วงแรงงานพรรคประชาชนคุยเข้มข้น ดันกฎหมายคุ้มครองแรงงาน ยกระดับศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ชูความก้าวหน้า ทั้งลาปวดประจำเดือน-ลาไปบอกลา เพิ่มสิทธิคนทำงาน คิดรอบด้านแก้ปัญหาสังคม
วันที่ 19 เมษายน 2568 พรรคประชาชนจัดกิจกรรม ‘Labour Night Talk แบ่งปันความเห็นร่าง พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน’ โดยมี สส. จากพรรคประชาชน ได้แก่ เซีย จำปาทอง, วรรณวิภา ไม้สน, พิมพ์กาญจน์ กีรติวิราปกรณ์, สิริลภัส กองตระการ และ เอกภพ สิทธิวรรณธนะ จากกลุ่ม Peaceful Death ร่วมเสวนา
การเสวนาเริ่มต้นที่เซียกล่าวถึงที่มาของร่าง พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงานทั้ง 3 ฉบับของพรรคประชาชน พร้อมย้ำว่าเนื้อหาและข้อเรียกร้องไม่ใช่เรื่องใหม่ บางประเด็นพูดมามากกว่า 30 ปี เช่น สิทธิในการรวมตัวของแรงงาน โดยก่อนที่จะมาเป็นนโยบายของพรรคและนำเสนอเป็นร่างกฎหมายเข้าสู่สภาฯ เราได้เปิดวงรับฟังความคิดเห็นและปัญหาจากพี่น้องแรงงาน ก่อนหน้านี้ช่วงอดีตพรรคอนาคตใหม่ ได้เสนอกฎหมายเข้าสู่สภาฯ เพียงฉบับเดียวและถูกปัดตกไป ทำให้ข้อเสนอทั้งหมดถูกปัดตกในทันที ดังนั้น เหตุการณ์ที่ผ่านมาทำให้มีบทเรียน จึงแยกตัวกฎหมายออกเป็นหลายฉบับเพื่อไม่ให้ถูกปัดตกทั้งหมด
โดยเซียยกตัวอย่างร่างกฎหมายที่นำเสนอไป ประกอบด้วย ร่าง พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน ฉบับทำงานพักผ่อนใช้ชีวิต, ร่าง พ.ร.บ. คุ้มครองแรงงานฉบับลาคลอด 180 วัน และ ร่าง พ.ร.บ.สหภาพแรงงาน ซึ่งเกี่ยวข้องกับสิทธิการรวมตัวและการจัดตั้งสหภาพแรงงาน และมีร่าง พ.ร.บ.บำนาญถ้วนหน้า ที่ได้ยื่นไปสมัยยังเป็นพรรคก้าวไกล โดยพรรคประชาชนเรียกชุดกฎหมายเหล่านี้ว่า ‘กฎหมายเปลี่ยนชีวิตคนทำงาน’ ซึ่งทั้ง 3 ฉบับเป็นร่างการเงินและถูกส่งไปยังนายกรัฐมนตรีเพื่อเซ็นพิจารณา ภายหลังถูกปัดตกไป และอีก 1 ฉบับ ก็ถูกปัดตกอีกครั้งในรัฐสภา
หลังจากที่กฎหมายถูกปัดตก ทีมเครือข่ายผู้ใช้แรงงานของพรรคยืนยันจะเดินหน้าต่อ โดยแบ่งกฎหมายออกเป็น 3 ฉบับ 1. ฉบับที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงในการทำงาน โดยจะเน้นขยายความคุ้มครองไปยังลูกจ้างที่ยังไม่ได้รับการคุ้มครองจากนายจ้าง ไม่ว่าจะเป็นแรงงานบนแพลตฟอร์ม การปรับค่าจ้างขั้นต่ำอัตโนมัติตามการเติบโตของเศรษฐกิจ การปรับแรงงานรายวันเป็นรายเดือน 2. ฉบับมีเวลาพักผ่อน คนทำงานจะได้ทำงาน 5 วันต่อสัปดาห์หรือไม่เกิน 40 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ และเพิ่มวันหยุดประจำปีเป็น 10 วัน และสามารถสะสมวันลาได้ด้วย และ 3. ฉบับศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ซึ่งเป็นส่วนสำคัญของกิจกรรมการพูดคุยในวันนี้
ด้านวรรณวิภา กล่าวถึงร่าง พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน ฉบับศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ว่า เพิ่มเนื้อหา 4 ข้อ เช่น 1. การไม่เลือกปฏิบัติต่อลูกจ้างที่มีเชื้อชาติ ศาสนา ทัศนคติทางการเมืองที่แตกต่างกัน 2. เพิ่มมุมให้นมบุตรในที่ทำงาน เพื่ออำนวยความสะดวกให้คนทำงาน 3. วันลาปวดประจำเดือน 4.การลาไปบอกลา โดยวรรณวิภากล่าวว่าการลาป่วยประจำเดือนไม่ใช่ประเด็นใหม่ เนื่องจากทุกครั้งที่มีการเพิ่มสิทธิให้ผู้หญิง จะถูกวิพากษ์วิจารณ์เสมอว่าการให้สิทธิผู้หญิงเป็นการให้สิทธิพิเศษหรือไม่ ซึ่งตนมองว่าจำเป็นต้องทำความเข้าใจกันใหม่เสียตั้งแต่ต้น ว่าการให้สิทธิลาประจำเดือน ไม่ใช่การให้สิทธิเพิ่ม แต่เป็นการเพิ่มความเท่าเทียม เพราะการปวดประจำเดือนเป็นการเจ็บป่วยอย่างหนึ่ง พร้อมยกตัวอย่างประสบการณ์ตรงที่ตนเป็นผู้ที่มีอาการปวดประจำเดือนอย่างหนักจนท้ายที่สุดจำเป็นต้องตัดมดลูกทิ้ง พร้อมย้ำว่าการให้สิทธินี้จะไม่ทำให้เกิดการลาพร้อมกันอย่างที่บางกลุ่มอ้าง แต่เป็นการเพิ่มความเท่าเทียมและความไว้เนื้อเชื่อใจในสังคม ปัญหาการปวดประจำเดือนไม่ใช่การเพิ่มสิทธิพิเศษ แต่เป็นเรื่องปัญหาแรงงานและทัศนคติต่อความเท่าเทียมทางเพศที่ควรปรับเปลี่ยนและเข้าใจกันให้มากขึ้น
ด้านพิมพ์กาญจน์ ยกตัวอย่างการลาปวดประจำและผลดีของการลาดังกล่าวว่า แท้จริงแล้วการลาปวดประจำเดือนมีการพูดขึ้นครั้งแรกในราวทศวรรษ 1880 แต่การผลักดันจะเป็นคนละเหตุผล รัฐค่อนข้างส่งเสริมสุขอนามัยของแรงงานหญิง เนื่องจากผ่านช่วงการทำสงคราม แรงงานหญิงจึงเป็นที่ต้องการ พร้อมยกตัวอย่างประเทศสเปนที่สามารถผลักดันการลาดังกล่าวได้สำเร็จ โดยสามารถลาได้ 3-5 วันต่อเดือนและยังได้รับเงินเดือน ประเทศอินโดนีเซียลาได้เดือนละ 2 วัน หรือประเทศเวียดนามสามารถหยุดพักระหว่างวันได้ในช่วงปวดประจำเดือน พิมพ์กาญจน์ กล่าวโดยสรุปว่า “ไม่มีเมนส์ไม่มีเรา” เนื่องจากมดลูกเกี่ยวเนื่องกับปัญหาประชากรศาสตร์ และสังคมทุกวันนี้ก็เกี่ยวข้องกับเรื่องสังคมผู้สูงอายุ พร้อมยกตัวอย่างบริษัทสตาร์ตอัปในไทยที่มีโมเดลการลาปวดประจำเดือนที่ก้าวหน้ากว่าหลายประเทศ เช่น การลาปวดประจำเดือนในผู้ชาย สำหรับผู้ชายที่มีอาการอารมณ์เปลี่ยนแปลง (mood swing) โดยสรุปพิมพ์กาญจน์กล่าวว่า ยังมีอีกหลายโมเดลที่ประเทศไทยสามารถนำมาปรับใช้ให้เหมาะสม
พร้อมกันนี้ ยังมีรายละเอียดของการลาไปบอกลา เอกภพ ตัวแทนจากกลุ่ม Peaceful Death ที่ยกตัวอย่าง ผู้สูงอายุมีสูงถึง 12 ล้านคน แรงงานที่จำเป็นจะต้องลาไปดูแลครอบครัวก็มีข้อกำหนดจากบริษัทให้แจ้งล่วงหน้าซึ่งอาการเจ็บป่วยเราไม่สามารถคาดคะเนได้ แรงงานก็จะต้องไปใช้สิทธิในส่วนอื่น หรือผู้สูงอายุส่วนใหญ่ก็จำเป็นจะต้องรักษาโรคที่ซับซ้อน ลูกหลานก็จำเป็นจะต้องเข้าไปดูแลด้วย ดังนั้นการลาไปบอกลา สามารถเป็นสิทธิในการดูแลผู้สูงอายุในบ้าน และลดปัญหาความกังวลใจในรูปแบบต่างๆ อีกด้วย
ด้านสิริลภัสทิ้งท้ายว่า จนกว่าจะถึงวันที่ร่างกฎหมายได้พิจารณาในสภาผู้แทนราษฎร พรรคประชาชนขอเชิญชวนประชาชนช่วยกันส่งเสียงเรียกร้องเพื่อให้ สส. ไม่ว่าจากพรรคการเมืองใด ร่วมสนับสนุนร่างกฎหมายคุ้มครองแรงงาน ยกระดับสิทธิคนทำงาน ให้ผ่านความเห็นชอบของสภาฯ ต่อไป
#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #พรรคประชาชน #กฎหมายคุ้มครองแรงงาน