ ไม่มีรูปธรรมคืบหน้าให้เห็นอย่างชัดเจน

 

การจัดซื้อวัคซีนที่มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์กันตั้งแต่ช่วงแรก ๆ ว่าทำไมไม่เข้าร่วมโคแวกซ์ ทำไมไม่จัดหาให้หลายหลายในยี่ห้อที่มีคุณภาพเป็นที่ยอมรับ กลับพุ่งเป้าแต่ "แอสตร้า เซนเนก้า" ก็ได้รับคำชี้แจงว่าเป็นวัคซีน "ม้าเต็ง"

 

แต่วันนี้ “ม้าเต็ง” ที่พูดถึงกลายเป็นวัคซีน “ม้าแกลบ” มาบ้าง ไม่มาบ้าง หยุด ๆ เลื่อน ๆ ไม่ได้จำนวนตามเป้า จากเดิม “แอสตร้า เซนเนก้า” จะเป็นวัคซีนตัวหลัก ก็กลายเป็น “ซิโนแวค” ทำท่าจะเป็น “ม้ามืด” แซง “ม้าเต็ง” เพราะมีการสั่งซื้อเพิ่มปริมาณขึ้นมาเรื่อย ๆ

 

ถามมากเข้าก็อ้างว่าการจัดหาวัคซีนไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ เพราะตลาดเป็นของผู้ขาย ผมว่าไม่ใช่ล่ะครับ ตลาดเป็นของผู้ซื้อที่มีวิสัยทัศน์ อ่านเกมขาด มีชั้นเชิงในการเจรจาและกล้าตัดสินใจมากกว่า แต่เมื่อรัฐบาลเลือกเดินทางนี้แล้วเกิดปัญหา ก็พยายามแก้ปัญหาเฉพาะหน้าจนกลายเป็นวัคซีนสารพัดยี่ห้อเพิ่งมาขึ้นทะเบียนเอาเมื่อต้นปีที่ผ่านมา แล้วจัดส่งได้ในช่วงปลายปีนี้

 

กรอบเวลา 120 วันที่นายกฯ ประกาศจะเปิดประเทศ จึงเป็นช่วงเวลาที่เราจะมีวัคซีนเพียง “แอสตร้า เซนเนก้า” “ซิโนแวค” “ซิโนฟาร์ม” เพียงบางส่วนเท่านั้น “โมเดอร์นา” “ไฟเซอร์” หรืออื่น ๆ ล้วนจะมาช่วงปลายปี ซึ่งเลยกรอบเวลา 120 วัน ทั้งการประกาศฉีดวัคซีนปูพรมตั้งแต่ 7 มิถุนายน และเปิดประเทศ 120 วัน จึงเป็นเพียงความหวังลม ๆ แล้ง ๆ ที่รัฐบาลโดยนายกรัฐมนตรีใช้วิชากะล่อนศาสตร์ พูดให้ประชาชนเกิดความหวังไปวัน ๆ

 

มาวันนี้ปิดแคมป์คนงาน เบรคร้านอาหาร ถ้าทำแล้วมันจบได้จริงก็พอมีความหวัง แต่นี่ทำแล้วก็ไม่มีหลักประกันนะครับ เพราะหลายมาตรการหลายเหตุการณ์ที่ผ่านมาก็เห็นอยู่แล้วว่ารัฐบาลประกาศอะไรแล้วทำไม่ได้ตามนั้น ที่สำคัญคือท่านคิดไม่เสร็จ นึกจะประกาศหยุดโน่นหยุดนี่ก็ทำ แต่ไม่ได้มาพร้อมมาตรการเยียวยา สั่งปิดไปก่อนแล้วคิดเยียวยากันทีหลัง ถ้ามันเป็นรอบแรก ๆ ยังพอว่า แต่นี่เขาเจ็บหนักมาแล้วปีกว่า ๆ จะเหลือสักกี่รายกันที่รอดไปได้หลังจากมีการเปิดประเทศเปิดเศรษฐกิจ วิธีคิด วิธีทำ ผิดฝาผิดตัว กลับหัวกลับหางกันไปหมด

 

ร้านอาหารถ้าคิดจะห้ามนั่งท่านควรสงสัญญาณให้เขาตั้งหลักล่วงหน้า ไม่ใช่ย่องมาประกาศกันตอนตี 1 แบบนี้ใครเขาจะตั้งตัวทัน

 

ส่วนแคมป์คนงานดันบอกล่วงหน้า 2 วัน กว่าจะมีคำสั่งปิด แรงงานนับหลาย ๆ พันชีวิตคงกระจายออกจากกรุงเทพฯ กลับภูมิลำเนากันไปทั่ว ซึ่งตรงนี้คาดการณ์ว่าน่าจะเป็นเจตนาแท้จริงของรัฐบาลมากกว่า คือการลดอัตราผู้ป่วยในกรุงเทพฯ จากคลัสเตอร์แคมป์คนงานก่อสร้าง แล้วก็มีพื้นที่เวลาให้คนงานเหล่านั้นไหลไปต่างจังหวัด ซึ่งก็ถือเป็นการไปตายเอาดาบหน้าเพราะกลับบ้านไปแล้วก็ไม่มีงานทำ แต่ละพื้นที่เขาก็มีมาตรการควบคุมโรคของเขาอยู่เหมือนกัน เกิดติดเชื้อขึ้นมาก็ไม่รู้ว่าแต่ละโรงพยาบาลแต่ละกลไกการแพทย์ซึ่งมีงานหนักอยู่แล้วในภูมิภาคจะรับมือกันไหว เกิดเป็นปัญหาใหม่อีกหรือไม่? ทั้งหมดทั้งหลายเรื่องนี้มีเหตุสำคัญประการเดียว คือรัฐบาลนี้ไม่สามารถจัดหาวัคซีนที่มีคุณภาพมาได้มากพอและทันเวลาทันสถานการณ์

 

บางคนก็บอกว่าวิพากษ์วิจารณ์อย่างเดียว เสนอทางออก เสนอทางแก้ปัญหากันไปบ้างซิ ผมก็พูด หลาย ๆ คนก็พูดมาต่างกรรมต่างวาระนะครับถึงข้อเสนอต่าง ๆ แต่ผมเชื่อว่าคนส่วนใหญ่ไม่อยากจะเสนออะไรแล้วเพราะไม่เห็นสมองของผู้นำรัฐบาล

 

โควิดน่ะมันกินปอดประชาชน

ไม่รู้ไปกินสมองผู้มีอำนาจเข้าไปด้วยหรือเปล่า?

 

ท่าทีที่แสดงออกก่อนวันที่จะมีประกาศราชกิจจานุเบกษายิ่งเป็นการไปตอกย้ำความเจ็บปวดให้กับประชาชน การหัวเราะต่อกระซิกของนายกรัฐมนตรีและบรรดาคนใหญ่คนโตทั้งหลาย การพูดเล่นพูดหัวราวกับว่าบ้านเมืองนี้ไม่มีใครกำลังเจ็บ ไม่มีใครกำลังรอความตาย ไม่มีใครกำลังเจ๊งพินาศวอดวายจากความไร้ศักยภาพของรัฐบาล คำว่า “นะจ๊ะ” ซึ่งเป็นคำสุภาพ เป็นคำหวาน จึงกลายเป็นคำน่ารังเกียจของชาวบ้านไปแล้วในปัจจุบัน

 

เอากันตรง ๆ เลยนะครับ ผมว่ามาถึงวันนี้รัฐบาลไม่ต้องไปคิดอะไรพิศดารแล้ว ไม่ต้องไปหามาตรการแก้ปัญหาโน่นนั่นนี่หลายมิติให้ประชาชนเวียนหัว เพราะถึงที่สุดท่านก็ทำไม่ได้ ฟันธง! กำปั้นทุบดินไปเลยครับ ไปเอาวัคซีนมา หาเข้ามาทันที หาเข้ามาเดี๋ยวนี้ หาเข้ามาให้หลายยี่ห้อ ไม่ใช่นั่งรอแต่ "แอสตร้า เซนเนก้า" แล้วสั่ง "ซิโนแวค" เข้ามาเพิ่มอยู่เรื่อย ๆ 


ตกลงการที่มีบริษัทสยามไบโอไซเอนซ์เป็นฐานการผลิต “แอสตร้า เซนเนก้า” อยู่ในประเทศไทยก็ไม่ได้เห็นว่าเป็นแต้มต่อที่จะทำให้คนไทยได้ฉีดวัคซีนเร็วขึ้นมากขึ้น ทางสยามไบโอไซเอนซ์เขาพูดชัดมาตลอดว่าเขาเป็นเพียงเอกชนผู้รับจ้างผลิตให้กับ “แอสตร้า เซนเนก้า” เท่านั้น ใครจะได้รับวัคซีนกี่โดสต่อเดือนต่อวันเป็นเรื่องระหว่างรัฐบาลกับ “แอสตร้า เซนเนก้า” สยามไบโอไซเอนซ์ไม่เกี่ยว

 

เรื่องนี้ถ้าเป็นแผนระยะยาวไม่มีใครว่าล่ะครับ มีโรงงานผลิตวัคซีนอยู่ในประเทศไทยก็เป็นเรื่องดี แต่สถานการณ์เฉพาะหน้าที่มันวิกฤตมากขึ้นมีคนตายมากขึ้นทุกวันแบบนี้รัฐบาลล้มเหลวในการวางแผนตั้งแต่ต้น

 

ณ วันที่พูดอยู่นี้ยังไม่รู้ว่ามาตรการเยียวยาจะออกมาอย่างไร หรือต่อไปนี้จะมีการสั่งปิดพื้นที่ปิดกิจการประเภทใดอีกหรือไม่ แต่ขอให้นายกรัฐมนตรีได้ตระหนักรับรู้นะครับว่า ทุกนาทีที่ผ่านไป ทุกความผิดพลาดที่ท่านทำ เป็นการซ้ำเติมชีวิตของประชาชนที่บาดเจ็บสาหัสอยู่แล้วให้หนักมากขึ้น ๆ ทุกที

 

สถานการณ์มาถึงวันนี้ท่านยังหัวเราะกันอยู่ได้ ผมก็ไม่มีอะไรจะหวังเหมือนกันฮะ พูดเปิดใจกันเลยนะครับ ถ้าเป็นไปได้ ผมอยากเปลี่ยนรัฐบาล เปลี่ยนผู้นำประเทศ แต่คิดน่ะคิดได้ครับ จะเอาจริงนี่ยากแสนยาก เพราะพล.อ.ประยุทธ์แกยืนยันตลอดเวลาว่ายังไงก็ไม่ออก เอาข้าวสารเสก เอาไม้หวายลงยังไงก็ไม่ออก แถมกติกาคือรัฐธรรมนูญก็การันตีอำนาจเอาไว้ให้เสียด้วย

 

การจะแก้กติกาเลือกตั้งเป็น “บัตรสองใบ” ก็ไม่แน่ว่าจะผ่านไปสำเร็จได้ เพราะร่างพรรคประชาธิปัตย์ที่สภาฯ รับหลักการไปกลายเป็นจะมีปัญหา เพราะเสนอแก้ไขเพียง 2 มาตรา ทำให้การแบ่งเขตเลือกตั้ง การนับคะแนน อาจจะขัดกันอยู่ในรัฐธรรมนูญ

 

พลังประชารัฐ, เพื่อไทย เห็นตรงกัน นึกว่าจะง่าย ทำท่าจะไม่ง่ายซะแล้วล่ะครับ ดีไม่ดีไปแท้งกลางทาง แต่ปรากฎการณ์แก้ไขรัฐธรรมนูญคราวนี้เราก็ได้เห็นนะครับว่าศูนย์อำนาจที่คุมเกม ส.ว.250 คน ไม่ได้เป็นที่เดียวกับที่คุมเกมในพรรคพลังประชารัฐ พูดกันชัด ๆ ก็คือพลังประชารัฐเป็นพื้นที่ของพล.อ.ประวิตร ส่วนส.ว.250 คน เป็นพื้นที่ของพล.อ.ประยุทธ์

 

เท่ากับในรัฐสภา พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นหัวหน้าพรรคการเมืองใหญ่ที่สุด เพราะมีส.ว. 250 ที่นั่ง เมื่อกติกาปัจจุบันบัตรเลือกตั้งใบเดียวเป็นการการันตีอำนาจและนำพล.อ.ประยุทธ์มาเป็นนายกรัฐมนตรี ก็เป็นไปได้สูงนะครับว่าในที่สุดการแก้ไขบัตรเลือกตั้งสองใบที่พลังประชารัฐกับเพื่อไทยต้องการอาจจะสวนทางกับความต้องการของพล.อ.ประยุทธ์ก็ได้ เพราะความหมายของการเลือกตั้ง “บัตรสองใบ” แม้พลังประชารัฐจะได้เปรียบทุกประตู ทั้งอำนาจทุน อำนาจรัฐ กลไกต่าง ๆ ที่วางเอาไว้ แต่อย่าลืมว่ามันก็ทำให้เพื่อไทยกลับมามีโอกาสสู้มากขึ้น

 

<

แล้วในท่ามกลางกระแสความรู้สึกของประชาชนต่อผู้นำรัฐบาลในสถานการณ์โควิด-19 ลงไปในสนามเลือกตั้งอะไรก็เกิดขึ้นได้ ดังนั้นถ้าจะประเมินความเสี่ยงทางอำนาจจากการแก้ไขรัฐธรรมนูญโดยโฟกัสที่ประเด็นกติกาการเลือกตั้ง หากเปลี่ยนจาก “บัตรใบเดียว” เป็น “บัตรสองใบ” คนที่อยู่ในพื้นที่เสี่ยงสูงสุดคือประยุทธ์ จันทร์โอชา

 

ถ้าชนะกลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีก็ถือว่าเสมอตัวนะครับ

แต่ถ้าแพ้แบบแลนด์สไลด์ก็ตัวใครตัวมัน!

จะมีถนนเดินหรือเปล่ายังไม่รู้?

 

ก็ต้องจับตาดูกันนะครับว่าถึงที่สุดสัญญาณสุดท้ายของส.ว.250 คน ที่จะตัดสินใจแก้หรือไม่แก้รัฐธรรมนูญ จะเอา “บัตรใบเดียว” หรือ “บัตรสองใบ” ไม่ใช่ใครล่ะครับ อยู่ที่พล.อ.ประยุทธ์นั่นแหละ

 

นี่จึงเป็นรูปธรรมสำคัญอีกข้อหนึ่งที่เราจำเป็นจะต้องมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่โดยสสร.จากการเลือกตั้งของประชาชน เพราะรัฐธรรมนูญฉบับนี้มีความหมายเพียงแค่เครื่องมือในการเข้าสู่อำนาจและรักษาอำนาจของพล.อ.ประยุทธ์กับพวกเท่านั้น

 

แล้วก็เป็นที่สังเกตได้นะครับว่าตัวพล.อ.ประยุทธ์ไม่ค่อยจะรู้สึกรู้สากับหัวจิตหัวใจประชาชนเท่าไหร่นัก เพราะถ้าเป็นนักการเมืองจากการเลือกตั้งของประชาชนโดยทั่วไปเขาจะไม่ทะลึ่งเล่นมุกสร้างอารมณ์ขันกับความเจ็บปวดสูญเสียกับประชาชนแบบนี้

 

แต่นี่มี 250 คะแนนแน่ ๆ ในสภาจากส.ว.ไงครับ แล้วการแก้ไขกติกา ถ้าตัวเองไม่ยอม ไม่เห็นด้วยก็ทำไม่ได้นะครับ แกก็เลยอยู่นะจ๊ะ นะจ๊ะ ต่อเนื่องกันมาแล้ว 7 ปี แล้วอยากจะอยู่นะจ๊ะ นะจ๊ะ ต่อไปอีกหลายปี

 

ผมว่าถึงเวลาที่ประชาชนต้องคิดให้เสร็จนะครับว่า เราต้องการกติการฉบับใหม่ เราต้องการร่างรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับ ไม่ต้องร่างตามใจใครฝ่ายไหนล่ะครับ ให้ประชาชนเลือกสสร.มายกร่างฯ แล้วลงประชามติกันหลังจากร่างเรียบร้อยแล้ว

 

ถึงวันนี้ใครยังมีความหวังกับพล.อ.ประยุทธ์อยู่อีก ผมจะเสนอให้สกัดเอา DNA มาทำวัคซีนต้านโควิดแล้วนะครับ ถือว่าภูมิต้านทานสูงมาก

 

พี่ว่าทำไมนายกฯ เขาต้องมาประกาศอะไรตอนตี 1 วันเสาร์อย่างนี้? (ทีมงานถาม)

 

แกคงเพิ่งเชียร์บอลยูโรเสร็จมั้ง 

แกอาจจะเป็นกองเชียร์เวลส์แล้วแพ้ไป 4:0 

ตกใจเลยปิดโน่นปิดนี่ไปหมด...ไอ้เวลส์เอ๊ย!

วันจันทร์ที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2564

"ราษฎร" มอบอุปกรณ์ป้องกันโควิด แก่รพ.ราชทัณฑ์ "เพนกวิน"หวังผู้ต้องขังจะได้รับการดูแล และไม่ปล่อยให้เกิดคลัสเตอร์เรือนจำอีก

 


"ราษฎร" มอบอุปกรณ์ป้องกันโควิด แก่ รพ.ราชทัณฑ์ "เพนกวิน" หวังผู้ต้องขังจะได้รับการดูแล และไม่ปล่อยให้เกิดคลัสเตอร์เรือนจำอีก


วันนี้ (28 มิ.ย. 64) เวลา 11.00 น. ที่โรงพยาบาลราชทัณฑ์ กลุ่ม #ราษฎร นำโดย นายพริษฐ์ ชิวารักษ์ หรือ เพนกวิน, น.ส.ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล หรือ รุ้ง, นายพรหมศร วีระธรรมะจารี หรือ ฟ้า เดินทางมามอบอุปกรณ์ป้องกันโรคโควิด-19 อาทิ ชุดป้องกันความปลอดภัย PPE จำนวน 300 ชุด แอลกอฮอล์ หน้ากากอนามัย น้ำเกลือ แก่ทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ ซึ่งเป็นจุดรักษาตัวผู้ต้องหาที่ติดเชื้อโควิดเพื่อใช้ในการจัดการปัญหาโควิคจากในเรือนจำ 


ทั้งนี้ นายพริษฐ์ได้โพสต์ข้อความผ่านทางเฟซบุ๊ก เพนกวิน – พริษฐ์ ชิวารักษ์ Parit Chiwarak ว่า


มามอบชุด PPE แอลกอฮอล์ หน้ากากอนามัย และน้ำยาทำความสะอาดให้ทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ หวังว่าจะดูแลผู้ต้องขังดี ๆ ไม่ปล่อยให้มีคลัสเตอร์เรือนจำอีกนะครับ


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์

ศาลอนุญาตให้ประกันตัวและถอดกำไล EM "โตโต้ ปิยรัฐ" คดี ม.112 ติดป้ายวิจารณ์วัคซีน ชี้จำเลยไม่มีพฤติการณ์หลบหนี ทั้ง EM เป็นภาระเกินสมควรแก่จำเลย

 


ศาลอนุญาตให้ประกันตัวและถอดกำไล EM "โตโต้ ปิยรัฐ" คดี ม.112 ติดป้ายวิจารณ์วัคซีน ชี้จำเลยไม่มีพฤติการณ์หลบหนี ทั้งกำไล EM เป็นภาระเกินสมควรแก่จำเลย


วันนี้ (28 มิ.ย. 64) ที่ศาลจังหวัดกาฬสินธุ์ นายปิยรัฐ จงเทพ หรือ โตโต้ เดินทางมาศาลพร้อมด้วยทนายความจากศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน โดยพนักงานอัยการฯยื่นฟ้องคดีต่อศาลคดี ม.112 และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ซึ่งในวันนี้จำเลยให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา 


ขณะที่ทนายความจำเลยได้ยื่นคำร้องขอปล่อยตัวชั่วคราวและขอให้ถอดอุปกรณ์ติดตามตัวอิเล็กทรอนิกส์ EM (อีเอ็ม)


ในเวลาต่อมา ศาลอนุญาตให้ประกันตัวและอนุญาตให้ถอดกำไล EM โดยให้เหตุผลว่า "พิเคราะห์แล้วเห็นว่าจำเลยไม่มีพฤติการณ์หลบหนี ทั้งการใช้อุปกรณ์ EM เป็นภาระเกินสมควรแก่จำเลย จึงอนุญาตให้ปลด EM ได้ แต่เงื่อนไขอื่นในการปล่อยขั่วคราวให้คงเดิมและให้จำเลยปฏิบัติตามโดยเคร่งครัด"


ทั้งนี้ศาลนัดคุ้มครองสิทธิวันที่ 7 ก.ย. 64 เวลา 13.00 น. นัดตรวจพยานหลักฐานวันที่ 11 ต.ค. 64 เวลา 09.00 น.


ขอบคุณข้อมูล 📷  : ทนายนรเศรษฐ์ นาหนองตูม และ ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์

ศาลนัดตรวจหลักฐาน "แอมมี่" คดีเผาทรัพย์หน้าเรือนจำ นัดสืบพยานโจทก์ครั้งแรก 1 มี.ค.65 เจ้าตัวเผยไม่หวั่น แม้โดนยื่นถอนประกัน ยันไม่ได้ออกมาเพื่อเจตนาทำร้ายประเทศ ชี้อยากให้ประเทศดีขึ้นในระบบโครงสร้างที่ดี

 


ศาลนัดตรวจหลักฐาน "แอมมี่" คดีเผาทรัพย์หน้าเรือนจำ นัดสืบพยานโจทก์ครั้งแรก 1 มี.ค. 65  เจ้าตัวเผยไม่หวั่น แม้โดนยื่นถอนประกัน ยันไม่ได้ออกมาเพื่อเจตนาทำร้ายประเทศ ชี้อยากให้ประเทศดีขึ้นในระบบโครงสร้างที่ดี


วันนี้ (28 มิ.ย. 64) เวลา 09.00 น. ที่ห้องพิจารณา 716 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลนัดตรวจหลักฐาน คดีดำ อ.1199/2564 ที่พนักงานอัยการคดีอาญา 5 เป็นโจทก์ฟ้อง นายไชยอมร แก้ววิบูลย์พันธุ์ หรือแอมมี่ เดอะบอททอมบลูส์ อายุ 32 ปี แนวร่วมกลุ่ม #ราษฎร เป็นจำเลยในฐานความผิดร่วมกันหมิ่นประมาทดูหมิ่นหรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินีรัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์, ร่วมกันวางเพลิงเผาทรัพย์ผู้อื่น และนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 33, 83, 91, 112, 217 พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2526 มาตรา 4 พ.ร.บ.การกระทําความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 มาตรา 14 ซึ่งจำเลยให้การปฏิเสธข้อกล่าวหาและขอต่อสู้คดี


ซึ่งวันนี้โจทก์และนายไชยอมร (จำเลย) พร้อมทนายจำเลยมาศาล โดยโจทก์ยื่นคำร้อง ขอให้นำสำนวนคดีอาญาหมายเลขดำที่ อ 1271/2564 ของศาลนี้ ซึ่งเป็นผู้ร่วมกระทำผิดกับจำเลยคดีนี้มีพยานหลักฐานเป็นบุคคล และพยานเอกสารชุดเดียวกัน หากรวมพิจารณาจะสะดวกและรวดเร็ว สอบถามฝ่ายจำเลยแล้วไม่คัดค้าน


พิเคราะห์แล้วเห็นว่า คดีดังกล่าวอยู่ระหว่างไต่สวนคำร้อง ว่าต้องส่งสำนวนคดีดังกล่าวไปพิจารณาพิพากษาที่ศาลเยาวชนและครอบครัวกลางหรือไม่ ไม่แน่ว่าจะแล้วเสร็จเมื่อใด ฉะนั้นการรวมพิจารณาจึงไม่สะดวกและไม่รวดเร็วแก่การพิจารณาพิพากษาชั้นนี้จึงไม่อนุญาตให้รวมสำนวน


โจทก์จําเลย และทนายจำเลย แถลงไม่มีข้อเท็จจริงที่รับกันได้ โจทก์แถลงว่ายังคงติดใจสืบพยานรวม 28 ปาก ขอใช้เวลาสืบพยาน เป็นเวลา 7 นัด จำเลยและทนายจำเลยแถลงข้อต่อสู้ว่าไม่ได้กระทำความผิดตามฟ้องมีพยานเข้าสืบ 5 ปากขอใช้เวลาสืบพยาน 1 นัด ซึ่งเริ่มสืบพยานนัดแรกวันที่ 1 มี.ค. 2565 เวลา 13.30 น.


จากนั้นนายไชยอมร ได้ให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวต่อกรณีที่ถูกกลุ่มคนมายื่นคำร้องขอถอนประกันตัวว่า เป็นความคิดเห็นตามสิทธิทางรัฐธรรมนูญ เราออกมาเรียกร้องเพื่อสิ่งที่ดีกว่าไม่ได้ออกเพื่อเจตนาทำร้ายประเทศ เจตนาอยากให้ประเทศดีขึ้นในระบบโครงสร้างที่ดีขึ้นเท่านั้น


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์

เสียงสะท้อนจากเพจ Roundfinger ถามรัฐบาล ได้ยินเสียงร้องไห้ของประชาชนบ้างไหม? เรียกร้องลาออกเถอะ!

 



เสียงสะท้อนจากเพจ Roundfinger ถามรัฐบาล ได้ยินเสียงร้องไห้ของประชาชนบ้างไหม? เรียกร้องลาออกเถอะ!

เมื่อวานนี้ (27 มิ.ย. 64) ที่เพจ Roundfinger ได้โพสต์สะท้อนการบริหารงานของรัฐบาลที่ล้มเหลวและมีความสับสนไม่แน่นอน ทำให้สถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ไม่สามารถควบคุมได้ รวมทั้งการจัดหาวัคซีนสำหรับประชาชนที่ขาดประสิทธิภาพทั้งคุณภาพและปริมาณ ที่สำคัญที่สุดคือความยากลำบากของประชาชนผู้หาเช้ากินค่ำในด้านเศรษฐกิจ รวมทั้งประชาชนหลายชีวิตที่ต้องเสียไปจากการที่ไม่สามารถเข้าถึงการรักษาพยาบาลได้ทันเวลา

ทั้งนี้มีการตั้งคำถามดัง ๆ ไปยังฟากรัฐบาลว่า "ได้ยินเสียงร้องไห้ของประชาชนบ้างไหม? พร้อมทั้งเรียกร้องให้ลาออก ซึ่งข้อความที่โพสต์มีใจความว่า

ได้ยินเสียงร้องไห้ของประชาชนบ้างไหม
---
หลับไปแล้วตื่นมาตอนตีสอง เห็นข่าวล็อกดาวน์ท่ามกลางเสียงร้องระงมของผู้คนทำกิจการค้าขาย เห็นแล้วก็เห็นใจเพื่อนพี่น้องและสงสารตัวเอง

ท่ามกลางความไม่แน่นอนของโรคระบาด สิ่งที่ทำให้ทุกอย่างเลวร้ายลงไปอีกคือความไม่แน่นอนที่เกิดจากการบริหารจัดการของร้าบานที่ทำอะไรเหมือนไม่เห็นหัวประชาชน

1. ไม่จริงใจเปิดเผยปัญหาและบอกข้อมูลที่จำเป็น ทำให้ทุกคนทุกธุรกิจไม่รู้จะวางแผนรับมือยังไง

2. ไม่เคยมีการบอกแผนการล่วงหน้า แต่ใช้วิธีประกาศฉุกละหุก (เช่นเที่ยงคืน???) ทั้งที่เมื่อวานยังชูสองนิ้ว victory อยู่เลย

3. ตัดสินใจในเรื่องที่มีผลต่อคนจำนวนมหาศาลแต่ไม่มีมาตรการเยียวยาช่วยเหลืออย่างทั่วถึงในรูปแบบต่าง ๆ

พวกท่านกำลังทำงานที่รับผิดชอบกับความเป็นความตายของประชาชน ทั้งตายจากโรคระบาดและตายจากตกงาน ธุรกิจพัง รวมทั้งตายจากหมดแรงสู้ ท้อใจ ใจสลาย อยากรู้ว่าท่าน ๆ ได้ยินเสียงร้องไห้ของประชาชนบ้างไหม หรือเสียงหัวเราะของคนรอบตัวกลบไปหมดแล้ว งงจริง ๆ ว่าหัวเราะปล่อยมุกกันแบบนั้นได้ยังไง แล้วถัดมาอีกวันก็มาประกาศล็อกดาวน์ตอนเที่ยงคืน โดยจะมีผลในอีก 2 วันถัดไป เห็นรอยยิ้ม การปล่อยมุก เสียงหัวเราะคึกครื้นของท่านแล้วอดสงสัยไม่ได้จริง ๆ ว่าท่านรับรู้ความเจ็บช้ำของประชาชนบ้างไหม โรคระบาดอาจไม่กระทบรายได้และความเป็นอยู่ของพวกท่าน เพราะไม่เคยมีไอเดียที่แสดงถึงการร่วมทุกข์ร่วมสุขกับประชาชนแต่อย่างใด ท่านเหมือนอยู่คนละโลกกับประชาชนจริง ๆ ครับ

เค้าจะตายกันหมดแล้ว--ท่านได้ยินบ้างเถอะครับ

ได้พูดคุยกับเพื่อนที่ทำธุรกิจที่ปรับตัวแล้วปรับตัวอีก เปลี่ยนมาสามธุรกิจตั้งแต่โควิดเกิดขึ้น แต่จากการไม่มีภาพระยะยาวจากภาครัฐและเปลี่ยนแปลงไปมา ทำให้เขาท้อใจและหมดแรง ผู้คนในองค์กรก็หมดใจ

เค้าจะซึมเศร้ากันหมดแล้ว--ท่านได้ยินบ้างเถอะ

ทำอะไรคิดถึงความทุกข์ ความเหนื่อย ความลำบาก และความเป็นความตายของประชาชนบ้าง

เข้าใจทุกครั้งที่มีคนบอกว่าประเทศอื่นก็มีปัญหา เข้าใจครับว่าปัญหานี้มันไม่ง่าย แต่สิ่งที่เข้าใจไม่ได้คือความไม่รู้สึกรู้สากับความเดือดร้อนของประชาชน เสียงหัวเราะ ใบหน้าระรื่น มุกไม่ขำ คำพูดล้อเล่นนะจ๊ะเหล่านั้นไม่ได้ช่วยคลายเครียดแต่อย่างใด ตราบที่วันหนึ่งประกาศอย่าง พอเที่ยงคืนอีกวันประกาศอีกอย่าง สิ่งเหล่านี้ล้วนสะท้อนว่าท่านคิดถึงประชาชนน้อยเหลือเกิน

เห็นผู้คนช่วยเหลือกัน ธุรกิจก็ซัพพอร์ตกัน คนตัวเล็กตัวน้อยดิ้นรนทุกวิถีทาง พยามปรับตัวขูดเค้นสมองมาแก้วิกฤตในมุมส่วนตัว แล้วหันมาเจอการทำงานของฝ่ายรัฐบาลแบบนี้แล้วท้อใจจริง ๆ

ประชาชนเต็มที่แล้ว ท่านทำอะไรที่ดีกว่านี้เพื่อประชาชนบ้างหรือยัง

ถ้าทำไม่ได้ ลาออกเถอะครับ

ออกไปเถอะครับ

ชีวิตประชาชนไม่ใช่เรื่องล้อเล่น ถ้าเราได้เห็นความจริงใจ ความพยายามในการหาวัคซีนที่หลากหลายตั้งแต่ต้น การคิดถึงประชาชนก่อนผลประโยชน์ของตัวเองหรือคนได้เปรียบทั้งหลาย ความโปร่งใสในการแก้ปัญหา ความตรงไปตรงมาในการแจ้งข้อมูลข่าวสาร รวมถึงศักยภาพและฝีมือในการรับมือรวมถึงสื่อสารต่อให้สถานการณ์เลวร้ายก็จะสู้ไปด้วยกัน แต่ที่ผ่านมาทั้งหมดมันไม่ใช่เลย

ท่านควรได้ยินเสียงความทุกข์จากประชาชนให้ชัด ๆ สองรูหูของพวกท่านบ้าง ซึ่งมาถึงวันนี้เราได้ยินเสียงที่ดังขึ้นเรื่อย ๆ แทรกจากเสียงโอดครวญจากความเจ็บปวดท้อใจ นั่นคือเสียงที่บอกว่า "ไม่ไหวก็ออกไปเถอะครับ"

ถ้าพวกท่านไม่เต็มที่ก็ควรออกไป ถ้าเต็มที่แล้วได้แค่นี้ก็ควรออกไปเช่นกัน ไม่ใช่จะไม่เห็นใจ แต่ท่านไม่เห็นใจประชาชนก่อน ไม่เคยแสดงให้เห็นว่าร่วมทุกข์ร่วมสุกกันหรือคิดถึงประชาชนเป็นหลัก เสียงหัวเราะท่ามกลางทุกข์ร้อนของประชาชนเป็นเครื่องยืนยันสิ่งนี้ การประกาศตอนเที่ยงคืนยิ่งตอกย้ำ

ประชาชนทำเต็มที่แล้ว เราต้องการผู้นำที่มีหัวจิตหัวใจเรามากกว่านี้ มีศักยภาพกว่านี้ ไม่งั้นเราจะตายกันหมดจริง ๆ ไม่เฉพาะจากโรคระบาด แต่จากความท้อใจ สิ้นหวัง หมดแรง ที่จะต้องเผชิญความไม่แน่นอนซ้อนความไม่แน่นอนที่เกิดขึ้นจากการบริหารจัดการที่ไร้ประสิทธิภาพ

ได้ยินเสียงร้องไห้ของประชาชนบ้างไหมครับ หรือเสียงหัวเราะของคนรอบตัวของท่านมันดังกลบไปหมดแล้ว???

#ลาออกไปเถอะครับ

ที่มา : เพจเฟซบุ๊ค Roundfinger

#UDDnews #ยูดีดีนิวส์

วันเสาร์ที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2564

ธิดา ถาวรเศรษฐ : ผลการโหวตแก้รธน. บอกอะไรกับสังคมไทย!

วันพฤหัสบดีที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2564

วิปฝ่ายค้านส่งตัวแทนรับหมุดราษฎรขนาดยักษ์และรัฐธรรมนูญฉบับ 2475 จากผู้ชุมนุมกลุ่มราษฎร ก่อนตัวแทนราษฎร เข้าหารือวิปรัฐบาล-วิปฝ่ายค้าน

 


วิปฝ่ายค้านส่งตัวแทนรับหมุดราษฎรขนาดยักษ์และรัฐธรรมนูญฉบับ 2475 จากผู้ชุมนุมกลุ่มราษฎร ก่อนตัวแทนราษฎร เข้าหารือวิปรัฐบาล-วิปฝ่ายค้าน


วันนี้ (24 มิ.ย. 64) ภายหลังจากกลุ่มราษฎร เดินขบวนจากอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย มายังรัฐสภา เกียกกาย เพื่อย้ำจุดยืนว่า รัฐธรรมนูญต้องมาจากประชาชน ไม่เอากลไก 250 ส.ว. โดยเดินเท้าตั้งแต่เวลาประมาณ 10.35 น. ก่อนถึงรัฐสภา เกียกกาย ในเวลาประมาณ 13.40 น. นั้น


ต่อมาในเวลา 14.00 น. ตัวแทนราษฎร อ่านจดหมายเปิดผนึกของราษฎร โดยมีใจความว่า รัฐธรรมนูญเผด็จการจงพินาศ รัฐธรรมนูญประชาราษฎร์จงเจริญ เนื่องในวันนี้ครบรอบ 89 ปี เปลี่ยนแปลงการปกครอง ถือเป็นการเปลี่ยนสถานะ จากไพร่ ทาส ด้วยประเด็นสำคัญของราษฎรที่ได้เกิดขึ้น ราษฎรจึงยื่นหนังสือฉบับนี้ เพื่อสืบสาน รักษา ที่ว่า อำนาจสูงสุดเป็นของประชาชน ต้องจัดทำให้ราษฎรมีอำนาจสูงสุด


จากนั้น นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ตัวแทนวิปฝ่ายค้านจากพรรคเพื่อไทย พร้อมชัยธวัช ตุลาธน เบญจา แสงจันทร์ รังสิมันต์ โรม และคณะ ส.ส. พรรคก้าวไกล มารับหมุดราษฎรขนาดยักษ์และรัฐธรรมนูญฉบับ 2475 จากผู้ชุมนุมกลุ่มราษฎร 


นพ. ชลน่าน เป็นตัวแทนฝ่ายค้าน กล่าวกับกลุ่มผู้ชุมนุมที่มายื่นหนังสือที่รัฐสภาวันนี้ว่า ขั้นตอนหลังจากนี้ จะมีตัวแทนกลุ่มราษฎร 5 คน ซึ่งได้แก่นายพริษฐ์ ชิวารักษ์ หรือเพนกวิน, น.ส.ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล หรือ รุ้ง, นายจตุภัทร์ บุญภัทรรักษา หรือไผ่ ดาวดิน และนายภาณุพงศ์ จาดนอก หรือไมค์ ระยอง รวมถึงตัวแทนสื่อจากราษฎร


เข้าไปในสภาเพื่อพูดคุยกับตัวแทน ส.ส. ทั้งฝ่ายค้านหรือรัฐบาลในรายละเอียดว่า ข้อเรียกร้อง 3 ข้อ ที่ต้องการรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ที่ได้จาก สสร. ที่มาจากประชาชนเปนผู้ยกร่าง ตัดการสืบทอดอำนาจ และเป็นรัฐธรรมนูญที่ทำได้ทุกอย่าง


นพ.ชลน่าน กล่าวต่อไปว่า ในฐานะตัวแทนประธานวิปฝ่ายค้าน ดร.สุทิน คลังแสง จะไปหารือต่อไป หลังจากนี้ ต้องรอกฎหมายประชามติบังคับใช้ ถ้าร่างคณะราษฎรเข้าชื่อ 50,000 ชื่อได้ ก็จะเข้าสู่สภา บรรจุเข้าสู่ระเบียบการประชุม ถ้าต้องการยกร่างใหม่ เป็นไปได้ว่า ทั้ง 130 ร่างทราบข่าวว่า จะผ่านบางร่างเท่านั้น ขั้นตอนนี้จะสามารถยื่นทำประชามติ ร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ได้ แต่ก่อนนี้ก็ต้องแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2560 ก่อน คือความจำเป็นที่สมาชิกรัฐสภาต้องทำอย่างนี้ตามขั้นตอนทั่วไป


ขณะที่ นายชัยธวัช ตุลาธน เลขาธิการพรรคก้าวไกล กล่าวว่า ตนเห็นหมุดจำลองขนาดใหญ่ทางขวามือของเวที ทำให้มีความคิด ความฝันอย่างหนึ่งขึ้นมาว่า จริง ๆ แล้วรัฐสภาประเทศเรา วันหนึ่งข้างหน้าเมื่อเรามีประชาธิปไตยสมบูรณ์ หมุดคณะราษฎรจะต้องมาปรากฏอยู่ ณ หน้ารัฐสภาของประชาชน


คำประกาศคณะราษฎรในการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ควรบรรจุในหนังสือเรียนทุกเล่ม ควรจะล้อมกรอบ เป็นคำประกาศที่สำคัญที่สุด อยู่ในรัฐสภาเช่นกัน นี่คือความฝันที่เราเห็นร่วมกัน


เฉพาะหน้าวันนี้ อยากให้พี่น้องราษฎร ร่วมกันจับตาการโหวต ว่าสุดท้ายการปิดสวิตซ์ ส.ว. จะสำเร็จหรือไม่ ก้าวไกลมองว่า หากแก้อะไรก็แล้วแต่ ไม่ปิดสวิตช์ ส.ว. นี่คือละครปาหี่ขนานใหญ่ ตบตาประชาชน และเส้นทางสร้างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ผมเห็นด้วยและจะรับข้อเสนอทั้งหมด ต้องผลักดัน กระทั่งกดดันรัฐบาล กดดันรัฐสภา ถ้าประชามติผ่าน ส.ส.ร.ต้องไม่จำกัดอำนาจประชาชน ที่ห้ามตัดหมวดนั้น หมวดนี้ เรายืนยันตรงนี้ เพราะเราเชื่อว่าถ้าเวที ส.ส.ร.ไม่เป็นพื้นที่ให้ประชาชนทุกกลุ่มให้ได้เข้าไปถกเถียง จะไม่สามารถสร้างฉันทามติใหม่ให้สังคมได้ขอบคุณที่มาตรงนี้ และทำให้วันที่ 24 มิถุนายน มีความหมาย นายชัยธวัชกล่าว


ต่อมา 14.25 น.นายสิระ เจนจาคะ ในฐานะส.ส.ฝ่ายรัฐบาลออกมารับจดหมายจากราษฎร โดยมีนายพริษฐ์ เป็นตัวแทนมอบรัฐธรรมนูญฉบับแรกแก่นายสิระ โดยกล่าว "วันนี้เป็นครบรอบปีที่ 89 ของการก่อกำเนิดรัฐธรรมนูญและประชาธิปไตย หนังสือฉบับนี้คือรัฐธรรมนูญฉบับแรกที่ถือเป็นเจตนารมณ์" แต่พูดไม่ทันจบ เสียงมวลชนโห่ร้องไล่สิระดังกลบ พริษฐ์จึงขอร้องมวลชนให้อยู่ในความสงบเพื่อให้ตัวแทนยื่นหนังสือให้เรียบร้อยก่อน


ต่อมา นายจตุภัทร์ เป็นผู้อ่านจดหมายเปิดผนึกถึงสมาชิกรัฐสภา แสดงจุดยืนว่า รัฐธรรมนูญเป็นของประชาชน การแก้ไขหรือร่างรัฐธรรมนูญจะต้องกระทำผ่านส.ส.ร. ที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนทั้งหมด, รัฐธรรมนูญจะต้องไม่เป็นเครื่องมือสืบทอดอำนาจของเผด็จการประยุทธ์และคณะ และการแก้ไขรัฐธรรมนูญขึ้นใหม่จะต้องร่างได้ทุกหมวดทุกมาตรา ไม่มีข้อยกเว้น


14.40 น. ตัวแทนราษฎรเข้าไปยื่นจดหมายเปิดผนึกภายในรัฐสภา


กระทั่งเวลา เวลา 16.10 น. ตัวแทนแกนนำราษฎร ได้แก่   ออกมาจากรัฐสภา ภายหลังพูดคุยแล้วเสร็จ


นายจตุภัทรกล่าวว่า เราเป็นตัวแทนเข้าไปพูดข้างในถึงหลักการรัฐธรรมนูญของประชาชน ที่ต้องมาจาก ส.ส.ร.และควรแก้ได้ทุกหมวด ทุกมาตรา เบื้องต้น พรรคการเมืองรับหลักการจะนำไปปฏิบัติ


"สิ่งที่เราทำวันนี้ ตั้งแต่ย่ำรุ่ง และเดินมารัฐสภา เสียงพวกเราได้ถูกรับฟังแล้ว ฉะนั้น ส.ว.ออกไป" นายจตุภัทรกล่าว


จากนั้น ประชาชนร่วมกันตะโกน “ส.ว. 250 ออกไป”


ต่อมานายจตุรภัทรกล่าว ขอบคุณทุกคนที่มายืนยันหลักการนี้ เดินเหนื่อยมาด้วยกัน แต่กิจกรรมยังไม่จบ 17.00 น. ใครยังมีพลังเหลือ ไปที่สกายวอล์ก แยกปทุมวัน วันนี้เป็นบรรยากาศที่ดีมาก ในการกลับมาของพวกเรา ขอให้บรรยากาศการต่อสู้เป็นไปอย่างสันติ ดูแลกันอย่างนี้ โดยเราจะมีการ์ดวีโว่คอยส่งพี่น้องจนคนสุดท้าย


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #89ปี2475 #ราษฎรยืนยันดันเพดาน #ม็อบ24มิถุนา


ประมวลภาพ