“โรม” ซัด “ประธาน กสทช.” ยังดำรงตำแหน่งในหน่วยงานรัฐ-เอกชนอื่นๆ
ขัดคุณสมบัติชัดเจน แต่ผ่านไป 7 เดือนหลังยื่นเรื่องรัฐบาลไม่ขยับ
เพราะมี รมต.บางคนสัมพันธ์ใกล้ชิดใช่หรือไม่ ข้องใจทำไมส่งเรื่องให้ศาล รธน.ตีความ
ทั้งที่เสนอทูลเกล้าฯ ถอดถอนได้เลย
วันที่
27 กุมภาพันธ์ 2568 ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร
รังสิมันต์ โรม สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน
ตั้งกระทู้ถามสดด้วยวาจาต่อนายกรัฐมนตรี
กรณีคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของผู้ดำรงตำแหน่งคณะกรรมการ กสทช.
ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้มอบหมายให้ ประเสริฐ จันทรรวงทอง
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม มาเป็นผู้ตอบคำถามแทน
โดยรังสิมันต์ได้ถามถึงกรณีที่
ศาสตราจารย์คลินิก นายแพทย์สรณ บุญใบชัยพฤกษ์ ขึ้นดำรงตำแหน่งประธาน กสทช.
มาตั้งแต่วันที่ 13
เมษายน 2565 ซึ่งตาม
พ.ร.บ.องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ฯ พ.ศ. 2553 มาตรา 8 กำหนดว่า บุคคลที่ได้รับแต่งตั้งเป็นกรรมการ กสทช.
จะต้องไม่เป็นข้าราชการซึ่งมีตำแหน่งหรือเงินเดือนประจำ
ไม่เป็นพนักงานหรือลูกจ้างของหน่วยงานรัฐ รัฐวิสาหกิจ หรือราชการส่วนท้องถิ่น
ไม่เป็นกรรมการหรือที่ปรึกษาของรัฐวิสาหกิจหรือหน่วยงานของรัฐ และต้องไม่ประกอบวิชาชีพอิสระอื่นใดที่มีส่วนได้เสียหรือมีผลประโยชน์ขัดแย้งไม่ว่าโดยตรงหรือโดยอ้อมกับการปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งกรรมการ
แต่ประเด็นคือ
รัฐมนตรีเคยทราบหรือไม่ว่าประธาน กสทช.คนปัจจุบันอาจมีคุณสมบัติและลักษณะต้องห้าม
ซึ่งอาจทำให้ต้องพ้นจากตำแหน่ง
จากการที่ตนได้ศึกษารายงานของคณะกรรมาธิการเทคโนโลยีสารสนเทศ วุฒิสภา
มีข้อมูลหลักฐานชี้ชัดมากมายที่น่าเชื่อได้ว่านายแพทย์สรณเป็นพนักงานมหาวิทยาลัยจนถึงวันที่
12 เมษายน 2565 หรือก่อนโปรดเกล้าฯ เพียง 1 วันเท่านั้น และยังเป็นแพทย์รายชั่วโมงของโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งอีกด้วย
และเชื่อได้ว่าปัจจุบันก็ยังทำหน้าที่นี้อยู่จากการนำชื่อไปค้นหาในกูเกิล
รังสิมันต์กล่าวต่อไปว่า
นอกจากนี้ นายแพทย์สรณอาจจะเข้าข่ายดำรงตำแหน่งเป็นผู้บริหารของมหาวิทยาลัย
ที่ได้รับใบอนุญาตเป็นผู้ประกอบกิจการโทรทัศน์แบบบอกรับสมาชิกช่องรามาแชลแนล
ซึ่งประธาน กสทช.อาจจะไม่ได้ลาออกจากการเป็นผู้บริหารภายใน 1 ปีก่อนสมัครเข้ารับการสรรหา
จึงอาจมีผลให้ประธาน กสทช.มีลักษณะต้องห้ามตาม พ.ร.บ.องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ฯ
รัฐมนตรีเคยทราบเรื่องนี้หรือไม่ และจะดำเนินการอย่างไรเพื่อแก้ปัญหานี้
ในส่วนของรัฐมนตรีระบุว่า
ตนทราบเรื่องนี้ดีเนื่องจากมีโอกาสได้พูดคุยและพบปะกับบุคคลที่เกี่ยวข้อง
และขณะนี้ได้มีการยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญให้วินิจฉัยตีความกรณีดังกล่าวอยู่
เมื่อเรื่องนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาจึงเป็นเรื่องที่ต้องรอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ความเห็นและวินิจฉัยออกมา
รังสิมันต์ถามกระทู้ต่อในคำถามที่สอง
โดยระบุว่า ตนขอบคุณรัฐมนตรีที่ช่วยยืนยัน เพราะเรื่องนี้มีความสำคัญ เราทราบดีว่า
กสทช.ต้องตัดสินใจในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับประโยชน์สาธารณะของประชาชน
แต่ขณะนี้กำลังมีความขัดแย้งภายในกันอย่างหนัก ซึ่งเสียงของประธานมีความสำคัญอย่างมาก
การมีข้อถกเถียงในเรื่องคุณสมบัติย่อมมีความสำคัญอย่างแน่นอน
อย่างไรก็ตาม
ตนค่อนข้างแปลกใจว่ามีการตีความยื่นไปศาลรัฐธรรมนูญได้อย่างไร
อยากให้รัฐมนตรีให้รายละเอียดเรื่องนี้เพิ่มเติมว่ากระบวนการดังกล่าวเกิดขึ้นได้อย่างไรและเมื่อใด
เพราะถ้าดูใน พ.ร.บ.องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ฯ มาตรา 18 กรณีที่กรรมการ
กสทช.มีปัญหาคุณสมบัติและลักษณะต้องห้าม
ถ้ามีปัญหาจริงก็ต้องถือว่าผู้นั้นไม่เคยได้รับเลือกเป็นกรรมการ
และต้องมีการเลือกกรรมการใหม่ แต่
พ.ร.บ.องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ก็ไม่ได้กำหนดอย่างชัดเจนถึงขั้นตอนในรายละเอียด
ว่าหากมีการโปรดเกล้าฯ ไปแล้วแล้วพบว่ามีปัญหาคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามขึ้นมาต้องดำเนินการอย่างไร
รังสิมันต์กล่าวต่อไปว่า
ในแง่นี้จึงต้องพิจารณาตามหลักการทั่วไปว่าเมื่อครั้งที่บุคคลดังกล่าวขึ้นดำรงตำแหน่งกรรมการ
กสทช. กระทำการด้วยวิธีใด หากดำรงตำแหน่งด้วยการเสนอทูลเกล้าฯ
เมื่อมีปัญหาก็ต้องใช้กระบวนการในทำนองเดียวกันเพื่อโปรดเกล้าฯ
ซึ่งที่ผ่านมามีกรณีหนึ่งที่กรรมการ
กสทช.มีปัญหาเรื่องคุณสมบัติเนื่องจากต้องคำพิพากษา ในยุคนั้น พล.อ.ประยุทธ์
จันทร์โอชา อดีตนายกรัฐมนตรีก็ได้เสนอทูลเกล้าฯ และมีการโปรดเกล้าฯ
ให้พ้นจากตำแหน่งกรรมการ กสทช.ตามมา
กรณีนี้ก็ควรจะต้องทำในลักษณะเดียวกัน
วันนี้มีรายงานของวุฒิสภาที่ทำการตรวจสอบเรื่องนี้
ซึ่งได้ส่งให้ประธานวุฒิสภาพิจารณาแล้ว
แต่มีสาเหตุบางอย่างที่ทำให้ไม่มีการดำเนินการต่อ
แต่ขั้นตอนตามกฎหมายของวุฒิสภาได้มีการดำเนินการไปแล้ว
และเท่าที่ตนทราบพยานหลักฐานเหล่านี้มีกรรมการ กสทช. 4 คนเข้าชื่อส่งหนังสือถึงนายกรัฐมนตรีตั้งแต่เมื่อ
7 เดือนที่แล้ว มีการลงเลขหนังสือเรียบร้อยแล้ว
จึงต้องถือว่านายกรัฐมนตรีได้ทราบแล้วว่ามีปัญหาเรื่องคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของประธาน
กสทช.คนปัจจุบัน
แต่
7 เดือนผ่านมาตนไม่พบว่ามีความพยายามในการดำเนินการจากฝั่งรัฐบาลเลย
จึงไม่มั่นใจว่าการที่รัฐมนตรีระบุว่าต้องให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความก่อน
อาศัยอำนาจตามกฎหมายอะไรในการวินิจฉัยกรณีนี้
เมื่อเทียบกับกรณีที่ตนยกมาเมื่อครู่จะพบว่ากระบวนการคือนายกรัฐมนตรีจะต้องเสนอทูลเกล้าฯ
เพราะความผิดได้สำเร็จไปแล้ว
จึงอยากขอความชัดเจนจากรัฐมนตรีว่าตกลงแล้วจะดำเนินการอย่างไรนอกจากการรอศาลรัฐธรรมนูญ
เรื่องนี้นายกรัฐมนตรีไม่สามารถปฏิเสธความรับผิดชอบได้ เพราะทราบเรื่องแล้ว
ทางด้านรัฐมนตรีตอบคำถามที่สองว่า
เรื่องการส่งศาลรัฐธรรมนูญตนก็ได้มีการติดตามอยู่แต่มีรายละเอียดจำนวนมาก
ตนจึงขออนุญาตได้ติดตามต่อ ส่วนในเรื่องที่มาของประธาน
กสทช.มีการสรรหาซึ่งเป็นไปตาม พ.ร.บ.องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ฯ ที่ผ่านมามีกรรมการ
กสทช. 4 รายทำเรื่องถึงนายกรัฐมนตรี
ซึ่งหลังจากที่ได้ทราบแล้วก็มีบัญชาให้เลขาธิการนายกรัฐมนตรีและตนไปพบปะกับกรรมการ
กสทช.ทั้ง 4 ราย และมีการพูดคุยกันในรายละเอียดถึงสภาพปัญหา
คุณสมบัติ การดำเนินกิจการภายในของ กสทช.
ซึ่งหลังรับฟังก็ได้มีการติดตามและประสานงานเป็นระยะในการแก้ไขปัญหา
รังสิมันต์ถามต่อเป็นครั้งที่สาม
โดยระบุว่า เรื่องศาลรัฐธรรมนูญ กฎหมายไม่ได้กำหนดว่าในกรณีที่ประธานหรือกรรมการ
กสทช. มีปัญหาคุณสมบัติหรือลักษณะต้องห้ามจะต้องมีการตีความโดยศาลรัฐธรรมนูญ
แล้วทำไมถึงต้องไปที่ช่องทางศาลรัฐธรรมนูญก่อน และใครเป็นผู้ยื่นไปที่ศาลรัฐธรรมนูญ
นอกจากนี้
หลังจาก 7
เดือนที่แล้วที่มีการยื่นเรื่องนี้ไปที่นายกรัฐมนตรี
ต้องถามว่านายกรัฐมนตรีรวมถึงรัฐมนตรีเองได้มีการตั้งกรรมการตรวจสอบพยานหลักฐานที่ได้มาจากชั้นวุฒิสภาบ้างหรือไม่
นายแพทย์สรณยังเป็นพนักงานมหาวิทยาลัยอยู่หรือไม่
ยังเป็นกรรมการอิสระของบริษัทเอกชนหรือไม่ ยังเป็นแพทย์รายชั่วโมงหรือไม่
แล้วทำไมถึงมีเอกสารที่ได้มาจากโรงพยาบาลรามาธิบดี
ที่ระบุว่านายแพทย์สรณได้รับเงินหลายหมื่นบาทในช่วงเวลาทั้งก่อนและหลังเป็นประธาน
กสทช.
ยังไม่นับว่ามีการยกประเด็นขึ้นมาจากสังคมอีกว่ามีบุคคลที่มีชื่อเดียวกันเปิดคลินิกอยู่ที่สหรัฐอเมริกา
รังสิมันต์กล่าวต่อไปว่า
กรณีเหล่านี้รัฐบาลสามารถตั้งกรรมการสอบตรวจสอบพยานหลักฐานทั้งหมดได้เลย
โดยไม่จำเป็นต้องรอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยก่อน
เพราะยิ่งปล่อยให้เวลาเนิ่นนานผ่านไปก็ยิ่งส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจหลายอย่าง
ซึ่งสังคมสามารถตั้งคำถามได้ว่าการตัดสินใจหลายอย่างที่เกิดขึ้นไปแล้วและจะต้องเกิดขึ้นอีกในวันข้างหน้า
กสทช.มีอำนาจในการตัดสินใจเหล่านั้นหรือไม่
เพราะถ้าปัญหานี้เป็นจริงก็เท่ากับนายแพทย์สรณไม่เคยเป็นกรรมการเลย
นอกจากนี้ยังมีข้อครหาว่ามีคนในรัฐบาลระดับรัฐมนตรี
มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับคนใน กสทช. ซึ่งตนหวังว่าจะไม่เป็นความจริง
เพราะจะเกิดคำถามขึ้นว่าตลอด 7 เดือนที่ผ่านมาที่ไม่มีการดำเนินการเรื่องนี้
อาจจะเป็นเพราะความสัมพันธ์นี้หรือไม่
รัฐมนตรีจะสร้างความมั่นใจได้อย่างไรในการแก้ปัญหาเรื่องนี้
จะมีการตั้งกรรมการสอบหรือไม่ หรือจะรอศาลรัฐธรรมนูญอย่างเดียว
รวมถึงตนขอทราบรายละเอียดว่าใครเป็นผู้ส่งเรื่องให้มีการวินิจฉัยในศาลรัฐธรรมนูญ
ส่งไปเมื่อใด และเมื่อใดไหนสังคมไทยถึงจะได้รับรู้ว่าเรื่องนี้จะจบลงอย่างไร
ในส่วนของรัฐมนตรีได้ตอบคำถามโดยระบุว่า
ในระยะเวลาที่ผ่านมา 7
เดือนรัฐบาลได้ติดตามการทำงานของ กสทช.มาโดยตลอด
ส่วนที่แนะนำว่าควรมีการตั้งกรรมการสอบตนรับข้อเสนอนี้ไว้
ส่วนที่กล่าวหาว่ามีคนในรัฐบาลมีความสัมพันธ์กับคนใน กสทช. ตนไม่ทราบ
แต่รัฐบาลแยกแยะออกว่าไม่ว่าจะมีความสัมพันธ์หรือไม่ก็ไม่เกี่ยวข้องกับการทำงาน
ตนขอสร้างความมั่นใจกับประชาชนว่ารัฐบาลยึดความถูกต้องและความโปร่งใสเป็นหลัก
ส่วนอำนาจในการตรวจสอบตาม
พ.ร.บ.องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ฯ มีหลายช่องทาง เช่น ตามมาตรา 21 กำหนดให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือวุฒิสภาไม่น้อยกว่า
1 ใน 4 ของแต่ละสภา
มีสิทธิร้องขอต่อประธานวุฒิสภาเพื่อให้วุฒิสภามีมติให้กรรมการพ้นจากตำแหน่งจากเหตุที่กรรมการนั้นมีความประพฤติเสื่อมเสีย
หรือมาตรา 22 เมื่อปรากฏว่า
กสทช.ไม่ปฏิบัติตามหน้าที่ที่กฎหมายกำหนดอย่างมีประสิทธิภาพ สส.ไม่น้อยกว่า 1
ใน 4 หรือ สว.ไม่น้อยกว่า 1 ใน 4 หรือประชาชนผู้ใช้บริการที่ได้รับผลกระทบไม่น้อยกว่า
20,000 คน มีสิทธิร้องต่อประธานวุฒิสภาให้มีมติให้กรรมการ
กสทช.พ้นจากตำแหน่งทั้งคณะได้