วันจันทร์ที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2568

พรรคประชาชนจัดงานเฉลิมฉลองให้แก่ความรักที่เท่าเทียมกัน นับถอยหลัง “สมรสเท่าเทียม” มีผลบังคับใช้ 23 ม.ค.นี้ ย้ำ 4 ประเด็นที่ต้องผลักดัน-ทำงานความคิดต่อหลังกฎหมายผ่าน

 


พรรคประชาชนจัดงานเฉลิมฉลองให้แก่ความรักที่เท่าเทียมกัน นับถอยหลัง “สมรสเท่าเทียม” มีผลบังคับใช้ 23 ม.ค.นี้ ย้ำ 4 ประเด็นที่ต้องผลักดัน-ทำงานความคิดต่อหลังกฎหมายผ่าน


เมื่อวันที่ 19 มกราคม 2568 ที่ร้าน Sol Bar & Bistro อาคารอนาคตใหม่ ซอยหัวหมาก 12 กรุงเทพฯ พรรคประชาชนจัดกิจกรรม “Save the date: มากกว่ารัก คือสิทธิที่เท่าเทียมกัน” เพื่อร่วมเฉลิมฉลองให้กับความรักของทุกคนที่เท่าเทียมกัน นับถอยหลังอีก 4 วันก่อนที่กฎหมาย “สมรสเท่าเทียม” จะมีผลบังคับใช้ทั่วประเทศในวันพฤหัสบดีที่ 23 มกราคมนี้


โดยในช่วงหนึ่งของกิจกรรมเป็นการเปิดวงพูดคุยสรุปเนื้อหาและสิทธิต่าง ๆ ที่คู่สมรสจะได้รับจากกฎหมายสมรสเท่าเทียม พร้อมกับกล่าวถึงประเด็นอื่นๆ ที่ต้องร่วมกันผลักดันต่อหลังจากกฎหมายสมรสเท่าเทียมมีผลบังคับใช้แล้ว โดยในวงสนทนามี ธัญวัจน์ กมลวงศ์วัฒน์ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน, เอกราช อุดมอำนวย สส.กรุงเทพฯ พรรคประชาชน, ณธีภัสร์ กุลเศรษฐสิทธิ์ กรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างกฎหมายสมรสเท่าเทียม, และกิตตินันท์ ธรมธัช นายกสมาคมฟ้าสีรุ้ง ร่วมพูดคุยแลกเปลี่ยนข้อมูลกับประชาชนที่มาร่วมกิจกรรม


กิตตินันท์ได้เล่าย้อนถึงประวัติศาสตร์และเส้นทางการต่อสู้ของสมรสเท่าเทียมในประเทศไทย ซึ่งเริ่มจากการขับเคลื่อนโดยภาคประชาสังคมมาตั้งแต่ช่วงปี 2545 หลังจากที่เนเธอร์แลนด์ผ่านกฎหมายสมรสเท่าเทียมเป็นประเทศแรกในโลกได้ไม่นาน ผ่านเหตุการณ์ความผันผวนทางการเมืองไทย ผ่านการต่อสู้ทางความคิดในสังคมมาหลายยุคหลายสมัย ซึ่งมีทั้งแรงสนับสนุนและแรงต้าน รวมถึงการถกเถียงว่าการแต่งงานกันของบุคคลผู้มีความหลากหลายทางเพศ ควรเกิดจากการร่างกฎหมายใหม่แยกออกมาจากคู่ชาย-หญิงทั่วไป เป็น “กฎหมายคู่ชีวิต” หรือควรเกิดจากการแก้ไขประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ เพื่อปรับแก้การแต่งงานจากชาย-หญิงเป็น “คู่สมรส” ปรับแก้สามี-ภรรยาเป็น “บุพการี” และทำให้การแต่งงานของคู่รักทุกคู่เท่าเทียมกันผ่านกฎหมาย “สมรสเท่าเทียม”


กิตตินันท์กล่าวต่อไปว่า ต้องยอมรับว่าพรรคอนาคตใหม่เป็นผู้จุดกระแสสมรสเท่าเทียมให้เกิดขึ้นในช่วงการเลือกตั้งปี 2562 ทำการรณรงค์ทางการเมืองทั้งออฟไลน์และออนไลน์จนทำให้คนในสังคมเห็นพ้องต้องกันว่าประเทศไทยถึงเวลาต้องมีกฎหมายฉบับนี้ได้แล้ว และเพื่อสิทธิที่เท่าเทียมกัน เราจำเป็นต้องมีกฎหมาย “สมรสเท่าเทียม” ผ่านการแก้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ไม่ใช่ “กฎหมายคู่ชีวิต” ที่แยกออกมาจากคู่ชายหญิงอื่นๆ จนสุดท้ายหลังการเลือกตั้งปี 2566 ทั้งพรรคการเมืองและภาคประชาสังคมต่างเห็นร่วมกันในการผลักดันกฎหมายสมรสเท่าเทียมเข้าสู่สภาฯ จนผ่านออกมาเป็นกฎหมายสมรสเท่าเทียมที่มีคุณภาพ เป็นประเทศแรกในอาเซียน และยังถือว่าเป็นประเทศแรกในเอเชียที่กฎหมายสมรสเท่าเทียมที่สมบูรณ์แบบ (Marriage Equality) ไม่ใช่จากคำสั่งชั่วคราวของศาลหรือเป็นกฎหมายคู่ชีวิตเหมือนกับในหลายประเทศ


ในส่วนของธัญวัจน์กล่าวว่า ต้องขอแสดงความยินดีกับคู่รักทุกคนที่จะสามารถแต่งงานได้อย่างเท่าเทียมกันในวันที่ 23 ม.ค. นี้ แต่ถึงแม้กฎหมายจะผ่านแล้ว ยังมีอีกหลายประเด็นที่เราต้องช่วยกันขับเคลื่อนและผลักดันต่อ โดยคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างกฎหมายสมรสเท่าเทียมได้มีข้อสังเกต 4 ข้อที่ต้องเร่งจัดทำรายงานให้แล้วเสร็จภายใน 180 วันหลังกฎหมายมีผลบังคับใช้ เพื่อเสนอให้คณะรัฐมนตรีนำพิจารณาต่อ ได้แก่ 1. การแก้ไขกฎหมายเรื่องอัตลักษณ์และการรับรองเพศ 2. การแก้ไขกฎหมายเรื่องเทคโนโลยีเจริญพันธุ์ 3. การแก้ไขประมวลกฎหมายอาญาเรื่องความผิดทางเพศ และ 4. การสร้างความรู้ความเข้าใจเรื่องความหลากหลายทางเพศ


ในส่วนของข้อสังเกตประเด็นแรก ธัญวัจน์กล่าวว่า อัตลักษณ์ทางเพศคือสิทธิมนุษยชน คือเจตจำนงที่ทุกคนมีสิทธิในการกำหนดเพศและคำนำหน้านามของตนเองได้ (Self-determination) ดังนั้น หลังจากกฎหมายสมรสเท่าเทียมผ่านแล้ว พรรคประชาชนจะผลักดันกฎหมาย “คำนำหน้าตามสมัครใจ” ในลำดับต่อไป ซึ่งมั่นใจว่าไม่ใช่เรื่องง่าย และต้องอาศัยการทำงานทางความคิดกับสังคมอีกมาก แม้แต่ในคณะกรรมาธิการเองหลายคนก็ไม่เห็นด้วยกับเรื่องนี้ เพราะกังวลเรื่องความสับสนและการหลอกลวงทางเพศ แต่ตนต้องขอย้ำว่า ความรักไม่มีการแบ่งแยก เราคบกับใคร พูดคุยกับใคร ทุกคนต้องรู้กันอยู่แล้วว่าเราเป็นเพศอะไร ส่วนข้อกังวลเรื่องการหลอกลวงนั้นก็มีกฎหมายอื่นๆ ดูแลอยู่แล้วเช่นเดียวกับคู่ชาย-หญิง ถ้าเกิดมีหลักฐานว่าคู่สมรสของเราไม่เปิดเผยอัตลักษณ์ทางเพศ หรือจงใจทำให้เข้าใจผิด ก็สามารถฟ้องร้องได้ตามกฎหมาย


อัตลักษณ์ทางเพศคือสิทธิมนุษยชน คือเจตจำนงที่คุณแสดงออกมา รัฐจึงต้องดูแลและปกป้อง รู้ว่าการผลักดันเรื่องนี้ไม่ง่าย ขอให้สังคมช่วยกันติดตามว่าฝ่ายรัฐบาลจะมีท่าทีอย่างไรต่อเรื่องนี้” ธัญวัจน์กล่าว


ส่วนข้อสังเกตประเด็นที่สอง การแก้ไขกฎหมายเรื่องเทคโนโลยีเจริญพันธุ์ ณธีภัสร์กล่าวว่า คู่รักผู้มีความหลากหลายทางเพศก็ต้องการสร้างครอบครัวเช่นเดียวกับคู่รักชายหญิง ถึงแม้กฎหมายสมรสเท่าเทียมจะเปิดให้สามารถรับบุตรบุญธรรมได้แล้ว แต่กฎหมายเรื่องเทคโนโลยีเจริญพันธุ์ก็ควรต้องได้รับการแก้ไขให้รองรับเช่นกัน เช่นการอุ้มบุญของคู่รักผู้มีความหลากหลายทางเพศ ซึ่งส่วนนี้กระทรวงสาธารณสุขได้รับทราบรายละเอียดแล้ว น่าจะเกิดการแก้ไขกฎหมายได้เร็วๆ นี้


ในประเด็นนี้ ธัญวัจน์เสริมว่า การแก้ไขกฎหมายต้องระมัดระวังไม่ให้เกิดปัญหาการรับจ้างตั้งครรภ์ของผู้หญิง เพราะต่อให้เจ้าตัวบอกว่าสมัครใจ แต่อาจจะไม่ได้สมัครใจจริงๆ แต่ต้องทำเพื่อเงินในการดำรงชีวิต จนกลายเป็นหนึ่งในขบวนการค้ามนุษย์ ดังนั้นในการเดินหน้าแก้ไขกฎหมาย ต้องตัดวงจรและปิดช่องโหว่ในส่วนนี้ให้หมดสิ้น เพื่อทำให้เทคโนโลยีการเจริญพันธุ์เป็นเรื่องของมนุษยธรรม ไม่ใช่การพาณิชย์และการทำกำไร


ส่วนข้อสังเกตประเด็นที่สาม การแก้ไขประมวลกฎหมายอาญาเรื่องความผิดทางเพศ กิตตินันท์กล่าวว่าเป็นเรื่องที่สำคัญมากเช่นกัน เพราะกฎหมายปัจจุบันยังไม่เท่าทันการกระทำความผิดต่อบุคคลผู้มีความหลากหลายทางเพศ เช่น หากทรานส์เจนเดอร์ถูกข่มขืน คดีอาจเหลือแค่การอนาจาร เพราะบทบัญญัติกฎหมายยังไม่รองรับถึงอวัยวะเพศที่เปลี่ยนแปลงไป นี่จึงเป็นอีกหนึ่งร่างกฎหมายที่พรรคประชาชนและภาคประชาชนกำลังผลักดันแก้ไข รวมถึงต้องปรับปรุงบทบัญญัติเรื่องการล่วงละเมิดทางเพศ การคุกคามทางเพศ การสะกดรอยตาม (Stalker) และการคุ้มครองผู้เสียหายให้สอดรับกับความหลากหลายทางเพศด้วย


ส่วนข้อสังเกตประเด็นสุดท้าย การสร้างความรู้ความเข้าใจเรื่องความหลากหลายทางเพศ ณธีภัสร์กล่าวว่า กฎหมายสมรสเท่าเทียมผ่านได้ เพราะสังคมมีวิวัฒนาการ ยอมรับ และรับรู้ตัวตนของผู้มีความหลากหลายทางเพศมากขึ้น แต่การทำงานทางความคิดเหล่านี้ยังไม่สิ้นสุด และต้องทำต่อไป เช่นเรื่องความเข้าใจของเจ้าหน้าที่รัฐในการปฏิบัติต่อผู้มีความหลากหลายทางเพศ ก็คงต้องให้เวลาในการปรับตัว เช่นในการทำบัตรประชาชนหรือการเปลี่ยนชื่อ ที่ผ่านมาผู้มีความหลากหลายทางเพศก็มักจะโดนแซวว่าชื่อไม่ตรงกับรูปลักษณ์บ้าง ไปแปลงเพศมาหรือยังบ้าง ซึ่งก็หวังว่าภาครัฐจะให้ความสำคัญ จัดหลักสูตรฝึกอบรมเจ้าหน้าที่รัฐเพื่อทลายอคติทางเพศ


กิตตินันท์กล่าวว่า กฎหมายกับการเลือกปฏิบัติเป็นคนละส่วนกัน แม้จะมีกฎหมายแล้ว แต่จะมั่นใจได้อย่างไรว่าพ่อแม่จะไม่บังคับให้ลูกที่เป็นเกย์ไปแต่งงานกับผู้หญิง จะมั่นใจได้อย่างไรว่าบริษัทจะไม่เลือกปฏิบัติในการรับผู้มีความหลากหลายทางเพศเข้าทำงาน ดังนั้น ถึงแม้กฎหมายสมรสเท่าเทียมจะผ่านแล้ว ภาคประชาสังคมต้องช่วยกันผลักดันและทำงานทางความคิดกับสังคมต่อไป ให้กฎหมาย สิทธิมนุษยชน และการยอมรับเดินทางไปพร้อมกันได้


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #พรรคประชาชน #สมรสเท่าเทียม