วันพฤหัสบดีที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2568

“โรม” ซัด “ประธาน กสทช.” ยังดำรงตำแหน่งในหน่วยงานรัฐ-เอกชนอื่นๆ ขัดคุณสมบัติชัดเจน แต่ผ่านไป 7 เดือนหลังยื่นเรื่องรัฐบาลไม่ขยับ เพราะมี รมต.บางคนสัมพันธ์ใกล้ชิดใช่หรือไม่ ข้องใจทำไมส่งเรื่องให้ศาล รธน.ตีความ ทั้งที่เสนอทูลเกล้าฯ ถอดถอนได้เลย

 


โรม” ซัด “ประธาน กสทช.” ยังดำรงตำแหน่งในหน่วยงานรัฐ-เอกชนอื่นๆ ขัดคุณสมบัติชัดเจน แต่ผ่านไป 7 เดือนหลังยื่นเรื่องรัฐบาลไม่ขยับ เพราะมี รมต.บางคนสัมพันธ์ใกล้ชิดใช่หรือไม่ ข้องใจทำไมส่งเรื่องให้ศาล รธน.ตีความ ทั้งที่เสนอทูลเกล้าฯ ถอดถอนได้เลย


วันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2568 ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร รังสิมันต์ โรม สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ตั้งกระทู้ถามสดด้วยวาจาต่อนายกรัฐมนตรี กรณีคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของผู้ดำรงตำแหน่งคณะกรรมการ กสทช. ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้มอบหมายให้ ประเสริฐ จันทรรวงทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม มาเป็นผู้ตอบคำถามแทน


โดยรังสิมันต์ได้ถามถึงกรณีที่ ศาสตราจารย์คลินิก นายแพทย์สรณ บุญใบชัยพฤกษ์ ขึ้นดำรงตำแหน่งประธาน กสทช. มาตั้งแต่วันที่ 13 เมษายน 2565 ซึ่งตาม พ.ร.บ.องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ฯ พ.ศ. 2553 มาตรา 8 กำหนดว่า บุคคลที่ได้รับแต่งตั้งเป็นกรรมการ กสทช. จะต้องไม่เป็นข้าราชการซึ่งมีตำแหน่งหรือเงินเดือนประจำ ไม่เป็นพนักงานหรือลูกจ้างของหน่วยงานรัฐ รัฐวิสาหกิจ หรือราชการส่วนท้องถิ่น ไม่เป็นกรรมการหรือที่ปรึกษาของรัฐวิสาหกิจหรือหน่วยงานของรัฐ และต้องไม่ประกอบวิชาชีพอิสระอื่นใดที่มีส่วนได้เสียหรือมีผลประโยชน์ขัดแย้งไม่ว่าโดยตรงหรือโดยอ้อมกับการปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งกรรมการ


แต่ประเด็นคือ รัฐมนตรีเคยทราบหรือไม่ว่าประธาน กสทช.คนปัจจุบันอาจมีคุณสมบัติและลักษณะต้องห้าม ซึ่งอาจทำให้ต้องพ้นจากตำแหน่ง จากการที่ตนได้ศึกษารายงานของคณะกรรมาธิการเทคโนโลยีสารสนเทศ วุฒิสภา มีข้อมูลหลักฐานชี้ชัดมากมายที่น่าเชื่อได้ว่านายแพทย์สรณเป็นพนักงานมหาวิทยาลัยจนถึงวันที่ 12 เมษายน 2565 หรือก่อนโปรดเกล้าฯ เพียง 1 วันเท่านั้น และยังเป็นแพทย์รายชั่วโมงของโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งอีกด้วย และเชื่อได้ว่าปัจจุบันก็ยังทำหน้าที่นี้อยู่จากการนำชื่อไปค้นหาในกูเกิล


รังสิมันต์กล่าวต่อไปว่า นอกจากนี้ นายแพทย์สรณอาจจะเข้าข่ายดำรงตำแหน่งเป็นผู้บริหารของมหาวิทยาลัย ที่ได้รับใบอนุญาตเป็นผู้ประกอบกิจการโทรทัศน์แบบบอกรับสมาชิกช่องรามาแชลแนล ซึ่งประธาน กสทช.อาจจะไม่ได้ลาออกจากการเป็นผู้บริหารภายใน 1 ปีก่อนสมัครเข้ารับการสรรหา จึงอาจมีผลให้ประธาน กสทช.มีลักษณะต้องห้ามตาม พ.ร.บ.องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ฯ รัฐมนตรีเคยทราบเรื่องนี้หรือไม่ และจะดำเนินการอย่างไรเพื่อแก้ปัญหานี้


ในส่วนของรัฐมนตรีระบุว่า ตนทราบเรื่องนี้ดีเนื่องจากมีโอกาสได้พูดคุยและพบปะกับบุคคลที่เกี่ยวข้อง และขณะนี้ได้มีการยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญให้วินิจฉัยตีความกรณีดังกล่าวอยู่ เมื่อเรื่องนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาจึงเป็นเรื่องที่ต้องรอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ความเห็นและวินิจฉัยออกมา


รังสิมันต์ถามกระทู้ต่อในคำถามที่สอง โดยระบุว่า ตนขอบคุณรัฐมนตรีที่ช่วยยืนยัน เพราะเรื่องนี้มีความสำคัญ เราทราบดีว่า กสทช.ต้องตัดสินใจในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับประโยชน์สาธารณะของประชาชน แต่ขณะนี้กำลังมีความขัดแย้งภายในกันอย่างหนัก ซึ่งเสียงของประธานมีความสำคัญอย่างมาก การมีข้อถกเถียงในเรื่องคุณสมบัติย่อมมีความสำคัญอย่างแน่นอน


อย่างไรก็ตาม ตนค่อนข้างแปลกใจว่ามีการตีความยื่นไปศาลรัฐธรรมนูญได้อย่างไร อยากให้รัฐมนตรีให้รายละเอียดเรื่องนี้เพิ่มเติมว่ากระบวนการดังกล่าวเกิดขึ้นได้อย่างไรและเมื่อใด เพราะถ้าดูใน พ.ร.บ.องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ฯ มาตรา 18 กรณีที่กรรมการ กสทช.มีปัญหาคุณสมบัติและลักษณะต้องห้าม ถ้ามีปัญหาจริงก็ต้องถือว่าผู้นั้นไม่เคยได้รับเลือกเป็นกรรมการ และต้องมีการเลือกกรรมการใหม่ แต่ พ.ร.บ.องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ก็ไม่ได้กำหนดอย่างชัดเจนถึงขั้นตอนในรายละเอียด ว่าหากมีการโปรดเกล้าฯ ไปแล้วแล้วพบว่ามีปัญหาคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามขึ้นมาต้องดำเนินการอย่างไร


รังสิมันต์กล่าวต่อไปว่า ในแง่นี้จึงต้องพิจารณาตามหลักการทั่วไปว่าเมื่อครั้งที่บุคคลดังกล่าวขึ้นดำรงตำแหน่งกรรมการ กสทช. กระทำการด้วยวิธีใด หากดำรงตำแหน่งด้วยการเสนอทูลเกล้าฯ เมื่อมีปัญหาก็ต้องใช้กระบวนการในทำนองเดียวกันเพื่อโปรดเกล้าฯ ซึ่งที่ผ่านมามีกรณีหนึ่งที่กรรมการ กสทช.มีปัญหาเรื่องคุณสมบัติเนื่องจากต้องคำพิพากษา ในยุคนั้น พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อดีตนายกรัฐมนตรีก็ได้เสนอทูลเกล้าฯ และมีการโปรดเกล้าฯ ให้พ้นจากตำแหน่งกรรมการ กสทช.ตามมา


กรณีนี้ก็ควรจะต้องทำในลักษณะเดียวกัน วันนี้มีรายงานของวุฒิสภาที่ทำการตรวจสอบเรื่องนี้ ซึ่งได้ส่งให้ประธานวุฒิสภาพิจารณาแล้ว แต่มีสาเหตุบางอย่างที่ทำให้ไม่มีการดำเนินการต่อ แต่ขั้นตอนตามกฎหมายของวุฒิสภาได้มีการดำเนินการไปแล้ว และเท่าที่ตนทราบพยานหลักฐานเหล่านี้มีกรรมการ กสทช. 4 คนเข้าชื่อส่งหนังสือถึงนายกรัฐมนตรีตั้งแต่เมื่อ 7 เดือนที่แล้ว มีการลงเลขหนังสือเรียบร้อยแล้ว จึงต้องถือว่านายกรัฐมนตรีได้ทราบแล้วว่ามีปัญหาเรื่องคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของประธาน กสทช.คนปัจจุบัน


แต่ 7 เดือนผ่านมาตนไม่พบว่ามีความพยายามในการดำเนินการจากฝั่งรัฐบาลเลย จึงไม่มั่นใจว่าการที่รัฐมนตรีระบุว่าต้องให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความก่อน อาศัยอำนาจตามกฎหมายอะไรในการวินิจฉัยกรณีนี้ เมื่อเทียบกับกรณีที่ตนยกมาเมื่อครู่จะพบว่ากระบวนการคือนายกรัฐมนตรีจะต้องเสนอทูลเกล้าฯ เพราะความผิดได้สำเร็จไปแล้ว จึงอยากขอความชัดเจนจากรัฐมนตรีว่าตกลงแล้วจะดำเนินการอย่างไรนอกจากการรอศาลรัฐธรรมนูญ เรื่องนี้นายกรัฐมนตรีไม่สามารถปฏิเสธความรับผิดชอบได้ เพราะทราบเรื่องแล้ว


ทางด้านรัฐมนตรีตอบคำถามที่สองว่า เรื่องการส่งศาลรัฐธรรมนูญตนก็ได้มีการติดตามอยู่แต่มีรายละเอียดจำนวนมาก ตนจึงขออนุญาตได้ติดตามต่อ ส่วนในเรื่องที่มาของประธาน กสทช.มีการสรรหาซึ่งเป็นไปตาม พ.ร.บ.องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ฯ ที่ผ่านมามีกรรมการ กสทช. 4 รายทำเรื่องถึงนายกรัฐมนตรี ซึ่งหลังจากที่ได้ทราบแล้วก็มีบัญชาให้เลขาธิการนายกรัฐมนตรีและตนไปพบปะกับกรรมการ กสทช.ทั้ง 4 ราย และมีการพูดคุยกันในรายละเอียดถึงสภาพปัญหา คุณสมบัติ การดำเนินกิจการภายในของ กสทช. ซึ่งหลังรับฟังก็ได้มีการติดตามและประสานงานเป็นระยะในการแก้ไขปัญหา


รังสิมันต์ถามต่อเป็นครั้งที่สาม โดยระบุว่า เรื่องศาลรัฐธรรมนูญ กฎหมายไม่ได้กำหนดว่าในกรณีที่ประธานหรือกรรมการ กสทช. มีปัญหาคุณสมบัติหรือลักษณะต้องห้ามจะต้องมีการตีความโดยศาลรัฐธรรมนูญ แล้วทำไมถึงต้องไปที่ช่องทางศาลรัฐธรรมนูญก่อน และใครเป็นผู้ยื่นไปที่ศาลรัฐธรรมนูญ


นอกจากนี้ หลังจาก 7 เดือนที่แล้วที่มีการยื่นเรื่องนี้ไปที่นายกรัฐมนตรี ต้องถามว่านายกรัฐมนตรีรวมถึงรัฐมนตรีเองได้มีการตั้งกรรมการตรวจสอบพยานหลักฐานที่ได้มาจากชั้นวุฒิสภาบ้างหรือไม่ นายแพทย์สรณยังเป็นพนักงานมหาวิทยาลัยอยู่หรือไม่ ยังเป็นกรรมการอิสระของบริษัทเอกชนหรือไม่ ยังเป็นแพทย์รายชั่วโมงหรือไม่ แล้วทำไมถึงมีเอกสารที่ได้มาจากโรงพยาบาลรามาธิบดี ที่ระบุว่านายแพทย์สรณได้รับเงินหลายหมื่นบาทในช่วงเวลาทั้งก่อนและหลังเป็นประธาน กสทช. ยังไม่นับว่ามีการยกประเด็นขึ้นมาจากสังคมอีกว่ามีบุคคลที่มีชื่อเดียวกันเปิดคลินิกอยู่ที่สหรัฐอเมริกา


รังสิมันต์กล่าวต่อไปว่า กรณีเหล่านี้รัฐบาลสามารถตั้งกรรมการสอบตรวจสอบพยานหลักฐานทั้งหมดได้เลย โดยไม่จำเป็นต้องรอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยก่อน เพราะยิ่งปล่อยให้เวลาเนิ่นนานผ่านไปก็ยิ่งส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจหลายอย่าง ซึ่งสังคมสามารถตั้งคำถามได้ว่าการตัดสินใจหลายอย่างที่เกิดขึ้นไปแล้วและจะต้องเกิดขึ้นอีกในวันข้างหน้า กสทช.มีอำนาจในการตัดสินใจเหล่านั้นหรือไม่ เพราะถ้าปัญหานี้เป็นจริงก็เท่ากับนายแพทย์สรณไม่เคยเป็นกรรมการเลย


นอกจากนี้ยังมีข้อครหาว่ามีคนในรัฐบาลระดับรัฐมนตรี มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับคนใน กสทช. ซึ่งตนหวังว่าจะไม่เป็นความจริง เพราะจะเกิดคำถามขึ้นว่าตลอด 7 เดือนที่ผ่านมาที่ไม่มีการดำเนินการเรื่องนี้ อาจจะเป็นเพราะความสัมพันธ์นี้หรือไม่ รัฐมนตรีจะสร้างความมั่นใจได้อย่างไรในการแก้ปัญหาเรื่องนี้ จะมีการตั้งกรรมการสอบหรือไม่ หรือจะรอศาลรัฐธรรมนูญอย่างเดียว รวมถึงตนขอทราบรายละเอียดว่าใครเป็นผู้ส่งเรื่องให้มีการวินิจฉัยในศาลรัฐธรรมนูญ ส่งไปเมื่อใด และเมื่อใดไหนสังคมไทยถึงจะได้รับรู้ว่าเรื่องนี้จะจบลงอย่างไร


ในส่วนของรัฐมนตรีได้ตอบคำถามโดยระบุว่า ในระยะเวลาที่ผ่านมา 7 เดือนรัฐบาลได้ติดตามการทำงานของ กสทช.มาโดยตลอด ส่วนที่แนะนำว่าควรมีการตั้งกรรมการสอบตนรับข้อเสนอนี้ไว้ ส่วนที่กล่าวหาว่ามีคนในรัฐบาลมีความสัมพันธ์กับคนใน กสทช. ตนไม่ทราบ แต่รัฐบาลแยกแยะออกว่าไม่ว่าจะมีความสัมพันธ์หรือไม่ก็ไม่เกี่ยวข้องกับการทำงาน ตนขอสร้างความมั่นใจกับประชาชนว่ารัฐบาลยึดความถูกต้องและความโปร่งใสเป็นหลัก


ส่วนอำนาจในการตรวจสอบตาม พ.ร.บ.องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ฯ มีหลายช่องทาง เช่น ตามมาตรา 21 กำหนดให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือวุฒิสภาไม่น้อยกว่า 1 ใน 4 ของแต่ละสภา มีสิทธิร้องขอต่อประธานวุฒิสภาเพื่อให้วุฒิสภามีมติให้กรรมการพ้นจากตำแหน่งจากเหตุที่กรรมการนั้นมีความประพฤติเสื่อมเสีย หรือมาตรา 22 เมื่อปรากฏว่า กสทช.ไม่ปฏิบัติตามหน้าที่ที่กฎหมายกำหนดอย่างมีประสิทธิภาพ สส.ไม่น้อยกว่า 1 ใน 4 หรือ สว.ไม่น้อยกว่า 1 ใน 4 หรือประชาชนผู้ใช้บริการที่ได้รับผลกระทบไม่น้อยกว่า 20,000 คน มีสิทธิร้องต่อประธานวุฒิสภาให้มีมติให้กรรมการ กสทช.พ้นจากตำแหน่งทั้งคณะได้

 

#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #รังสิมีนต์โรม #ประชุมสภา #กสทช