ถามว่ารู้สึกเบื่อบ้างไหมที่ต้องพูดเรื่องนี้ทุกวัน!
อาจารย์ไม่ได้ตั้งเป้าว่าเกิดมาให้ตัวเองมีความสุขคนเดียว
อาจารย์ต้องยืนหยัดช่วยให้ประชาชนผู้รักประชาธิปไตยมั่นใจว่า เส้นทางของนักต่อสู้ เป็นเส้นทางที่ต้องยืนหยัดอยู่ที่หลักการและต้องเดินไปข้างหน้า
ถอดบทสัมภาษณ์
อ.ธิดา ถาวรเศรษฐ จาก TODAY
LIVE
บันทึกเทปเมื่อ
9 เม.ย. 68
ออกอากาศเมื่อ
14 เม.ย. 68
ดำเนินรายการโดย
อภิสิทธิ์ ดุจดา
ผู้ดำเนินรายการ
: มีบางท่านอาจจะตั้งข้อสังเกตว่า ทำไมอาจารย์ธิดา, คุณหมอเหวง
ยังต้องพูดเรื่องนี้อยู่ทุกวัน อาจารย์เศร้าใจบ้างไหม? หรือรู้สึกเบื่อบ้างไหม?
ที่ต้องพูดเรื่องนี้ แล้วก็ยังต้องพูดต่อไป
เพราะอาจารย์ไม่ได้ตั้งเป้าว่าเกิดมาให้ตัวเองมีความสุขคนเดียว
เพราะวัยขนาดอาจารย์ไม่ต้องมานั่งทำอะไรแล้วก็ได้
ชีวิตส่วนตัวอาจารย์ก็อยู่อย่างสบาย
แต่ว่าที่เราต้องทำเพราะเหตุว่าเรื่องเหล่านี้มันเป็นเรื่องของการต่อสู้ของประชาชน
ที่เมื่อกี้อาจารย์พูดว่าอาจารย์อยู่ตั้งแต่ปี 2516 แล้วก็ 2519
คนก็รู้นะว่าอาจารย์ต้องหลบไปเข้าป่าด้วย 7 ปีนะ แล้วก็กลับมาปี 2535 มาอยู่
“สมาพันธ์ประชาธิปไตย”
แล้วเมื่อมีเสื้อเหลืองเกิดขึ้น
ปัญหาที่เกิดขึ้นอาจารย์อยากให้ท่านผู้ชมเข้าใจว่า
ความขัดแย้งของสังคมก็คือว่ามันเริ่มจากการที่มีการใช้ หรืออ้าง หรือโหนสถาบัน
แล้วไม่มีคำอธิบายที่ชัดเจน อันนี้เป็นเหตุหนึ่งที่สำคัญ ตอนเกิดพวกนปช.ใหม่ ๆ
ตอนนั้นก็ใส่สีเหลืองกันนะ ช่วงเริ่มต้นก็คาดหัวสีเหลือง
แต่ว่ามาใส่สีแดงเพื่อต่อต้านรัฐประหาร ดังนั้นอาจารย์ยืนยันอีกครั้งว่า “สีแดง”
ไม่ใช่สีของพรรคเพื่อไทย แต่พรรคเพื่อไทยมาเอาสีแดงไปใช้ก็คือการเลือกตั้งครั้งนี้
แล้วรู้หรือเปล่าว่าคนที่ตั้งใจมาเอาสีแดงไปใช้ คุณทักษิณเคยบอกอาจารย์เมื่อปี
2554 ว่าให้คนถอดเสื้อแดง แล้วประกาศกับผู้ชุมนุมให้ถอดเสื้อแดง อาจารย์ก็บอกไปว่า
เขาไม่ถอดหรอก เขาใส่เสื้อแดงตัวเก่าที่เขาใส่ปี 2553 นั่นแหละ ไม่ต้องแจกเขาด้วย
เพราะฉะนั้น
“สีแดง” จริง ๆ มันเป็นสีของนักต่อสู้ เป็นสีของการต่อสู้
และนี่คือเหตุผลที่ว่าอาจารย์ไม่ต้องการให้ประวัติศาสตร์การต่อสู้ของประชาชนที่เดินมาในเส้นทางที่ถูกต้องเพื่อต่อสู้กับสิ่งที่ทวนกงล้อประวัติศาสตร์
คืออะไร? ก็คือระบอบเก่าจารีตนิยม อำนาจนิยม เผด็จการ มันกลายเป็นสิ่งชั่วร้าย
เราถึงต้องยืนยันและเรายังต้องทำ อาจารย์สู้มาตั้งแต่ปี 2516
ทำให้ชีวิตอาจารย์เปลี่ยนเลยนะ พอเห็นคนยอมตายในการต่อสู้ครั้งนั้น
เราห้ามเขาแล้วเขาก็ไม่ฟัง เขาบอกว่าถ้าไม่มีการสูญเสียไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง!!!
มีเด็กอาชีวะคนหนึ่งพูดกับอาจารย์อย่างนี้ตอนปี 2516 ชีวิตอาจารย์เปลี่ยนเลย
จากเป็นอาจารย์เด็ก ๆ ที่ชอบเที่ยวชอบสนุกสนาน อาจารย์เปลี่ยนเข็มเลย
ว่าเขายอมเสียสละชีวิตได้
แล้วพอมาเจอเหตุการณ์โหดในมหาวิทยาลัยปี
2519 แล้วเมื่อตอนที่เกิดเสื้อเหลืองขึ้นมา
มันยังมีความขัดแย้งอยู่จนกระทั่งถึงบัดนี้
อาจารย์คิดว่าฝั่งจารีตอำนาจนิยมคิดให้ดีแทนที่จะถามว่าทำไมเรายังจะต้องสู้
รู้หรือเปล่าว่า ใช้หลักศาสนาก็ได้ว่า “ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค”
คือคุณต้องรู้ว่าสาเหตุมาจากอะไร
คือการที่ไปใช้สถาบันเป็นเครื่องมือเพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง
แล้วมีการขยายต่อมาเรื่อย ๆ แม้กระทั่งที่เรามาดูนะ
ขณะนี้เวลามีการพูดนิรโทษกรรมใหม่ คดี 112 ที่เกิดขึ้น ก่อนหน้านี้ไม่มีนะ
มันเริ่มมีตอนมีความขัดแย้ง คือพูดตรง ๆ ว่ามีเสื้อเหลืองเกิดขึ้น
มีการโหนเกิดขึ้น มันก็เป็นหน่อของความขัดแย้งที่มันเริ่มขยายจนกระทั่งปัจจุบัน
อาจารย์อยากจะฝากพวกจารีตอำนาจนิยมว่า
ต้องตั้งคำถามด้วยว่าทำไมยิ่งมีคนรุ่นใหม่
ปัญหาการแตกต่างทางความคิดมันจะยิ่งห่างมากขึ้นไปเรื่อย ๆ และดูท่าทีฝ่ายจารีต
กลายเป็นคุณทักษิณและพรรคเพื่อไทยเป็นคนน่ารักแล้วเออ
คนน่าเกลียดกลายเป็นพรรคการเมืองใหม่ แล้วถ้าเกิดพรรคการเมืองนี้เกิดเป็นคนน่ารัก
อาจจะมีพรรคการเมืองใหม่ขึ้นมาอีกก็ได้ แต่สำหรับนักต่อสู้
จะไม่คำนึงว่าเป็นเรื่องของพรรคนะ
แต่มันเป็นเรื่องทิศทางการต่อสู้ว่าคุณต้องต่อสู้ให้บ้านเมืองไปข้างหน้า
ทำอย่างไรที่จะทำให้คนมันเท่ากัน มีสิทธิเสรีภาพ และอำนาจเป็นของประชาชนจริง
แต่ถ้าคนไม่ยอมสูญเสียอำนาจ เกรงว่าตัวเองและผลประโยชน์จะสูญเสีย
แล้วเป็นอุปสรรคกับการต่อสู้ คุณเอาคุณทักษิณไปเป็นพวก คุณก็มีพรรคใหม่
และต่อให้คุณเอาธนาธร (สมมุตินะ) ไปเป็นพวก มันก็ต้องมีพรรคใหม่กว่าอีก
ผู้ดำเนินรายการ
: เพราะมันเป็นความคิดของคนเหรออาจารย์?
ใช่!!!
มันเป็นเรื่องของการต่อสู้เพื่อที่จะให้คนมีสิทธิเสรีภาพและมีความเท่าเทียม
สิทธิเสรีภาพเขาจะยอมระดับหนึ่ง แต่ตอนนี้ยิ่งแย่นะ แล้วทำอะไรเสี่ยงอันตรายมาก
เช่น ไปจับอาจารย์พอล แชมเบอร์ส (นักวิชาการอเมริกัน ม.นเรศวร)
แต่ความเป็นคนเสมอภาคมันสำคัญมากนะ และเป็นสิ่งที่จารีตอำนาจนิยมประเทศไทยยอมไม่ได้
และนี่ก็คือปัญหา
ดังนั้น
การที่ดึงคุณทักษิณมา มันเป็นยุทธวิธีที่คิดว่าจะทำให้เสือตัวใหม่
(ในทางพรรคการเมืองนะ) เรียกว่าต้องอ่อนกำลังลง แต่อาจารย์คิดว่า
ถ้าเราคิดว่าประชาชน 20 กว่าล้านคนเป็นผู้รักประชาธิปไตย
ในนี้อาจจะมีคนเสื้อแดงอยู่ 10 กว่าล้านคน อย่างปี 2566 มีคนเลือกตั้งใหม่ประมาณ 7
ล้านคน แล้วมันจะมีคนรุ่นใหม่ที่มีสิทธิเลือกตั้งเพิ่มขึ้นไปเรื่อย ๆ
แต่คนรุ่นเก่า เอาแดงแจ๊ด ๆ ก็ประมาณ 10 ล้านคน
แดงออกชมพูติดตามพรรคอีกสักจำนวนหนึ่ง 4-5 ล้าน
คุณจะพบว่าเปอร์เซ็นของคนรักประชาธิปไตยจะมากขึ้น ๆ เรื่อย ๆ
และนี่คือเหตุผลที่อาจารย์ยังต้องยืนยัน
เพราะว่าโดยเฉพาะอย่างยิ่งคนเสื้อแดงและคนในชนบทเขาไม่เหมือนกับเหตุการณ์ 6ตุลา19
มีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์พิง มีปัญญาชนเป็นจำนวนมากเป็นหลัก
แต่คนเสื้อแดงส่วนมากเป็นคนชั้นกลางล่างไปจนถึงมวลชนพื้นฐาน เขาใช้สิทธิตอนเลือกตั้ง
น่าภาคภูมิใจนะที่เขาทำได้ในปี 2566 และปี 2570 ก็มาดูกัน อาจารย์ว่าเขาขมขื่น
เพราะว่าเขาอาจจะเริ่มต้นด้วยการได้ผลประโยชน์จากพรรคการเมืองใหม่เช่นพรรคไทยรักไทยตอนนั้น
แต่ว่าท่ามกลางการต่อสู้ เขาได้เรียนรู้ทั้งจากโรงเรียนการเมือง จากเวทีปราศรัย
และรูปการณ์จิตสำนึกอะไรต่าง ๆ จนกระทั่งหล่อหลอมให้เขากลายเป็นคนที่ก้าวหน้า
แล้วคนก้าวหน้าที่เป็นคนชั้นล่าง คนชนบท พวกนี้เขาไม่เปลี่ยนนะ โอเค การเลือกอบจ.
หรือท้องถิ่น ก็อาจจะหยวน ๆ กันนะ
แต่ว่าความคิดทางการเมืองอาจารย์ว่าคนไทยเปลี่ยนแล้ว!!!
เพราะฉะนั้น
ถามว่าอาจารย์ต้องยืนหยัดในการที่จะช่วยเพื่อที่จะทำให้เขามีความเชื่อมั่นมากขึ้นว่า
เส้นทางของนักต่อสู้นั้นเป็นเส้นทางที่ต้องยืนหยัดอยู่ที่หลักการ
และต้องเดินไปข้างหน้า ไม่ว่าเพื่อนรักของคุณ อาจารย์เสียเพื่อนเยอะตอนปี 2549 นะ
พวกธีรยุทธอะไรพวกนี้พวกสนิทกันหมด มันไปอีกทางหมดเลย
คนที่มาเป็นเสื้อแดงมันน้อยมาก