‘จุลพันธ์’
ลั่น รัฐบาลดัน One
Stop Service ด่านศุลกากร อำนวยความสะดวกประชาชน-เชื่อมตลาด
‘ลาว-จีน’ พร้อมขยายสิทธิพิเศษทางภาษี
วันที่
25 ตุลาคม 2567 นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง
กล่าวถึงการลงพื้นที่เปิดศูนย์บริการค้าชายแดนแบบเบ็ดเสร็จจุดเดียว (One
Stop Service: OSS) ที่จังหวัดหนองคาย โดยระบุว่า
ศูนย์บริการค้าชายแดนแบบเบ็ดเสร็จฯ นี้ มีแนวทางการพัฒนาทั้งสิ้น 3
แนวทางสำคัญที่จะช่วยลดขั้นตอนการขออนุญาตส่งออกสินค้าที่เคยซับซ้อนและใช้เวลานาน
เพื่อให้ประชาชนได้รับสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น
โดยมีรายละเอียดการพัฒนาดังนี้
แนวทางที่
1) คือการพัฒนาระบบการขออนุญาตส่งออกสินค้า
โดยจะเปิดทางให้การขออนุญาตทำได้ผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ช่องทางเดียว (Single
Submission) โดยระบบจะมีการจัดทำ Single Form ร่วมกันเพื่อลดภาระผู้ประกอบการ
ใช้การเชื่อมโยงข้อมูลการอนุญาตของแต่ละหน่วยงานเพื่อประสิทธิภาพในการปฏิบัติ
พร้อมทั้งจะจัดเตรียมรายการข้อมูลเพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้ประกอบการให้ทราบว่ามีหน่วยงานใดพร้อมให้ติดต่อสอบถาม
แนวทางที่
2) คือการพัฒนาระบบการตรวจสอบสินค้าส่งออก
โดยศูนย์บริการค้าชายแดนแบบเบ็ดเสร็จฯ จะจัดทำมาตรฐาน Green Line ของทุกหน่วยงานให้มีความสอดคล้องกันและให้ทุกหน่วยงานมอบอำนาจให้กรมศุลกากรเป็นผู้ตรวจสอบแทน
เพื่อลดภาระในการตรวจสอบ
ขณะที่แนวทางที่
3) คือการพัฒนาระบบการตรวจปล่อยสินค้า ซึ่งจะนำเอาเทคโนโลยี CCTV มาใช้ในการตรวจสอบพาหนะขนส่ง ทะเบียนรถ และอื่นๆ
นายจุลพันธ์ระบุต่อว่า
รัฐบาลได้เตรียมระบบ Thailand
Trade Journey ที่พัฒนาไว้เพื่อช่วยเหลือและอำนวยความสะดวกแก่ผู้ประกอบธุรกิจด้านการนำเข้า
ส่งออก ตั้งแต่การขออนุญาตไปจนกระทั้งกระบวนการผ่านแดน ทั้งนี้
ประชาชนผู้ประกอบธุรกิจจะได้รับความสะดวกทั้งในเชิงข้อมูลด้านการนำเข้าส่งออก
ตลอดจนช่องทางติดต่อกับระบบสารสนเทศของหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องกับการขอใบอนุญาต/ใบรับรองอิเล็กทรอนิกส์
โดยผู้ประกอบการสามารถนำไปใช้ผ่านพิธีการศุลกากรแบบอิเล็กทรอนิกส์ได้ทันที
พร้อมตรวจสอบรายการสินค้าที่ถูกควบคุมโดยรัฐได้อย่างสะดวกรวดเร็ว นอกจากนี้ Thailand
Trade Journey ยังรวบรวมข้อมูลสิทธิประโยชน์ด้านภาษีอากรให้ผู้ประกอบการได้เข้าถึง
โดยเชื่อว่าการพัฒนานี้จะเอื้อให้ผู้ประกอบธุรกิจนำเข้าและส่งออกทั้งรายเก่าและใหม่ดำเนินกิจการได้อย่างคล่องตัวทั้งระบบ
นำไปสู่การส่งเสริมศักยภาพการส่งออกสินค้าของไทยให้เติบโตแบบก้าวกระโดด โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาร่วมกับข้อมูลจากกรมการค้าต่างประเทศ
ที่ระบุว่าช่วง 6 เดือนแรกของปี 2567
นั้นมูลค่าการค้าที่ผ่านยังประเทศจีนมีมูลค่าสูงสุดอยู่ที่ถึง 244,175 ล้านบาท เป็นสัญญาณว่าตลาดส่งออกหลักของไทยกำลังฟื้นตัว
ขณะที่เศรษฐกิจโลกจะได้รับปัจจัยบวกจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีนจากการส่งออกที่ขยายตัวด้วยเช่นกัน
มองว่าการส่งออกสินค้าไปยัง สปป.ลาว
เปรียบได้กับการเปิดประตูบานแรกเพื่อนำพืชผลทางการเกษตรและผลิตภัณฑ์ต่างๆ
ของไทยไปสู่ตลาดประเทศจีนและภูมิภาคเอเชียตะวันออกได้อย่างเต็มศักยภาพ
นายจุลพันธ์กล่าวอีกว่า นโยบายข้างต้นริเริ่มโดยนายเศรษฐา ทวีสิน อดีตนายกรัฐมนตรี ที่มีวิสัยทัศน์ว่าการพัฒนาระบบโลจิสติกส์ให้มีประสิทธิภาพและอำนวยความสะดวกทุกมิติที่เกี่ยวกับการติดต่อขอนำเข้า-ส่งออกสินค้าจะส่งเสริมความสามารถในการเติบโตของประชาชนในภาคการเกษตรและผู้ประกอบกิจการไทยผ่านการวางรากฐานเศรษฐกิจดิจิทัลให้แก่ประชาชนอย่างที่ไม่เคยปรากฏ รัฐบาลเพื่อไทย ใต้การนำของนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี จึงมีความมุ่งมาดที่จะผลักดันนโยบายดังกล่าวให้เกิดขึ้นจริงได้ภายใน 1 ปี เพื่อเป็นการนำร่องก่อนเดินหน้าพัฒนาด่านศุลกากรในจังหวัดชายแดนภูมิภาคอื่น ๆ อีก 7 จังหวัดต่อไป