”พิชัย“ บินวอชิงตัน รุกเจรจา เจ้าหน้าที่ระดับสูง
ภาคเอกชนสหรัฐ กระชับสัมพันธ์ทางการค้า เดินหน้าดึงดูดการลงทุน
วันที่
11 กุมภาพันธ์ 2568 นายพิชัย นริพทะพันธุ์
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์
เปิดเผยภายหลังนำคณะผู้แทนไทยเดินทางเยือนกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. สหรัฐอเมริกา
ระหว่างวันที่ 4-8 กุมภาพันธ์ 2568
เพื่อเข้าร่วมงาน National Prayer Breakfast 2025 ที่โรงแรม The
Washington Hilton ที่เป็นงานสำคัญที่มีผู้นำระดับสูง
รวมถึงมีนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ เข้าร่วม
และยังได้เข้าเจรจาหารือกับสมาชิกสภาคองเกรส เจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัฐบาลสหรัฐฯ
และภาคเอกชนชั้นนำจำนวนมาก โดยมีเป้าหมายในการส่งเสริมการค้าและดึงดูดการลงทุน
อันเป็นหนึ่งในนโยบายสำคัญของรัฐบาลภายใต้การนำของท่านนายกรัฐมนตรี นางสาวแพทองธาร
ชินวัตร
นายพิชัย
ระบุว่า ในการเดินทางเยือนสหรัฐฯในครั้งนี้ ตนได้เข้าร่วมงาน National Prayer
Breakfast 2025 ที่มีนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ
เป็นประธานในการกล่าวสุนทรพจน์เปิดงาน
และถือเป็นโอกาสสำคัญในการสร้างเครือข่ายและแลกเปลี่ยนนโยบายด้านเศรษฐกิจกับเจ้าหน้าที่ระดับสูงของสหรัฐฯ
เช่น สมาชิกสภาคองเกรส รัฐมนตรี ภาคเอกชน และผู้นำจากนานาชาติ
นอกจากนั้น
ตนยังได้เข้าพบสมาชิกสภาคองเกรสและเจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัฐบาลสหรัฐฯ อาทิ สส. Robert Aderholt สส. Tracey Mann สว. Mike Lee สว.
Tammy Duckworth และ สว. Pete Ricketts แห่งคณะกรรมาธิการวิเทศสัมพันธ์วุฒิสภา และ สส. Adrian Smith ประธานคณะอนุกรรมการด้านการค้าภายใต้คณะกรรมาธิการพิจารณาวิธีการจัดหารายได้
(House Ways and Means) เพื่อย้ำสถานะของไทยในฐานะพันธมิตรสำคัญของสหรัฐฯ
ในภูมิภาคอินโดแปซิฟิก พร้อมชูจุดแข็งของไทยที่เอื้อต่อการค้า-ลงทุน อาทิ
ความสำเร็จล่าสุดในการจัดทำ FTA ไทย-เอฟตา
และที่ยังอยู่ระหว่างเจรจาความตกลงการค้าเสรี (FTA) กับหลายประเทศ
อาทิ สหภาพยุโรป สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เกาหลีใต้ และแคนาดา
ซึ่งจะช่วยเป็นแต้มต่อเพิ่มขีดความสามารถของไทยในตลาดโลกได้อย่างมากในอนาคต
รวมไปถึงไทยมีโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานที่เหมาะสมกับอุตสาหกรรม Data
Center และ AI ซึ่งปัจจุบันมีบริษัทยักษ์ใหญ่ของสหรัฐฯ
เช่น Google Microsoft และ Amazon เข้ามาลงทุนต่อเนื่อง
โดยตนยังได้ผลักดันให้สหรัฐฯ
สนับสนุนให้ไทยเป็นส่วนหนึ่งของห่วงโซ่อุปทานของอเมริกา
ทั้งในภาคอุตสาหกรรมเทคโนโลยี เช่น เซมิคอนดักเตอร์ และ PCB รวมถึงภาคความมั่นคง
เช่น การเป็นศูนย์กลางบริการด้านสุขภาพ (medical hub) ในภูมิภาค
และขอแรงสนับสนุนจากระดับนโยบายของสหรัฐฯ
เพื่อรักษาความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างกัน
นายพิชัยกล่าวว่า
ตนยังได้มีโอกาสหารือกับภาคเอกชนสหรัฐฯผ่าน สภาหอการค้าสหรัฐฯ (USCC) และสภาธุรกิจอาเซียน-สหรัฐฯ
(USABC) ซึ่งมีบริษัทชั้นนำเข้าร่วมกว่า 26 บริษัท ได้แก่ Nasdaq, FedEx, The Asia Group, PepsiCo, IBM,
Mars, Citi, Organin, Intel, Vriens & Partners, ConocoPhillips, Caterpillar,
Seagate, Tyson Food, Apple, DGA-Albright, Stonebridge Group, BowerGroupAsia,
S&P Global, Visa, Boeing, Dow, Cargill, 3M และ Viatris
เข้าร่วมด้วย
ซึ่งรัฐบาลภายใต้การนำของท่านนายกรัฐมนตรี
นางสาวแพทองธาร ชินวัตร ให้ความสำคัญกับการสร้างโอกาสการค้าการลงทุน
สนับสนุนให้นักลงทุนจากทั่วโลกให้มาตั้งการผลิตในไทย ทำให้ปี 2567
ที่ผ่านมา มีการขอรับการส่งเสริมการลงทุนปี 2567 กว่า 1.13 ล้านล้านบาท สูงสุดในรอบ 10 ปี และการส่งออกโตปี 2567 ก็โตถึง 5.4 % มูลค่ากว่า 10.5 ล้านล้านบาท อีกทั้งยังมีข้อตกลง Treaty of Amity ที่ให้สิทธิพิเศษแก่ธุรกิจสหรัฐฯ
สามารถถือหุ้น 100% ในไทย
ซึ่งเป็นสิทธิที่ไทยไม่เคยให้ประเทศอื่น
นายพิชัยกล่าวว่า
จากการหารือกับภาคเอกชนของสหรัฐฯ มุมมองต่อไทยยังเป็นบวก
โดยเห็นว่าไทยเป็นพันธมิตรที่สำคัญ และเป็นฐานการผลิตที่ดีในภูมิภาค
ซึ่งตนยังได้เชิญชวนบริษัทสหรัฐฯ ให้เข้ามาลงทุนเพิ่มเติมในอุตสาหกรรมสำคัญ เช่น
เวชภัณฑ์ พลังงาน ดิจิทัล และเกษตรอาหาร และกระทรวงพาณิชย์
พร้อมให้การสนับสนุนในด้านนโยบายและสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ
พร้อมช่วยอำนวยความสะดวกและแก้ปัญหาอุปสรรคที่เกิดขึ้นอย่างเต็มที่