Stand Together ล้อมวงคุย “With Love and Soul” เปิดใจผู้ต้องหาการเมืองที่ต่อสู้ด้วยฝีแปรงและหยาดสี ก่อนฟังคำพิพากษาสิ้นเดือนเมษา 68 อ.ทัศนัย บอกเล่าผลงานศิลปะและการต่อคดีการเมือง โตโต้ เผยการเป็นนักการเมือง คู่ขนานไปกับการต่อสู้
วันนี้ (19 เมษายน 2568) เวลา 17.00 ที่อาคาร All Rise (iLaw) เครือข่ายประชาชนเพื่อสิทธิทางการเมือง (Thumb Rights) จัดกิจกรรม “STAND TOGETHER EP.13: With Love and Soul” บทสนทนา ดนตรี และลายเส้นที่ถักทอเรื่อง “รักและวิญญาณ” ผ่านประสบการณ์ของศิลปินและคนธรรมดาที่ไม่ก้มหัวให้กับความอยุติธรรม โดยมีวงเสวนาบอกเล่าประสบการณ์การต่อสู้จากปลายฝีแปรงและหยาดสี และปิดท้ายด้วยการเล่นดนตรีในธีมความรักคือพลังในการต่อสู้
ในเวลา 17.05 น. เริ่มกิจกรรมวงเสวนา “รักและวิญญาณ” มีผู้ร่วมเสวนาทั้งสิ้น 3 คน ได้แก่ “ออย” สิทธิชัย และ สายน้ำ จำเลยในคดีชุมนุม #Saveหยก รวมทั้ง “รามิล” ศิวัญชลี วัชญเสรีวัฒน์ จำเลยในคดีชุมนุมที่ลานอนุสาวรีย์สามกษัตริย์ โดยมี ธีรภพ เต็งประวัติ เป็นผู้ดำเนินรายการ โดยสรุปประเด็นสำคัญได้ดังนี้
ด้าน “ออย” สิทธิชัย กล่าวว่าสำหรับการเคลื่อนไหวของเขา เริ่มจากความอยากรู้อยากเห็น จนออกไปชุมนุมและแจ้งเกิดจากการชุมนุมที่ดินแดง จนมารู้จักกับสายน้ำในเวลาต่อมา และสำหรับการเคลื่อนไหวทางการเมืองของเขา จนทำให้เกิดการ ‘Save เพื่อน’ นั้นเป็นไปโดยสัญชาติญาณ เพราะเราไม่ได้อยากให้ใครโดนจับ ไม่ได้อยากให้ใครต้องเข้าเรือนจำ
ส่วนสายน้ำ ตอนหนึ่งเล่าว่า หลังจากเขาและเพื่อนโดนจับกุมก็โดนจับแยกขัง 3 สน. วันต่อมาก็ถูกนำตัวไปฝากขังที่ศาลอาญา แต่ก็เกิดเหตุขัดข้องจนเริ่มไต่สวนคัดค้านการฝากขังในเวลา 19.00 น. แต่ก็ไม่ได้ฟังคำสั่งในวันนั้น จนถูกนำตัวไปขังที่ สน. อีกคืนหนึ่ง จึงเรียกได้ว่าเป็น “ความยุติธรรมไม่มีวันหยุด” และกล่าวต่อว่าช่วงนี้เพิ่งผ่านสงกรานต์มา เชื่อว่าเพื่อนที่อยู่ในเรือนจำก็อยากออกมาเล่นน้ำในวันสงกรานต์และอยู่กับครอบครัวเหมือนกัน
สำหรับสิทธิชัยและสายน้ำ รวมถึงจำเลยอีก 7 คนถูกดำเนินคดีในข้อหาหลักคือต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานและทำให้เสียทรัพย์ จากกรณีชุมนุม #Saveหยก หน้า สน.สำราญราษฎร์ เมื่อปี 2566 โดยศาลอาญามีกำหนดนัดฟังคำพิพากษาในวันที่ 28 เมษายน 2568
ส่วน “รามิล” ศิวัญชลี เขาถูกดำเนินคดีตามมาตรา 112 อีกสองคดีด้วย คือคดี ‘ธงชาติไม่มีสีน้ำเงิน’ และการแสดง Performance Art ป้ายหน้ามหาวิทยาลัยเชียงใหม่ โดยเขาเล่าว่าการที่เขาถูกดำเนินคดีต่าง ๆ นั้นล้วนถูกอีกฝั่งนำไปตีความเชื่อมโยงเพื่อที่จะขัดขวาง กีดกัน และปิดปาก
ศิวัญชลีเล่าว่า กรุงเทพมีอิทธิพลมหาศาลกับการเคลื่อนไหวทั่วประเทศไทย เขาคิดว่าอาจจะเป็นทั้งข้อดีและไม่ดีในเวลาเดียวกัน เพราะข้อเสนอจากกรุงเทพจะมีอิทธิพลกว้างขวางกว่าข้อเสนอจากท้องถิ่น อย่างการแสดง Performance Art ของเขาในหลายครั้งก็ได้รับแรงบันดาลใจมาจากการต่อสู้จากการเคลื่อนไหว เช่น แม่เพนกวิน หรือการอดอาหารของตะวัน-แบม
สำหรับศิลปะและการเมือง เขาคิดว่าการเคลื่อนไหวทางการเมืองจะอยู่กับกระแสไม่ได้ สิ่งเดียวที่จะอยู่ได้คือเจตนารมย์ของมนุษย์ที่จะทำทุกอย่างให้เกิดการเปลี่ยนแปลง และเขามองว่าการสร้างสรรค์งานศิลปะก็ต้องสัมพันธ์กับคน เมือง และบริบทที่เกิดขึ้น
“ตั้งแต่เปลี่ยนมาเป็นรัฐบาลพลเรือนภายใต้พรรคเพื่อไทย และนายกรัฐมนตรีควรจะทราบว่าไม่ได้มีแต่พ่อของเขาที่ไม่อยากติดคุก” ศิวัญชลีกล่าวในตอนหนึ่ง
สำหรับศิวัญชลี ในส่วนที่ถูกดำเนินคดีข้อหาฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ กรณีชุมนุมที่ลานอนุสาวรีย์สามกษัตริย์ ก่อนเดินขบวนไปแจ้งความเจ้าหน้าที่ตำรวจที่สลายการชุมนุมหน้ารัฐสภา เมื่อปี 2563 โดยศาลแขวงเชียงใหม่นัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 5 ในวันที่ 22 เมษายน 2568
ถัดมาอาจารย์ทัศนัย เศรษฐเสรี จากภาควิชา Media Art and Design คณะวิจิตรศิลป์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มาเล่าเรื่องราวของผลงานศิลปะและความรู้สึกต่อคดีการเมือง ตอนหนึ่งเขากล่าวว่า เขาติดตามคำพิพากษาและเห็นความวิบัติในคดีการเมือง ซึ่งยังไม่รวมถึงขั้นตอนในการพิจารณาคดีที่บางครั้งมีพูดว่า “ถ้าใครพูดจะขังให้หมด” หรือแม้กระทั่งการเลือกจดหรือไม่จดบันทึกข้อความที่สำคัญในการสืบพยาน
“ถ้าไม่มีความยุติธรรม ก็หมายความว่าเราไม่มีมนุษยธรรม ซึ่งผู้พิพากษาต้องมีมนุษยธรรมกว่าคนอื่น” ทัศนัยกล่าว
ทัศนัยกล่าวต่อว่า ถึงแม้ว่าวันนี้คนที่มาร่วมงานจะไม่ได้มีมากจนยาวไปถึงห้าแยกลาดพร้าว แต่ก็จำเป็นต้องพูดต่อไปเพื่อนำเอาความยุติธรรมที่หายไปกลับคืนมา และตนไม่เคยสิ้นหวังกับการต่อสู้ เพราะไม่สามารถห้ามพายุของการเปลี่ยนแปลงได้ ไม่ว่าจะหยุดอย่างไรก็ตาม
เขามองว่าการเมืองคือความขัดแย้ง แต่การที่จะทำความขัดแย้งอยู่ร่วมกันได้ ก็คือให้พื้นที่พวกเขาเข้าถึงโอกาสอย่างเท่าเทียมกันในการสร้างสรรค์ผลงานและแสดงออกทางความคิด และฝากถึงประชาชนว่าเขาไม่เคยสูญเสียความฝัน เพราะเห็นคนรุ่นใหม่ลุกขึ้นมาสานต่อในสิ่งที่หลายคนเคยทำไว้ก่อนหน้า
และสำหรับรัฐบาล เขาฝากเป็นข้อความเดียวกับรัฐบาลประยุทธ์ว่า “ออกไปซะเถอะ มันเลวร้ายกว่าสมัยประยุทธ์ เพราะเสียความรู้สึกมากกว่า ด้วยความหวังที่ว่าเขาจะเป็นรัฐบาลตัวแทนประชาชน ถ้าทำในสิ่งที่หาเสียงไว้กับประชาชนไม่ได้ ยังมีคนเข้าเรือนจำ ก็ยุบสภาและเลือกตั้งใหม่”
สำหรับทัศนัยนั้นเป็นหนึ่งในจำเลยที่ถูกดำเนินคดีในข้อหาบุกรุกฯ และทำให้เสียทรัพย์ฯ จากกรณีตัดโซ่และเข้าไปใช้พื้นที่ของหอศิลปวัฒนธรรมของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ หรือ “ทวงคืนหอศิลป์ มช.” เพื่อจัดแสดงงานศิลปะตามรายวิชาเรียน เมื่อปี 2564 โดยศาลจังหวัดเชียงใหม่มีกำหนดนัดฟังคำพิพากษาในวันที่ 22 เมษายน 2568
จากนั้นมี “โตโต้” ปิยรัฐ จงเทพ ส.ส.พรรคประชาชน และหนึ่งในผู้ต้องหาคดีทางการเมืองมากล่าวให้กำลังใจแก่ผู้ที่ถูกดำเนินคดีการเมือง ตอนหนึ่งเล่าว่าสำหรับการเป็นนักการเมือง ก็ยังเป็นอีกบทบาทหนึ่งอยู่คู่ขนานไปการต่อสู้ และเห็นว่าแม้เวลาผ่านไปนานก็มีหลายคนที่เพิ่งถูกสั่งฟ้องคดี แม้กระทั่งตัวเขาเองก็ตาม
ปิยรัฐเล่าว่าเขามีโอกาสได้เข้าไปเยี่ยมผู้ต้องขังการเมืองในเรือนจำตามกลไกของคณะกรรมาธิการฯ ก็มองว่าข้างในนั้นไม่ใช่ที่ที่พวกเขาสมควรจะอยู่ และหวังว่าจะไม่มีใครต้องเข้าเรือนจำเพิ่ม อีกทั้งเป็นกำลังใจให้กับคนที่ต่อสู้อยู่ข้างนอก เช่นเดียวกับคนข้างในเรือนจำที่ยังต่อสู้อยู่ และต่อมามีการร้องเพลงและเล่นดนตรี นำโดย “แก้วใส สามัญชน” ก่อนยุติกิจกรรมในเวลาประมาณ 19.30 น.
#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #นิรโทษกรรมประชาชน #StandTogether #คดีการเมือง