รำลึก
#15ปีเมษาพฤษภา53 ตอนที่ 11
จากบทบรรยาย
ยุทธการขอคืนพื้นที่ เมษา 53
(เหตุการณ์วันที่ 10 เมษายน 2553)
สรุปการสูญเสียชีวิตจากปฏิบัติการ
“ขอคืนพื้นที่” ในบริเวณต่าง ๆ
เสียชีวิตบริเวณกระทรวงศึกษาธิการ
เมื่อเวลาล่วงเลยมาจนถึงประมาณ 15.30 น. ของวันที่ 10 เมษายน 2553 ก็ได้มีกรณีการสูญเสียชีวิตจากการเรียกร้องประชาธิปไตยของกลุ่มผู้ขุมนุมนปช. เกิดขึ้นเป็นรายแรก นั่นก็คือกรณีการเสียชีวิตของนายเกรียงไกร คำน้อย ซึ่งเกิดขึ้นบริเวณสะพานมัฆวานรังสรรค์ ข้างกระทรวงศึกษาธิการ สาเหตุการเสียชีวิตจากการสอบสวนนั้น เนื่องมาจากการถูกยิงที่สะโพกด้วยอาวุธปืนสงคราม กระสุนฝังในช่องท้อง และเสียชีวิตจากสาเหตุเลือดออกในช่องท้องจากบาดแผลที่ถูกยิง ทำให้อวัยวะในช่องท้องฉีกขาด โดยนายเกรียงไกรได้เสียชีวิตในวันที่ 11 เมษายน 2553 เวลา 03.30 น. ที่โรงพยาบาลวชิรพยาบาล จากรายงานการชันสูตรศพระบุว่าเป็นการเสียชีวิตจากกระสุนปืนความเร็วสูง
เสียชีวิตบริเวณคอกวัว
1. นายธวัฒนะชัย กลัดสุข เสียชีวิตช่วงเวลาเกือบ 19.00 น. จากการถูกยิงที่อก จากปากคำของญาติระบุว่า
ก่อนตายทางผู้ตายนั้นได้เป็นคนกันทหารไม่ให้เข้ามาที่สี่แยกคอกวัว
และถูกยิงเสียชีวิตเวลาประมาณ 19.00 น.
2. นายอำพน ตติยรัตน์ เสียชีวิตเวลาประมาณ 19.00 น.เศษ จากการถูกยิงที่หัว
พยานได้เล่าว่านายอำพนก่อนตายหลบอยู่ที่หลังเสาไฟฟ้า ก่อนที่จะถูกยิงในเวลาต่อมา
3. นายไพรศล ทิพย์ลม เสียชีวิตเวลาประมาณ 19.00 น.เศษ จากการถูกยิงที่หัว พยานซึ่งเป็นเพื่อนได้บอกให้เขาวิ่งหลบกระสุน
แต่ผู้ตายได้ก้มหยิบหินและขว้างออกไปพร้อมกับก้มหยิบหินลูกที่สองก่อนที่จะถูกยิงที่ศีรษะ
4. นายเทิดศักดิ์ ฟุ้งกลิ่นจันทร์ เสียชีวิตเวลาประมาณ 20.00 น.เศษ จากการถูกยิงที่อก
พยานได้เล่าว่าตนและผู้ตายได้เข้าช่วยเหลือผู้ที่ถูกยิง
ผู้ตายได้บอกกับพยานว่าให้อุ้มคนเจ็บออกไปก่อน แล้วผู้ตายก็เดินสวนเข้าไป
ด้วยความเป็นห่วง พยานเลยเดินทางเข้าไปภายหลัง แต่ไม่เห็นตรงที่ผู้ตายยืนอยู่
5. นายอนันต์ สิริกุลวาณิชย์ เสียชีวิตเวลาประมาณ 20.00 น.เศษ เสียชีวิตจากการถูกยิงที่คอ
6. นายสวาท วางาม เสียชีวิตเวลาประมาณ 20.00 น.เศษ
จากการถูกยิงที่หัว น้องชายนายสวาทซึ่งอยู่ในเหตุการณ์นี้ด้วย ได้ให้การว่า
ตนเองและผู้ตายอยู่แนวหน้าของผู้ชุมนุม
ขณะนั้นทหารเริ่มยิงกระสุนและแก๊สน้ำตาใส่ผู้ชุมนุม
นายสวาทพี่ชายจึงวิ่งถือธงเข้าไปหาแนวทหารด้วยความโกรธและโดนยิงที่ศีรษะในเวลาต่อมา
สวาทโดนยิงในขณะที่สวนหมวกกันน๊อคสีขาว ถูกยิงที่ศีรษะด้านขวาทะลุขมับซ้าย
หลังเกิดเหตุคุณพ่อของนายสวาทได้ถอดเสื้อเพื่อห่อสมองของบุตรชายที่กองอยู่บริเวณถนนตะนาว
แยกคอกวัว ด้วย
7. นายบุญธรรม ทองผุย เสียชีวิตเวลาประมาณ 20.00 น.เศษ จากการถูกยิงที่หัว ผู้ร่วมเหตุการณ์ให้การว่า
ก่อนผู้ตายถูกยิงมีการผลักกันไปมา
ผู้ตายบอกให้ผู้ชุมนุมซึ่งเป็นผู้หญิงกลับไปเนื่องจากอันตรายมาก
ผู้ตายยืนโบกธงเพื่อให้ทหารหยุด แต่ทหารก็ยิงเข้ามา
8. นายสมิง แตงเพชร เสียชีวิตเวลาประมาณ 20.00 น.เศษ จากการถูกยิงที่หัว พยานได้ให้การว่า
ขณะเกิดเหตุนายสมิงได้วิ่งสวนเข้าไปหาแนวทหาร
ขณะที่คนอื่นนั้นวิ่งออกมาเพราะนึกว่าทหารยิงกระสุนยาง แต่ต่อมาก็ได้ยิงกระสุนจริง
จนเป็นสาเหตุการตายของนายสมิง
9. นายสมศักดิ์ แก้วสาร เวลาเสียชีวิตไม่ทราบแน่ชัด
เสียชีวิตจากการถูกยิงที่อก
ภรรยาระบุว่านายสมศักดิ์ถูกยิงและเสียชีวิตทันทีที่สี่แยกคอกวัว
เสียชีวิตบริเวณถนนดินสอ
โรงเรียนสตรีวิทยา
1. นายบุญจันทร์ ไหมประเสริฐ เสียชีวิตช่วงเวลา 18.00 น. - 19.00 น.
จากการถูกยิงที่บริเวณหัวเหน่า ขณะร่วมชุมนุมที่บริเวณถนนดินสอ
และเสียเลือดมากจากแผลที่ถูกยิง
นายบุญจันทร์ถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลและเสียชีวิตในเวลาต่อมา
2. นายจรูญ ฉายแม้น เสียชีวิตช่วงเวลาเกือบ 20.00 น.เศษ จากการถูกยิงที่อก
ผู้ตายได้เข้าร่วมชุมนุมอยู่บริเวณโรงเรียนสตรีวิทยาและอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย
ถูกยิงด้วยกระสุนปืนความเร็วสูงและเสียชีวิตที่โรงพยาบาล
3. นายทศชัย เมฆงามฟ้า เสียชีวิตช่วงเวลาเกือบ 20.00 น.เศษ เสียชีวิตจากการถูกยิงที่หัวด้วยกระสุนปืน
และเสียชีวิตขณะทำตัวส่งโรงพยาบาล
4. นายวสันต์ ภู่ทอง เสียชีวิตเวลาประมาณ 20.00 น.เศษ เสียชีวิตจากการถูกยิงที่หัวด้วยกระสุนปืนความเร็วสูง
ภาพที่ปรากฎต่อสายตาของคนทั้งโลกต่อการเสียชีวิตของนายวสันต์
เป็นภาพที่นับว่าสยดสยองและสะเทือนขวัญเป็นอย่างมาก
วสันต์เสียชีวิตขณะร่วมชุมนุมบริเวณถนนดินสอ หน้าโรงเรียนสตรีวิทยา
ซึ่งขณะนั้นนายวสันต์ได้ถือธงอยู่ในมือ ถูกยิงล้มลงและเสียชีวิตทันที
ซึ่งนับว่าเป็นความโหดเหี้ยมอำมหิตอย่างมากต่อการกระทำกับประชาชนที่ต่อสู้ด้วยความสันติ
5. นายสยาม วัฒนนุกูล เสียชีวิตในเวลา 20.20 น.
เสียชีวิตขณะนำตัวส่งโรงพยาบาลจากการถูกยิงที่อกขณะร่วมชุมนุมอยู่บริเวณถนนดินสอ
หน้าโรงเรียนสตรีวิทยา
6. นายคนึง ฉัตรเท เสียชีวิตในเวลาประมาณ 20.30 น. เสียชีวิตขณะนำตัวส่งโรงพยาบาล จากการถูกยิงที่อกด้านขวา กระสุนฝังใน
ปอดฉีกขาด
7. นาย Hiroyuki Muramoto เสียชีวิตในเวลาประมาณ 21.00 น.เศษ Hiroyuki เสียชีวิตจาการยิงด้วยกระสุนปืนความเร็วสูงที่อกด้านซ้าย
ขณะกำลังบันทึกภาพเหตุการณ์ที่บริเวณถนนดินสอ หน้าโรงเรียนสตรีวิทยา
และได้เสียชีวิตลงระหว่างนำตัวส่งโรงพยาบาล
เสียชีวิตบริเวณอื่น
ๆ
1. นายมนต์ชัย แซ่จอง เสียชีวิตจากอาการผลกระทบของแก๊สน้ำตา
มนต์ชัยทิ้งแผงขายเทปเพลงมือสองทันทีที่ทราบว่าทหารจะเข้าสลายการชุมนุมที่บริเวณผ่านฟ้า
และบ่ายวันนั้นเขาโดนแก๊สน้ำตา และในเย็นวันนั้นเองเขามีอาการไม่สบาย หนาวสั่น
ต่อมาชีพจรของเขาเต้นเร็วผิดปกติจนต้องนำตัวส่งโรงพยาบาลและเสียชีวิตในเวลา 02.50 น. ของวันที่ 11 เมษายน 2553 แพทย์ได้ระบุในใบมรณะบัตรว่าเกิดจากการติดเชื้อในกระแสเลือด
ส่วนในใบชันสูตรของโรงพยาบาลตำรวจ ระบุว่าระบบหายใจล้มเหลวเฉียบพลัน
2. นายอนันต์ ชินสงคราม
เสียชีวิตช่วงเวลาบ่ายโมงจากอาการผลกระทบของแก๊สน้ำตาหลังจากโดนแก๊สน้ำตาที่ทหารยิงใส่บริเวณสะพานมัฆวานในเวลาบ่ายของวันที่ 10 เมษายน จากนั้นอีก 2-3 วัน
อนันต์ก็มีอาการแน่นหน้าอก หายใจไม่ออก เพื่อนในที่ชุมนุมได้พาไปโรงพยาบาล
พออาการทุเลาก็กลับไปร่วมชุมนุมและมีอาการอีกเป็นระยะ ๆ จนกระทั่งหลังเหตุการณ์ 19 พฤษภา ก็มีการป่วยตลอดและเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลศรีนครินทร์
จ.ขอนแก่น กระทั่งวันที่ 15 ตุลาคม 2553 จึงได้ส่งตัวกลับบ้านและได้สิ้นลมในวันรุ่งขึ้น
3. นายยุทธนา ทองเจริญพูลพร เสียชีวิตในเวลา 20.00 น.เศษ
เสียชีวิตจากการถูกยิงด้วยกระสุนปืนความเร็วสูงที่ศีรษะด้านหลังทะลุด้านหน้า
และนอกจากนี้ยังมีแผลกระสุนยางที่ขา
4. นายมานะ อาจราญ เสียชีวิตช่วงเวลา 23.00 น.
ถึง 23.30 น.
เสียชีวิตจากการถูกยิงที่ศีรษะด้านหลังทะลุด้านหน้า สมองฉีกขาด
5. นายนภพล เผ่าพนัส ช่วงเวลาเสียชีวิตไม่ทราบแน่ชัด
เสียชีวิตจากการถูกยิงด้วยอาวุธปืนสงครามที่ท้อง บริเวณถนนดินสอ
ส่วนของเจ้าหน้าที่ทหาร
ปฏิบัติการขอคืนพื้นที่ในวันที่ 10 เมษายน 2553 นั้น
นอกจากจะมีการสูญเสียชีวิตของพลเรือนจำนวนมากแล้ว
ก็ยังมีการสูญเสียชีวิตของเจ้าหน้าที่ทหารในปฏิบัติการครั้งนี้ถึง 5 นายด้วยกัน มีดังนี้
1. พ.อ.ร่มเกล้า ธุวธรรม (43 ปี)
2. พลทหารภูริวัฒน์ ประพันธ์ (25 ปี)
3. พลทหารอนุพงษ์ เมืองอำพัน (21 ปี)
4. พลทหารสิงหา อ่อนทรง (22 ปี)
5. พลทหารอนุพงศ์ หอมมาลี (22 ปี)
📌กรณีของการสูญเสียชีวิตของทหารทั้ง 5 นาย โดยมีการกล่าวหาว่าเป็นฝีมือชายชุดดำ ซึ่ง ศอฉ.
มองว่าเป็นกองกำลังติดอาวุธที่แฝงตัวอยู่ในกลุ่มผู้ชุมนุมนปช.
โดยอ้างถึงเพียงแค่คลิปวีดีโอสั้น ๆ ที่ปรากฎภาพชายชุดดำที่ทาง ศอฉ.
บอกว่าได้มาจากสำนักข่าวอัลจาชีรา ซึ่งเป็นที่สังเกตว่าการนำเสนอคลิปภาพชายชุดดำของ
ศอฉ. นั้น ได้นำเสนอหลังเหตุการณ์ผ่านไปแล้วหลายวัน
โดยในภายหลังก็ได้รับการปฏิเสธอย่างเป็นทางการจากสำนักข่าวอัลจาชีราว่า
ภาพคลิปวีดีโอชุดดังกล่าวไม่ได้เป็นภาพจากสำนักข่าวของตนที่ถ่ายได้
และเมื่อพิจารณาถึงภาพแล้วก็เห็นได้ชัดเจนว่า ภาพจากคลิปดังกล่าวมีการจัดเตรียมและมีการตกแต่งภาพอย่างชัดเจน
และอาวุธที่ปรากฎในภาพชายชุดดำที่ถือนั้นเป็นอาวุธปืนอาก้า
แต่ในข้อเขียนของนายอภิสิทธิ์ที่มักกล่าวอ้างเสมอเรื่องวาทกรรมชายชุดดำที่ปฏิบัติการพร้อมกับปืน M79 และอ้างว่าทหารเสียชีวิตจากการปะทะกับชายชุดดำ
ซึ่งผลการชันสูตรจากการเสียชีวิตของทหารก็ได้ระบุชัดเจนว่า
พบสะเก็ดระเบิดชนิดขว้าง M67 ซึ่งจะต้องมีระยะทำการที่ใกล้จุดเกิดเหตุพอสมควรเพื่อความแม่นยำ
ซึ่งขัดกับความจริงของการเสียชีวิตของทหารในวันที่ 10 เมษา
ที่บริเวณหน้าโรงเรียนสตรีวิทยานั้นยึดครองพื้นที่โดยทหารอย่างเบ็ดเสร็จด้วยจำนวนทหารที่มากถึง 15 กองร้อย มีทหารกว่า 2,000 นาย
พร้อมรถหุ้มเกราะ 6 คัน
จอดขวางหัวถนนดินสอพร้อมพลคุ้มกันอยู่บนรถหุ้มเกราะ
รวมถึงไม่พบผู้บาดเจ็บล้มตายด้วยปืนอาก้าจากชายชุดดำตามคลิปที่ปรากฎ
และประเด็นเรื่องชายชุดดำนั้นก็ได้มีการไต่สวนการตายในชั้นศาล
ไม่มีใครพบชายชุดดำในที่เกิดเหตุ ไม่มีมวลชนติดอาวุธแต่อย่างใด และมีหลายกรณีที่มีการยกฟ้องไปแล้ว
สำหรับผู้ถูกจับกุมที่มีการอ้างว่าโยงกับชายชุดดำ
และมีหลายความคิดเห็นที่ออกมาในขณะนั้นว่ากรณีชายชุดดำนั้นอาจเป็นความขัดแย้งภายในกองทัพโดยอาศัยช่วงเวลานี้กำจัดผู้นำของกลุ่มที่มีอำนาจ
📌หลังเหตุการณ์สลายการชุมนุมวันที่ 10 เมษายน 2553 ปฏิบัติการวาทกรรมผู้ก่อการร้ายและการโยนความผิดให้ชายชุดดำของรัฐบาลอภิสิทธิ์ก็ได้เริ่มขึ้น
เมื่อนายสุเทพ เทือกสุบรรณ
ให้สัมภาษณ์ต่อผู้สื่อข่าวหลังเหตุการณ์การสลายการชุมนุม
และกลายเป็นถ้อยคำที่ปรากฎต่อสื่อแขนงต่าง ๆ ตั้งแต่วันที่ 12 เมษายน 2553 เป็นต้นมา
เพื่อเป็นการสร้างความชอบธรรมของปฏิบัติการขอคืนพื้นที่หลัง 10 เมษายน 3 วัน ศอฉ.
ได้ยกระดับความรุนแรงของมาตรการต่าง ๆ
โดยอนุญาตเจ้าหน้าที่สามารถใช้อาวุธปืนลูกซองได้ ต่อมา 11 เมษา นายสุเทพในฐานะ ผอ.ศอฉ. ได้อนุมัติให้เจ้าหน้าที่ใช้อาวุธกระสุนจริง
และอนุญาตใช้พลแม่นปืน รวมถึงสามารถร้องขอการสนับสนุนพลซุ่มยิงหรือสไนเปอร์จาก
ศอฉ.
การประกาศมาตรการต่าง
ๆ ที่ออกมาหลังจากการสลายการชุมนุม
เป็นการแสดงจุดยืนอย่างชัดเจนถึงความต้องการในการใช้ความรุนแรงของ ศอฉ.
โดยปราศจากการแสดงความรับผิดชอบใด ๆ ของการสูญเสียชีวิตของผู้ชุมนุม
รวมถึงเจ้าหน้าที่ทหาร ไม่มีคำขอโทษ หรือการแสดงความรับผิดชอบจากปากนายอภิสิทธิ์
เวชชาชีวะ มีเพียงคำกล่าวอ้างการใช้ความรุนแรงและการโยนความผิดให้กับชายชุดดำ
และยังยืนยันว่าจะเดินหน้าปราบปรามด้วยมาตรการขั้นเด็ดขาดต่อไป
นั่นคือจุดยืนของรัฐบาลนายอภิสิทธิ์จนนำไปสู่เหตุการณ์การสลายการชุมนุมเมื่อเดือนพฤษภาคม 2553 จนทำให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บเป็นจำนวนมาก
และเป็นหนึ่งในประวัติศาสตร์ของการต่อสู้ภาคประชาชนกับระบอบเผด็จการที่ประเทศชาติต้องจารึกต่อไป
#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #นปช #คนเสื้อแดง #คปช53