วันอังคารที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2567

นพ.เหวง โตจิราการ : เสวนาในหัวข้อ “เดือนตุลานอกกระแส : บางแง่มุมของขบวนการเดือนตุลาที่ไม่เคยเห็น” ช่วงที่ 2 : ความเชื่อมโยงระหว่างการเคลื่อนไหวในช่วงเหตุการณ์ 6ตุลา19

 


นพ.เหวง โตจิราการ : ความเชื่อมโยงระหว่างการเคลื่อนไหวในช่วงเหตุการณ์ 6ตุลา19 (ช่วงที่ 2)


วงเสวนาในหัวข้อ “เดือนตุลานอกกระแส : บางแง่มุมของขบวนการเดือนตุลาที่ไม่เคยเห็น”

งาน 48 ปี 6ตุลาฯ กระจกส่องสังคมไทย

เมื่อวันที่ 5 ตุลาคม 2567

ที่ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์


ถ้าเราจะทำความเข้าใจ 6ตุลา19 ที่สำคัญที่สุดเราจะต้องทำความเข้าใจย้อนหลังไปตั้งแต่สมัยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ทำการยึดอำนาจรัฐประหารในปี 2500 เพราะว่าหลังจากที่จอมพลสฤษดิ์ยึดอำนาจในปี 2500 แล้ว จอมพลสฤษดิ์ปกครองด้วยระบอบเผด็จการเบ็ดเสร็จ เขามีมาตรา 17 สามารถประหารชีวิตคนได้โดยไม่ต้องพิจารณาผ่านศาล


อย่างที่คุณศักดินา ฉัตรกุล ณ อยุธยา นักวิชาการด้านแรงงาน และผู้ริเริ่มก่อตั้งพิพิธภัณฑ์แรงงานไทย ได้พูดเมื่อสักครู่นี้ กรรมกรก็ถูกกดขี่ข่มเหงอย่างรุนแรง ผมจำไม่ได้แล้วว่าค่าแรงขั้นต่ำเท่าไหร่ แต่วันหนึ่งไม่ถึง 10 บาทนะ สมัยโน้นไม่ถึง 10 บาท เพราะฉะนั้นกรรมกรทุกข์ยากมากตลอดระยะเวลา 16 ปี เช่นเดียวกับชาวไร่ชาวนา ราคาพืชผลทางการเกษตรถูกกดราคาอย่างต่ำเตี้ยติดดิน เรียกว่าขายขาดทุน ชาวนามีแต่หนี้สิน ต้องกู้นายทุนนอกระบบ ดอกเบี้ยร้อยละ 2 บาทต่อวัน ชาวไร่ชาวนากับกรรมกรทุกข์ยากอย่างแสนสาหัสตลอดระยะเวลา 16 ปี


หลังจากเกิดเหตุการณ์ 14ตุลา16 ขึ้นแล้ว บรรยากาศเสรีภาพมันเบ่งบานทั่วทั้งประเทศไทย ก็เลยทำให้มีกรรมกรต่อสู้เรียกร้องค่าแรงขั้นต่ำเกือบจะทุกโรงงาน เมื่อสักครู่คุณศักดินาได้บอกแล้วว่า ตลอดทั้งปีรู้สึกจะพันกว่ากรณี 3-4 พันเลยนะครับ ชาวไร่ชาวนาก็เหมือนกัน ทุกหนทุกแห่งเขาลุกขึ้นสู้เพื่อที่จะให้มีการประกันราคา อย่างน้อยก็ซื้อในราคาที่ไม่ขาดทุน ขณะเดียวกันก็กดดอกเบี้ยให้ต่ำลงให้เท่ากับดอกเบี้ยมาตรฐานของธนาคาร ฉะนั้น การเคลื่อนไหวของชาวนา/กรรมกรคึกคักมาก


ขณะเดียวกันนิสิตนักศึกษาก็เห็นความจำเป็นในการที่จะทุ่มโถมตัวเองไปรับใช้กรรมกรชานา เพื่อที่จะผลักดันการต่อสู้ของกรรมกร/ชาวนา ยกระดับคุณภาพให้สูงขึ้น เช่นเอาความรู้ทางนิติศาสตร์ไป เอาความรู้ต่าง ๆ ร่วมกันต่อสู้ ก็เลยทำให้พวกขวาจัดกลัวอย่างรุนแรง กลัวมากเลย กลัวการเคลื่อนไหวของนิสิตนักศึกษา ทั้ง ๆ ที่การเคลื่อนไหวของนิสิตนักศึกษาไม่ได้มีเป้าหมายในการที่จะสร้างสังคมคอมมิวนิสต์ ไม่ได้มีเป้าหมายในการสร้างสังคมนิยมเลย แต่ต้องการที่จะช่วยเหลือทำให้ชีวิตของกรรมกร/ชาวไร่ชาวนาดีขึ้นเท่านั้นเอง


พวกขวาจัดก็เริ่มต้นในการที่จะหาทางทำลายนิสิตนักศึกษา โดยการปั่นหัวนักเรียนอาชีวะ โดยใส่ร้ายป้ายสีนักเรียนนักศึกษาว่าพวกศนท. พวกนักเรียนนักศึกษาจงใจในการใช้ให้นักเรียนอาชีวะไปตาย โดยที่พวกพี่ ๆ นักศึกษาทั้งหลายเสวยสุข ก็คือเอาเงินบริจาคของประชาชนหลายสิบล้านไปถลุง ไปปรนเปรอ ไปเที่ยวผับเที่ยวบาร์ ไปเที่ยวซ่องโสเภณี ก็เลยทำให้นักเรียนอาชีวะจำนวนหนึ่งหลงเชื่อไปตามพวกขวาจัด พวกขวาจัดก็เลยนำเอานักเรียนอาชีวะดังกล่าวเข้าไปฝึกในค่ายทหาร และจัดตั้งเป็นกลุ่มกระทิงแดงขึ้นมา กลุ่มกระทิงแดงมีหน้าที่อย่างเดียวก็คือพกปืนไปไล่ยิงนักศึกษาที่ไปติดโปสเตอร์เชิญชวนประชาชนให้มาชุมนุม


ขณะเดียวกันพร้อม ๆ กับสิ่งที่เกิดขึ้นกับองค์กรชาวนา การเคลื่อนไหวของสงครามอินโดจีนมันรุนแรงขึ้น เมื่อสักครูผมได้เรียนไปในตอนต้นแล้ว มีฐานทัพอเมริกาในประเทศไทยถึง 12 แห่งด้วยกัน ที่อู่ตะเภา, ตาคลี, อุบลราชธานี, อุดรธานี, นครพนม, น้ำพอง ขอนแก่น, สัตหีบ, ลพบุรี, เขื่อนน้ำพุง โคราช, กาญจนบุรี, ดอนเมือง กรุงเทพฯ กระจายไปเกือบทั่วประเทศ ยกเว้นภาคใต้เท่านั้นเอง ภาคกลาง ภาคเหนือ ภาคอีสาน เต็มไปหมด และการโจมตี 3 ประเทศอินโดจีนรุนแรงมาก จนทำให้แนวร่วมปลดปล่อยประชาชนเวียดนาม เขาเรียกว่าเวียดมินห์ ตอนนั้นยังไม่ได้ประกาศว่าเป็นคอมมิวนิสต์ เห็นว่ามีการโจมตีรุนแรงมากจากฐานทัพอุดรฯ ก็เลยส่งหน่วยปฏิบัติการพิเศษของเขา มาเผาเครื่องบิน F16 ของอเมริกันที่ฐานทัพอุดร เพราะฉะนั้นกระแสมันก็ขึ้นสูงมาก ท่านก็คงเห็นภาพว่าฝ่ายขวาเขาพยายามที่จะทำลายนิสิตนักศึกษาโดยตลอด แต่ว่าเขายังไม่สบช่องโอกาสเหมาะ


นิสิตนักศึกษาก็เลยถือเอาเป้าในการที่จะขับไล่ฐานทัพอเมริกันเป็นเป้าหมายใหญ่เป้าหนึ่ง นอกเหนือจากลงไปช่วยเหลือกรรมกร/ชาวนา พอวันที่ 4 ก.พ. 2518 ก็เลยนัดชุมนุมกันที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์แห่งนี้ พร้อม ๆ กันนั้นในสมัยรัฐบาลอาจารย์คึกฤทธิ์ ท่านก็เห็นว่าประชาชนทั้งประเทศเขามีความไม่พอใจกับฐานทัพ อาจารย์คึกฤทธิ์ก็เลยเริ่มเจรจากับทางอเมริกันเพื่อขอร้องให้อเมริกันถอนฐานทัพออก แล้วปรากฎว่าอาจารย์คึกฤทธิ์ได้ประกาศต่อสาธารณะในครั้งแรกว่าจะให้อเมริกันถอนฐานทัพออกในวันที่ 20 มี.ค. 2519


พอวันที่ 4 ก.ค. 2518 ศูนย์นิสิตฯ ก็นัดชุมนุมพี่น้องประชาชนทั่วทั้งประเทศเพื่อแสดงพลังว่าเราไม่ต้องการให้มีฐานทัพอเมริกันในประเทศไทย แต่เป็นการชุมนุมในลักษณะที่เสนอคำขวัญหรือเสนอทิศทางเท่านั้นเอง แต่พออาจารย์คึกฤทธิ์บอกว่าวันที่ 20 มี.ค. 2519 จะให้อเมริกันถอนฐานทัพทั้งหมด นิสิตนักศึกษาและศนท.ก็เลยนัดชุมนุมใหญ่ในวันที่ 20 มี.ค. ปรากฏว่าท่านอาจารย์คึกฤทธิ์ท่านอาจจะมีความสามารถทางการเมืองสูง ท่านก็เลยผ่อนปรน ท่านอาจจะสัมผัสชีพจรการเคลื่อนไหวและความเกลียดชังของพี่น้องประชาชนทั้งประเทศได้ ท่านก็เลยพยายามที่จะคุยกับอเมริกาให้ถอนไป


ในวันที่ 20 มี.ค. ที่มีการชุมนุมใหญ่นั้นเอง อาจารย์คึกฤทธิ์ก็ออกมาบอกว่าขอเวลาสัก 4 เดือน ให้อเมริกันเขาถอนฐานทัพออก มันต้องใช้เวลาเพราะอาวุธมันเยอะแยะ และคนก็เยอะแยะ ทำให้ศูนย์นิสิตฯ ก็รู้สึกไม่สบายใจ นึกว่าท่านอาจารย์คึกฤทธิ์อาจจมีเล่ห์เหลี่ยมหรือมีกุศโลบายทางการเมืองอะไรหรือป่าว วันนั้นก็เลยเคลื่อนขบวนจากสนามหลวงไปยังสถานทูตอเมริกันครั้งหนึ่ง คราวนี้พวกขวาจัด อย่างที่ผมเรียน เขาจัดตั้งกองกำลังติดอาวุธเถื่อนขึ้นมาเพื่อไล่เข่นฆ่านักศึกษาประชาชนอยู่แล้ว พอเคลื่อนขบวนผ่านสยามสแควร์เท่านั้นเอง ระเบิดลงเลย จากกองกำลังติดอาวุธขวาจัดนั่นแหละ นักศึกษาตาย 4 ศพครับ แล้วก่อนหน้านั้นก็มาเผาหอประชุมใหญ่ที่นี่ฮะ กระทิงแดงนี่แหละ เอาปืนเข้ามายิงแล้วมาเผาหอใหญ่ด้วย แต่พวกเราศูนย์นิสิตฯ ก็ไม่ถอย ก็เดินไปที่สถานทูตอเมริกันแล้วก็ติดแผ่นผ้าเพื่อเรียกร้องให้ถอนฐานทัพอเมริกันออกไปตามที่อาจารย์คึกฤทธิ์ให้คำมั่นสัญญาไว้


ก็ปรากฏว่าการเคลื่อนไหวของนักศึกษากดดันรัฐบาลคึกฤทธิ์ ขณะเดียวกันผมเชื่อว่าอาจารย์คึกฤทธิ์ท่านเก่ง ท่านก็เลยสามารถที่จะนำเอาเหตุผลที่ประชาชนทั้งประเทศเกลียดชังฐานทัพอเมริกันมาก ๆ ไปบอกอเมริกัน ก็เลยทำให้อเมริกันถอนฐานทัพในช่วงเดือนมิถุนายนปี 2519 ครับ 


ในปี 2519 ได้มีเหตุการณ์ใหญ่ของโลกเกิดขึ้นมากมาย คือกัมพูชาปลดปล่อยต้นเมษา และเวียดนามก็ปลดปล่อยในปลายเมษา ก็เลยทำให้ฝ่ายขวาจัดกลัวมาก เพราะอเมริกันเขาประกาศทฤษฎีโดมิโนไปทั่วประเทศ และคนทั้งโลกเชื่ออเมริกัน คือโดมิโนหมายความว่าถ้ามีวัตถุตั้งอยู่และเรียง ๆ ๆ กันไป 5 หรือ 10 กิโลเมตร ถ้าวัตถุชิ้นแรกล้ม วัตถุชิ้นต่อ ๆ ไปก็ล้มตามหมดเลย อเมริกันเขาบอกว่าถ้าเวียดนาม ลาว กัมพูชาเป็นคอมมิวนิสต์เมื่อไร ไทยเป็นคอมมิวนิสต์เมื่อนั้น! พม่าเป็นคอมมิวนิสต์ต่อ อินเดียเป็นคอมมิวนิสต์ต่อ ตะวันออกกลางเป็นคอมมิวนิสต์ต่อ ไปถึงยุโรปตะวันตก และลงไปถึงอัฟริกา ทางใต้ก็ลงไปมาเลเซีย ไปสิงคโปร์ ไปอินโดนีเซีย ไปทวีปออสเตรเลียโน่นเลย ทำให้คนตกใจ ก็เลยที่จะพยายามหาทางทำลายขบวนการนิสิตนักศึกษา


พวกขวาเขารู้ พวกนี้เขาฉลาด ท่านทั้งหลายอย่าไปมองข้ามหรือดูเบาว่าพวกขวาเขาโง่ ไม่ใช่นะ เขาฉลาดมาก เขารู้วิธีการในการที่จะขุดหลุมล่อให้นักศึกษาตกหลุมล่อแล้วก็ปิดหลุมและทำลายเลย เขาก็เลยเอาจอมพลประภาสที่เข้ามา ปรากฏว่าครั้งแรกไม่สำเร็จ เพราะความไม่พอใจของพี่น้องประชาชนที่มีต่อ สฤษดิ์-ถนอม-ประภาส ยังรุนแรงอยู่ เขาก็เลยพยายามอีกที เอาจอมพลถนอมที่บวชเป็นเณรที่สิงคโปร์เข้ามาใหม่ อ้างว่ามาปรนนิบัติคุณพ่อที่อายุมากแล้ว คราวนี้เข้ามาสำเร็จ


นักศึกษาก็ชุมนุมกันที่สนามหลวงและมีการอภิปรายกันว่ามันเหมาะสมหรือเปล่า เพราะสนามหลวงเป็นที่โล่ง และพวกกระทิงแดง/กองกำลังติดอาวุธเถื่อนเคยมาเผาหอประชุมใหญ่แล้ว ถ้าชุมนุมกันที่สนามหลวงก็อาจจะเกิดโอกาสที่พวกนั้นจะปิดล้อมและสังหารประชาชนที่ไม่มีทางหนี เลยย้ายเข้ามาชุมนุมในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ อย่างที่คุณศักดินาพูดเมื่อสักตรู่นี้นะครับ คือเขาฆ่าพนักงานการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (ชุมพรกับวิชัย) และแขวนคอด้วย ตอนนั้นมันอื้อฉาวมากเลยว่าคนฆ่าสมัยโน้นเขาบอกว่าเป็นตำรวจ ซ้อมจนน่วมแล้วเอาไปแขวนคอจนตาย


ทีนี้การเคลื่อนไหวของนักศึกษาทุกครั้งจะมีการแสดงละคร พอย้ายเข้ามาในธรรมศาสตร์ก็มีการแสดงละคร เพื่อที่จะเปิดโปงให้สาธารณชนทราบว่ามีพนักงานการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคที่นครปฐมถูกแขวนคอกับกำแพงแดง 2 ศพ แต่รัฐบาลสมัยโน้นไม่สนใจในการที่จะจับคนร้าย ก็เลยมาแสดงละครประจาน ปรากฏว่ามีสื่อฯ ขวาจัดคือ “ดาวสยาม” ไปแต่งภาพและใส่ร้ายป้ายสีหาว่านักศึกษาต้องการโค่นล้มสถาบันฯ หาว่าในธรรมศาสตร์มีแกวแดง มีญวนแดง หาว่าในธรรมศาสตร์กินหมา เพราะเขาบอกว่าพวกนั้นกินหมา มีรองเท้าทำด้วยยางรถยนต์ เขาบอกว่าพวกนั้นใช้ยางรถยนต์มาตัดเป็นรองเท้า


เที่ยวนี้เขาเลยประสบความสำเร็จ แล้วก็เอากองกำลังติดอาวุธ ก็คือตำรวจตระเวนชายแดงที่ค่ายนเรศวร พร้อมอาวุธขนาดหนัก กระสุนนัดแรกเลยเขาบอกกันว่าเป็น M79 ยิงเข้ามาในสนามหญ้า มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ตรงหน้าตึกนิติฯ แต่ว่าหลังจากนั้นเขาก็มีปืนบาซูก้าเป็นปืนทำลายรถถังขนาดยักษ์ พร้อมกับอาวุธปืนทุกชนิดถล่มเข้ามาเลย พอเข้ามาก็จับนักศึกษาคล้องคอด้วยผ้าพันคอลูกเสือชาวบ้านแล้วลากไปตามสนามหญ้า (สนามฟุตบอล) แล้วกระทืบ ใช้ปืน M16 กระทุ้ง บางคนก็ลากไปแขวนคอที่สนามหลวง ใช้ไม้ยาว ๆ ตีจนเสียชีวิต เสียชีวิตแล้วก็ยังเอาเก้าอี้พับที่เป็นเหล็กตีอีกให้แกว่งไปแกว่งมา นักศึกษาชายบางคนก็ถูกนำไปทับกัน 4 คน แล้วใช้ยางรถยนต์ทับลงไป 4-5 เส้น ราดน้ำมันแล้วจุดไฟเผา


คนที่อยู่ในเหตุการณ์มาเล่าให้ผมฟังว่าเพื่อน ๆ เราน่าสังเวชมาก ดิ้นรนด้วยความเจ็บปวด แล้วกลิ่นควันมันคละคลุ้งไปหมด นักศึกษาหญิงถูกข่มขืน บางคนถูกข่มขืนจนตาย ถ้าไม่ตายเขาก็ใช้ขวดน้ำอัดลมสมัยนั้นเป็นแก้ว ตีขอบฟุตบาทให้เป็นปากฉลาม ขออนุญาตครับ แทงเข้าไปในช่องคลอดจนเสียชีวิตครับ ในที่สุดนักศึกษาก็ถูกปราบจนเรียบและลงเอยด้วยยึดอำนาจรัฐประหาร 6ตุลา19 โดย พลเอกสงัด ชะลออยู่


ผมขออนุญาตเพิ่มเติมตรงนี้นิดเดียวก็คือว่า 6ตุลา19 คณะรัฐประหารชุดนี้นี่แหละไปแก้กฎหมาย ม.112 ครับ เพราะฉะนั้นในบรรดาคนทั้งหลายที่บอกว่า ม.112 แก้ไม่ได้ ไม่ใช่ครับ! ไม่ใช่ครับ! ไปดูซิครับ! แก้มาแล้วครับ คณะรัฐประหาร 6ตุลา19 แก้ครับ แล้วให้มันสาหัสยิ่งขึ้น เพราะมีโทษขั้นต่ำ 3 ปี โทษขั้นสูง 15 ปี ขออนุญาตด้วยความเคารพ ในสมัยล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ 5 ซึ่งเป็นระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ที่สมบูรณ์ที่สุดของประเทศไทย ความผิด 112 ไม่มีโทษขั้นต่ำ โทษขั้นสูงแค่ 5 ปีครับ


เพราะฉะนั้น พวกรัฐประหาร 6ตุลา19 ไปแก้ให้มันสาหัสยิ่งขึ้น และใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองในการทำลายล้างฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองของตนเอง ในสมัยนั้นก็ใส่ร้ายป้ายสีว่าเป็นคอมมิวนิสต์


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #หมอเหวง #รำลึก48ปี6ตุลา #6ตุลา19