วันพุธที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2567

“หมอเหวง” บอก “ณัฐวุฒิ” แก่นของมนุษย์มีเรื่องเดียว คือความจริงใจต่อตัวเอง ถ้ามนุษย์ไม่มีความจริงใจต่อตัวเอง จบ!!!

 


“หมอเหวง” บอก “เต้น” แก่นของมนุษย์มีเรื่องเดียว คือความจริงใจต่อตัวเอง ถ้ามนุษย์ไม่มีความจริงใจต่อตัวเอง จบ!!!


จากรายการ สภาภาษาคน EP48

ตอน “เต้นกลับลำ”

ทางช่อง Friends talk

เมื่อวันที่ 8 ต.ค. 67


ความรู้สึกที่ได้ชม “ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ” ออกรายการ กรรมกรข่าวคุยนอกจอ ของ สรยุทธ สุทัศนะจินดา เมื่อเช้า (8 ต.ค. 67)


เมื่อเช้านี้ต้องเรียนตรง ๆ ว่าผมตรวจคนไข้อยู่ เพราะฉะนั้นผมมีโอกาสดูนิดหน่อย แวบเดียว แต่แวบเดียวนั้นมันแทงหัวใจผมอย่างรุนแรงเลย หลังจากนั้นเป็นต้นมาผมก็พยายามหาเวลาว่างอ่านที่สื่อเขาลงเกี่ยวกับคำให้สัมภาษณ์ของคุณณัฐวุฒิผ่านรายการของสรยุทธ ผมจับเนื้อหาใหญ่ ๆ ได้แค่ 3 เนื้อหาเท่านั้นเอง ซึ่งอาจจะมีเนื้อหามากกว่านั้นเยอะ


เรื่องแรกที่แทงใจดำผมเลยก็คือว่า สรยุทธเขาถามว่า แล้วคุณจะมองคนอื่นยังไง? คุณณัฐวุฒิเขาตอบ ซึ่งเป็นการตอบของนักโต้วาที นักวาทะศิลป์ เขาต้องพยายามที่จะตอบในลักษณะที่โน้มน้าวจูงใจผู้คนให้เห็นวาเขาเด่น เก่ง ยอดเยี่ยม มีอุดมการณ์ เขาบอกว่าตอนตื่นเช้าเลยเขาต้องจ้องกระจกก่อน ถ้าหากว่าเขาสามารถจ้องตาในกระจกได้ เขาก็สามารถที่จะไปจ้องตาคนอื่นได้ ใช่ครับ คุณเต้นครับ คุณลืมแล้วหรือว่าแก่นของมนุษย์มีเรื่องเดียวนะ ก็คือความจริงใจต่อตัวเอง ถ้ามนุษย์ไม่มีความจริงใจต่อตัวเอง จบ!!!


ผมถามว่าแล้ววันนั้นคุณไปปราศรัย “ไล่หนูตีงูเห่า” หมายความว่าไงครับ? แปลว่าสิ่งที่คุณพูดเป็นละครเหรอ? เป็นสิ่งที่โกหกพกลมเหรอ? ผมว่าเรื่องนี้สำหรับผมนะ คุณเต้นจะคิดยังไงผมไม่รู้? สำหรับผม ประชาชนเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวทีเลือกตั้งเป็นเวทีที่คุณจะต้องให้สัญญาประชาคมกับประชาชนว่า ภายหลังจากการเลือกตั้งทำไมจะต้องเลือกคุณ เพราะว่าคุณมีสัญญาประชาคมนี้ เลือกคุณแล้วจากนั้นคุณต้องเอาสัญญาประชาคมมาทำ “ไล่หนูตีงูเห่า” อยู่ที่ไหนครับคุณเต้นครับ เวลาคุณจ้องนัยน์ตาของคุณในกระจก คุณเห็นมั้ย คำพูดของคุณ “ไล่หนูตีงูเห่า”


และไม่เพียงแต่ “ไล่หนูตีงูเห่า” นะ คำอภิปรายที่เขาสับโขลก ประวิตร วงษ์สุวรรณ กับ ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผมไม่ได้ชอบสองคนนี้นะ แต่ผมก็ตามการปราศรัยของเขามาหลาย ๆ ครั้งเหมือนกัน ในคำปราศรัยของเขาต้องยอมรับว่าคุณณัฐวุฒิเป็นคนที่มีการปราศรัยเก่งมาก ในการปราศรัยหลาย ๆ ครั้งมีคนชมเป็นล้าน อย่างน้อยที่สุดที่ผมติดตามดูน่าจะระดับ 10 ครั้ง เขาเอาประวิตร วงษ์สุวรรณ กับ ประยุทธ์ จันทร์โอชา มาล้อเลียน เยาะเย้ย เสียดสี ถากถาง ราวกับว่าไม่ใช่คนเลย กลับไปดูซิครับ แล้วคุณณัฐวุฒิครับ คุณลืมแล้วหรือสิ่งที่คุณปราศรัยหลาย 10 เวทีที่คุณพูดถึงประยุทธ์-ประวิตร คุณลืมแล้วหรือ คุณมีความจริงใจต่อตัวคุณเองหรือเปล่า อย่าไปพูดถึงความจริงใจต่อประชาชนเลย


ข้อแรกผมไม่เข้าใจว่าคุณจริงใจต่อตัวคุณเองหรือเปล่า ถ้าให้ผมตอบนะ ถ้าผมเป็นครูหรือเป็นคนที่ตอบนะ ผมว่าคุณไม่จริงใจต่อตัวคุณเองหรอก เพราะคุณบอกว่า “ไล่หนูตีงูเห่า” แล้ววันนี้คุณยังไปจับมือนั่งใกล้ชิดกับคุณอนุทิน แล้วไปทำงานร่วมกับพวกนี้ ถึงจะไม่มีคุณประยุทธ์อยู่ ไม่มีคุณประวิตรอยู่ แต่พวกนี้เป็นเงาทาบอยู่ตลอดเวลา พลังประชารัฐหรือรวมไทยสร้างชาติก็ดี มันทอดเงามีเงาทับของประยุทธ์ จันทร์โอชา กับมีเงาทับของประวิตร วงษ์สุวรรณ แล้วอยู่ตรงไหนครับที่คุณปราศรัยในลักษณะที่ด้อยค่าเขาแทบจะไม่ใช่เป็นมนุษย์เลย แล้วคุณจริงใจกับคำปราศรัยคุณหรือเปล่า? วันที่คุณพูดกับประชาชน ถ้าคุณไม่จริงใจกับคำปราศรัยของคุณ แปลว่าคุณไม่จริงใจต่อตัวคุณเอง คุณทำทีเป็นพูดหรูเลยนะ คือเขามีความสามารถในการใช้ภาษาหรู เพราะว่าเขาผ่านจากการเคี่ยวกรำในเวทีโต้วาทีมัธยมมา เขาสามารถที่จะคิด ทำยังไงพูดให้หล่อ พูดให้หรู


“ผมจ้องตาผมในกระจกได้ ผมก็จ้องตาคนทั่วทั้งประเทศได้” คุณจำได้หรือเปล่าว่าคุณไป “ไล่หนูตีงูเห่า” แล้ววันนี้คุณไล่หนูมั้ย? คุณตีงูเห่ามั้ย? วันนี้คุณจริงใจกับตัวคุณเองหรือเปล่า ผมว่ามันไม่ถูกครับ ผมไม่เห็นด้วยครับ ผมว่ามนุษย์นะสิ่งแรกสุดคุณต้องจริงใจต่อตัวเอง นี่คือข้อที่ 1


ประเด็นที่ 2 คุณบอกว่าคุณยอมกลืนน้ำลาย ยอมกลืนเลือด ฟังดูแล้วมันหรูหรามากเลย เป็นคนเสียสละมหาศาลมากเลยนะ ความขมขื่นทั้งมวลในโลกพร้อมที่จะกลืนไปในร่างกายของฉันเพื่อทำประโยชน์ให้กับสังคม ดูราวกับตัวคุณณัฐวุฒิเป็นพระเยซู ยอมตรึงกางเขนเพื่อล้างบาปคนทั้งโลก


ไม่ใช่เลยครับ มันไม่ใช่กลืนน้ำลาย คือคุณหาช่องทางที่จะกลับมาเป็นนักการเมืองเท่านั้นเอง หาช่องทางที่จะกลับมาทำงานในพรรคเพื่อไทยเท่านั้นเอง ที่คุณบอกว่าคุณกลืนน้ำลาย กลืนเลือด เพื่อให้เป็นประโยชน์ คือสิ่งที่คุณณัฐวุฒิพูดกับคุณสรยุทธในวันนี้นะ ผมไม่เห็นประชาชนอยู่ในคำพูดของเขา ไม่มีวิญญาณของประชาชนอยู่ในการสนทนานั้นเลย คุณกลืนน้ำลายกลืนเลือด กลืนอะไรครับ คือกลืนน้ำลายเหม็น ๆ ของคุณใช่มั้ยที่คุณพูดออกไป กลืนเลือด คือความขมขื่น ความขมขื่นอยู่ตรงไหนครับ ผมไม่เห็นความขมขื่นอะไรเลย วันนี้พรรคเพื่อไทยก็ไม่มีความขมขื่นอะไร พรรคเพื่อไทยสมปรารถนาแล้วในการที่ย้ายข้างสลับขั้ว ข้ามขั้วตระบัดสัตย์ สำหรับผม ผมพูดไปหลายครั้งแล้ว ผมก็ยังยืนยันว่าขณะนี้พรรคเพื่อไทยได้เปลี่ยนสีแปรธาตุเป็นพรรคขวาไปแล้ว นี่คือเรื่องที่ 2


เรื่องที่ 3 ที่เขาบอกว่า การเมืองเป็นเรื่องของการจัดสรรอำนาจ ถูกต้องครับ ผมเห็นด้วยกับคุณเลย แต่สำหรับประชาชนและนักสู้ของประชาชน การจัดสรรอำนาจก็คือหมายความว่าประชาชนต้องแย่งยึดอำนาจมาจากพวกที่ปล้นอำนาจของประชาชนไทยไป พวกที่ปล้นอำนาจของประชาชนไทยไปคือคณะรัฐประหารไงครับ ขณะนี้พรรคเพื่อไทยก็ไปร่วมมือกับพวกพรรคของคณะรัฐประหาร มันไม่ใช่เรื่องการจัดสรรอำนาจเลย คือคุณกำลังเดินเข้าไปสู่ขั้วที่ปล้นอำนาจจากประชาชนไป แล้วคุณก็ผสมกลมกลืนกับพวกเขา


เพราะฉะนั้น ไม่ใช่เรื่องการจัดสรรอำนาจ คุณอย่าไปอธิบายอย่างนี้เลยว่า “เป็นเรื่องของการจัดสรรอำนาจ เวลานี้ไม่สามารถทำอะไรได้มากกว่าสถานการณ์ที่เป็นจริง” สถานการณ์ที่เป็นจริงวันนี้ก็คือ ฝ่ายหนึ่งเป็นฝ่ายที่ไปผสมโรงกับฝ่ายขวาจัด อีกฝ่ายหนึ่งพยายามที่จะยืนหยัดอุดมการณ์ประชาธิปไตยประชาชนในทุกเรื่อง ผมไม่ได้เป็นสมาชิกของพรรคการเมืองพรรคไหน ผมไม่ได้ไปคลั่งไคล้พรรคการเมืองพรรคใดพรรคหนึ่งเป็นการเฉพาะ แต่ผมยึดหลักอุดมการณ์ ก็คือประชาชนต้องเป็นใหญ่ในแผ่นดิน อำนาจสูงสุดของประเทศนี้ต้องเป็นของประชาชนทั้งหลาย ไม่ใช่เป็นของคณะรัฐประหารที่ยึดอำนาจ


ที่คุณพูดเท่ากับสะท้อนออกเหมือนกันนะ พยายามพูดดูหรู การเมืองในขณะนี้คือการจัดสรรอำนาจ จัดสรรอำนาจระหว่างใครกับใคร? มันไม่มีแล้ว มันเป็นเรื่องที่พวกยึดอำนาจพยายามหาวิธีการในการสถาปนาอำนาจตัวเองให้แข็งแรงขึ้นโดยสมรู้ร่วมคิดกับพรรคเพื่อไทย คุณก็รู้อยู่แล้ว มันไม่เรื่องการจัดสรรอำนาจ เป็นเรื่องที่คุณตัดสินใจที่จะเดินเข้าไปร่วมกับพรรคขวาในการที่จะแชร์อำนาจกัน


ส่วนคำถามที่ว่า “เซอร์ไพรส์” มั้ย? 


ไม่ครับ ไม่เลยครับ เพราะว่าตั้งแต่ผมเข้าทำงานกับแนวร่วมต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ ด้านบวกเขามีนะ คือความสามารถในการปราศรัยเขาสูงมาก และความสามารถในการที่จะเอากำลังภายใน เอานวนิยายที่เป็นที่ชื่นชอบของคนไทย ไม่ว่าจะเป็น ไม้เมืองเดิม, ขุนศึก รวมไปถึงสามก๊ก, รามเกียรติ์ มาเป็นประโยชน์ในการปราศรัย ในตอนนั้นเนื่องจากมันชัดเจนมากคือเราต่อต้านเผด็จการที่ยึดอำนาจ ทำให้ลีลา โวหาร ที่เอามาใช้เป็นประโยชน์ในการเมือง ก็เลยทำให้เขาเป็นที่นิยมชมชอบของพี่น้องประชาชนทั้งประเทศ


แต่ผมเรียนก่อนนะครับ วาทะศิลป์เป็นเรื่องที่ดี แต่ประเด็นมันอยู่ที่คุณใช้วาทะศิลป์เพื่ออะไร? เพื่อใคร? เพราะวันนั้นคุณใช้วาทะศิลป์เพื่อเป็นประโยชน์ต่อการต่อสู้กับพวกเผด็จการ เป็นเรื่องที่ดี แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่คุณนำวาทะศิลป์ไปใช้ประโยชน์ในฝ่ายตรงข้ามประชาชน ทันทีนั้นเองวาทศิลป์นั้นก็จะเป็นหอกมาทิ่มแทงคุณเอง ผมพูดความที่ตั้งใจอยากจะให้ข้อคิดนะครับ หรือที่เรียกว่าให้บทศึกษาก็ได้ รวมทั้งท่านผู้ชมทั้งหลายที่อาจจะไม่เห็นด้วยกับผมก็ได้


ที่ผมไม่แปลกใจ เพราะระหว่างที่ผมไปเป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทยในระยะหนึ่ง กิจกรรมที่เป็นประโยชน์กับประชาชนผมไม่เคยเห็นเขามีปฏิกิริยาในด้านบวกออกมาเลยนะครับ อย่างเช่นมีความพยายามที่จะแก้มาตรา 112 โดย อ.วรเจตน์ (ในยุคนั้น) นิ่งเงียบ ก็คือสมัยสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ซึ่งปัดตกไปเลย ข้อต่อมา อ.ธิดา อุตส่าห์เดินทางไปเจนีวา ไปพบกับ ICC ผู้ตัดสินใจระดับสูง กระทั่งอัยการสูงสุด ICC เขามานั่งฟัง 3-4 ชั่วโมง ไปพร้อมกับ โรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัม, อ.ธงชัย วินิจจะกูล ผมกับแม่น้องเกดด้วย ในที่สุด ICC ก็บอกว่าเรื่องของพวกคุณทั้งหมดพวกเขารู้แล้ว เรื่องนี้เป็นเรื่องสงครามทำลายล้างมนุษยชาติครบถ้วนเลย คือทำอย่างกว้างขวาง ทำอย่างมีการวางแผนการ และมีการฆ่าคนจำนวนมาก ครบถ้วนตามองค์ประกอบของเขา ทาง ICC บอกว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ ต้องเอาผิดเป็นคณะ จะต้องเอาทั้งคณะคือ ศอฉ. รวมทั้งคณะรัฐมนตรีสมัยรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ฉะนั้นจำเป็นจะต้องลงนามรับรองเขตอำนาจศาลเฉพาะกรณีเมษา-พฤษภา ปี 53 อ.ธิดาอุตส่าห์เชิญ “ฟาตู เบนซูดา” เขามาเมืองไทย ตั้งใจให้เบนวูดามาอธิบายโดยตรงว่าไม่ได้มีปัญหาอะไรเลย เพราะเป็นการรับรองเขตอำนาจศาล เฉพาะกรณีเมษา-พฤษภา 53 นิ่งครับ! กลับมาถึงนิ่งเลย คุณณัฐวุฒิตอนนั้นเป็นรัฐมนตรีด้วยนะ นิ่งเลยนะ ไม่ได้มีปฏิกิริยาตอบโต้ในเรื่องนี้อะไรเลย มีแต่เฉพาะเรื่องสุดซอย


ตอนนั้นเขาแถลงจุดยืนไม่เห็นด้วยกับสุดซอย แต่ผมผิดหวังมากเลย ผมเจ็บปวดรวดร้าวจนถึงขณะนี้ วันนั้นกลายเป็นว่านายกฯ ยิ่งลักษณ์ และใครอีกผมจำไม่ได้แล้ว มาจูงมือเขาไปข้างหน้าห้องแล้วบอกว่าให้อภัยพรรคเพื่อไทย (อ.ธิดา เสริมว่า อันนั้นมันหลังจากมีปัญหามากแล้ว จนกระทั่งมีคนออกมามากมาย มีการประท้วงของกปปส.มาก เขาก็เลยมาพูด) ผมเพียงแต่ยกบางตัวอย่างนะ ถ้าหากว่าคุณจริงใจต่อการต่อสู้เพื่ออำนาจสูงสุดเป็นของประชาชนอย่างแท้จริง ในช่วงเวลาที่คุณมีบทบาทได้อย่างเต็มที่ แต่คุณไม่ทำเลย มันแสดงว่าคุณไม่จริงใจในการต่อสู้เพื่อให้ได้อำนาจสูงสุด (อ.ธิดา เสริมว่า แต่นิรโทษสุดซอยเขาก็มาร่วม แต่เรื่องอื่นมันก็อีกเรื่องหนึ่ง)


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #ณัฐวุฒิใสยเกื้อ #เพื่อไทย