พริษฐ์
ชี้ ด่านแรกสำเร็จแล้ว ประธานรัฐสภาบรรจุร่างแก้ไข รธน. ให้จัดทำ
รธน.ใหม่ด้วยประชามติ 2
ครั้ง ชวนจับตาการพิจารณาในที่ประชุมรัฐสภา 14-15 ม.ค. หวังเห็น “แพทองธาร” แสดงบทบาทนำหาเอกภาพพรรคร่วมดันจัดทำ
รธน.ใหม่สำเร็จ
วานนี้
(2 มกราคม 2568) นายพริษฐ์ วัชรสินธุ ส.ส. บัญชีรายชื่อ
ในฐานะโฆษกพรรคประชาชน โพสต์ข้อความ ระบุว่า ด่านแรก ทำสำเร็จแล้ว!
ประธานรัฐสภาบรรจุร่างแก้ไข รธน. ให้จัดทำ รธน. ฉบับใหม่ด้วยประชามติ 2 ครั้ง จ่อคิวพิจารณาในที่ประชุมรัฐสภา 14-15 ม.ค. โดยมีรายละเอียดทั้งหมดดังนี้
[
ด่านแรก ทำสำเร็จแล้ว! ประธานรัฐสภาบรรจุร่างแก้ไข รธน. ให้จัดทำ
รธน. ฉบับใหม่ด้วยประชามติ 2 ครั้ง -
จ่อคิวพิจารณาในที่ประชุมรัฐสภา 14-15 ม.ค. ]
ในช่วงก่อนปีใหม่ไม่นาน
ผมได้รับแจ้งถึงความสำเร็จและความคืบหน้าเล็กน้อยเกี่ยวกับกระบวนการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่
ที่ผมได้พยายามผลักดันมาตลอด (โดยเฉพาะในช่วง 3 เดือนสุดท้ายของ 2567) เลยขอสรุปมาให้ทุกท่านครับ
1.
ณ เวลานี้ ทางเว็บไซ์รัฐสภาได้มีการยืนยันอย่างเป็นทางการแล้ว
ว่าทางประธานรัฐสภาได้ตัดสินใจบรรจุร่างแก้ไข รธน. ที่ผมและพรรคประชาชนเสนอ
เพื่อให้มีการจัดทำ รธน. ฉบับใหม่ด้วยประชามติ 2 ครั้ง
เข้าสู่ระเบียบวาระการประชุมรัฐสภา ( https://shorturl.at/WYQWJ )
2.
การตัดสินใจครั้งนี้ของประธานรัฐสภานับเป็น “จุดเปลี่ยน”
ที่สำคัญอย่างยิ่งต่อการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่
3.
ตั้งแต่มีคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรนูญ 4/2564 ออกมาเมื่อ
3-4 ปีที่แล้ว ทางประธานรัฐสภา
(โดยคำแนะนำของคณะกรรมการของประธานรัฐสภา) ไม่เคยบรรจุร่างแก้ไข รธน.
ดังกล่าวเข้าสู่ระเบียบวาระการประชุมรัฐสภา
เพราะไปตีความว่าคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญบอกว่าต้องทำประชามติเพิ่มขึ้นมาอีก 1
ครั้ง ก่อนจะสามารถบรรจุระเบียบวาระการประชุมรัฐสภาได้
(จึงทำให้จำนวนประชามติเพิ่มขึ้นจาก 2 ครั้ง เป็น 3 ครั้ง)
4.
แม้ที่ผ่านมา พรรคก้าวไกล พรรคเพื่อไทย และนักวิชาการหลายฝ่าย
มองว่าคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญไม่ได้บอกว่าให้ทำประชามติเพิ่มขึ้นจาก 2 ครั้งมาเป็น 3 ครั้ง แต่หากประธานรัฐสภา
(และคณะกรรมการของประธานรัฐสภา) ยังคงยืนยันคำเดิม
และไม่เปลี่ยนใจหันมาบรรจุร่างแก้ไข รธน. เข้าสู่ระเบียบวาระ
ประตูสู่การลดจำนวนประชามติจาก 3 เหลือ 2 ครั้ง ก็จะยังถูกล็อกไว้
5.
เมื่อตอนต้นปี 2567 พอประธานรัฐสภาไม่บรรจุร่างดังกล่าว
ทางพรรคเพื่อไทยได้พยายามจะเปลี่ยนใจประธานรัฐสภา
โดยใช้วิธีการขอมติจากรัฐสภาให้ส่งเรื่องไปที่ศาลรัฐธรรมนูญ
เพื่อให้วินิจฉัยให้ชัดว่าประธานรัฐสภาบรรจุร่างดังกล่าวได้หรือไม่
6.
แต่พอเรื่องไปถึงศาลรัฐธรรมนูญตอน เม.ย. 2567 ศาลรัฐธรรมนูญกลับมีมติเอกฉันท์ไม่รับเรื่องดังกล่าวมาวินิจฉัย
เลยทำให้ความพยายามดังกล่าวไม่ประสบความสำเร็จ จนทำให้รัฐบาลถอดใจและ ครม.
จึงมีมติให้ยอมเดินตามเส้นทางการทำประชามติ 3 ครั้ง
(โดยพ่วงเงื่อนไขว่าจะไม่ทำประชามติครั้งแรกจนกว่าจะแก้ พ.ร.บ. ประชามติ เสร็จ)
7.
แต่การแก้ไข พ.ร.บ. ประชามติ
ก็ยืดเยื้อกว่าที่รัฐบาลคาดการณ์ไว้เพราะความเห็นต่างระหว่าง สส. กับ สว.
(จนวันนี้ถูกเพิ่มเวลาไปอีก 180 วัน
และทำให้ไม่สามารถเสร็จสิ้นได้จนถึงครึ่งหลังของปี 2568) จนทำให้ตัวแทนรัฐบาลหลายคนออกมาให้สัมภาษณ์ในลักษณะถอดใจ
ว่าการมี รธน. ฉบับใหม่ ทันก่อนการเลือกตั้งครั้งถัดไป
(ซึ่งเป็นเป้าหมายและนโยบายของรัฐบาลเอง) เป็นไปไม่ได้แล้ว
8.
ตอน ต.ค. 2567 ผมเลยได้เสนอว่าพวกเราทุกฝ่ายน่าจะร่วมกันลองอีกสักรอบหนึ่ง
ในการลดจำนวนประชามติจาก 3 เหลือ 2 ครั้ง
เพราะเป็นหนทางเดียวที่จะทำให้การมี รธน. ฉบับใหม่
ทันก่อนการเลือกตั้งครั้งถัดไปยังพอมีความเป็นไปได้
แถมยังเป็นการประหยัดทั้งเวลาของประชาชนในการไปออกเสียง
และและงบประมาณในการจัดประชามติ 1 ครั้ง (ประมาณ 3,000
ล้านบาท)
9.
แน่นอนว่า “ด่านแรก” ที่สำคัญคือทำยังไงให้ประธานรัฐสภา
(และคณะกรรมการของประธานรัฐสภา) เปลี่ยนใจและหันมาบรรจุร่างแก้ไข รธน.
(ที่เสนอให้มีการจัดทำ รธน. ฉบับใหม่ด้วยประชามติ 2 ครั้ง)
เข้าสู่ระเบียบวาระการประชุมรัฐสภา
10.
เพื่อพยายามโน้มน้าวและเปลี่ยนใจประธานรัฐสภา
(และคณะกรรมการของประธานรัฐสภา) ผมจึงได้ใช้เวลาช่วงปิดสมัยประชุม (พ.ย. 2567)
ในการรวบรวมหลักฐานใหม่ๆที่คณะกรรมการไม่เคยใช้พิจารณามาก่อน
ว่าทำไมการทำประชามติ 2 ครั้ง
จึงไม่ขัดกับคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ เช่น
-
(i) การรวบรวมคำวินิจฉัยส่วนตนของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ 9 คน
-
(ii) การรวบรวมความเห็นนักวิชาการ-ผู้เชี่ยวชาญ (เช่น บวรศักดิ์
อุวรรณโณ / ณรงค์เดช สรุโฆษิต)
-
(iii) การขอเข้าพบประธานศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อหารืออย่างไม่เป็นทางการ
11.
วันที่สภาฯเปิดกลับมา (12 ธ.ค. 2567) ผมและพรรคประชาชนจึงยื่นร่างแก้ไข รธน. ที่เสนอให้มีการจัดทำ รธน.
ฉบับใหม่ด้วยประชามติ 2 ครั้ง เข้าสู่รัฐสภาอีกครั้ง
เพื่อทำให้ประธานรัฐภา (และคณะกรรมการของประธานรัฐสภา) ต้องวินิจฉัยอีกรอบหนึ่ง
12.
ในวันที่ 23 ธ.ค. 2567 ทางคณะกรรมการของประธานรัฐสภาได้เรียกให้ผมไปให้ข้อมูล
- ทางผมจึงได้นำเสนอหลักฐานทั้งหมดที่รวบรวมมา
และชี้แจงต่อคณะกรรมการร่วมกับคุณพงศ์เทพ เทพกาญจนา
(ที่ปรึกษานโยบายของนายกรัฐมนตรี) และ ตัวแทนภาคประชาชน ที่เห็นตรงกัน
13.
ภายในวันเดียวกันนั้น ทางผมได้รับแจ้งว่าพวกเราทำสำเร็จ
ในการโน้มน้าวคณะกรรมการของประธานรัฐสภา
ให้หันมามีมติเสียงข้างมากให้บรรจุร่างแก้ไข รธน. ที่เสนอการทำประชามติ 2 ครั้ง จนนำมาสู่การที่ประธานรัฐสภาบรรจุร่างดังกล่าวเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
14.
การฝ่าด่านแรกนี้ได้สำเร็จ นับเป็นข่าวดีต้อนรับปีใหม่
เพราะเป็นด่านที่เรายังไม่เคยฝ่าฟันได้สำเร็จมาก่อนตลอด 3-4 ปีที่ผ่านมา
15.
แต่ในวันที่ 14-15 ม.ค. 2568 นี้ เราจะต้องเผชิญกับ “ด่านที่สอง” ต่อทันที
นั่นคือการประชุมรัฐสภาเพื่อพิจารณาร่างแก้ไข รธน. ดังกล่าว (ที่เสนอการทำประชามติ
2 ครั้ง) ในวาระที่ 1 - การจะฝ่าด่านนี้ได้ก็ต้องอาศัยเสียงสนับสนุนของทั้ง
สส. และ (อย่างน้อย 1 ใน 3 ของ) สว.
16.
การได้เสียงสนับสนุนจาก สส. คาดว่าไม่น่าจะมีปัญหาเนื่องจากการจัดทำ
รธน. ฉบับใหม่ เป็นนโยบายของรัฐบาลที่ได้แถลงต่อรัฐสภาและประชาชน ซึ่งควรจะผูกมัด
สส. รัฐบาลทุกพรรค
17.
การได้เสียงสนับสนุนจาก สว. เป็นสิ่งที่เราอาจคาดการณ์ได้ยากกว่า
หรือคาดว่าจะมีความท้าทายมากกว่า
18.
หากความเห็นต่างระหว่างสองสภาฯ มีเส้นแบ่งเดียวกัน
กับความเห็นต่างระหว่างพรรคร่วมรัฐบาล
บุคคลที่จะต้องลุกขึ้นมามีบทบาทสำคัญในการแสวงหาเอกภาพระหว่างพรรคร่วมรัฐบาล
(หรือเอกภาพระหว่างสองสภา ก็หนีไม่พ้นนายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร
ในฐานะหัวหน้าของรัฐบาลผสมนี้
19.
มารอดูกันครับว่าใน 12 วันข้างหน้านี้
นายกฯจะแสดงให้เห็นถึงความเป็นผู้นำและความจริงใจต่อการแก้ไขรัฐธรรมนูญอย่างไร
เพื่อทำให้พรรคร่วมรัฐบาลร่วมกันผลักดันยโยบายเรือธงของรัฐบาลเรื่องการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่
ให้ประสบความสำเร็จตามที่ได้เคยสัญญาไว้กับประชาชน
20.
เรื่องทั้งหมดนี้ยิ่งตอกย้ำความเชื่อผมว่า “เมื่อมีเจตจำนงชัดเจน
การเมืองเป็นเรื่องของความเป็นไปได้” (when there is a will, there is a
way) – หวังว่าท่านนายกฯจะคิดคล้ายกัน