วันพฤหัสบดีที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2567

“อ.ธิดา” มองว่าขณะนี้ “ณัฐวุฒิ” ได้ถอดเสื้อและสิ่งที่สวมว่าเป็น “นักต่อสู้” ออกไปแล้ว มีเส้นแบ่งชัดเจน ก็ไปเถอะ ไปดี

 


อ.ธิดา” มองว่าขณะนี้ “ณัฐวุฒิ” ได้ถอดเสื้อและสิ่งที่สวมว่าเป็น “นักต่อสู้” ออกไปแล้ว มีเส้นแบ่งชัดเจน ก็ไปเถอะ ไปดี


จากรายการ สภาภาษาคน EP48 ตอน “เต้นกลับลำ”

ทางช่อง Friends Talk

เมื่อวันที่ 8 ต.ค. 67


กรณี “ณัฐวุฒิ” คำไหนเหมาะสมที่สุด ระหว่าง “กลับกลอก - กลับลำ - ตระบัดสัตย์”


แหมอาจารย์เองพูดกันตรง ๆ ว่าเราเคยอยู่กันมา มันก็มีความผูกพันกัน อาจารย์ก็พูดตรง ๆ ว่าไม่อยากด่า คือเราเข้าใจเขา อย่างที่อาจารย์พูดนะว่าอันนี้ให้มันเป็นเรื่องของโพลก็แล้วกัน


สำหรับอาจารย์มองว่าในที่สุดเขาก็ต้องมาทางนี้ แต่ว่ามันก็ต้องมีช่วงเวลาของการแสดงเป็นฉาก ๆ ๆ ฉากไหนจะมีการแสดงแบบไหน แต่เอาเข้าจริงด้านหลักของเขาก็คือการเป็นนักการเมือง ถ้าคุณเป็นนักการเมืองคุณจะไม่มีมิตรแท้และศัตรูถาวร ก่อนหน้านี้ที่บอกว่า “ต่อต้านเผด็จการ” อันนั้นมันเป็นคำขวัญหรือเป็นเป้าหมายของประชาชน แต่สำหรับนักการเมือง ไม่มีมิตรแท้ศัตรูถาวร ก็เขาบอกแล้ว เหมือน “สามก๊ก” เขาจะไปจับมืออะไรก็ได้ พรรคเพื่อไทยต้องการเป็นรัฐบาล และวิญญาณของนักการเมือง ในทัศนะอาจารย์ มันอยู่ในร่างกายของคุณณัฐวุฒิมากกว่านักต่อสู้


เพราะฉะนั้น สิ่งที่เขาทำก็เหมือนนักการเมืองอื่น “ไล่หนูตีงูเห่า” ที่คุณหมอเหวงพูดเขาก็พูดกันทั้งพรรคนั่นแหละ “ไม่เอาสองลุง” เขาก็พูดกันทั้งพรรค แต่เนื่องจากอดีตของคุณณัฐวุฒิในฐานะที่เขาเป็นนักต่อสู้ มันยังทำไม่ได้ ยังไม่สามารถกลับลำ กลับกลอก หรืออะไรต่าง ๆ ที่คุณพูด ตระบัดสัตย์ อะไรเนี่ย เขาไม่สามารถทำได้ทันที มันต้องมีช่วงเวลาหนึ่งหลังจากนั้น แต่เราจะมาดูว่าแก่นของคนเป็นนักต่อสู้ หรือแก่นของคนเป็นนักการเมือง


อาจารย์เคยบอกว่า บางเวลาอะไรเป็นด้านหลัก ก่อนหน้านี้ในอดีตในฐานะเป็นนักต่อสู้เป็นด้านหลัก แต่ว่าแก่นแท้ ๆ จริง ๆ นักการเมืองเป็นด้านหลักหรือเปล่า? ถ้านักการเมืองเป็นด้านหลัก เขาก็ไม่มีมิตรแท้ศัตรูถาวร การกลับกลอก กลับลำ หรือกระทั่งตระบัดสัตย์ เป็นเรื่องธรรมดาสำหรับนักการเมืองที่ไม่ใช่เป็นนักการเมืองที่ก้าวหน้า ที่เป็นฝ่ายประชาชน คือคุณจะจับมือกันเพื่อเป็นรัฐบาล แปลว่ามันจะเป็นลิงค่างบ่างชะนีหรืออะไร หรือเป็นยักษ์ขีอะไร ๆ มันก็ได้ทั้งนั้นถ้าเป็นรัฐบาลได้


อย่างที่บอกก็คือ ตอนไปจับกับก้าวไกล ก็ไม่ได้ อาจารย์ไม่ได้ฟังเรื่องส่องกระจกนะ แต่ฟังตอนที่ว่าคุณณัฐวุฒิเขาพูดว่า เขาคิดว่าถ้าเว้น 10 เดือน เกมการเมืองจะเปลี่ยนไปอีกแบบหนึ่ง อันนี้ก็มีสิทธิ์ที่เขาจะคิด มันก็เป็นไปได้ อาจารย์จะมองคุณณัฐวุฒิอย่างความเป็นจริง เขาจะโกรธหรือเปล่าก็ไม่รู้จะว่าไง? เพราะว่าจนป่านนี้เราก็ต้องพูดความจริง ถ้าเราไม่พูดความจริงเราก็จะเป็นส่วนหนึ่งของการร่วมมือกันโกหกคน ดังนั้นเราก็จะมองจริง ๆ ว่าขณะนี้ตัวแก่นแท้ของเขาก็คือนักการเมือง เป้าหมายเขาก็คือนักการเมือง เรื่องของนักต่อสู้มันกลายเป็นเรื่องอดีต ถ้าคุณจำที่คุณทักษิณพูดว่าผมอยู่กับปัจจุบันและอนาคต อาจารย์ก็เคยบอกว่า “ถ้าเขาลืมอดีตของคนที่เป็นศัตรูเขาได้ เขาก็ต้องลืมอดีตของคนที่เคยเป็นมิตรกับเขาได้ด้วยเหมือนกัน” หรือแม้กระทั่งคนที่ยอมตาย ซากศพทั้งหลาย เขาก็ลืมได้เหมือนกัน  นี่แหละเป็นวิญญาณของนักการเมืองที่ต้องมองไปข้างหน้า


เพราะฉะนั้น อาจารย์มองว่าขณะนี้คุณณัฐวุฒิได้ถอดเสื้อและได้ถอดกระทั่งส่วนที่สวมเป็นนักต่อสู้ออกไป เรามองเห็น เขาก็ตรงไปตรงมานะ ที่เขาบอกเขาไม่ไปอยู่ข้างหลัง เพราะขณะนี้เท่ากับเขาแสดงออกว่าเขาคือนักการเมือง ถ้าจะบอกว่าเป็นนักต่อสู้ คุณข้ามเส้นได้ไง? แล้วที่คุณพูดมา คุณรับผิดชอบคำพูดมั้ย? กับประชาชน ปลุกคนเป็นล้าน ๆ ให้มาต่อต้านเผด็จการ แล้วตอนนี้คุณไปจับมือกับเผด็จการเฉย เขาบอกว่าเขาไม่ทำแบบหลบ ๆ ซ่อน ๆ แปลว่าเขาแสดงตัวตนที่แท้จริงในฐานะนักการเมืองออกมา


ใครที่มุ่งหวังจะเห็นภาพเขาเป็นฮีโร่ของนักต่อสู้ แน่นอนก็ต้องผิดหวัง แต่นี่คือความจริงไง! เขาก็แสดงออกมาอย่างนี้ ถ้าเป็นนักการเมืองไม่มีมิตรแท้ศัตรูถาวร แต่ถ้าเป็นนักต่อสู้ เรามีเลย ก็คือว่าใครที่เป็นปฏิปักษ์ต่ออำนาจประชาชน นั่นคือศัตรู และมันเป็นศัตรูถาวรด้วย ก็คือพฤติกรรมที่เป็นปฏิปักษ์ต่อเส้นทางการที่เราต้องการให้อำนาจประชาชนคืนมา นี่ยังไม่ใช่การ “ปฏิวัติ” เป็นแต่เพียงว่าเป็นการต่อสู้ในระบอบประชาธิปไตย ถ้าเราถือว่านี่เป็นระบอบประชาธิปไตย การต่อสู้ของประชาชนเพื่อให้ได้อำนาจอธิปไตยเป็นของประชาชนจริง นี่ไม่ใช่การปฏิวัติ

 

แต่ถ้านี่เป็นระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ อาจจะบอกว่าเป็นการปฏิวัติก็ได้ เพราะการปฏิวัติคือการเปลี่ยนระบอบ แต่นี่เราถือว่าอยู่ในระบอบประชาธิปไตย ดังนั้น ใครที่ขัดขวางไม่ให้อำนาจคืนมาเป็นของประชาชน มันก็อยู่ในเขตแดนของฝั่งที่ต้องการยึดครองอำนาจเอาไว้ตามเดิม มันก็มีเส้นแบ่ง เส้นแบ่งมันชัดเจน แต่เขายอมรับว่าเขาข้ามเส้นไปแล้ว ก็ไปเถอะ ก็ไปดี ถ้ากลับมานะ อาจารย์ธิดาก็ไม่ว่าอะไรนะ ถ้าไปโดนหวดโดนอะไรกลับมา ก็ไม่มีปัญหา เพราะประชาชนยังยินดีต้อนรับ แต่ถ้าคุณข้ามไปแล้ว เราไม่รู้ว่าฝั่งอำมาตย์ยินดีต้อนรับเขาหรือเปล่า? ไม่รู้ว่าจะโดนอะไร?

 

ถ้าเราคิดว่าเขาไม่ใช่นักต่อสู้จริง เราก็ไม่แปลก การที่เขาออกมาครั้งนี้ คือครั้งแรกบอกว่าข้ามไปไม่ได้ด้วยกัน ยังขออยู่ฝั่งนี้ แต่พอมาอยู่สักปีตอนนี้บอกจะข้ามไปด้วย นั่นคือปรากฏการณ์ แต่ไม่รู้ข้ามไปด้วยถึงไหน? ทั้งพรรคเพื่อไทย รวมทั้งบุคคล อาจารย์ดูแล้วมันอาการหนักร่อแร่ทั้งหมด ตั้งแต่คุณทักษิณ คุณอุ๊งอิ๊ง หรืออะไร ไปได้แค่ไหน เพราะว่าคุณต้องรู้ว่าในประเทศนี้หรือแม้กระทั่งที่ไหน ฝ่ายจารีตกับเผด็จการอำมหิตนะ แล้วเขาไม่ได้รักพวกคุณหรอกนะ แต่มันเป็นความจำเป็น เขาก็คงคิดเหมือนสามก๊กพวกคุณนั่นแหละ แต่สามก๊กหมายถึงว่ามันไม่มีเรื่องของการต่อสู้ในความเป็นจริงอย่างนี้นะ อันนั้นมันเป็นการแย่งอำนาจระหว่างเจ้า แล้วคุณเป็นเจ้ากับเขาด้วยเหรอ? แต่นี่มันเป็นเรื่องประชาชนต้องการอำนาจคืนมา ดังนั้นมันมีการแบ่งฝ่ายชัดเจน


การที่เขาผ่านเวลาไปประมาณหนึ่งปี แล้วก็ขอไปด้วยคน ก็ต้องเข้าใจได้ว่านี่คือเขาก็จะโค้งคารวะบอกผมเป็นนักการเมืองเต็มตัวแล้วนะ


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #ณัฐวุฒิใสยเกื้อ #พรรคเพื่อไทย