วันพุธที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2568

“ณัฐพงษ์” ยัน “ปชน.”ไม่ร่วม “รัฐบาล” สมัยนี้แน่นอน ไม่มีความเห็น พท.เขี่ย ภท.พ้นรัฐบาล ดึง พปชร.เข้าแทน พร้อมลุยสู้คดี 44 สส. จี้ “นายกฯ” ตอบให้ชัด รัฐบาลสื่อสารไม่ตรง เลื่อนนัดเจรจาภาษีสหรัฐฯ หรือยังไม่ได้นัดกันแน่ เชื่อปม "อุยกูร์" มีผล

 


ณัฐพงษ์” ยัน “ปชน.”ไม่ร่วม “รัฐบาล” สมัยนี้แน่นอน ไม่มีความเห็น พท.เขี่ย ภท.พ้นรัฐบาล ดึง พปชร.เข้าแทน พร้อมลุยสู้คดี 44 สส. จี้ “นายกฯ” ตอบให้ชัด รัฐบาลสื่อสารไม่ตรง เลื่อนนัดเจรจาภาษีสหรัฐฯ หรือยังไม่ได้นัดกันแน่ เชื่อปม "อุยกูร์" มีผล


วันที่ 23 เม.ย. 2568 ที่รัฐสภา นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ สส.บัญชีรายชื่อและหัวหน้าพรรคประชาชน แสดงความเห็นถึงกระแสข่าวรัฐบาลจะผลักพรรคภูมิใจไทยออก แล้วเอาพรรคพลังประชารัฐเข้าไปแทน ว่า เป็นสิ่งที่พรรคเพื่อไทยเองต้องตัดสินใจ หากจะมองต่อไป ในเรื่องสมการ และตัวเลขทางการเมือง หรือ จำวนน สส.ของฝ่ายค้าน ก็ยังมีส่วนของคดี 44 สส. ที่อาจจะส่งผลกระทบต่อ 25 สส.ของพรรคประชาชนที่อยู่ในสภาฯ ด้วย และตัวแปรนี้ก็อาจส่งผลกระทบทางการเมือง


เราคงตอบแทนรัฐบาลไม่ได้ แต่สิ่งที่เราทำได้อย่างเต็มที่ คือการเตรียมตัวในการต่อสู้คดี และผลักดันนโยบาย ส่วนรัฐบาลจะเอาอย่างไร ก็อยู่ที่ตัวนายกรัฐมนตรีเอง แต่สิ่งสำคัญที่สุดที่ประชาชนอยากเห็น คือเสถียรภาพของรัฐบาล ในการเดินหน้าแก้ปัญหาของประเทศ ซึ่งนายกรัฐมนตรีควรให้ความชัดเจนได้มากกว่านี้” นายณัฐพงษ์ กล่าว


เมื่อถามว่า มีความเป็นไปได้หรือไม่ที่จะเอาพรรคภูมิใจไทยออก แล้วเอาพรรคประชาชนเข้าไปแทน นายณัฐพงษ์ กล่าวว่า ไม่น่าเป็นไปได้อยู่แล้ว เรื่องนี้น่าจะตอบได้ค่อนข้างชัด เพราะที่ผ่านมาตนยืนกรานไปหลายครั้งว่า ในสภาชุดนี้ พรรคประชาชนจะไม่เข้าร่วมรัฐบาล


เมื่อถามว่ามีการเจรจาเบื้องลึกเบื้องหลังกับพรรคเพื่อไทยหรือไม่ สำหรับการเลือกตั้งรอบหน้า นายณัฐพงษ์ กล่าวยืนยันว่า ตอนนี้ยังไม่มีการพูดคุยเรื่องการจัดตั้งรัฐบาลกับพรรคร่วมรัฐบาลใด ๆ ทั้งสิ้น รวมถึงพรรคอื่นด้วย ก็ไม่มีการพูดคุยกัน เพราะก่อนก็จะมีการพูดคุยกันเรื่องนี้ น่าจะอยู่ในช่วงใกล้การเลือกตั้งครั้งหน้า ที่จะต้องหารือกันเรื่องจุดยืน อุดมการณ์ทางการเมือง และจุดยืนในการดำเนินนโยบายต่าง ๆ


"ตอนนี้ยืนยันว่าพรรคประชาชนไม่มีทาง ไม่เคยมีโอกาสเข้าไปคุย และไม่คิดจะเข้าไปคุย" นายณัฐพงษ์ กล่าว


เมื่อถามว่ามีการวิพากษ์วิจารณ์การอภิปรายของพรรคประชาชนไม่ดุเดือดเท่าการอภิปรายในสมัยรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นเพราะเอาไว้ต่อรองในการเลือกตั้งรอบหน้า นายณัฐพงษ์ กล่าวว่า ไม่ได้คิดว่าจะจับหรือไม่จับกับพรรคไหน แต่พรรคประชาชนเราชัดเจนว่าต้องการเสนอนโยบายที่เป็นผลประโยชน์สูงสุดของประชาชนเป็นหลัก ยังคงยืนยันในจุดเดิม การทำหน้าที่ของฝ่ายค้านในขณะนี้ คือการทำหน้าที่ฝ่ายค้านเชิงรุก ผลักดันกฎหมาย และยังคงเดินหน้าทำงานต่อไป ส่วนจุดยืนว่าจะจับกับใครนั้น ในการหาเสียงเลือกตั้งครั้งหน้า คงมีการแสดงจุดยืนชัดเจนมากกว่านี้


เมื่อถามว่า เป็นไปได้หรือไม่ ที่พรรคเพื่อไทยจะนำพรรคภูมิใจไทยออก และส่งผลต่อสมการทางการเมือง จนทำให้เสียงปริ่มน้ำหรือไม่ นายณัฐพงษ์ กล่าวว่า ถ้ามองตัวเลขทางการเมือง ก็มีความเป็นไปได้ หากมีเรื่อง 44 สส.เข้ามา แต่อย่างไรก็อยู่ที่ตัวนายกรัฐมนตรี ตนไม่สามารถตอบแทนพรรคเพื่อไทยได้


เมื่อถามถึงเสถียรภาพของรัฐบาลในขณะนี้ นายณัฐพงษ์ กล่าวว่า แน่นอนว่าในกรอบใหญ่ หรือบริบทการค้าโลก เราอยากได้รัฐบาลที่มีเสถียรภาพ ในการไปเจรจาผลประโยชน์ประชาชน พรรคประชาชนแสดงความคิดเห็นทำทุกอย่างตรงไปตรงมาอย่างสร้างสรรค์ ไม่ได้เอาทุกอย่างมาเป็นประเด็นทางการเมือง เพื่อที่จะสั่นคลอนเสถียรภาพของรัฐบาลเป็นหลัก ดังนั้น คงต้องมองเป็นเรื่องๆ เรื่องไหนที่เราสนับสนุนรัฐบาล เพื่อประโยชน์ของประเทศ เราก็พร้อมทำงาน ถ้าเรื่องไหนที่รัฐบาลทำผิด เราก็พร้อมแสดงความคิดเห็นอย่างตรงไปตรงมา


ต่อมานายณัฐพงษ์ ให้สัมภาษณ์ถึงการเจรจาต่อรองกำแพงภาษีกับสหรัฐอเมริกา ว่า การเจรจากับสหรัฐอเมริกาตอนนี้ น่าจะยังมีการสื่อสารไม่ตรงกัน สรุปแล้วเป็นทางสหรัฐฯ เป็นฝ่ายเลื่อน หรือฝั่งไทยเป็นคนเลื่อน เราจึงอยากได้การสื่อสารที่ตรงไปตรงมา


เมื่อถามว่าการเจรจาครั้งนี้ จะล้มเหลวหรือไม่ นายณัฐพงษ์ กล่าวว่า ในฐานะคนไทยคนหนึ่ง อยากจะให้ผลออกมาดีที่สุดอยู่แล้ว แต่จะสำเร็จหรือไม่ อยู่ที่ตัวรัฐบาลเอง หรือคณะที่ไปเจรจา จุดสำคัญที่สุดคือการพูดให้เห็นภาพตรงกัน ไม่อยากให้เกิดความเข้าใจผิด หรือการสื่อสารที่ไม่ตรงกัน ถ้าจุดเริ่มต้นไม่ตรงกัน เช่น ฝั่งไทยบอกว่าสหรัฐฯ ขอเลื่อน ขณะที่อีกฝั่งหนึ่งอาจจะมองว่าไทยไม่ได้นัดไป จริงหรือไม่ ตนจึงมองว่าการเจรจา มีข้อสะดุด หรือไม่ราบรื่น


เมื่อถามว่า กรณีวีซาที่สหรัฐฯ แบนนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องกับการส่งชาวอุยกูร์กลับสาธารณรัฐประชาชนจีน จะมีผลต่อการเจรจาหรือไม่ นายณัฐพงษ์ กล่าวว่า เป็นสิ่งหนึ่งที่เราสื่อสารมาโดยตลอด ว่าการดำเนินการในเรื่องนี้ ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ


"การที่สหรัฐฯ มีการแบนวีซาผู้นำไทยในระดับแกนนำรัฐบาล เป็นสิ่งหนึ่งที่สะท้อนให้เห็นว่า การตัดสินใจของรัฐบาลกระทบต่อเรื่องนี้ และเราก็แสดงความเป็นห่วงมาตลอดอยู่แล้ว" นายณัฐพงษ์ กล่าว


นายณัฐพงษ์ กล่าวยืนยันว่า รัฐบาลควรแสดงความชัดเจนเรื่องนี้ให้มากขึ้น ว่าตกลงแล้วการเจรจา รวมถึงวันเจรจา เรามีความพร้อมมากแค่ไหน อย่างไรก็ตาม ส่วนที่ฝ่ายค้านกังวลตอนนี้ ก็มีหลายส่วน เช่น อำนาจการต่อรองของไทย ไม่ว่าจะเป็นสินค้าต่างๆ ที่ต้องเตรียมกรอบในการเจรจาระหว่างไทยกับสหรัฐฯ รวมไปถึงกรอบการร่วมมือกับประเทศร่วมค้าอื่น และการรับมือของอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบ เช่น การนำเข้าข้าวโพด รวมไปถึงการเยียวยาอุตสาหกรรม หรือห่วงโซ่อุปทานต่างๆ ที่จะย้ายฐานการผลิต และการลงทุนในอุตสาหกรรมใหม่ๆ ที่จะเสริมสร้างจุดแข็งของประเทศไทยในอนาคต ตนคิดว่าสิ่งเหล่านี้ ต้องมีความชัดเจนมากกว่านี้


เมื่อถามว่ามีรายงานว่าประเทศเวียดนามได้คิวแล้ว ยังเห็นด้วยกับการมัดรวมกันไปเจรจาในนามอาเซียนหรือไม่ นายณัฐพงษ์ กล่าวว่า ตนเชื่อว่าในการเจรจาน่าจะมีหลายระดับ พหุภาคีแต่ละประเทศกับสหรัฐฯ ก็มีส่วนสำคัญ แต่การเจรจาในระดับภูมิภาค หรือหลายประเทศรวมกัน เพื่อสร้างอำนาจการต่อรอง ก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน จะเห็นได้ชัดจากกรณีของจีน เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น ที่เรามีการเริ่มพูดคุยกัน ดังนั้นในกรอบของอาเซียน เราควรมีการพิจารณากันในเรื่องนี้ ซึ่งไทยเองก็มีจุดแข็งในด้านภูมิศาสตร์ที่เป็นศูนย์กลางของอาเซียนด้วย จึงไม่ควรทิ้งบทบาทในส่วนนี้


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #พรรคประชาชน