“อ.ธิดา”
วิเคราะห์ หลังการเจรจา “ข้อตกลงหยุดยิง ไทย-กัมพูชา”
วันที่
29 กรกฎาคม 2568 อ.ธิดา ถาวรเศรษฐ ได้วิเคราะห์หลังการเจรจาข้อตกลงหยุดยิง ระหว่างคณะผู้แทนไทย
(ทีมไทยแลนด์) นำโดย นายภูมิธรรม เวชยชัย
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะรักษาการนายกรัฐมนตรี กับกัมพูชา
โดยนายกรัฐมนตรี ฮุนมาเนต ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย เมื่อวานนี้ (28 ก.ค. 68)
โดยระบุว่า
ดิฉันขอย้ำอีกครั้งว่า
เป้าหมายทางยุทธศาสตร์ของกัมพูชา ภายใต้การนำของ “ตระกูลฮุน” และยุทธวิธี คือ
1)
ต้องการสถาปนาอำนาจการนำเพื่อปกครองกัมพูชาได้อย่างมั่นคงและยืนยาวโดย “ตระกูลฮุน”
ของ ฮุนเซน สามารถสืบทอดการนำได้ตลอดไปชั่วกาลนาน และมีฮุนเซนอยู่ในฐานะวีรบุรุษของชาติ
2)
บัดนี้การสร้างเกียรติภูมิให้แก่ “ฮุน มาเนต” ประสบความสำเร็จในเวทีโลกที่เปิดเกมรุก
และการเจรจากับผู้นำประเทศสำคัญ เช่น สหรัฐอเมริกา, จีน, ฝรั่งเศส
(เจ้าอาณานิคมเดิม) เพื่อให้ไทยยุติการสู้รบในรูปแบบ
เพราะถ้าเปิดเกมยาวเขาจะเสียเปรียบ ในขณะเดียวกันเชิงเปรียบเทียบ
ทำการลดเกียรติภูมิของนายกรัฐมนตรีไทย “แพทองธาร” ของ ตระกูลชินวัตร”
3)
การพยายามยึดพื้นที่เพื่อให้ปราสาท 3 ปราสาท และปราสาทพระวิหาร
เข้าสู่เวทีศาลระหว่างประเทศจะไม่หยุดยั้ง แม้จะประกาศว่าจะพูดคุยทวิภาคีก็ตาม
การดำเนินงานเพื่อนำคดีสู่ศาลโลกก็ยังอยู่ระหว่างการดำเนินงาน ซึ่งยังต้องใช้เวลา
และสถานการณ์ที่อำนวยให้ จึงรุกไปที่คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (UNSC) ให้สนับสนุน เพื่อลากไทยเข้าสู่ศาลโลกถ้าไม่มีผู้ยับยั้งจากสมาชิกถาวร
5 ประเทศ ได้แก่ จีน, ฝรั่งเศส, รัสเซีย, สหราชอาณาจักร และสหรัฐอเมริกา
(เลยได้แต่ถ่ายรูปซองกระดาษหน้าศาลโลกไปก่อน)
4)
การประกาศหยุดยิงตามระเบียบแบบแผน ไม่ได้แปลว่าจะยุติการสู้รบจริง
ต่อให้ยุติการรบแบบแบบแผน ก็ยังจะใช้ การรบแบบกองโจรและการรังควานเพื่อเข้ายึดพื้นที่
แม้แต่การใช้กองกำลังทหารบ้าน ก็อาจเกิดขึ้น
5)
แนวรบด้านการสื่อสารต่อสังคม ทั้งประชาชนของตนและสังคมโลก ทางกัมพูชาจะทำเต็มที่
แม้จะเป็นเรื่องไม่จริงและใช้ Hate speech เพื่อปลุกระดมความเกลียดชังระหว่างประชาชนสองประเทศและสังคมโลก
มองว่าไทยเป็นผู้รุกรานและเป็นประเทศใหญ่รังแกประเทศเล็ก
6)
ดังนั้น ช่วงเวลาต่อไปจึงต้องระวัง 2 แนวรบนี้ ทั้งด้านการทหารและการสื่อสารต่อสังคมโลก
ต้องอยู่ในฐานะฝ่ายรุกด้วยความจริง, การฟ้องความเท็จและการละเมิดกติกาข้อตกลง การสื่อสารของรัฐไทยและงานด้านต่างประเทศ
ควรปรับปรุงให้เข้มแข็ง, รวดเร็ว และมีข้อมูลความจริง
ต้องส่งต่อสังคมรวดเร็วกว่าก่อนนี้ (ที่อยู่ในฐานะฝ่ายรับและแก้เกมกัมพูชา)
อย่างไรก็ตาม
การหยุดยิงในสถานการณ์นี้ก็ถือเป็นเรื่องดี
และสังคมของประชาชนทั้งสองประเทศก็ไม่ควรรุกชี้นำให้เกลียดชังกัน
เพราะประชาชนในดินแดนแถบนี้ล้วนมีความสัมพันธ์ฉันเครือญาติ และถูกแบ่งแยกโดยผู้ปกครองแต่ละยุคสมัย
มีผู้อพยพและเชลยทาสตั้งแต่ยุคโบราณจนถึงยุคจักรวรรดินิยมเรืองอำนาจ
ก็จัดการอาณานิคมด้วยแผนที่และการแบ่งเขตประเทศอย่างไม่รับผิดชอบ ***กัมพูชาผ่านการสู้รบที่โหดเหี้ยม
แม้แต่กับคนในประเทศเดียวกัน***
นี่คือการแย่งอำนาจในฐานะผู้ปกครอง เพื่อเป็นผู้ปกครองที่มั่นคงตลอดกาล