“อ.ธิดา”
ฝากคนรุ่นใหม่ อย่าท้อถอย บนถนนสายนี้ จะเป็นถนนที่ “พิสูจน์คน พิสูจน์หัวใจ-พิสูจน์หลักการ”
สำคัญที่สุดคือเดินถูกทาง ชี้ ถ้าจะเปลี่ยนประเทศต้องเปลี่ยนความคิดคนสำคัญที่สุด
เมื่อวันที่
25 มกราคม 2568 อ.ธิดา ถาวรเศรษฐ และครอบครัว ได้จัดพิธีทำบุญเนื่องในวันคล้ายวันเกิดครบ
81 ปี โดยเวลา 10.30 น. ได้เริ่มพิธีสงฆ์และถวายภัตตาหารเพล เมื่อเสร็จพิธีสงฆ์ก็มีการรับประทานอาหารกลางวันพร้อม
ๆ กับญาติสนิทและคณะทำงาน ทั้งนี้ อ.ธิดา ได้กล่าวกับแขกผู้มาร่วมงานในวันดังกล่าว
ความว่า
ขอขอบคุณทุกคนที่มาในวันนี้
อาจารย์จัดทำบุญในวาระที่ตัวเองอายุก็ 81 ปีแล้ว ไม่รู้จะจัดได้อีกกี่ปี
ก็จะพยายามอยู่ให้นานที่สุด ที่เมื่อกี้พูดไม่ได้คิดว่าตัวเองเป็นดวงอาทิตย์นะ
แต่พูดว่าเราเป็น “ตะวันรอน” หมายความว่าเป็นเวลาบ่าย
เป็นเวลาที่ว่าความเป็นจริงมันก็คือทุกอย่างมันต้องคล้อยต่ำลง
วันนี้มันจึงเป็นงานที่เรียกว่าเราขอบคุณด้วย
ทำบุญด้วย ก็มีแต่ญาติสนิท แล้วก็มีพวกคณะทำงาน
ซึ่งพวกเราที่นี่เป็นส่วนมากเป็นคณะทำงานที่ช่วยเราทำงาน
เราก็รู้ว่าช่วงเวลานี้มันก็มีการเปลี่ยนแปลง แต่อาจารย์ผ่านร้อนผ่านหนาวมาเยอะ
ตั้งแต่ 14ตุลา16 เราก็ต้องเดินแยกทางกับคนจำนวนหนึ่งที่บอกว่าเป็นคนรุ่น 14ตุลา
จนมากระทั่งถึง 6ตุลา จนถึงพฤษภา35 ก็คือเราต่อต้านเผด็จการรัฐประหาร
เราไม่ต้องการให้มีรัฐประหารเกิดขึ้นในแผ่นดินนี้ ดังนั้นจึงทำให้เรามาร่วมกัน
แต่การร่วมกันมันก็มีคนหลากหลาย
บ้างก็ยังไม่ใช่เป็นนักต่อสู้ตัวจริง
ก็ยังมาเป็นนักต่อสู้เพื่อต่อรองเอาผลประโยชน์
เพราะฉะนั้นเมื่อถึงเวลาหนึ่งก็จะเกิดความคิดที่แตกแยกแตกต่าง ขบวนการที่ผ่านมา 50
ปี มันจะคัดกรองคนเรื่อย ๆ ตัวอาจารย์เองก็เคยเสียเพื่อนสนิทไปเยอะ
เพราะฉะนั้นจะเข้าใจว่าวันเวลาที่ผ่านมันจะคัดกรองคน
คนที่ครั้งหนึ่งดูประหนึ่งว่าเป็นนักต่อสู้ใหญ่เป็นฮีโร่
แต่วันเวลาและสถานการณ์มันจะพิสูจน์ว่าเป็นฮีโร่เพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง
หรือว่าเป็นผลประโยชน์ของประเทศ
อย่างที่อาจารย์เคยพูดว่าเรามาจากคนละทาง
ความฝันคนละอย่าง ความฝันของบางคนต้องการเป็นรัฐมนตรี เป็นสส.
แต่ความฝันอาจารย์ธิดาไม่ใช่ เราต้องการเปลี่ยนแปลงประเทศ
ให้ประเทศนี้เป็นประเทศที่ประชาชนอยู่ได้อย่างมีความสุข มีความเท่าเทียม
ไม่มีทหารมาทำรัฐประหารหรือเผด็จการกับประเทศนี้
แล้วระบอบที่ไม่พึงประสงค์มันก็ยังดำรงอยู่ในประเทศนี้จนทุกวันนี้
ที่ผ่านมาเราทำเรื่องเล็ก
ๆ หลังจากนปช.แตกไปแล้ว ก็คือเราทวงความความยุติธรรม 2553
คำขวัญของเราไม่ใช่แต่เพียงเรื่องของทวงความยุติธรรม 2553 เราก็บอกว่า
นิรโทษกรรมให้คนเป็น รวม 112 แล้วทวงความยุติธรรมให้คนตาย นี่ก็คือคำขวัญ
เพราะฉะนั้นที่เราตั้งเป็นคณะประชาชนทวงความยุติธรรม 2553 จริง ๆ
มันไม่ควรจำเป็นต้องมี 2553 มันก็คือทวงความยุติธรรมเฉย ๆ
เวลาที่ผ่านมา
การต่อสู้ของประชาชนได้ผลระดับหนึ่ง แต่อย่าท้อถอย หลายคนอาจจะรู้สึกท้อถอย
แต่ผลการเลือกตั้งรอบที่ผ่านมามันแสดงให้เห็นว่าประชาชนเขาไม่จำเป็นต้องลงถนน
แต่เขาสามารถจะใช้วิธีการเลือกตั้งแสดงออกถึงความประสงค์ของเขาในการเปลี่ยนแปลงประเทศได้
ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน การเลือกตั้งปี 2566 มันให้ความหวังกับเรามาก
เพราะตอนนั้นคนก็คิดว่าพรรคสองพรรคซึ่งเป็นพรรคในระบอบประชาธิปไตย
คนเทคะแนนให้รวมแล้วมัน 70 กว่าเปอร์เซ็น แปลว่าคน 70
กว่าเปอร์เซ็นอยากเห็นประเทศนี้เป็นประชาธิปไตย แต่เมื่อสถานการณ์เปลี่ยน เราก็ต้องยอมรับความจริงว่าระบอบที่ดำรงอยู่มายาวนานก็มีกลยุทธ์และยังดำรงอยู่จนถึงปัจจุบัน
เพราะฉะนั้น
อยากจะฝากคนรุ่นหลังว่าอย่าท้อถอย
เพราะว่าการเปลี่ยนแปลงประเทศสำคัญที่สุดคือเปลี่ยนความคิดคน
การเปลี่ยนความคิดคนสามารถทำสันติวิธีได้ การที่คนมีความรู้
เปลี่ยนแปลงทางความคิดสำคัญที่สุด
มันไม่ใช่ว่าในอดีตที่ต้องมีการจับอาวุธลุกขึ้นสู้ คนมีกองทหาร 3-4 หมื่นเพื่อมารบแล้วทำให้เกิดความวุ่นวาย
แต่ถ้าประชาชนทั้งประเทศเขายังไม่เข้าใจ ไม่มีประโยชน์
เราเดินมาในเส้นทางที่เป็นประโยชน์และถูกต้องแล้ว
ก็คือคนส่วนใหญ่อยากจะเปลี่ยนแปลงประเทศ พวกลูกหลานรุ่นหลังอย่าท้อถอย
เราเดินมาเกินครึ่งทางแล้ว แต่ว่าหลายคนพลีชีวิต หลายคนต้องสูญเสียอิสรภาพ
ทั้งหมดเหล่านี้ คนที่อยู่ในคุกก็เหมือนกัน
ทุกคนที่อยู่ในคุกมันเปรียบเสมือนเป็นการส่งสาสน์มาบอกคนข้างนอกว่าเขากำลังต่อสู้กับระบอบที่ไม่ถูกต้อง
เราอยู่ข้างนอก
เราอยู่สบาย แต่ว่าสาสน์จากคนข้างใน
การที่เขายังต้องติดคุกอยู่ทั้งที่มันไม่ควรจะเป็นอย่างนั้น
มันแสดงให้เห็นว่าเพื่อนของเรายังมีการต่อสู้อยู่ภายใน ดังนั้น
ดูทุกอย่างมันเหมือนกับหลายคนอาจจะท้อถอย รู้สึกว่ามันเงียบ แต่จริง ๆ ไม่เงียบนะ
มันดังอยู่ในหัวใจ แต่การต่อสู้สันติวิธีนี้มันยาก
แต่ดังที่บอกแล้วว่าสำคัญที่สุดคือความคิดคน
ถ้าความคิดเปลี่ยนมันจะไม่มีวันถอยหลัง ความคิดที่ก้าวไปข้างหน้า (ยกเว้นถ้าติดกับผลประโยชน์)
เพราะฉะนั้นสิ่งที่อาจารย์ภูมิใจที่สุดก็คือ
เราเลือกเส้นทางถูก เราต่อต้านรัฐประหาร 2549 และเราก็ต่อต้านรัฐประหาร 2557
และตอนนี้ถ้าจะมีรัฐประหารใหม่เราก็ต่อต้านอีก
ต่อให้รัฐบาลนี้มันเป็นรัฐบาลเฮงซวยก็ตาม เพราะเราต่อต้านระบอบ
เราต่อต้านสิ่งที่มันไม่ถูกต้อง แล้วที่สำคัญที่ภูมิใจที่สุดก็คือ คนรากหญ้า
คนเสื้อแดง จากการที่เราเปิดโรงเรียนนปช.มาตลอด
แม้กระทั่งเวทีปราศรัยจำนวนหนึ่งหลังจากปี 2553 แล้ว
มันทำให้คนตื่นตัวและกลายเป็นสิ่งที่เรียกว่า Active Citizen คือเขาเป็นพลเมืองตื่นรู้
ไม่จำเป็นต้องมีแกนนำ เพราะว่าพี่น้องประชาชนทั่วไปก้าวหน้ากว่าแกนนำแล้ว
และแกนนำนั้นก็ไม่ใช่แกนนำที่ไปในทิศทางที่ถูกที่แท้จริง
ดังนั้น
ความภูมิใจของอาจารย์ก็คือความภูมิใจที่ได้มีส่วนช่วยพี่น้องประชาชนชาวบ้านให้เขาเข้าใจการเมือง
เขาเข้าใจคำว่าระบอบอำมาตยาธิปไตย เข้าใจคำว่าไพร่สมัยใหม่
แล้วก็เข้าใจว่าเผด็จการทหารมีการสืบทอดอำนาจ มันไม่ใช่ ดังนั้น
เราจึงดูไม่สบายใจเหมือนกับว่ามีความแตกแยก มันไม่เป็นไรหรอก นี่แหละคือพัฒนาการ
พัฒนาการของสิ่งที่ดีมันต้องมีความเจ็บปวด
มันไม่มีอะไรที่หอมหวานสำหรับพัฒนาการที่จะคัดกรองคนในการต่อสู้ต่อไป
ที่พูดทั้งหมดนี้เพื่อให้กำลังใจคนรุ่นใหม่
ว่าขณะนี้มันไม่ใช่ว่าประชาชนเขาจะเงียบ ในใจเขาเขาได้รับรู้
แต่วิธีการต่อสู้มันอาจจะเปลี่ยนไปแล้วแต่ละยุคแต่ละสมัยไม่เหมือนกัน
ก็ขอบคุณที่ทุกคนมาอวยพรในวันนี้ เป็นงานเล็ก ๆ
เพราะว่าเราไม่ได้มากันมากมายหลายร้อยคนแบบเมื่อก่อนนี้
เพราะว่าอาจารย์ตั้งใจจะไม่เชิญแบบนั้น
เอาเฉพาะคนที่ช่วยทำงานกับญาติสนิทเท่านั้นที่มา ก็ขอบคุณที่มาอวยพร อย่าได้ท้อถอย
เพราะว่าบนถนนสายนี้ มันจะเป็นถนนที่พิสูจน์คน พิสูจน์หัวใจ พิสูจน์หลักการ
พิสูจน์ว่าที่เขาทำทุกอย่างเพื่อผลประโยชน์ตัวเองหรือเปล่า?
เพราะฉะนั้น
มันอาจจะยากลำบาก แต่ก็มีคนที่ยากลำบากกว่าเรา และมีคนที่ตายไปแล้ว
อาจารย์ผ่านมาหลายยุคแล้ว เมื่อเรายังมีชีวิตอยู่ เราก็พยายามทำ
ที่สำคัญที่สุดคือเดินทางถูก เหมือนเมื่อกี้ที่มีลูกหลานบอก ก็คือทิศทางเราต้องถูก
เป็นทิศทางที่ก้าวหน้า ไม่สำคัญว่าเพื่อนจะไปทางไหน เพื่อนอาจจะพาเราไปผิดทางก็ได้
ไม่ต้องยึดบุคคลแม้กระทั่งอาจารย์หรือหมอเหวง ยึดหลักการ
ถ้าเราคิดว่าประชาชนควรจะเป็นใหญ่ในแผ่นดิน คนอื่นก็ไม่ควรจะมาแย่งความเป็นใหญ่
แย่งอำนาจไปจากประชาชนด้วยปืน หรือแม้กระทั่งการหลอกลวง การพูดจา จะทำอย่างนั้น จะทำอย่างนี้
ขณะนี้ประชาชนรู้แล้ว
นี่เป็นความภาคภูมิใจ
นอกจากอาจารย์จะเป็นกำลังใจแล้ว ที่ช่วยอะไรได้ หลาย ๆ
คนก็รู้ว่าอาจารย์ก็พยายามที่จะช่วยสนับสนุนพวกเรา
เราภูมิใจมากที่เห็นคนรากหญ้าเติบโต และเห็นปัญญาชนรุ่นใหม่ตื่นตัว
ไม่เหมือนกับปัญญาชนรุ่น 14ตุลา ที่เข้าไปอยู่ในเครือข่ายระบอบอำมาตย์ฯ มากมาย
นี่คือความภาคภูมิใจ และถือว่าสถานการณ์นี้เป็นสถานการณ์ที่ดี
ไม่ใช่ว่าตอนที่คุณมีม็อบแล้วมีคนเยอะแยะแล้วถือว่าสถานการณ์สุดยอดนะ ไม่ใช่!
เพราะมันมีสารพัดพวก มีสารพัดความหลอกลวง แต่ตอนนี้มันคือคัดคนจริง
ยามยากลำบากเราจะรู้ว่าใครเป็นยังไง แต่ว่าสำหรับพรรคการเมืองก็คงคนละแบบ
เราไม่สามารถบอกให้พรรคการเมืองเขาเข้าใจหรือฉลาดได้ เขาต้องรู้ด้วยตัวเขาเอง
ก็เป็นเรื่องของเขา เราพูดเฉพาะกับนักต่อสู้ประชาชน
อาจารย์ก็จะพยายามรักษาตัวเองให้มีชีวิตที่ได้มองเห็นอนาคตได้นานที่สุด
แล้วก็อยากจะบอกพวกเราที่เป็นคนรุ่นใหม่หรือแม้กระทั่งหลาย ๆ
คนก็อาจจะวัยอ่อนกว่าอาจารย์ไปจำนวนหนึ่ง บอกให้รู้ว่านี่เป็นเวลาที่ดีที่สุด
เวลาดีเป็นเวลาที่พิสูจน์คน
เพราะว่าเส้นทางที่จะเดินต่อไปต้องการคนที่แข็งแกร่งทางหลักการ
และขอบคุณวันนี้หลายคนที่มาทั้ง “หนูหริ่ง” ด้วย
โดยเฉพาะ
“หนูหริ่ง” ขอพูดเอาไว้ตรงนี้ เป็นคนที่อาจารย์ชื่นชมมาตั้งแต่ปี 2549
เป็นคนแรกที่ออกมา และอาจารย์ไม่เคยจะผิดหวังในตัว “หนูหริ่ง” เลยจนถึงทุกวันนี้
และมูลนิธิกระจกเงาได้ทำสิ่งที่ดีงามในประเทศนี้ เพราะฉะนั้น
อาจารย์ก็เป็นคนหนึ่งที่ “หนูหริ่ง” เป็นคนที่ไม่ผิดหวังก็คือ ทุกครั้งที่มีการต่อต้านรัฐประหาร
เขาไม่เคยผิดทาง แต่ว่าเขาไม่ได้ทำเฉพาะงานการเมือง เขาทำงานเพื่อสังคมด้วย โดยเฉพาะในเวลานี้
แล้วก็ทุก
ๆ คนที่มาที่นี่ก็ขอบคุณนะ แล้วก็หวังว่าเราจะอยู่กันนานที่จะมองเห็นความสว่างมากขึ้นในประเทศไทย
อย่าท้อถอยนะ อาจารย์ 81 แล้ว ยังรู้สึกว่าเวลา นี้เป็นเวลาที่ดีเลย
เป็นเวลาที่ดีเพราะว่าเราจะได้รู้ว่า ใคร? เป็น ใคร? ใครที่ยืนแข็งแกร่งแบบภูผา
หรือใครที่มันจะลดเลี้ยวไปตามเส้นทางที่เป็น “นักฉวยโอกาส” (ภาษานักต่อสู้)
ใครเป็นนักฉวยโอกาส? ใครเป็นนักต่อสู้ตัวจริง? นี่เป็นเวลาดีที่รู้
ที่พูดนี่ไม่ใช่เพื่อตัวเองนะ แต่พูดเพื่อให้กำลังใจพวกเรา
แม้กระทั่งนี่เขาคงไลฟ์อยู่ คงมีคนดูอยู่จำนวนหนึ่ง ก็ฝากไว้สำหรับทุก ๆ คนว่า
ทุกอย่างทุกเวลามันเป็นเหรียญสองด้าน ด้านหนึ่งดูเหมือนว่าเรากำลังถูกคุกคาม
แต่อีกด้านหนึ่งมันก็มีด้านที่ดี ไม่มีอะไรที่มีดีด้านเดียวและร้ายด้านเดียว
ในเวลานี้สิ่งที่ดีก็คือเตรียมคนในการต่อสู้ต่อไปที่ถูกต้อง
คนที่ไม่ใช่ก็ไม่ต้องเอาค่ะ ก็ขอบคุณอีกทีนะ และหวังว่าปีหน้าจะเจอกันดีมั้ย? โอเค
ขอบคุณมากค่ะ