วันจันทร์ที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2567

“สุรเชษฐ์” ชวนจับตาโหวตร่าง พ.ร.บ.รางฯ วันพุธนี้ คาดร่างเพื่อไทยน่าจะถอย เปิดทางร่าง ครม.เข้าแทน หลังถูกจับโป๊ะแอบแก้-ตัดหลายมาตราเอื้อประโยชน์นายทุน แนะใช้ร่างของ ปชน.ประชาชนได้ประโยชน์เต็ม ๆ ไม่ต้องเสียเวลา 3 ปี แบบเปล่าประโยชน์

 


“สุรเชษฐ์” ชวนจับตาโหวตร่าง พ.ร.บ.รางฯ วันพุธนี้ คาดร่างเพื่อไทยน่าจะถอย เปิดทางร่าง ครม.เข้าแทน หลังถูกจับโป๊ะแอบแก้-ตัดหลายมาตราเอื้อประโยชน์นายทุน แนะใช้ร่างของ ปชน.ประชาชนได้ประโยชน์เต็ม ๆ ไม่ต้องเสียเวลา 3 ปี แบบเปล่าประโยชน์


วันที่ 28 ตุลาคม 2567 ที่อาคารอนาคตใหม่ สุรเชษฐ์ ประวีณวงศ์วุฒิ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน แถลงข่าว Policy Watch หัวข้อ “จับตาศึกชิงร่าง พ.ร.บ.ราง ร่างไหนได้ไปต่อ” ซึ่งเป็นความคืบหน้าการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.การขนส่งทางราง ที่จะมีการลงมติรับหลักการในการประชุมสภาผู้แทนราษฎรในวันพุธที่ 30 ตุลาคมนี้ โดยพิจารณาจาก 3 ร่างที่มีอยู่ คือ ร่างของคณะรัฐมนตรี, พรรคเพื่อไทย และพรรคประชาชน


สุรเชษฐ์ ระบุว่า พ.ร.บ.การขนส่งทางราง เป็น พ.ร.บ. ใหม่ เพื่อนำมาจัดสรรอำนาจให้กับกรมการขนส่งทางรางที่ตั้งขึ้นมาตั้งแต่ปี 2562 แต่ยังไม่มีอำนาจรองรับทางกฎหมาย ดังนั้นโครงร้างอำนาจจะเป็นอย่างไรก็ขึ้นอยู่กับ พ.ร.บ. ใหม่ฉบับนี้ โดยทั้ง 3 ร่างที่เป็นตัวเลือกประกอบด้วย 1) ร่างของคณะรัฐมนตรี ซึ่งเป็นร่างดั้งเดิมเสนอโดยคณะรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่ผ่านวาระแรกจนมีการตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญมาพิจารณา นำความเห็นของภาคการเมือง ภาคประชาชน และฝ่ายราชการมาพิจารณาจนถูกแปลงร่างมาเป็น “ร่างประนีประนอม”


ซึ่งวิปรัฐบาลและฝ่ายค้านในเวลานั้นต่างเห็นตรงกันและเตรียมผ่านเป็น พ.ร.บ. แล้ว แต่ดันเกิดศึกกัญชาขึ้นทำให้เสียเวลาสภาจนร่างดังกล่าวพิจารณาไม่ทันและตกไป ซึ่งตอนนี้คณะรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตร ได้ยื่นร่างที่มีเนื้อหาเดียวกันกับร่างของคณะรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ ที่ยังไม่มีการแก้ไขใด ๆ เข้ามาเหมือนเดิม จะเสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์ไปทำไม


นอกจากนี้ ยังมี 2) ร่างของพรรคเพื่อไทย ที่นำเสนอโดย มนพร เจริญศรี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม ซึ่งมีการนำร่างประนีประนอมไปยัดไส้นอกรอบ โดยร่างทรงของใครก็ไม่ทราบที่นำมาใส่มือให้มนพรเป็นคนยื่นเข้าสภาในฐานะร่างพรรคเพื่อไทย ซึ่งร่างนี้มีความอันตรายเป็นอย่างยิ่งหากจะนำมาใช้เป็นร่างหลัก และ 3) ร่างของพรรคประชาชนที่มีที่มาจากร่างประนีประนอมจากสภาชุดที่แล้ว เพียงแต่มีการแก้ไขใน 3 ประเด็น ตามรายงานการสงวนความเห็นที่มีการนำเสนออย่างเปิดเผยบนโต๊ะกรรมาธิการมาผนวกกัน


สุรเชษฐ์ กล่าวต่อไปว่า สิ่งที่อยากให้จับตาดูกัน คือ เมื่อ 2 สัปดาห์ก่อน วิปรัฐบาลได้พิจารณาเรื่องนี้และมีมติให้ใช้ร่างของพรรคเพื่อไทยเป็นร่างหลัก ทำให้เกิดคำถามว่า ร่างของพรรคเพื่อไทยไว้ใจได้หรือไม่ ตนจึงไปศึกษาเทียบกับร่างของคณะรัฐมนตรีและพรรคประชาชน จนพบว่า มีความน่ากังวลหลายประการ ต่อมาในการประชุมสภาผู้แทนราษฎรเมื่อวันที่ 16 ตุลาคม ทั้ง 3 ร่างได้ถูกนำเสนอและมีการอภิปรายกันอย่างกว้างขวาง 


ประเด็นคำถามสำคัญที่ตนได้ถามในวันนั้น คือ ใครเป็นคนส่งร่างให้มนพรมาแปะป้ายเป็นร่างของพรรคเพื่อไทย แต่มนพรก็ไม่ได้ตอบคำถามและไม่ได้ใช้สิทธิในการอภิปรายสรุปด้วย อย่างไรก็ตามสิ่งที่เกิดขึ้น คือประธานสภาได้ชิงปิดสภาก่อนที่จะมีการลงมติซึ่งปิดสภาเร็วกว่าปกติอย่างชัดเจน ทั้งที่ตามมติวิปก็มีวาระการประชุมอื่นที่รออยู่ โดยก่อนปิดสภาก็มีสัญญาณมาว่า อาจจะมีการล้มร่างทรงของใครก็ไม่ทราบนี้ หลังจากที่ได้มีการอภิปรายถึงความเป็นร่างทรง นับว่า เป็นสัญญาณเชิงบวกว่า มติวิปฯ อาจมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น เปลี่ยนจากร่างที่ไม่น่าไว้ใจของพรรคเพื่อไทย


สุรเชษฐ์ กล่าวต่อไปว่า อย่างไรก็ตาม พรรคประชาชนขอความกระจ่างว่า ใครเป็นคนยัดไส้ให้ท่านมนพร เพราะร่างของพรรคเพื่อไทยลดเงื่อนไขการคุ้มครองผู้ใช้บริการ เพิ่มประโยชน์ให้ผู้ประกอบการ และลดอำนาจรัฐในการเข้าตรวจสอบ มีเงื่อนงำที่น่าสนใจหลายประการ นำไปสู่การตัด 25 มาตรา และยัดเพิ่ม 6 มาตรา แอบแก้ไขเนื้อความในหลายมาตราที่ส่อไปในทางที่เอื้อประโยชน์ให้ผู้ประกอบการมากขึ้นเมื่อเทียบกับร่างประนีประนอมจากสภาชุดที่แล้ว เช่น


๐ ลดเงื่อนไขการคุ้มครองผู้ใช้บริการ โดยแอบตัดมาตรา 121 ให้ผู้ประกอบการไม่ต้องรับผิดชอบค่าเสียหายให้ผู้โดยสารหากเดินรถล่าช้าหรือยกเลิกการเดินรถ 

๐ เพิ่มประโยชน์ให้ผู้ประกอบการโดยแก้มาตรา 31 ส่งผลให้ผู้ประกอบการอาจสามารถเป็นเจ้าของรางได้ ทั้งที่กรรมสิทธิ์ในโครงสร้างพื้นฐานด้านรางควรต้องเป็นของรัฐ ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 56 

๐ เพิ่มประโยชน์ให้ผู้ประกอบการ โดยแก้ไขมาตรา 53 จากร่างประนีประนอม โดยแอบตัดข้อความใน (4) ที่เขียนไว้ว่า ผู้ประกอบการต้อง “จัดส่งรายงานการประกอบกิจการและงบกระแสเงินสดทุก 3 เดือนนับจากวันที่เริ่มประกอบกิจการ” ส่งผลให้ผู้ประกอบการไม่ต้องแสดงผลประกอบการ 

๐ แอบยัดวรรค 2 ลงไปในมาตรา 53 ว่า “ทั้งนี้ ในกรณีที่มีการกำหนดข้อกำหนดตามวรรค 1 (6) และการกำหนดหน้าที่อื่นตามวรรค 1 (7) ก่อให้เกิดภาระและผลกระทบต่อการประกอบธุรกิจของผู้ได้รับใบอนุญาต ให้กรมการขนส่งทางรางกำหนดการชดเชยและเยียวยาให้แก่ผู้ได้รับใบอนุญาตอย่างเป็นธรรมด้วย” ส่งผลให้รัฐขยับยากขึ้นในการพัฒนาหรือเปลี่ยนแปลงอะไร เพราะต้องระแวงกับเรื่องของการชดเชยนายทุนให้มากขึ้น 

๐ แอบตัดมาตรา 58 ทิ้งจากร่างประนีประนอม ที่เขียนไว้ว่า “ผู้ได้รับใบอนุญาตต้องส่งบัญชีแสดงฐานะทางการเงินและงบการเงินให้กับอธิบดีทราบ” เห็นได้ชัดว่า เป็นความอยากซ่อนตัวเลขผลประกอบการ และเห็นได้ชัดว่า ร่างทรงนี้ต้องมาจากผู้ประกอบการรายใหญ่อย่างแน่นอน ที่ต้องการซ่อนตัวเลขผลประกอบการ ซึ่งเป็นตัวเลขในรายละเอียดอย่างต้นทุนการเดินรถต่อผู้โดยสาร 1 คน ที่เป็นข้อมูลทางเทคนิคที่จำเป็นสำหรับรัฐในการพิจารณา โดยเฉพาะในการพิจารณาสัมปทาน

๐ ลดอำนาจรัฐในการเข้าไปตรวจสอบ โดยตัดมาตรา 87 จากร่างประนีประนอม ทำให้รัฐไปตรวจสอบเชิงเทคนิค (Accident Investigation) ได้ยากขึ้น เช่น กรณีรถไฟชนกัน หากไม่มีมาตรานี้ เอกชนสามารถไปแอบปกปิดทำลายหลักฐานบางอย่างก่อนรัฐเข้าไปตรวจสอบได้ง่าย


สุรเชษฐ์ กล่าวต่อไปว่า แม้ร่างดั้งเดิมของคณะรัฐมนตรีแพทองธาร ที่เหมือนกับร่างดั้งเดิมของคณะรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ จะไม่ได้เลวร้ายแบบร่างของพรรคเพื่อไทย แต่หากเริ่มจากร่างของพรรคประชาชนจะเป็นการเร็วกว่าและดีกว่า เพราะหากกลับไปใช้ร่างดั้งเดิมก็จะเท่ากับประเทศเสียเวลาไปฟรี 3 ปี เป็นการกลับไปเริ่มใหม่ที่จุดเดิม 


“คำถาม คือ แล้วทำไมไม่ใช้ร่างประนีประนอมที่ผ่านการพิจารณาจากตัวแทนของทุกพรรคการเมืองมาแล้ว อีกทั้งการกลับไปเริ่มต้นใหม่จากจุดเดิมมีความเสี่ยงที่จะถูกแปลงร่างให้ไปคล้ายกับร่างของพรรคเพื่อไทยซึ่งเป็นร่างทรงของใครก็ไม่ทราบ”


นอกจากนี้ร่างของพรรคประชาชนยังเหมาะสมกว่าที่จะเป็นร่างหลัก เพราะเป็นร่างที่มีพื้นฐานมาจากร่างที่ผ่านคณะกรรมาธิการวิสามัญจากสภาชุดที่แล้วมาแล้ว เป็นร่างประนีประนอมที่มีการพิจารณาอย่างรอบคอบว่า ควรให้อำนาจไปสู่กรมการขนส่งทางรางเท่าไหร่ รักษาสิทธิของประชาชน ไม่ได้เอาเปรียบผู้ประกอบการเกินไป รัฐมีอำนาจพอที่จะตรวจสอบ และยังมีการแสดงจุดยืนอย่างตรงไปตรงมาตามรายงานการสงวนความเห็นใน 3 ประเด็น คือ


1) แก้ปัญหาเชิงโครงสร้างอำนาจที่บิดเบี้ยวในมาตรา 5 โดยยืนยันว่ารัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมต้องเป็นประธาน ไม่ใช่นายกรัฐมนตรี เพราะไม่มีเหตุผลใดที่จะไปทำให้โครงสร้างอำนาจทางรางบิดเบี้ยวแตกต่างไปจากทางถนน ทางน้ำ ทางอากาศ ที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมเป็นประธาน

2) การมีส่วนร่วมของท้องถิ่น ในมาตรา 14 วรรค 2 ที่ให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นต้องมีส่วนร่วมจัดทำแผนในเขตภูมิภาค

3) มาตรา 64 เพิ่มเกณฑ์การกำหนดอัตราค่าโดยสาร ว่าต้องคำนึงถึงค่าแรงขึ้นต่ำและค่าครองชีพด้วย


สุรเชษฐ์ ยังกล่าวต่อไปว่า รัฐบาลเป็นผู้ถือเสียงข้างมากอยู่แล้ว จะไปปรับเปลี่ยนในกรรมาธิการรอบใหม่ก็ได้ แต่สิ่งที่พรรคประชาชนเสนอนี้จะเป็นประโยชน์กับประชาชนจริง ๆ พรรคประชาชนไม่ได้สุดโต่งแต่ใช้ร่างประนีประนอมและแสดงจุดยืนอย่างตรงไปตรงมาและเปิดเผย ขอแค่รัฐบาลอย่ากลัวเสียหน้าเพียงเพราะเป็นร่างจากฝ่ายค้านเลยจะไม่ใช้เป็นร่างหลัก


“สิ่งที่ต้องจับตา คือ วิปรัฐบาลน่าจะกลับลำ พลิกมติจากเมื่อ 2 สัปดาห์ก่อนที่จะใช้ร่างของพรรคเพื่อไทยเป็นหลักมาใช้ร่างคณะรัฐมนตรีแทน การไม่ใช้ร่างเพื่อไทยเป็นหลักนั้น ผมเห็นด้วยว่า สมควรแล้ว เพราะมีการยัดไส้นอกรอบเพื่อเอื้อประโยชน์ให้นายทุนอย่างชัดเจน แต่คำถาม คือ ทำไมไม่ใช้ร่างพรรคประชาชน พ.ร.บ.รางฯ กับผลประโยชน์ที่ซ่อนอยู่มหาศาล เมกะดีลสัมปทานทีเป็นแสนล้านแต่พรรครัฐบาลไม่น่าไว้ใจ ประชาชนต้องช่วยกันจับตาการลงมติวันที่ 30 ตุลาคมนี้ 11:00” สุรเชษฐ์ กล่าว


#UDDnews  #ยูดีดีนิวส์ #พรรคประชาชน