พรรคประชาชนขนทีม
สส.-ส.ก.แถลงสะท้อนปัญหาฝุ่นใน กทม. “ณัฐพงษ์” ชี้วิกฤตฝุ่น PM2.5 คือวิกฤตภาวะผู้นำ
หลายมาตรการ รัฐบาล-กทม. ล่าช้า-ทำไม่พอ เปิดเวทีกรรมาธิการเชิญนายกฯ และผู้ว่าฯ
ถก 13 ก.พ.นี้
วันที่
6 กุมภาพันธ์ 2568 ที่อาคารรัฐสภา ณัฐพงษ์
เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน พร้อมด้วย สส. และ ส.ก. พรรคประชาชน
ร่วมแถลงข่าวกรณีปัญหาฝุ่น pm 2.5 ในกรุงเทพมหานครและข้อเสนอเชิงนโยบายต่อรัฐบาลและกรุงเทพมหานครในการแก้ปัญหา
โดยณัฐพงษ์ระบุว่าสถานการณ์ฝุ่น
pm 2.5 ที่ผ่านมาตั้งแต่ต้นปีคือ 1 มกราคม - 5 กุมภาพันธ์ 2568 เป็นช่วงเวลาที่ชาวกรุงเทพมหานครต้องอยู่กับค่า
pm 2.5 ที่เกินมาตรฐานถึง 31 จาก 36
วัน ซึ่งหากเทียบช่วงเวลาเดียวกันกับ 36 วันที่ผ่านมาของปี
2567 ปัญหาฝุ่น pm 2.5 ในปีนี้มีความหนักเพิ่มขึ้นถึง
20%
ที่ผ่านมาพรรคประชาชนได้ผลักดันมาตรการแก้ไขปัญหาต่าง
ๆ ทั้งในระดับประเทศและท้องถิ่น ไม่ว่าจะเป็น พ.ร.บ.อากาศสะอาด
ที่กำลังมีการพิจารณาอยู่ในเวลานี้ และการใช้มาตรการต่าง ๆ
ผ่านกระทู้และเวทีกรรมาธิการ ส่วนในระดับท้องถิ่น ส.ก.พรรคประชาชน
เคยผลักดันข้อบัญญัติรถเมล์อนาคตและข้อบัญญัติพื้นที่สีเขียวเพื่อเพิ่มปอดให้ชาวกรุงเทพมหานคร
ณัฐพงษ์กล่าวต่อไปว่า
อย่างไรก็ตาม อุปสรรคในการแก้ไขปัญหาฝุ่น pm 2.5 นั้นเกิดขึ้นจากช่องว่างในการบริหารราชการแผ่นดิน
ทั้งในระดับประเทศและระดับท้องถิ่น ปัญหาฝุ่นนอกจากทำร้ายสุขภาพแล้ว
ยังสร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจกว่า 2 ล้านล้านบาทต่อปี
จึงถึงเวลาแล้วที่รัฐบาลกับกรุงเทพมหานครจะต้องดำเนินมาตรการร่วมกันอย่างจริงจัง
อุดช่องว่างของการบริหารงานท้องถิ่น
จากนั้น
ณัฐพงษ์ได้เชิญชวนผู้แทนกรุงเทพมหานครจากพรรคประชาชน
ให้ร่วมบอกเล่าปัญหาจริงจากหน้างาน ไม่ว่าจะเป็น ณัฐชา บุญไชยอินสวัสดิ์
สส.กรุงเทพฯ ที่สะท้อนปัญหาของกลุ่มผู้สูงอายุและกลุ่มผู้เปราะบาง
โดยระบุว่าผู้สูงอายุในกรุงเทพมหานครที่มีอยู่ราว 1.2 ล้านราย
ที่เปราะบางอยู่แล้ว วันนี้ยังต้องมาเผชิญฝุ่นพิษเพิ่มอีก
โดยเฉพาะในเขตบางแคมีผู้สูงอายุสูงถึง 40,000 คน
และมีสถานที่ดูแลผู้สูงอายุทั้งบ้านบางแค 1 ที่อยู่ภายใต้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
และบ้านบางแค 2 ที่ดูแลโดยกรุงเทพมหานครเอง
แต่มาตรการป้องกันและช่วยเหลือของทั้งสองแห่งก็ไม่เพียงพอกับสภาพปัญหา ไม่ต้องพูดถึงแผนกอายุรกรรมที่เป็นห้องเปิด
ยังหาทางออกหรือมาตรการเยียวยาช่วยเหลือไม่ได้
ในส่วนของภัสริน
รามวงศ์ สส.กรุงเทพฯ เขต 7
ได้สะท้อนปัญหาฝุ่น pm 2.5 ในเด็ก
โดยระบุว่าไม่ใช่ทุกคนจะมีรถยนต์ ห้องแอร์ หรือเข้าถึงเครื่องฟอกอากาศได้ ฝุ่น pm
2.5 ไม่ใช่ภัยเงียบแต่เป็นหายนะที่กำลังจะพาทุกคนย่ำแย่ลงไปอีก
โดยเฉพาะแม่ที่กำลังอุ้มท้องอุุ้มอนาคตของประเทศนี้ เพราะฝุ่นสามารถซึมสู่สายทารก
เพิ่มความเสี่ยงของการคลอดก่อนกำหนดหรือกระทั่งยุติการตั้งครรภ์ ฝุ่น pm
2.5 ยังทำร้ายการพัฒนาสมองเด็กวัย 0-5 ขวบ
และเป็นสาเหตุหนึ่งของโรคปอดอักเสบที่เพิ่มขึ้นเกือบ 2 เท่าภายใน
1 ปี
แต่ทั้งเด็กและแม่ทำได้เพียงใช้ต้นทุนของตัวเองรับมือสถานการณ์ที่เกิดขึ้น
ไม่ได้รับการดูแลที่เหมาะสมจากผู้นำท้องถิ่นและผู้นำประเทศ
ในส่วนของ
ฉัตรชัย หมอดี ส.ก.เขตบางนา พรรคประชาชน
ระบุว่าที่ผ่านมามาตรการการจัดการฝุ่นของกรุงเทพมหานคร หลายส่วนเบาเกินไป
น้อยเกินไป และช้าเกินไป ที่ผ่านมา
ส.ก.พรรคประชาชนผลักดันข้อบัญญัติพื้นที่สีเขียว
ที่ผู้ขอต่อเติมซ่อมแซมอาคารจะต้องเพิ่มพื้นที่สีเขียวในพื้นที่ของตัวเอง
และข้อบัญญัติรถเมล์อนาคตที่ผ่านสภา กทม.แล้ว แต่ฝ่ายบริหารชี้แจงว่าทำต่อไม่ได้
เพราะกฤษฎีกาตีความว่ากรุงเทพมหานครไม่มีอำนาจ
แต่ตนเห็นว่ากรุงเทพมหานครสามารถพูดคุยกับกรมการขนส่งทางบกต่อได้
แต่เพราะไม่ทำอะไรจึงเสียเวลาไปถึงสองปี
ในส่วนของภัทราภรณ์
เก่งรุ่งเรืองชัย ส.ก.เขตบางซื่อ พรรคประชาชน
ย้ำว่าหลายเรื่องที่กรุงเทพมหานครมีอำนาจเต็มกลับไม่ใช้ให้เต็มประสิทธิภาพ
เช่นมาตรการเขตลดฝุ่นที่กรุงเทพมหานครสามารถห้ามรถบรรทุกเกิน 6 ล้อที่ไม่ได้ลงทะเบียนเป็นรถมลพิษต่ำเข้าในพื้นที่
แต่ที่ผ่านมากลับมีการประกาศห้ามแค่พื้นที่ชั้นในเท่านั้น
ทั้งที่ค่าฝุ่นเป็นสีแดงทั้งหมด 50 เขตของกรุงเทพมหานครในวันที่ประกาศ
โดยรถบรรทุกที่เข้ากรุงเทพมหานครมีทั้งหมดประมาณ 1 แสนคัน
แต่ในพื้นที่ชั้นในที่ใช้มาตรการนี้มีราว 3 พันคันต่อวันเท่านั้น
หมายความว่ารถบรรทุกส่วนใหญ่จะอยู่ในพื้นที่กรุงเทพมหานครชั้นนอก
หากใช้มาตรการนี้กับทั้งกรุงเทพมหานคร พร้อมขยายกรอบเวลาจาก 22 วันเป็น 1 สัปดาห์ น่าจะลดฝุ่นได้อีกหลายเท่าตัว
ภัทราภรณ์กล่าวต่อไปถึงมาตรการให้ทำงานที่บ้าน
หรือ WFH เมื่อสัปดาห์ที่แล้วเกือบทั้ง 50 เขตของกรุงเทพมหานครมีค่า
pm 2.5 เป็นส้มติดต่อกันมา 4-5 วัน
แต่ก็ยังไม่มีการประกาศมาตรการนี้
และยังไม่ได้ใช้กับข้าราชการสังกัดกรุงเทพมหานครอย่างครอบคลุม
ลูกจ้างกรุงเทพมหานครในระดับปฏิบัติการจำนวนมากยังคงทำงานอยู่กลางแจ้ง
ทั้งที่ผู้ว่าฯ มีอำนาจสั่งให้ลูกจ้างหยุดการทำงานกลางแจ้งได้เลย นอกจากนี้
เกณฑ์ค่าทึบแสงของการตรวจควันจาก 30% เหลือ 10% ที่ผู้ว่าฯ เสนอก็สามารถเริ่มต้นทำได้กับรถของกรุงเทพมหานครเองที่มีกว่า 1
หมื่นคัน
ขณะที่
ณัฐพงศ์ เปรมพูลสวัสดิ์ สส.กรุงเทพฯ เขต 21 กล่าวถึงกรณีเตาเผาขยะติดเชื้อในเขตอ่อนนุช
ภายใต้ความรับผิดชอบของกรุงเทพมหานครเอง ที่ยังคงสร้างมลพิษปริมาณสูง
แต่กลับไม่ได้รับการแก้ไขจริงจัง นอกจากนี้
กรุงเทพมหานครควรทำงานเชิงรุกเรื่องการติดเครื่องดักฝุ่นควันเพื่อวัดค่ามลพิษ
รวมถึงพัฒนาการระบบห้องปลอดฝุ่นให้มีความเหมาะสมกับสภาพแวดล้อม
ให้เป็นอีกทางเลือกในการจัดการพื้นที่
ในส่วนของ
ศุภณัฐ มีนชัยนันท์ สส.กรุงเทพฯ เขต 9 ระบุว่าตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2566
จนถึงมกราคม 2567 รัฐบาลไม่ได้ตามแก้ปัญหาของ
ขสมก. ที่ไม่มีบอร์ดจึงไม่สามรถอนุมัติการจัดซื้อจัดจ้างหารถเมล์อีวีได้
เพิ่งทำหลังจากพรรคประชาชนกระทุ้งในสภา แต่ก็ยังไม่มีทีโออาร์ในการจัดซื้อจัดจ้าง
นอกจากนี้ แม้ว่าจะเคยมีการตั้งคณะกรรมการร่วมฯ ระหว่างรัฐบาลกับ กทม. แต่ก็มีการประชุมเพียงครั้งเดียวเท่านั้น
และไม่มีมาตรการใดออกมาเป็นรูปธรรม ทั้งที่มีหลายอย่างที่ควรทำ เช่น
การสนับสนุนให้นำรถเก่ามาเปลี่ยนเป็นรถใหม่
จูงใจให้ประชาชนเปลี่ยนไส้กรองน้ำมันเครื่อง การพัฒนาพื้นที่จอดและจร
พัฒนาที่อยู่อาศัยรอบสถานีรถไฟ การเพิ่มเส้นทางรถเมล์ การปรับค่าธรรมเนียมค่าต่อภาษีรถยนต์ให้สะท้อนค่ามลพิษ
สุดท้ายหัวหน้าพรรคประชาชนได้กล่าวสรุปว่า
ข้อเสนอของพรรคประชาชนที่ว่ามาแบ่งได้เป็น 3 กลุ่ม คือ 1) สิ่งที่ทำแล้ว แต่ยังไม่พอ คือ
มาตรการเขตลดฝุ่นที่กรุงเทพมหานครยังดำเนินการไม่ครอบคลุมทุกพื้นที่ที่มีปัญหา
จำนวนวันบังคับใช้น้อยเกินไป จำนวนรถที่เข้าร่วมไม่มากพอ
รวมถึงการตรวจโรงงานอุตสาหกรรม และการเพิ่มพื้นที่ปลอดภัยให้ประชากรกลุ่มเปราะบาง
เช่น ห้องปลอดฝุ่นในสถานศึกษาและสถานพยาบาลต่างๆ
2)
สิ่งที่ควรทำ แต่ยังไม่ทำ ได้แก่
ข้อบัญญัติรถเมล์อนาคตที่พรรคประชาชนได้ผลักดัน
รวมทั้งมาตรการปรับมาตรฐานและโครงสร้างภาษีรถยนต์ให้สอดคล้องกับอายุของรถ
เพื่อสร้างแรงจูงใจให้ประชาชนหันมาใช้พลังงานสะอาดมากขึ้น
รวมถึงมาตรการสำหรับเรือโดยสาร มาตรการควบคุมมลพิษ ซึ่งหลายเรื่องเป็นสิ่งที่กรุงเทพมหานครจำเป็นต้องทำงานร่วมกับรัฐบาล
3)
สิ่งที่ควรเตรียมเพื่ออนาคต แต่ยังไม่ได้เริ่ม เช่น
การประกาศเขตควบคุมมลพิษ
ที่จะช่วยให้กรุงเทพมหานครสามารถควบคุมการปล่อยมลพิษจากภาคขนส่ง โรงงานอุตสาหกรรม
และการเผาในพื้นที่เกษตรได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
ณัฐพงษ์กล่าวต่อไปว่า
มาตรการสำคัญ ๆ จำนวนมากไม่เกิดขึ้นเพราะผู้บริหารระดับประเทศคือ
นายกรัฐมนตรีและรัฐบาล ไม่ร่วมมือกับผู้บริหารระดับท้องถิ่น
พรรคประชาชนจึงขอทำหน้าที่เป็นตัวกลางเชิญชวนนายกฯ และผู้ว่าฯ กทม.
รวมถึงหน่วยราชการที่เกี่ยวข้องกับปัญหาฝุ่น มาถกปัญหาและกำหนดมาตรการร่วมกัน
ผ่านเวทีของคณะกรรมาธิการที่ดิน ทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม สภาผู้แทนราษฎร
ในวันที่ 13
กุมภาพันธ์ 2568 เพราะการประสานงานระหว่างหน่วยงานส่วนกลางกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจะเป็นหัวใจสำคัญของการบริหารจัดการปัญหา
PM2.5 ที่กำลังทวีความรุนแรงขึ้นในภูมิภาคอื่น ๆ
ของประเทศไทย
#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #พรรคประชาชน #PM25 #กมธที่ดินแบะทรัพยากร #รัฐบาลเพื่อไทย