กลุ่มประชาชน อ่านแถลงการณ์ประณามรัฐบาลไทย กรณีเชิญ “มิน อ่อง หล่าย” ร่วมประชุม BIMSTEC หน้าสถานทูตเมียนมา ซัดอาชญากรสงครามเป็นบ่อนทำลายประชาธิปไตยในภูมิภาค ฝากบอกรัฐบาล“ถ้าคุณจับมือที่เปื้อนเลือดคนเมียนมา มือคุณก็จะเปื้อนเลือดด้วย"
วันที่ 5 เม.ย. 2568 เวลา 12.50 น. ที่หน้าสถานทูตเมียนมาประจำประเทศไทย ถนนสาธรเหนือ กรุงเทพฯ นำโดยกลุ่มโมกหลวงริมน้ำ กลุ่มไฟรามทุ่ง กลุ่มแอกยังคลับ และสหภาพคนทำงาน พร้อมด้วยประชาชน ร่วมออกแถลงการณ์และแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ ต่อต้าน พล.อ.อาวุโส มิน อ่อง หล่าย ผู้นำเผด็จการเมียนมา
สืบเนื่องจากเมื่อวานนี้ กลุ่มโมกหลวงริมน้ำประกาศชุมนุมร่วมกับกลุ่มแรงงานข้ามชาติพม่า หรือ Bright Future เพื่อประท้วง พล.อ.อาวุโส มิน อ่อง หล่าย ประธานสภาบริหารแห่งรัฐ (SAC) และผู้นำคณะรัฐประหาร ที่เดินทางมาเข้าร่วมการประชุม BIMSTEC ที่ประเทศไทย เมื่อวันที่ 3-4 เม.ย. ที่ผ่านมา
แต่อย่างไรก็ตาม ในวันนี้มีกลุ่มปกป้องสถาบันมาชุมนุมปราศรัยต่อต้านกลุ่มแรงงานพม่าที่หน้า UN ก่อน และเกิดเหตุชุลมุนกลุ่มปกป้องสถาบันรุมทำร้ายร่างกาย นายวีระ แสงทอง หนึ่งในสมาชิกกลุ่ม Bright Future ผู้จัดกิจกรรมชุมนุม ก่อนถึงเวลานัดหมายเริ่มชุมนุมในเวลา 11.00 น. โดยตำรวจได้ควบคุมสถานการณ์และควบคุมตัววีระออกไปจากพื้นที่
ต่อมากลุ่มผู้จัดกิจกรรม ได้ย้ายพื้นที่ชุมนุมจากหน้า UN มาทำกิจกรรมชุมนุมที่หน้าสถานทูตเมียนมาร์แทน เพื่อยืนยันในการขับไล่ พล.อ.อาวุโส มิน อ่อง หล่าย และยืนยันว่าสิ่งที่กลุ่มปกป้องสถาบันทำนั้นไม่ถูกต้อง
ในเวลาประมาณ 12.50 น. นักกิจกรรมเดินทางมาถึงหน้าสถานทูตเมียนมาร์ และเริ่มทำกิจกรรมแสดงออกเชิงสัญลักษณ์โดยการถือป้าย พร้อมแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ด้วยป้ายผ้าทาสีแดง และปราศรัยประท้วงขับไล่ พล.อ.อาวุโส มิน อ่อง หล่าย
ตอนหนึ่ง ผู้ชุมนุมได้พูดถึงเหตุการณ์ที่กลุ่มปกป้องสถาบันได้รุมทำร้ายร่างกายนายวีระเมื่อช่วงสายของวันนี้ โดยมีใจความสำคัญว่า ที่จริงแล้วเราไม่ใช่ผู้ริเริ่มชุมนุม ผู้ริเริ่มคือกลุ่มพี่น้องแรงงานเมียนมาร์ที่มีความกล้าหาญในการมาไล่เผด็จการ เราจึงจะมาร่วมเสริมโดยทำการแสดง Art Performance แต่เมื่อเช้านี้มีนายสุรัตน์ (หรือนายวีระ แสงทอง) ถูกทำร้ายร่างกายโดยกลุ่มฝ่ายขวา และถูกนำตัวไปอยู่ สน. แล้ว
ระหว่างผู้ชุมนุมกำลังทำกิจกรรมแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ด้วยป้ายผ้า ก็มีเจ้าหน้าที่ตำรวจประมาณ 3 นาย เข้ามาพูดคุยขอให้ผู้ชุมนุมแสดงใบอนุญาตชุมนุม จากนั้นได้มีการเจรจาขออ่านแถลงการณ์ให้เสร็จก่อน เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ตกลงตามที่ผู้ชุมนุมเจรจา
หลังจากนั้นผู้ชุมนุมเริ่มอ่านแถลงการณ์กรณีการเชิญ มิน อ่อง หล่าย เข้าร่วมประชุม BIMSTEC โดยกลุ่มสหภาพคนทำงาน, กลุ่มโมกหลวงริมน้ำ, กลุ่มไฟรามทุ่ง และกลุ่มแอกยังคลับ ซึ่งมีเนื้อหาดังต่อไปนี้
“ถ้าคุณจับมือที่เปื้อนเลือดคนเมียนมา มือคุณก็จะเปื้อนเลือดด้วย"
“จากกรณีที่รัฐบาลไทย ภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตร เป็นเจ้าภาพจัดประชุม BIMSTEC และเชิญนายพลมิน อ่อง หล่าย ผู้นำรัฐประหารเมียนมาและเป็นบุคคลที่ถูกหมายจับระหว่างประเทศ ข้อหาก่ออาชญากรรมต่อมนุษยชาติและฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ เข้าร่วมการประชุมดังกล่าว นับเป็นการกระทำที่ละเมิดหลักการประชาธิปไตย สิทธิมนุษยชน และเป็นการสนับสนุนรัฐบาลเผด็จการทหารที่ปราบปรามประชาชนเมียนมาอย่างรุนแรงตั้งแต่การยึดอำนาจเมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2564 เป็นต้นมา
ภาคประชาชนทั้งในและต่างประเทศ อาทิ สมาคมสมาชิกรัฐสภาอาเซียนเพื่อสิทธิมนุษยชน (APHR) ต่างประสามรธบาลทหารเมียนมาในเวที BIMSTEC ที่กรุงเทพฯ โดยระบุว่า การให้ผู้นำรัฐประหารมีที่นั่งในเวทีนี้ ไม่เพียงแต่เป็นการรับรองระบอบที่โหดร้ายของพวกเขาเท่านั้น แต่ยังบ่อนทำลายความน่าเชื่อถือของ BIMSTEC ในฐานะองค์กรระดับภูมิภาคที่มุ่งมั่นต่อสันติภาพ เสถียรภาพ และการพัฒนาอีกด้วย
การที่ประเทศไทยในฐานะประเทศเจ้าภาพอนุญาตให้หัวหน้ารัฐบาลทหารเข้าร่วมประชุมไม่เพียงแต่เป็นการมอบพื้นที่ทางการทูตให้แก่ผู้ที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นอาชญากรระหว่างประเทศ แต่ยังเป็นการสร้างความชอบธรรมทางการเมืองให้กับรัฐบาลทหารเมียนมาและระบอบเผด็จการ
การเดินทางมายังกรุงเทพฯ ของมิน อ่อง หล่าย เกิดขึ้น ขณะที่ยอดผู้เสียชีวิตจากเหตุแผ่นดินไหวเพิ่มขึ้นเป็น 3,085 ราย และยังคงเพิ่มอย่างต่อเนื่อง โดยยังมีผู้สูญหายอีก 341 คน และบาดเจ็บ 4,715 คนนอกจากนี้ยังขัดขวางไม่ให้ความช่วยเหลือในพื้นที่บางแห่ง มีการจำกัดสิ่งของ เครื่องมือ หรือหน่วยกู้ภัย ส่งความช่วยเหลือไปเฉพาะพื้นที่ที่ตนเองควบคุม พร้อมทั้งใช้ความทุกข์ยากของประชาชนไปใช้เป็นเครื่องมือโฆษณาชวนเชื่อในเมืองหลวงอย่างเนปิดอว์ พวกเขาโชว์ภาพการช่วยเหลือ ขณะที่ในพื้นที่ที่ได้รับความเสียหายหนักอย่างเขตสกายหรือมัณฑะเลย์ ความช่วยเหลือกลับไปไม่ถึง ประชาชนต้องช่วยเหลือกันเองเท่าที่ทำได้ ท่ามกลางซากปรักหักพัง
แม้จะประกาศหยุดยิงชั่วคราวเมื่อวันวันพุธที่ผ่านมา แต่กองทัพเมียนมาได้จงใจทิ้งระเบิดใส่พื้นที่ประสบภัยและหมู่บ้านต่างๆ รวมถึงเขตสะกาย เพียงไม่กี่ชั่วโมงหลังแผ่นดินไหวครั้งรุนแรง ซึ่งยิ่งซ้ำเติมวิกฤตมนุษยธรรมที่กำลังดำเนินอยู่ และใช้โอกาสจากภัยพิบัติธรรมชาติแทนอาวุธ เพื่อทำลายฝ่ายตรงข้าม มิน อ่อง หล่าย ยังกล่าวหาอย่างเปิดเผยว่า กลุ่มชาติพันธุ์ติดอาวุธบางกลุ่มกำลังจัดตั้งและฝึกกำลังเพื่อเตรียมเปิดฉากโจมตี แสดงให้เห็นถึงเจตนาที่ไม่จริงใจและชัดกับหลักการพื้นฐานของการเจรจาสันติภาพ
รัฐบาลแพทองธารอ้างเหตุผลการเจรจาและความร่วมมือทางเศรษฐกิจเพื่อสร้างความชอบธรรมให้แก่ผู้นำเผด็จการอย่างมิน อ่อง หล่าย ขณะที่ศาลอาญาระหว่างประเทศ (ICC) ได้ออกหมายจับนายพลมิน อ่อง หล่าย ในข้อหาก่ออาชญากรรมต่อมนุษยชาติ รัฐบาลไทยควรตระหนักถึงความร้ายแรงของการให้พื้นที่แก่บุคคลที่ถูกหมายจับระหว่างประเทศ ประชาชนเมียนมายังคงถูกเข่นฆ่า ถูกจับกุมคุมขัง ถูกทรมานและถูกละเมิดสิทธิขั้นพื้นฐานอย่างต่อเนื่อง นี่คือการกระทำที่น่าละอายและสวนทางกับเสียงของประชาชนผู้รักประชาธิปไตยทั่วภูมิภาค
พวกเราขอประณามอย่างรุนแรงต่อรัฐบาลไทย นายกรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตร และนายพลมิน อ่อง หล่าย ในการสร้างความชอบธรรมให้แก่ระบอบเผด็จการทหาร เราขอเรียกร้องให้รัฐบาลไทยหยุดสนับสนุนและให้พื้นที่แก่ผู้นำเผด็จการโดยทันที และให้ยืนหยัดเคียงข้างประชาชนเมียนมาในการเรียก ร้องประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชนอย่างแท้จริง โดยมีข้อเรียกร้อง ดังนี้
1. เราขอเรียกร้องให้รัฐบาลไทยตระหนักถึงความรับผิดชอบในฐานะรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง ไม่ควรให้เกียรติหรือให้การยอมรับแก่ผู้นำเผด็จการที่ก่ออาชญากรรมต่อประชาชน การเชิญมิน อ่องหล่ายเข้าร่วมการประชุม BIMSTEC ถือเป็นการทำลายหลักการด้านสิทธิมนุษยชน และคุณค่าของระบอบประชาธิปไตยที่รัฐบาลไทยควรยึดมั่น
2. รัฐบาลไทยต้องยุติความสัมพันธ์กับรัฐบาลทหารเมียนมาในทุกรูปแบบ และไม่ควรให้การยอมรับหรือเชิญนายพลมิน อ่อง หล่ายเข้าร่วมเวที่ระหว่างประเทศใด ๆ ที่ไทยเป็นเจ้าภาพ การกระทำเช่นนี้คือการสนับสนุนเผด็จการที่ฆ่าประชาชน และบ่อนทำลายหลักสิทธิมนุษยชนและประชาธิปไตยในภูมิภาค
3. มิน อ่อง หล่ายและสภาบริหารแห่งรัฐ (SAC) ต้องถูกถอดถอน ไม่ใช่ได้รับการยอมรับหรือรับรองในฐานะรัฐบาลโดยพฤตินัยอีกต่อไป ผู้นำเผด็จการที่ใช้ภัยพิบัติเป็นเวทีสร้างภาพ ใช้ความช่วยเหลือเพื่อประโยชน์ฝ่ายตน และเดินหน้าสงครามกับประชาชน ไม่ควรได้รับพื้นที่ในเวทีระหว่างประเทศใดๆ ไม่ว่าจะเป็น BIMSTEC หรืออาเซียน
4. หยุดการปราบปรามโดยกองทัพเมียนมาโดยทันทีและโดยไม่มีเงื่อนไข รวมถึงการเกณฑ์ทหารโดย บังคับ การจับกุมตามอำเภอใจ การประหารชีวิต การข่มขู่ และการโจมตีทางอากาศ การกระทำเหล่านี้เป็นอุปสรรคต่อความช่วยเหลือฉุกเฉิน และทำให้มีผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นอย่างไม่จำเป็น
ด้วยความสมานฉันท์ต่อประชาชนเมียนมา
ซึ่งในระหว่างการอ่านแถลงการณ์ เจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าพื้นที่ตรึงกำลังเพิ่มเป็นประมาณ 10 นาย โดยเจรจาให้จบกิจกรรมให่เร็วที่สุด ก่อนที่การชุมนุมจะยุติลง ในเวลาประมาณ 13.12 น. โดยไม่มีการปะทะหรือเหตุรุนแรงใด ๆ