วันอังคารที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2567

อ.ธิดาและคณะ ไป ICC เรียกร้องความยุติธรรมทั้งในประเทศ/ต่างประเทศ ถอดจากรายการ The Exclusive เมื่อ 11 ก.ค. 55

 


ในช่องทางนี้ ทาง ICC จะตัดสินใจอย่างไร แต่ว่าทุกช่องทาง เราจะทำทุกอย่างเพื่อที่จะทำให้ประเทศนี้ไม่เกิดเหตุการณ์แบบนี้อีก แล้วทำให้คน พูดตรง ๆ ว่า ฆ่าประชาชนกลางถนน เหตุการณ์แบบนี้มันไม่ควรจะเกิดขึ้นอีกแล้ว

 

(ย้อนชม) อ.ธิดา ถาวรเศรษฐ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ หรือ นปช. ให้สัมภาษณ์ ภายหลังเดินทางไปศาลอาญาระหว่างประเทศ เพื่อแสดงให้เห็นถึงความพยายามในการเรียกร้องความยุติธรรมทั้งในประเทศและนอกประเทศ

 

ถอดจากรายการ The Exclusive ออกอากาศเมื่อ 11 กรกฎาคม 2555 ทางช่อง Asiaupdate

 

ที่ไปต่างประเทสเที่ยวนี้จึงต้องพูดว่าเรามีภารกิจหลักอยู่ 2 อย่าง อย่างหนึ่งก็คือไปที่ศาลอาญาระหว่างประเทศเพื่อจะไปเติมเต็มของข้อมูลและความน่าเชื่อถือให้กับทางอัยการที่โน่น อีกอย่างหนึ่งก็คือเราไปพบพี่น้อง เพราะว่านี่คือภารกิจในการเตรียมตัวต่อสู้รอบใหม่ ไปช่วยเหลือเขาในการทำงานและไปขอร้อง เรียกร้องเขาให้แสดงบทบาท ไม่ใช่เป็นคนที่นั่งดูหน้าจออีกต่อไป เพราะว่าเราต้องถือว่านี่เป็นการต่อสู้รอบใหม่ ทั้ง ๆ ที่เรารู้นะว่าหลังจากการต่อสู้ปี 53 มา มันยังเป็นการต่อสู้อยู่ตลอด เราก็เตรียมพร้อมมาตลอด นปช.ไม่เคยหยุดเลยในการทำงานภาระหน้าที่ ไม่ว่าจะการดูแลคนที่ถูกจับกุมคุมขังและการต่อสู้คดี

 

ที่เราไปต่างประเทศจึงถือโอกาสให้พี่น้องทางต่างประเทศให้พร้อม เพราะว่าถ้าสถานการณ์ครั้งนี้มันอาจจะหนักกว่าที่แล้วมา เพราะฉะนั้นเขาควรจะต้องรู้ว่าเขาจะต้องทำอะไรบ้าง ไปขอร้องเขาเลย บอกเลยว่ามาในฐานะประธานนปช. มาขอร้องและเรียกร้องเขาว่าเขาจะไม่ใช่ผู้ดูอีกต่อไป ภาระหน้าที่เรา เราต้องเต็มใจที่จะไป เต็มที่ นั่นก็คือเราต้องพร้อมในทุกสถานการณ์ ทำได้ต้องทำทันที เพราะถ้าเรายิ่งผัดวันประกันพรุ่งมันยิ่งช้า

 

ก็อย่างเป็นที่รู้กัน คือเวลาเราไป เราก็ไปอธิบายให้เขาว่าเราคือใคร ใครคือนปช. นปช.และคนเสื้อแดงเป็นส่วนไหนของคนไทย มีประมาณเท่าไร มีเหตุผลอย่างไรในการต่อสู้ และทำไมเราถึงต้องมาที่นี่ เราก็ลำดับปัญหาการต่อสู้ และการที่พี่น้องของเราต้องคดีเป็นจำนวนมาก คือเราในฐานะผู้ถูกกระทำ ไม่ใช่ถูกกระทำในฐานะถูกปราบปรามเข่นฆ่าอย่างเดียว ยังถูกกระทำจากกระบวนการยุติธรรมในประเทศไทยที่ตั้งข้อหารุนแรง ไม่ได้มีการสืบสวนไต่สวนอย่างดีก่อน ตั้งข้อหาแรงและไม่ให้ประกันตัว นั่นในส่วนของผู้ถูกกระทำ

แต่ในฐานะที่ว่าเราจะเป็นฝ่ายกระทำ คือค้นหาความเป็นจริง ยิ่งยากแสนยาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในรัฐบาลที่ผ่านมา คดีไม่คืบหน้าเลย กระบวนการต่าง ๆ ไปอยู่ที่ DSI จำนวนหนึ่ง “ผังล้มเจ้า” ก็อย่างที่เห็นว่าไม่จริงทั้งสิ้น ขบวนการปรักปรำใส่ร้ายเรามีเป็นจำนวนมาก ขบวนการค้นหาความจริงให้ปรากฏมันก็ไม่ได้เกิดขึ้น เมื่อเป็นเช่นนี้ ขณะนี้โลกเป็นหนึ่งเดียว เพราะฉะนั้นเราจึงจำเป็นที่จะต้องมาเรียกร้องเพื่อที่จะให้กระบวนการยุติธรรมระหว่างประเทศนั้นสามารถก้าวเข้ามา บางคนก็อาจจะบอกว่าเอ๊ะนี่คุณทำให้เหมือนกับว่าเราต้องไปขึ้นอยู่กับศาลโลก คล้าย ๆ เสียเอกราช ไม่ใช่นะคะ เอกราชทางศาลเราไม่ได้เสีย เราแก้เสร็จมาตั้งแต่ปี 2482 แต่ตอนนี้มันเป็นปัญหาว่าในประเทศเรานั้นมันไม่ใช่ประชาธิปไตยที่แท้จริง เมื่อไม่ใช่ประชาธิปไตยที่แท้จริง อำนาจของผู้ปกครองซึ่งยังไม่ใช่อยู่ในระบอบประชาธิปไตย ไม่ได้ยึดโยงกับประชาชนนั้น สามารถที่จะทำให้กระบวนการยุติธรรมชะงักงัน

 

อีกประการหนึ่งก็คือว่า เราขาดกฎหมายที่สำคัญ ก็คือการกระทำต่อมนุษยชาติ ซึ่งกฎหมายข้อนี้ของเราไม่มี ขอเราก็คือความผิดคนต่อคน เช่น คุณไปทำร้ายคนนี้ คุณไปฆ่าคนนี้ หรือคุณไปลักขโมยหรือกระทำความผิดอย่างใดอย่างหนึ่ง แต่ความผิดที่กระทำต่อคน หมายถึงประชาชนอย่างกว้างขวาง เป็นลักษณะมนุษยชาตินั้น ไม่มี! เมื่อไม่มีมันต้องมีทางออก เพราะในเมื่อผู้ปกครองตัวจริงนั้นยังไม่เปลี่ยน และถ้าผู้ปกครองตัวจริงนั้นเกี่ยวข้องกับการทำอาชญากรรมต่อมนุษยชาติ หมายถึงต่อผู้ถูกปกครองจำนวนมาก ถามว่าแล้วผู้ถูกปกครองซึ่งสู้อยู่ในกฎกติกาอย่าง “สันติวิธี” จะทำอย่างไร?

 

คนที่ต่อสู้ “สันติวิธี” นั้นมีทางเลือกไม่มาก ทางเลือกนั้นก็คือคุณต้องทำตามระบบ ก็คือกรอบของศาลไทย กรอบของกระบวนการยุติธรรมไทย ซึ่งมีปัญหาอยู่ไม่น้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเมื่อผู้กระทำยังเป็นผู้ปกครอง โอกาสที่ผู้ถูกปกครองและผู้ถูกกระทำจะได้รับความยุติธรรมนั้นจึงเป็นเรื่องยากมาก สำหรับคนที่ต่อสู้ “สันติวิธี” เรามีทางเลือกไม่มาก หลายคนอาจจะบอกว่าสู้ “สันติวิธี” นั้นสู้ไม่ได้เลย นี่เรากำลังต้องการให้โลกนี้และคนในสังคมนี้พิสูจน์ให้ได้ว่า ประชาชนที่ต่อสู้สันติวิธีในระบบยังทำได้

 

ก็คือว่าอันนี้เป็นการที่เราไปเป็นคนพูดนำเสนอมากกว่า อย่างแรกเลยเขาจะไม่ถาม เรามีหน้าที่ชี้แจง เช่น อาจารย์ธงชัย วินิจจะกูล ก็จะชี้แจง เป็นการชี้แจงในลักษณะนักประวัติศาสตร์ที่ไม่ใช่เสื้อแดง อาจารย์ธงชัย วินิจจะกูล เป็นอาจารย์สอนประวัติศาสตร์อยู่ที่วิสคอนซิน แล้วตอนนี้มาทำวิจัยอยู่ที่สิงคโปร์ ก็รับคำเชิญไปในฐานะนักประวัติศาสตร์ที่ไม่ใช่คนเสื้อแดง ที่อธิบายให้เห็น เพราะจุดมุ่งหมายสำคัญที่เราไปครั้งนี้เราต้องการจะบอกว่า แน่นอนเขาอาจจะบอกว่าคนตายของเรามีไม่มาก อาจจะมีน้อย แต่ว่ามันเป็นพฤติกรรมต่อเนื่องตั้งแต่หลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง 14ตุลา เป็นต้นมา ก็คือมีการตายเกิดขึ้นอย่างนี้ ๆ ๆ มาเรื่อย ๆ

 

เมื่อเป็นเช่นนี้ สิ่งที่เราต้องการจะบอกนั้นก็คือว่า มันไม่แต่เพียงทำความจริงให้ปรากฎว่ามีอะไรเกิดขึ้นปี 2553 แต่มันหมายถึงป้องกันในอนาคตและปัจจุบันว่า ไม่ควรที่การฆ่าคนกลางถนนที่ไม่มีอาวุธนั้น ไม่มีใครต้องรับผิด เพราะว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมานั้นไม่มีใครต้องรับผิด เพราะเราจะใช้กระบวนการนิรโทษกรรมและทำรัฐประหารซ้ำ อย่าง 6ตุลา19 พอเวลาเริ่มไต่สวนในศาล พอเริ่มจะมีเค้าว่ามีใครผิด เปรี้ยงเลย! รัฐประหารเลย! ทำรัฐประหารแล้วนิรโทษกรรม จบเลย!

 

เราไปนำเสนอเพื่อจะชี้แจงให้เห็นว่าทำไมเราถึงต้องมา ไม่ใช่แต่เพียงการทำความจริงให้ปรากฏ แต่นี่เป็นการห้ามไม่ให้อนาคนเกิดขึ้นอีก อาจารย์ถึงเสียใจว่าตอนที่เราเกิดเหตุการณ์ชุมนุม เราไปสหประชาชาติ เราได้พบทูตอะไรต่าง ๆ เราไม่อยากจะพูดหรอกว่าประเทศต่าง ๆ เหล่านั้นเขาคำนึงถึงประโยชน์ของเขา นั่นก็คือเขากลัวสัมพันธภาพระหว่างประเทศ แต่อยากจะบอกว่าเขาไม่ได้คิดถึงประชาชน หลายประเทศเขาก็รู้ คือเรายังมีสัมพันธภาพที่ดี เขามาคุยเสมอนะ เราก็คุยกับเขาเสมอ แต่ในใจเรา เรารู้ว่า เขาไม่ได้คิดถึงประชาชน เขาก็คิดถึงผลประโยชน์ประเทศเขา สหประชาชาติก็ไม่ทำอะไร ก่อนที่จะมีการปราบปราม เราก็ไป เพราะฉะนั้นอาจารย์พูดตรง ๆ นะ “บัน คี มูน” มา ถ้าสหประชาชาติได้ยินก็เอาไปฟังด้วย อาจารย์ไม่สนใจจะไปพบเลย ตอนที่คุณจะป้องกันได้ คุณไม่ทำ ไม่ว่าจะเป็นสหภาพยุโรป ไม่ว่าจะเป็นประเทศต่าง ๆ สถานทูตมันเดินไปเดินมาในม็อบก็รู้อยู่ แต่ทุกคนเห็นแก่ประเทศตัวเอง แต่อาจารย์ได้ส่งคำฝากไปทั้งหมดเลยว่า ประชาชนไทยนั่งดูอยู่นะ เมื่อวันที่ประชาชนได้อำนาจอธิปไตยที่แท้จริง ประชาชนจะตัดสินได้ว่าประเทศไหน หรือประชาชนประเทศไหนที่เข้าใจประชาชนด้วยกัน แต่ดังที่บอกแล้วว่ามันยาก!

 

เพราะฉะนั้นเราก็ยังมองว่า ศาลอาญาระหว่างประเทศนั้นยังดีที่ไม่มีผลประโยชน์ ไม่เหมือนธนาคารโลก ไม่เหมือน IMF นะ ยังมีคนมีอำนาจอยู่ เราก็หวังเป็นอย่างยิ่งว่าศาลอาญาระหว่างประเทศซึ่งไม่มีอาณัติแห่งผลประโยชน์น่าจะทำงานนี้ได้ มันไม่เหมือนสถานทูตต่าง ๆ เขาต้องคำนึงถึงผลประโยชน์ของเขา พอเวลาเราเป็นรัฐบาลก็โอเค แต่ถ้าเราไม่ได้เป็นรัฐบาลก็ลำบาก

 

ผู้ที่ออกมารับเรื่องก็เป็นเจ้าหน้าที่ฝ่ายอัยการ ปีนี้อัยการสูงสุดที่เพิ่งมาเป็นคนอัฟริกาเป็นผู้หญิงด้วย (นางฟาตู เบนซูดา) แต่เราไม่ได้พบ เพราะว่าที่นัดไว้ก็เป็นฝ่ายอัยการที่มารับและเขาต้องทำเรื่องนำเสนอ

 

การไปยื่นข้อมูลต่อศาลอาญาระหว่างประเทศ สิ่งที่เราคาดหวังว่าจะได้รับกลับมาคืออะไร?

 

พอเราไปพูดทีแรกก็ยังเป็นลักษณะที่ว่าเราทำการพรีเซนต์คือเราอธิบาย พอหลังจากนั้นเขาก็จะเพิ่มเติมให้ว่า เขารู้สึกว่านี่มันเป็นเรื่องใหญ่ ทีนี้เนื่องจากประตูที่เราเปิดเข้าไปมันเป็นประตูผ่านทาง “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” เพราะว่าเรายังไม่มีลงสัตยาบัน เมื่อเราต้องผ่านประตู “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” เพราะฉะนั้นมันก็จะไปโฟกัสที่อภิสิทธิ์ แต่ในความเป็นจริงเขาก็คงต้องการจะแสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ เพราะเขาบอกเรื่องนี้มันใหญ่มาก มันไม่ใช่เรื่องเล็ก เขาก็มีความคิดว่าคงต้องแสดงความสัมพันธ์ คุณอัมสเตอร์ดัมคงต้องมาเพิ่มเติมข้อมูล

 

แต่ความจริงที่อ.ธิดาเตรียมไว้ก็พูดถึงความสัมพันธ์ลักษณะเน็ตเวิร์คมันก็มีอยู่ เพราะว่าจริง ๆ ถ้าพูดไปความหมายก็คือ สำหรับคุณอภิสิทธิ์นั้นรับผิดชอบในฐานะรัฐบาล ในฐานะเป็นนายกรัฐมนตรี แต่ในพรรคประชาธิปัตย์คือตัวแทนของระบอบอำมาตย์ เพราะฉะนั้นก็คือต้องมีความเชื่อมโยงสนับสนุน ซึ่งแน่นอน 1) มีความเชื่อมโยงของระบอบ เครือข่ายอำมาตย์เป็นระบอบ เหมือนกับที่ใครบอกว่าปรองดอง คุณปรองดองไม่ง่ายหรอก ไม่ได้หมายความว่าสมมุติว่าคุณไปคุยกับ พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ คนเดียวแล้วคุณคิดว่าจะจบ มันไม่ใช่! มันมีเครือข่ายแห่งความสัมพันธ์ เครือข่ายแห่งผลประโยชน์ และเครือข่ายของการเสียผลประโยชน์ ทั้งสองเครือข่ายนี้มันไม่ใช่ 1 คน อันนี้เขาก็มองเห็น เขาก็เข้าใจ แต่ว่าสำหรับเรา โรงเรียนนปช. เราพูดมานาน 1) เครือข่ายของระบอบ

 

2) เครือข่ายของการก่ออาชญากรรมครั้งนี้ต่อประชาชน มันก็เป็นเครือข่าย มันไม่ใช่ 1 คน เหมือนกับบางคนเวลาที่เขาว่าพวกเรานะ เขาทำเครือข่ายขึ้นมาที่เห็นเป็น “ผ้งล้มเจ้า” นั่นคือเขาคิดเขียนเครือข่าย เขาใช้คำว่าเครือข่ายผังล้มเจ้าประมาณนั้น ก็เขียนคนนี้โยงไปคนโน้น คนโน้นโยงไปคนนี้ แต่อันนั้นมันเป็นเรื่องสมมุติทั้งหมด แต่กลับเอามาใช้เป็นต้นธารของการลงโทษว่าพวกนี้เป็นพวกล้มเจ้า เพราะฉะนั้นต้องเข้าสู่ DSI ต้องเข้าสู่กระบวนการพิเศษทั้งหมด คือเขาไม่เข้าใจว่า การเขียนคำว่าเครือข่าย กับการพูดถึงพยานหลักฐานในการจับคน คนละเรื่องกัน นี่ปัญหาพื้นฐานที่สุดเลย แต่กระบวนการยุติธรรมไทยตั้งแต่เริ่มต้นยังทำไม่ได้ ยังไม่รู้เลยว่าไอ้ผังล้มเจ้าคืออะไร มันก็คือการเขียนโยงไปโยงมา เป็นการโชว์ว่าคนนี้น่าจะไปต่อกับคนนั้น คนนี้น่าจะต่อคนนี้ เพราะคนนี้รู้จักคนนั้น อะไรต่าง ๆ เหล่านี้แค่นี้ มันไม่สามารถที่จะเอามาใช้เป็นขั้นต้นของกระบวนการยุติธรรมได้เลยด้วยซ้ำ

 

เวลาเราไปพูดตรงนี้ เราไม่ได้ไปพูดเฉพาะเรื่องของระบอบอำมาตย์ เพราะว่านี่เป็นอัยการ ประการแรกคุณต้องมีหลักฐานก่อนว่ามันมีการกระทำที่ไม่ถูกต้อง เราต้องนำเสนอปัญหาการปราบปรามเข่นฆ่าประชาชนและผู้ที่รับผิดชอบในเรื่องราวต่าง ๆ เหล่านี้ และหลักฐานในการปราบปรามเข่นฆ่า แต่ว่าพอมาถึงจุดหนึ่งเขาก็ตั้งคำถามเอง เขาก็ต้องการจะรู้ เพราะฉะนั้นเราจำเป็นที่จะต้องอธิบาย เขาก็ตั้งคำถามเพราะว่านี่คือเครือข่ายที่เกี่ยวข้องกับการปราบปรามเข่นฆ่า แต่ที่เราพูดเครือข่ายระบอบอำมาตย์ นั่นหมายถึงเครือข่ายที่เบื้องลึกกว่านั้น หมายถึงผู้ที่เกี่ยวข้องสัมพันธ์ทั้งหมด แต่ว่าในเครือข่ายสัมพันธ์ทั้งหมดอาจจะมีคน 1 ชุด ที่ต้องรับผิดชอบ นอกจากนั้นไปไม่ถึง เพราะฉะนั้นคน 1 ชุดที่เกี่ยวข้องนั้นก็จะเป็นวงเล็กแล้ว แม้กระทั่งวงเล็กที่เกี่ยวข้องคือใครบ้าง? นี่ก็เป็นเรื่องที่เขาสนใจ

 

ที่เราบอกแล้ว่าถ้าเขามองจำนวน เช่น มันไม่ได้ตายถึงพันนะ นี่ก็คือสิ่งที่เราตอบว่า การทำอาชญากรรมซ้ำ ๆ กันรุนแรงยิ่งกว่ามีการฆ่าครั้งเดียวแล้วเลิก จำนวนเป็นเพียงส่วนหนึ่ง แต่ว่าพฤติกรรมที่ทำซ้ำ ๆ ใครจะไปรู้ว่าอนาคต ครั้งนี้อาจจะหลักร้อย ครั้งหน้าอาจเป็นหลักพัน หรือใครจะไปรู้ว่าอีก 2-3 วันอาจจะมีอะไรเกิดขึ้นก็ได้ เพราะฉะนั้นนี่คือสิ่งที่เราต้องการที่จะให้ศาลอาญาระหว่างประเทศเข้าใจด้วยว่า อาชญากรรมระหว่างมนุษยชาตินั้นบางครั้งไม่ใช่จำนวน แต่พฤติกรรมที่ทำซ้ำเหมือนฆาตกรต่อเนื่อง บางคนมีปัญหาครั้งเดียว อาจจะมีคนบ้าสักคนไปกราดยิงตาย 100-200 กับมาฆาตกรรมต่อเนื่อง ฆ่าทีละคน ๆ ๆ มาเป็นลำดับ อย่างไหนร้ายกว่ากัน นี่ก็เป็นเรื่องที่สำคัญมาก เพราะว่าใครจะไปรู้ วันนี้ร้อย พรุ่งนี้เป็นพัน แต่ว่าถ้าคุณเท่าทันและป้องกันไม่ให้เกิดขึ้นก่อนจึงจะเป็นสิ่งที่ดีกว่าที่จะรอให้มันเกิดแล้วมาจัดการทีหลัง อาจารย์ยังมองว่า องค์กรระหว่างประเทศของเราขณะนี้ยังมีปัญหาทางการเมือง นี่พูดถึงส่วนอื่น ไม่ใช่ศาลอาญา เราก็หวังว่าศาลอาญาคงจะไม่ใช้การเมืองระหว่างประเทศเข้ามา

 

ภายหลังจากเข้าพบศาลโลกแล้ว สิ่งที่ต้องรอคืออะไร?

 

ในช่วงนี้ทางทนายเขาก็จะต้องเติมเต็ม นั่นก็คือมีข้อมูลเพิ่มเติม จริง ๆ แล้วขณะนี้เรามีข้อมูลใหม่มากมายที่แสดงให้เห็นว่านี่มันเป็นการกระทำโดยเจ้าหน้าที่รัฐ ดังเช่นคำให้การของตำรวจและเจ้าหน้าที่มากมาย รวมทั้งหลักฐานใหม่ที่เพิ่มเติมดังเช่น การเสียชีวิตของทหารจาก M67 ไม่ใช่จากที่บอกว่าชายชุดดำใช้ M79 ยิงอาก้า อันนี้ไม่ใช่เลย ถ้าจะมีคำพูดว่าชายชุดดำ คำถามว่าแล้วชายชุดดำทำให้มีการตายตรงไหนบ้าง นี่ต้องเป็นคำถามนะ โอเคคุณบอกว่าคุณมีชายชุดดำ มาจากไหนเรายังไม่รู้ มีจริงหรือเปล่าก็ไม่รู้ แต่คุณอภิสิทธิ์อ้างเป็นเหตุผลว่าคนเสื้อแดงมีการทำรุนแรง รวมทั้งไปแจ้งต่อโลกทั้งหมดด้วยคำพูดเหล่านี้

 

แต่ว่าหลักฐานมาถึงนาทีนี้ 1) หาตัวชายชุดดำไม่ได้ ตำรวจก็บอกไม่เคยเห็น ไม่รู้จะไปเอาจากตรงไหน 2) การตายที่เกิดจากชายชุดดำที่คุณบอกยืนถืออาก้า ปรากฏว่าไม่มีแผลของผู้ตายคนใดที่บ่งชี้ว่าตายด้วยอาก้า แม้นว่าจะไม่สามารถสรุปได้ 100% แต่มันไม่บ่งชี้ เพราะเหตุว่าแผลที่อยู่ข้างในภายในร่างกายยังไม่สามารถบ่งชี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการตายของทหารจำนวนหลายคนที่ตรงคอกวัว ที่ตรงสตรีวิทย์ พบแล้วว่าจากระเบิดขว้าง M67 ซึ่งคนเสื้อแดงไม่อยู่ในรัศมีเลย และไม่สามารถที่จะพบได้ว่ามันเกิดจากชายชุดดำ เพราะฉะนั้น หลักฐานต่าง ๆ ก็คือเราต้องเพิ่มเข้มไป มิฉะนั้นจะกลายเป็นว่านี่เป็นการปะทะระหว่าง 2 กองกำลังอาวุธ อันนี้ไม่ใช่ อันนี้เราพิสูจน์แล้วว่าไม่ใช่ คือเรามือเปล่าจริง ๆ ส่วนที่ว่าการตายอันนั้น ความจริงมันเริ่มชัดขึ้นเรื่อย ๆ อันนี้ก็เป็นเรื่องที่ต้องไปเติมเต็ม

 

อันที่ 2 ก็คือความสัมพันธ์แห่งการสั่งการและการทำให้เกิดขึ้น ก็คงต้องไปเพิ่มสองอย่างนี้ แล้วในที่สุดก็จะถึงเวลาที่อัยการระบุว่าสมควรรับฟ้อง เพราะเราเคยมีคดีที่ใช้ช่องทางแบบนี้แหละ ก็คือช่องทางผู้ที่ถูกฟ้องมี 2 สัญชาติ เพิ่งเกิดขึ้นไม่นานนี่เอง ปฏิกิริยาด้านบวกที่เขาแสดงมาก็เป็นเรื่องที่ดี เพียงแต่ถ้านายกฯ เซ็นรับรองเขตอำนาจศาลมันก็คงจะดีมากขึ้น

 

แล้วการที่จะให้ท่านนายกฯ รับรองเรื่องของเขตอำนาจศาล ทางนปช.เดินเรื่องนี้อย่างไร?

 

เดินเรื่องโดยแกนนำในฐานะสส.ได้ยื่นไปแล้วโดยมีลายเซ็นสส. 25 คน ก็เห็นสส.เขาบอกกันว่า เดี๋ยวยื่นใหม่อีกก็ได้ เอาใหม่อีก 25 คนเพิ่มอีกทีก็ได้ แต่ว่าเราก็เข้าใจ รัฐบาลอาจจะเห็นว่าอยู่ในช่วงหน้าสิ่วหน้าขวาน คิดถึงเรื่องการปรองดอง ดิฉันบอกได้เลยนะ ขอแจ้งไปยังใครก็ตามที่พูดเรื่องการปรองดอง พูดเรื่องปรองดอง พูดเรื่องเล่นละคร หรือ พูดจริง คำว่าปรองดองถ้าแท้จริงนะ คุณทำไม่ได้ถ้าไม่มีความจริงปรากฏ มันต้องรู้ว่ามีอะไรเกิดขึ้น ใครทำอะไร ตรงไหน จากนั้นจึงมาตกลงทางสังคมว่าความผิดที่เกิดขึ้นอย่างนี้ แล้วคนผิดยอมรับผิด เราจะทำอย่างไร จะให้อภัยและจะอยู่กันอย่างไร แต่ถ้าความจริงยังไม่ปรากฏ มันไม่ใช่ฝ่ายค้าน มันยังเป็นฝ่ายแค้นกันอยู่อย่างนี้นะ มันปรองดองไม่ได้ ยกเว้นว่าอ้างเป็นคำพูดเฉย ๆ

 

แล้วสำหรับสิ่งที่ทางรัฐบาลเสนอไป ซึ่งอาจจะยกออก (พ.ร.บ.ปรองดอง) ก็ชื่อพ.ร.บ.ปรองดอง แต่ความจริงมันก็ไม่ตรงสักเท่าไร เพราะฉะนั้นก็เป็นเรื่องของทางพรรคที่เขาจะพิจารณา เพียงแต่ในความเห็นทางหลักการนะ ไม่ใช่ในทางนปช.ด้วย ในฐานะหลักการของการปรองดองของประเทศชาติทุกประเทศ ต้องทำความจริงให้ปรากฏก่อน จึงจะปรองดองได้ บางครั้งกินเวลายาวนาน แล้วต้องยอมรับผิดและยอมรับความจริง การปรองดองจึงจะเกิดขึ้น แต่ถ้าต่างฝ่ายต่างยังโทษกันนะ มันไม่มีทาง การปรองดองจะเกิดขึ้นไม่ได้ถ้ายังอยู่ในห้วงแห่งการต่อสู้ เมื่อไหร่การต่อสู้ยุติโดยสิ้นเชิง แต่ตอนนี้เมืองไทยเห็นมั้ย มันยุติที่ไหน มันยังไม่ยุติเลย

 

เพราะฉะนั้น คำว่าปรองดอง มันเกิดขึ้นยาก ต้องเอาความจริงนั้นมาทำให้สังคมยอมรับและตระหนักในความจริง แล้วจะมาบอกว่าเราจะเดินต่อกันอย่างไร มันถึงจะเกิดขึ้นได้ ไม่ใช่ไม่อยากปรองดองนะ แต่ว่านี่พูดแบบวิชาการจริง ๆ บางคนบอกงั้นไม่ปรองดองเหรอ ไม่ใช่! แต่ที่พูด ๆ กันนะ ขอบอกเลย นินทานิดนึง ปรองดองไม่จริงหรอก ปรองดองแต่ปาก แต่ว่ามีมีดเหน็บข้างหลังทั้งนั้นเลย

 

เพราะการเมืองบ้านเรามันไม่ใช่ระบอบประชาธิปไตย ยิ่งเห็นการไต่สวนที่ศาลรัฐธรรมนูญ เห็นชัดเลยว่าประเทศนี้กำลังปกครองด้วยระบอบอำมาตย์ คำหนึ่งก็ลืมล้าง คำหนึ่งก็จงรักภักดี กลายเป็นว่าคนอื่นไม่จงรักภักดีทั้งหมด คือฟันธงได้เลยว่ามันเป็นการเมืองระบอบอำมาตย์ เมื่อมันเป็นการเมืองในระบอบอำมาตย์ และมันเป็นการเปลี่ยนแปลงไปสู่ระบอบประชาธิปไตย การต่อสู้มันจะไม่ใช่ ที่ว่าข้างนอกแล้วก็โอเคนะ มันไม่ใช่อย่างนั้นแล้วนะ และมันไม่ใช่ธุรกิจด้วยว่าไม่มีมิตรแท้ศัตรูถาวร เพราะหลายคนยังมองคุณทักษิณเป็นศัตรูถาวร มองเสื้อแดงเป็นศัตรูถาวร มองเป็นผู้ร้ายตลอดกาลอะไรประมาณนั้น

 

เพราะฉะนั้น มันไม่ใช่แบบที่คิดนะ ที่คิดว่าจะปรองดองง่าย ๆ มันไม่ใช่นะคะ เพราะว่าเขาประเมินว่าคนละซีกข้าง มันเป็นซีกข้างที่ดูเหมือนกับว่าเขาไม่ยอมให้ไปด้วยกันได้ มันมีแต่คิดว่าต้องฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดหายไปหรืออะไรอย่างนั้น นี่ไม่ใช่เราพูดนะ คุณประเมินดูจากที่เขามาพูดที่ศาลรัฐธรรมนูญซิ ถามคำถามอะไรคนเสื้อแดงที่ดูหน้าจอยังทนไม่ได้เลย รู้สึกโมโหมาก

 

พบปะพี่น้องที่ยุโรป โรงเรียน นปช.

 

คือพีน้องที่ต่างประเทศหรือแม้กระทั่งพี่น้องในประเทศ เขาก็มีความเก่ง ที่เปิดโรงเรียนนปช.นั้น จริง ๆ ก็คือเรานำสาส์นมาแจ้งกับพี่น้องเราว่า แนวทางนโยบาย หลักนโยบาย ยุทธศาสตร์ ยุทธวิธี วิธีคิด วิธีทำงาน อย่างเป็นระบบในการต่อสู้เป็นอย่างไร สรุปบทเรียนการต่อสู้ที่แล้วมาเป็นอย่างไร แล้วก็แลกเปลี่ยนเพื่อนำเสนอในการต่อสู้ในช่วงต่อไป นี่คือลักษณะโรงเรียนของเรา แต่ไม่ได้หมายความว่าพี่น้องเขาไม่ได้มีต้นทุน แต่ต้นทุนที่เขามีอยู่มันเป็นลักษณะข้อมูลข่าวสาร ซึ่งครบถ้วนบ้าง ไม่ครบถ้วนบ้าง แต่สิ่งที่เราทำไปก็คือเอาหลักการของเราไปนำเสนอ ให้เขาวิเคราะห์วิจารณ์ แม้กระทั่งการถอดบทเรียนของการต่อสู้ และการนำเสนอยุทธศาสตร์ ยุทธวิธี

 

แต่ที่ไปครั้งนี้ที่ยิ่งกว่านั้น คือไปกระชับการตั้งองค์กรจัดตั้ง แล้วเตรียมการในการศึกษาเต็มรูปแบบของโรงเรียนในรอบต่อไป ที่สำคัญก็คือไปขอร้องเขา ให้เขาเตรียมพร้อมสำหรับสถานการณ์ใหม่ คือเรามีเวลาไม่ทันเพราะเราต้องไปหลายที่ เราไปตอบคำถาม เราไปนำเสนอหลักนโยบายอย่างย่อ ๆ เท่าที่เราทำได้ ไปตอบคำถามข้อข้องใจ ทำไมนปช.ไม่ทำอย่างนั้น ไม่ทำอย่างนี้ ปัญหามาตรา 112 เป็นยังไง ปัญหาคนที่อยู่ในเรือนจำเป็นยังไง แล้วก็การต่อสู้จะเป็นอย่างไร ปัญหาการแตกความสามัคคีจะเป็นอย่างไร นี่ยกตัวอย่าง ก็คุยแลกเปลี่ยนกันยาวมากในแต่ละที่

 

แต่ที่สำคัญก็คือ เราต้องการให้เขารู้ว่าขณะนี้ประเทศชาติเข้าขั้นวิกฤตทางการเมืองรอบใหม่ เพราะฉะนั้น เขาเป็นเขตยุทธศาสตร์ที่ 4 เขตยุทธศาสตร์ที่ 4 ของเราคือเขตต่างประเทศที่ยังอ่อนอยู่ เราต้องยกระดับการต่อสู้ในเขตยุทธศาสตร์ที่ 4 โดยเฉพาะอย่างยิ่งการต่อสู้รอบใหม่สำคัญมาก เพราะการต่อสู้รอบใหม่อาจจะรุนแรงกว่าการต่อสู้รอบก่อน ๆ ที่ผ่านมา เพราะ 1) คนเข้าร่วมขบวนมาก คนอาจจะโมโหมาก เจ็บแค้นมาก อาจจะเกิดปัญหามากมายที่เราไม่สามารถควบคุมได้ เพราะฉะนั้นเราต้องเตรียมพี่น้องต่างประเทศให้เตรียมพร้อมว่า ถ้าแม้นมีอะไรเกิดขึ้นในประเทศไทย เขาต้องเชื่อมโยงกับการต่อสู้ของเรา เขาต้องสนับสนุนเรา เขาต้องทำให้การต่อสู้ของเรานั้นออกสู่สังคมโลกอย่างเร็วที่สุด

การไปเตรียมคือโรงเรียนก็ทำได้ในระดับย่อ แต่ว่าจริง ๆ นั้น ถ้าจะทำโรงเรียนเต็มนั้นมันต้องใช้เวลา และต้องแจ้งก่อนล่วงหน้า 3 เดือน

 

การเดินทางไปครั้งนี้ได้รับความสนใจจากคนในพื้นที่มากน้อยแค่ไหนคะ?

 

ก็คงเรียกว่าจำนวนหนึ่งที่เขาพบเห็นเรา อย่างที่เราไปที่เยอรมัน หรือที่หอไอเฟล หรือที่กำแพงเบอร์ลิน คือที่ที่เราไปนั้นเป็นสถานที่เกี่ยวข้องกับการเมือง และวัดไทยในต่างประเทศเป็นสถานที่ที่ทำโรงเรียนนปช.ได้ดี  ก็เรียกว่าเรามีทุกที่ จะเป็นวัด จะเป็นลาน จะเป็นสถานที่ทำงาน เป็นโรงเรียนนปชงได้หมด หลายคนคิดว่าจะต้องเป็นโรงเรียนแบบโรงเรียนประจำของเรา มันไม่ใช่!

 

ที่เดนมาร์กค่อนข้างได้ผลมาก จนกระทั่งพี่น้องที่อยู่ EU นอนไม่หลับเลยหลังจากอาจารย์กลับ ดีใจว่าได้ตอบคำถามที่มันค้างคาอยู่ในใจและเป็นสาเหตุของการแตกแยกของพวกเขามากเลย มีคนหนึ่งเขาบอกเขาไม่สามารถนอนหลับได้เลย ด้วยความดีใจ เพราะว่าเราคล้าย ๆ ได้ช่วยกันตอบคำถาม ส่วนที่ฝรั่งเศสก็มีการชุมนุมกันที่ร้านอาหาร ที่ลานกิจกรรม และที่ข้างหอไอเฟล นอกจากนี้ยังได้นำผู้สื่อข่าวเดินทางไปเก็บภาพการเดินทางครั้งนี้ รวมถึงส่งข้อมูลข่าวสารกลับมาให้พี่น้องเสื้อแดงที่ที่นี่ ทำให้พี่น้องเราต่างคนต่างมีกำลังใจ มันเป็นกำลังใจซึ่งกันและกัน แล้วเขามีหน้าที่ที่เราบอกยุทธวิธีว่า ให้ตีฆ้องร้องป่าว คือต่อไปนี้จะมาปิดประตูตีแมวฆ่าคนไทยไม่ได้แล้ว ฆ่าคนมือเปล่าไม่ได้แล้ว พี่น้องต่างแดนมีหน้าที่จะต้องทำให้ออกข่าวสู่สังคมโลก


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #ICC