วันอังคารที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2567

นพ.เหวง โตจิราการ : เสวนาในหัวข้อ “เดือนตุลานอกกระแส : บางแง่มุมของขบวนการเดือนตุลาที่ไม่เคยเห็น” ช่วงที่ 3 มองการเคลื่อนไหวต่อต้านทุนข้ามชาติจักรวรรดินิยมปัจจุบันและอนาคต เดินไปอย่างไร และการเมืองไทยหลัง 48 ปี 6ตุลา19

 



นพ.เหวง โตจิราการ : มองการเคลื่อนไหวต่อต้านทุนข้ามชาติจักรวรรดินิยมปัจจุบันและอนาคต เดินไปอย่างไร และการเมืองไทยหลัง 48 ปี 6ตุลา19 (ช่วงที่ 3)


วงเสวนาในหัวข้อ “เดือนตุลานอกกระแส : บางแง่มุมของขบวนการเดือนตุลาที่ไม่เคยเห็น”

งาน 48 ปี 6ตุลาฯ กระจกส่องสังคมไทย

เมื่อวันที่ 5 ตุลาคม 2567

ที่ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์


ประเด็นแรก มองการเคลื่อนไหวต่อต้านทุนข้ามชาติจักรวรรดินิยมปัจจุบันและอนาคต เดินไปอย่างไร?


เรียนพี่น้องทุกท่าน การที่จะเคลื่อนไหวของสังคม ก่อนอื่นเลยเราต้องเริ่มจากการเข้าใจความจริงของสังคมในขณะนั้น เข้าใจความขัดแย้งหลัก ค้นหาความขัดแย้งหลักของสังคมให้เจอ และต้องรู้ว่าใครคือมิตร? ใครคือศัตรู? สามัคคีมิตรที่เป็นจริง ไปต่อสู้กับศัตรูที่เป็นจริง อย่าผลักมิตรไปให้เป็นศัตรูนะครับ ต้องรู้เป้าหมาย อุปสรรค ปฏิปักษ์


ในสมัย 14ตุลา16, 6ตุลา19 มันชัดเจน มันอยู่ในสงครามเย็น ระหว่างค่ายเสรีประชาธิปไตย โดยมีอเมริกาเป็นหัวหน้า กับ ค่ายสังคมนิยม หรือ ค่ายคอมมิวนิสต์ มีสหภาพโซเวียตกับจีนแดงเป็นหัวหน้าใหญ่ ดังนั้นตอนนั้นประเทศไทยจึงอยู่ในยุคสังคมกึ่งเมืองขึ้นกึ่งศักดินา สังคมไทยในตอนนั้นเป้าหมายก็คือประเทศต้องการเอกราช ประชาชาติต้องการการปลดปล่อย และประชาชนต้องการประชาธิปไตยและความยุติธรรมที่แท้จริง หรือจะกล่าวได้ว่าต้องการ “การปฏิวัติ” ก็ได้ เพราะในสมัยนั้นปกครองโดยระบอบ “สฤษดิ์-ถนอม-ประภาส” ซึ่งเป็นระบอบเผด็จการเบ็ดเสร็จ


ดังนั้น ในสมัยนั้นการพุ่งเป้าไปที่จักรพรรดินิยมจึงถูกต้อง เลยทำให้กระแสการเคลื่อนไหวของนิสิตนักศึกษาคึกโครมทุกวัน ๆ ๆ และในที่สุดก็ประสบผลสำเร็จในการขับไล่จักรพรรดินิยมอเมริกันออกไปจากประเทศไทย แต่ในวันนี้โลกเปลี่ยนแปลงโดยสิ้นเชิงจาก 50 ปีหรือเกือบ 50 ปีที่ผ่านมา ไม่มีสงครามเย็นแล้วครับ ไม่มีค่ายสหภาพโซเวียต ไม่มีค่ายเสรีนิยม ประเทศคอมมิวนิสต์ก็เปลี่ยนไปเส้นทางเศรษฐกิจทุนนิยม แม้ว่าบางประเทศบอกว่าเขายังเป็นสังคมนิยมหรือคอมมิวนิสต์อยู่ก็ตาม ไม่มีสงครามเย็น ไม่มีค่ายเสรี ไม่มีค่ายคอมมิวนิสต์ จักรพรรดินิยมหายไปเลยครับ


ดังนั้น ความขัดแย้งในสังคมไทยปัจจุบันในทัศนะส่วนตัวของผมก็คือ ความขัดแย้งระหว่างประชาชนที่ต้องการประชาธิปไตยที่แท้จริง ก็คืออำนาจสูงสุดทางการเมืองเป็นของประชาชนทั้งประเทศ ขัดแย้งกับพวกขวาจัด อนุรักษ์นิยม จารีตนิยม อำนาจนิยม ดังนั้นต้องยึดความขัดแย้งให้ถูกต้อง


พวกขวาจัดหลังจาก 6ตุลา19 เป็นต้นมา ในความเห็นส่วนตัวผมนะ พวกขวาจัดถือครองอำนาจรัฐมาโดยตลอด บางครั้งก็ใช้เส้นทางรัฐสภา บางครั้งก็ใช้กำลังทหารเข้ายึดโดยตรงเลย อย่าง “เกรียงศักดิ์” ก็เข้ามาโดยการสนับสนุนของกลุ่มยังเติร์ก พอกลุ่มยังเติร์กเขาไม่พอใจ “เกรียงศักดิ์” ก็หลุดไป “พล.อ.เปรม” ก็เข้ามา พอยังเติร์กไม่พอใจก็รัฐประหาร แต่พอดี พล.อ.เปรม มี พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อยู่ช่วย ก็เลยสามารถปราบกบฏตอนนั้นได้ แต่เขาพยายามในเดือนกันยายน ก็ไม่สำเร็จ เพราะไม่มาตามนัด พล.อ.เปรม ก็เลยครองอำนาจยาว 8 ปี


หลังพล.อ.เปรม “พล.อ.ชาติชาย” ก็เข้ามาในสมัยนั้น ก็เลือกตั้ง พล.อ.ชาติชายมีนโยบายถูกต้องคือเปลี่ยนสนามรบเป็นสนามการค้า ทำให้ประเทศไทยแข็งแรงขึ้น พวกขวาจัดไม่พอใจ ก็เลยยึดอำนาจก่อให้เกิดกรณี รสช. แล้วฆ่าประชาชนอีก จนในที่สุดเมื่อกรณีดังกล่าวยุติลงก็มีการร่างรัฐธรรมนูญปี 2540 ก็มีการเลือกตั้ง “ไทยรักไทย” มา ต้องให้คุณูปการกับนายกฯ ทักษิณ ให้ความเป็นธรรมกับนายกฯ ทักษิณ ท่านก็สามารถบริหารประเทศชาติบ้านเมืองให้แข็งแรงเจริญรุดหน้าและมีอนาคต


แต่ตอนนั้นหมายความว่าประชาชนต่อสู้ให้ได้มาซึ่งรัฐธรรมนูญ 2540 เรียบร้อยแล้ว ท่านทักษิณมาในบรรยากาศที่ประเทศไทยเป็นประชาธิปไตยที่เริ่มต้นจะแข็งแรง พอเริ่มต้นจะแข็งแรงพวกขวาจัดก็กลัวว่าอำนาจที่แท้จริงจะเป็นของประชาชน ก็เลยยึดอำนาจในวันที่ 19 กันยายน 2549 มี คมช., คปค. เกิดขึ้น พวกเขาก็ร่างรัฐธรรมนูญ 2550 จากนั้นก็มีรัฐบาลสมัคร ซึ่งก็ไปโดยตุลาการภิวัฒน์ แล้วก็มารัฐบาลสมชาย ก็มีกองกำลังการเมืองของฝ่ายขวามาต่อต้านสมชาย แต่ก็ไปด้วยตุลาการภิวัฒน์อีก


ต่อมาก็มีการแทรกแซงโดยทหาร จัดตั้งรัฐบาลขึ้นมาในค่ายทหาร ก็เลยทำให้ประชาชนผู้รักประชาธิปไตย (ผมขีดเส้นตรงนี้นะครับ) ประชาชนผู้รักประชาธิปไตย พวกนี้ก็เลยใช้เสื้อแดงเป็นสัญลักษณ์ เรียกกันว่า “คนเสื้อแดง” โปรดเข้าใจนะครับว่า “คนเสื้อแดง” ก็คือคนรักประชาธิปไตย เสื้อแดงไม่ได้หมายถึงสีหรือโลโก้ของพรรคใด ๆ ทั้งสิ้น เมื่อมีการต่อต้านการจัดตั้งรัฐบาลในค่ายทหาร ก็เกิดการใส่ร้ายป้ายสีคนเสื้อแดง หาว่ามีกองกำลังติดอาวุธชายชุดดำ มาจนถึงวันนี้ยังจับชายชุดดำไม่ได้แม้แต่คนเดียว แปลว่า ศอฉ.กับรัฐบาลอภิสิทธิ์ ในสมัยนั้นโกหกและใส่ร้ายป้ายสีคนเสื้อแดง ฆ่าคนเสื้อแดงโดยใช้ทหาร 3 เหล่าทัพ ใช้กำลังพลประมาณ 6 หมื่น กระสุน 2 แสนนัด


หลังจากนั้นก็มีการเลือกตั้ง พี่น้องประชาชนผู้รักประชาธิปไตยทั้งประเทศก็เลยทุ่มคะแนนไปให้ยิ่งลักษณ์ ต้องขอบคุณรัฐบาลยิ่งลักษณ์ในการบริหารประเทศให้ประสบผลสำเร็จก็คือ นโยบายจำนำข้าวทุกเม็ด ทำให้ชาวไร่ชาวนาปลดเปลื้องหนี้สินได้หมด ทำให้พวกขวาจัดไม่พอใจอีก ก็มีกองกำลังพลเรือนของฝ่ายขวาปั่นป่วนสถานการณ์ขึ้นมา ในที่สุด พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็ยึดอำนาจ เขาฉลาดนะ เริ่มต้นด้วยการตั้งบังเกอร์ขึ้นก่อน ทำให้รัฐบาลงง? ว่ามาตั้งบังเกอร์ทำไม ประชาชนก็งง? เขาก็เลยตีเนียนโดยเอาดอกไม้สวยงามไปประดับบังเกอร์แล้วอธิบายบอกว่าจะเชิญชวนให้นักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาเที่ยวประเทศไทยให้มากขึ้น หลังจากตั้งบังเกอร์ไม่กี่วันก็ประกาศกฎอัยการศึก ผมก็ไปถามรัฐบาลเลย มีบางคนที่อยู่ในรัฐบาลถามว่ารู้เรื่องหรือเปล่า? เขาบอกไม่รู้เรื่อง จากนั้นก็ยึดอำนาจเลย จากนั้นมาเขาก็ร่างรัฐธรรมนูญ เห็นมั้ยว่าเขาใช้ทั้งทหาร ใช้ทั้งเส้นทางนิติบัญญัติ ใช้ทั้งเส้นทางตุลาการ ในการที่จะทำลายกระบวนการประชาธิปไตยที่แท้จริงของประชาชนลงไป


สุดท้ายก็คือมีการเลือกตั้ง 2562 “ประยุทธ์” ก็มาอีก พอประยุทธ์อยู่ได้ 9 ปี มีการเลือกตั้งครั้งใหม่ปี 2566 พี่น้องประชาชนผู้รักประชาธิปไตยทั้งประเทศสำแดงตัวออกมาเลือกฝ่ายประชาธิปไตยกว่า 70% แต่เป็นที่น่าเสียใจมากที่ “พรรคเพื่อไทย” ท่านคิดอะไรของท่านไม่รู้ เขาเรียกว่า “ย้ายขั้วสลับข้าง” หรือจะเรียกว่า “ข้ามขั้ว ตระบัดสัตย์” ก็ได้ ผมไม่ได้มาโจมตีพรรคเพื่อไทยนะ นี่คือความเป็นจริงที่เกิดขึ้น เขาเป็นคนพูดเอง ลองไปดูว่าใครพูด ผมไม่เอ่ยชื่อแล้วกัน เขาบอกว่าเขามีความจำเป็นในการข้ามขั้วเพื่อไปแก้ปัญหาเศรษฐกิจ แล้วเป็นไงครับ ตั้งแต่คุณเป็นรัฐบาลมา เดือนสิงหาคมปี 66 นี่มันเดือนอะไรแล้วครับ เดือนตุลาคมปี 67 เศรษฐกิจไม่ได้รับการแก้ไขเลยครับเพราะมันยังแพงหูฉี่เลย ค่าไฟกำลังจะขึ้นไป 5 บาทแล้วครับ ประชาชนร้องโอ๊กหมด ฉะนั้น ที่บอกว่าข้ามขั้วตระบัดสัตย์ไปเพื่อแก้ปัญหาเศรษฐกิจ “ล้มเหลว” ครับ แล้วที่คุณบอกว่าจะทำดิจิทัลวอลเล็ต ในที่สุดก็เป็นการแจกเงินให้กลุ่มเปราะบาง แล้วไม่รู้ว่าครั้งต่อไปจะแจกได้เมื่อไร หรือจะแจกหรือเปล่า ไม่ทราบ!


เพราะฉะนั้น ก็เลยทำให้พลังประชาธิปไตย 70% 151 ของก้าวไกล บวก 141 ของเพื่อไทย รวมเป็น 292 มากกว่า 70% นะครับ ล้มละลายไปเลย กลายเป็นว่าขณะนี้รัฐบาลบริหารโดยรัฐบาลฝ่ายขวา ที่คุณให้คำมั่นสัญญาว่าจะแก้รัฐธรรมนูญให้เป็นประชาธิปไตย ให้ประชาชนเลือกส.ส.ร.โดยตรง สำหรับผมไม่เชื่อครับ เห็นได้ชัดว่าพอเริ่มต้นคุณก็ตั้งกรรมการขึ้นมา ตั้งประเด็นว่าจะถามประชามติอย่างไร ทั้ง ๆ ที่คนเขาก็บอกทั่วบ้านทั่วเมืองว่าศาลรัฐธรรมนูญไม่ได้บังคับให้ทำประชามติ 3 ครั้ง ทำเพียง 2 ครั้งก็ได้ ไม่มีความจำเป็นในการที่จะไปตั้งคำถาม แล้วคำถามของเขาก็ตลกมากก็คือว่า ถามว่าประชาชนเห็นด้วยไหมที่จะให้มีการยกร่างรัฐธรรมนูญใหม่ โดยไม่มีคำว่า ส.ส.ร. เลยนะครับ ถามแค่นี้ ถามทำไม? ประชาชนต้องการเลือกส.ส.ร.โดยตรง ให้ส.ส.ร.ไปร่างรัฐธรรมนูญใหม่

.

กลับมาประเด็นสุดท้าย ความขัดแย้งของเรา ขณะนี้สำหรับความเห็นส่วนตัวผมนะ ก็คือความขัดแย้งระหว่างประชาชนที่ต้องการให้อำนาจอธิปไตยหรืออำนาจสูงสุดทางการเมืองเป็นของประชาชนอย่างแท้จริง ขัดแย้งกับฝ่ายขวาที่เขาต้องการแย่งยึดอำนาจทางการเมืองเข้าไปอยู่ในมือของพวกฝ่ายขวาอนุรักษ์จารีตอำนาจนิยมครับ


ประเด็นนี้ผมได้บอกพิธีกรว่าผมขออนุญาตพูดสักนิดหน่อย เพื่อทำให้การรำลึก 48 ปี ของเรามีความหมาย ก็คือเรารำลึกมา 48 ปีแล้ว คือผมอยากจะเชิญชวนพี่น้องประชาชนในห้องประชุมแห่งนี้และทั้งประเทศช่วยกันคิดว่าทำอย่างไรถึงจะหยุดทหารไม่ให้ฆ่าประชาชนกลางเมืองอีกต่อไปครับ ผมไม่ทราบว่าพรรคเพื่อไทยเห็นด้วยหรือเปล่า ถ้าเห็นด้วยโปรดฟังผม


ข้อที่ 1 ในวันนี้คุณทำได้เลย เพราะขณะนี้ศาลรับฟ้องแล้วคดีตากใบและออกหมายจับ 7 คน พรรคเพื่อไทยครับ ผมชี้ทางสวรรค์ให้คุณนะครับ ถึงแม้คุณจะข้ามขั้วย้ายข้างอะไรก็แล้วแต่ ถ้าคุณนำผู้ต้องหาที่ศาลออกหมายจับ 7 คนแล้ว ไปมอบตัวต่อศาล ประชาชนทั้งประเทศจะให้อภัยคุณแน่นอนครับ เพื่อให้คดีตากใบไม่หายไปในสายลม เพราะวันนี้วันที่ 5 เหลืออีก 20 วัน หายไปเลยครับ ผมก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าจำเลยหมายเลข 1 สามารถส่งใบลาตั้งแต่วันที่ 26 ส.ค. ไปจนถึง 30 ต.ค. ได้ นี่เรื่องตากใบนะ มีเวลา 20 วัน


แต่เรื่องที่ยังมีเวลาอีก 6 ปี ก็คือวีรชนเสื้อแดงปี 2553 จำนวน 99 ศพครับ พรรคเพื่อไทยสนใจบ้างไหม? ผมขออนุญาตเรียนอย่างนี้ครับ หลักกฎหมายปัจจุบันเขาได้ตราไว้ว่าในกรณีคดีที่ทหารเป็นผู้ต้องหาหรือจำเลย คดีดังกล่าวต้องไปให้ศาลทหารพิจารณาดำเนินคดี ดังนั้นพวกเราในสมัยรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ปรบมือให้รัฐบาลยิ่งลักษณ์หน่อยครับ เพราะท่านให้คุณูปการไต่สวน 32 ศพ และยื่นต่อศาล และศาลได้มีคำสั่งการตาย (14+18) 14 หมายความว่าศาลระบุชัดว่าตายจากทหารที่ยิงมาจากการทำหน้าที่ของศอฉ. แล้วกรณี 6 ศพวัดปทุมฯ มีชื่อชัดเลย ท่านบอกว่าคนตายไม่มีเขม่าดินปืน ตรงนั้นไม่มีการต่อสู้กับชายชุดดำ คนตายตายจากการยิงของทหารบนรางรถไฟฟ้า แล้วมีชื่อ มีกรม มีกอง มีรายละเอียดหมด แล้วอาวุธที่นำมาเสนอเป็นเรื่องที่ฟังไม่ได้ มีพี่น้องของเราจำนวนหนึ่งยื่นเรื่องเพื่อฟ้องไปยังศาลอาญา ก็คือศาลพลเรือนปกติ ปรากฏว่าศาลท่านก็ใช้หลักกฎหมาย ซึ่งอันนั้นต้องเคารพนะครับ ศาลต้องใช้หลักกฎหมาย ท่านบอกว่าคดีที่มีทหารเป็นผู้ต้องหาหรือถูกกล่าวหาหรือเป็นจำเลย ต้องไปเดินเรื่องทางศาลทหาร เขาก็ไปเดินเรื่องทางศาลทหาร ปรากฎว่าการเดินเรื่องทางศาลทหารต้องไปยื่นอัยการศาลทหารก่อน แล้วอัยการศาลทหารสั่งไม่ฟ้อง จบเลย!


ฉะนั้นฝ่ายประชาชนผู้เสียหายได้ลองเดินเรื่องดู เขาก็เลยปรึกษากันว่าศพต่อ ๆ ไปทำอย่างนี้ไม่ได้ ต้องแก้กฎหมายก่อน นี่ก็เป็นทางสวรรค์อีกทางหนึ่งที่ผมจะชี้ให้พรรคเพื่อไทยเห็น ก็คือให้ไปแก้กฎหมายให้ทหารที่ฆ่าประชาชนต้องขึ้นศาลพลเรือนครับ รวมทั้งคนสั่งด้วย ก็คือนักการเมืองทั้งหลายต้องขึ้นศาลพลเรือน  ไม่ใช่ไปขึ้นศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้นเรื่องมันก็เข้าอีหรอบเดิม มีความเป็นไปได้ ซึ่งผมไม่ก้าวล่วงศาล เพราะหลักกฎหมายได้วางไว้แล้วว่าถ้าคดีที่มีทหารเป็นจำเลยหรือเป็นผู้ถูกกล่าวหา ต้องไปยื่นศาลทหาร ก็ต้องไปผ่านอัยการศาลทหาร ถ้าอัยการศาลทหารสั่งไม่ฟ้องก็จบอีก
! เพราะฉะนั้นต้องไปแก้กฎหมายนี้ครับ


ข้อที่ 2 มี 62 ศพครับที่ยังไม่ได้ไต่สวน มันยากอะไรหนักหนาครับ รัฐบาลพรรคเพื่อไทยครับ ตั้งคณะกรรมการไต่สวน 62 ศพที่เหลือซิครับ จะปล่อยไว้ทำไมครับ ท่านนายกฯ เซ็นได้แล้ว ประกาศหนังสือพิมพ์เลย ไม่เห็นยากอะไร ทำไมไม่ทำ ทีนี้พรรคเพื่อไทยบอกพยายามไปแก้กฎหมายพ.ร.ป. ป.ป.ช. ในกรณีที่ป.ป.ช.ไม่รับเป็นคดี/ไม่รับเอาไว้พิจารณา ตามกฎหมายปัจจุบันมันตกไปเลย ทีนี้ทางเพื่อไทยปรารถนาดีคือจะไปแก้กฎหมายป.ป.ช.ว่า กรณีที่ป.ป.ช.ปัดตกไปให้พลเรือนเอาไปฟ้องตรงได้ แค่ฟ้องตรงมันก็กลับอีรูปเดิมคือต้องไปทางศาลทหาร เพราะว่าถ้าไปยื่นศาลพลเรือนท่านก็บอกว่าเรื่องนี้มีทหารเป็นผู้ถูกกล่าวหา เป็นจำเลย ต้องไปทางศาลทหาร มันก็อีหรอบเดิม เพราะฉะนั้น ผมเสนอไป 2 เรื่อง ซึ่งเป็นการชี้ทางสวรรค์แล้วนะครับ


อีกเรื่องหนึ่งก็คือ ผมอยากให้พรรคเพื่อไทยกล้าหาญหน่อย กล้า ๆ หน่อย คือเอานายทหาร เอาคณะทหาร เชิญก็ได้ เชิญคณะทหารที่ยึดอำนาจสำเร็จมาดำเนินคดีตามมาตรา 113 ในข้อหากบฏ ทำได้ครับเพราะว่ารัฐธรรมนูญปี 2550 หมดสภาพบังคับใช้ไปแล้ว คมช., คปค. ซึ่งได้รับการคุ้มครองโดยรัฐธรรมนูญปี 2550 ไม่ได้รับการคุ้มครองแล้ว ฉะนั้น รัฐบาลเพื่อไทยครับ กล้า ๆ หน่อย คุณอุ๊งอิ๊งครับ กล้า ๆ หน่อย นำตัวหรือเชิญคณะนายทหาร คมช., คปค. มาดำเนินคดี พร้อมกับยื่นเรื่องไปยังที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาให้ท่านทบทวนคำพิพากษาศาลฎีกาที่วางหลักไว้ว่า รัฐประหารที่ยึดอำนาจสำเร็จเป็นรัฎฐาธิปัตย์ ให้พิจารณาทบทวน แล้วผมเชื่อว่าที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาที่มีจิตใจประชาธิปไตยก็จะทบทวน


ดังนั้นก็สามารถที่จะเอาคณะรัฐประหารที่ชนะมารับโทษทางกฎหมายได้ อย่างนี้เป็นการหยุดรัฐประหารได้โดยสิ้นเชิงจริง ๆ ครับ ไม่ต้องไปเขียนในรัฐธรรมนูญว่าการยึดอำนาจนั้นห้ามออกนิรโทษกรรม ปี 2517 ออกมาแล้วครับในรัฐธรรมนูญมาตราเท่าไหร่ไม่รู้ เขียนชัดเจนเลย แล้วยังไง ปี 2519 ฉีกทิ้ง


ประการสุดท้าย ผมอยากให้พรรคเพื่อไทยกล้า ๆ หน่อย “ปฏิรูปโครงสร้างทหาร” ข้อที่ 1 คือคณะกรรมการในการที่จะโยกย้ายผู้นำเหล่าทัพ เอาผู้แทนราษฎรที่มาจากการเลือกตั้งของพี่น้องประชาชนทั้งประเทศ เข้าไปอย่างน้อยครึ่งหนึ่ง ได้มั้ยครับ? ปัจจุบัน 7 คน มีผบ.ทบ., ผบ.ทร., ผบ.ทอ., ผบ.สส., ปลัด กห., นี่ทหารทั้งหมด แล้วยังมี รมว.กห., รมช. ซึ่งรมช.ปัจจุบันเป็นทหาร นี่ 6 คนแล้ว มีพลเรือนคนเดียว แล้วโยกย้ายทหารก็เสร็จพวกเขาซิครับ อย่างที่ว่า พวกใครพวกมัน มันก็สืบทอดอำนาจไปเรื่อย ๆ


ข้อที่ 2 การสั่งเคลื่อนกำลังต้องเป็นมติครม. นี่ความเห็นส่วนตัวผมนะ เพราะว่าประยุทธ์ จันทร์โอชา ยังตั้งบังเกอร์ได้ ตั้งได้ยังไง รัฐบาลยิ่งลักษณ์ไม่รู้เรื่องเลย นี่คือการเตรียมรัฐประหารครับ ฉะนั้น การเคลื่อนย้ายกำลังพลต้องเป็นมติครม.


ข้อที่ 3 ก็คือว่า การประกาศกฎอัยการศึก สำหรับผมควรจะเป็นมติครม. คือปัจจุบันนายทหารในพื้นที่ประกาศกฎอัยการศึกได้ ระดับหมวด ระดับหมู่ ระดับกองพันยังประกาศได้เลย เช่น ประยุทธ์ จันทร์โอชา ประกาศโดยที่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ไม่รู้ แล้วเขาก็ยึดอำนาจเลย


ข้อต่อมาก็คือว่า การดำเนินการจากการชุมนุมของประชาชนไม่ว่าเป็นการชุมนุมทางการเมืองก็ดี หรือการชุมนุมทางเศรษฐกิจก็ดี ห้ามใช้ทหารมาดำเนินการจัดการกับการชุมนุมเด็ดขาด รัฐบาลเพื่อไทยทำได้มั้ยครับ ถ้าทำได้ผมว่าคุณจะได้คะแนนอื้อซ่าเลยในการเลือกตั้งครั้งหน้า ดีไม่ดีจะชนะพรรคประชาชนด้วยซ้ำไปถ้าคุณทำนะครับ


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #หมอเหวง #รำลึก48ปี6ตุลา #6ตุลา19