วันพฤหัสบดีที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2568

“คริษฐ์” ถอดบทเรียนน้ำท่วมเหนือ หลายข้อเสนอ ปชน. เคยชงแต่รัฐบาลไม่ยอมทำ แนะเร่งพัฒนาแผนที่เสี่ยงภัย-บริหารจัดการพื้นที่ท้ายน้ำ-ปรับขั้นตอนเยียวยาประชาชนให้เร็วขึ้น

 


“คริษฐ์” ถอดบทเรียนน้ำท่วมเหนือ หลายข้อเสนอ ปชน. เคยชงแต่รัฐบาลไม่ยอมทำ แนะเร่งพัฒนาแผนที่เสี่ยงภัย-บริหารจัดการพื้นที่ท้ายน้ำ-ปรับขั้นตอนเยียวยาประชาชนให้เร็วขึ้น


วันที่ 24 กรกฎาคม 2568 คริษฐ์ ปานเนียม สส.ตาก เขต 1 พรรคประชาชน กล่าวถึงสถานการณ์น้ำท่วม ในหลายจังหวัดทางภาคเหนือของประเทศไทยจากอิทธิพลพายุโซนร้อน “วิภา” ในขณะนี้ว่า เรื่องน้ำท่วมนั้นไม่มีใครอยากให้เกิด แต่เราจะรับมืออย่างไรให้ประชาชนได้รับผลกระทบน้อยที่สุด นี่คือหน้าที่ของรัฐบาลในการบริหารจัดการ โดยจากสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ตนเห็นปัญหาและมีข้อเสนอแนะถึงรัฐบาล 


ยกตัวอย่างเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวานนี้ (23 ก.ค.) ที่อำเภอปัว จังหวัดน่าน ปกติแล้วแม้น้ำท่วมแต่ก็ไม่ได้ท่วมทั้งพื้นที่ ปัญหาที่เกิดขึ้นเมื่อวานคือพื้นที่ที่ไม่เคยท่วมกลับท่วม และแม้ว่าจะได้รับการแจ้งเตือน แต่ข้อความแจ้งเตือนยังคงมาในลักษณะภาพใหญ่ไม่ได้ลงรายละเอียดชัดเจนในระดับพื้นที่ ทำให้ประชาชนที่อยู่ในพื้นที่ที่น้ำไม่เคยท่วมมาก่อน ไม่ได้เตรียมการเพื่อรับมือล่วงหน้า ปัญหานี้ทำให้เห็นชัดว่าแม้ปัจจุบันการแจ้งเตือนจะดีขึ้นกว่าปีที่แล้ว แต่เรายังต้องเพิ่มความละเอียดให้ลึกถึงระดับชุมชน และต้องเพิ่มหลักเกณฑ์การแจ้งเตือนพื้นที่เสี่ยงสูงที่ไม่เคยโดนน้ำท่วมเลย เพราะพื้นที่นี้จะไม่มีประสบการณ์ในการรับมือน้ำท่วมและมักจะคิดว่าพื้นที่ของเขาอย่างไรก็ไม่ท่วม


ในส่วนนี้รัฐบาลต้องดึงท้องถิ่นเข้ามาจัดการร่วมกับชุมชน โดยยึดหลัก Community-based disaster management ให้คนในชุมชนรับมือภัยพิบัติได้ในเบื้องต้น เริ่มจากการสร้างเครือข่ายในการแจ้งเตือนจากพื้นที่ต้นน้ำไปยังปลายน้ำ แต่ปัจจุบันยังทำกันแบบน้ำท่วมแล้วค่อยโทรบอกกัน ซึ่งอย่างไรก็ไม่ทัน


เรื่องนี้ทำได้ง่ายเพียงมีกระบอกวัดปริมาณน้ำฝนในพื้นที่ต้นน้ำ เมื่อฝนตกเกิน 60 มิลลิเมตร ให้แจ้งพื้นที่ปลายน้ำทันที หรือการทำ Flood mark ที่ตอม่อสะพาน แสดงระดับน้ำสูงสุดที่เคยท่วมในพื้นที่เพื่อใช้ในการแจ้งเตือน พร้อมประเมินระยะเวลาเดินทางของน้ำจากหมู่บ้านต้นน้ำไปยังหมู่บ้านปลายน้ำ นี่คือวิธีที่ง่ายที่สุดที่ปัจจุบันองค์ความรู้ยังกองอยู่ที่ส่วนกลาง ไม่ได้ไปถึงท้องถิ่นและชุมชน และรัฐบาลไม่ได้ผลักดันเลยตลอดสองปีที่ผ่านมา


นอกจากนี้การวางแผนป้องกันและบรรเทาภัยพิบัติ ต้องมีแผนที่เสี่ยงภัย (Risk Map) ปัจจุบันประเทศไทยเรามีแต่ Hazard Map คือแผนที่ที่ระบุว่าภัยอะไรเกิดขึ้นในพื้นที่ใดบ้าง แต่ Risk Map จะลงรายละเอียดลึกขึ้นถึงการประเมินผลกระทบต่อพื้นที่นั้นๆ ทั้งต่อคน ทรัพย์สิน และสิ่งแวดล้อม ซึ่งตนยังไม่เห็นว่าจะมีการผลักดันหรือพัฒนาเรื่องนี้


คริษฐ์กล่าวต่อว่า ในฐานะผู้แทนจังหวัดตากซึ่งมีแม่น้ำใหญ่ไหลผ่านถึง 2 สายคือแม่น้ำปิงและแม่น้ำวัง สถานการณ์พายุฝนในพื้นที่ต้นน้ำ ทั้งเชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง และฝนที่ตกในพื้นที่ ประกอบกับน้ำป่าที่ไหลมาจากทุกทิศทาง มวลน้ำทุกสายจากสามจังหวัดต้นน้ำที่กล่าวมา ไหลลงมาสู่จังหวัดตากทั้งสิ้น สำหรับแม่น้ำปิงนั้น ยังดีที่มีเขื่อนภูมิพลที่สามารถบริหารจัดการรองรับน้ำจากต้นทางได้ทั้งหมด แต่ปัญหาอยู่ที่แม่น้ำวัง


ลุ่มแม่น้ำวังไหลผ่านผ่ากลางจังหวัดลำปางและตากในพื้นที่อำเภอสามเงาและอำเภอบ้านตาก แม่น้ำทั้งคดเคี้ยวและตื้นเขิน ขาดการบริหารจัดการที่เป็นระบบ ปัญหาที่เกิดขึ้นคือไม่ว่าน้ำไหลมาเท่าไหร่ ก็มาตีบตันในช่วง 75 กิโลเมตรท้ายน้ำ ทำให้พื้นที่ลำปางท่วมขังนานกว่าเดิม ส่วนพื้นที่ท้ายน้ำจมบาดาลเพราะน้ำไม่มีทางไป วันนี้น้ำมาจ่อแล้ว หากปีนี้เอาไม่อยู่ก็จะกลายเป็นการท่วมต่อเนื่อง 4 ปีติด ความเสียหายที่เกิดขึ้นประเมินค่าไม่ได้ 


ดังนั้นสิ่งแรกที่ควรทำคือการขุดลอกในจุดที่ตื้นเขินตีบตัน รวมถึงมีวิธีบริหารจัดการน้ำในพื้นที่ท้ายน้ำเพื่อช่วยพาน้ำออกสู่แม่น้ำปิง โดยการนำโครงสร้างชลศาสตร์ต่างๆ ที่มีอยู่แล้วมาบริหารจัดการ แต่ต้องเพิ่มเติมระบบเชื่อมโยงจากแม่น้ำถึงอ่าง จากอ่างถึงอ่าง เพิ่มอาคารบังคับน้ำและประตูระบายน้ำเข้ามาเสริม หากเรามีระบบที่ดีจะสามารถพาน้ำส่วนเกินไปพักไว้ที่อ่างเก็บน้ำต่างๆ ได้โดยง่าย


สส.ตาก เขต 1 กล่าวด้วยว่า ตอนนี้สิ้นเดือนกรกฎาคม เรายังต้องเจอกับฝนตกหนักอีกหลายเดือน ปีที่แล้ว สส.พรรคประชาชน ลงพื้นที่กันหนักมากในช่วงภัยพิบัติ เราเห็นปัญหาชัดเจนในเรื่องการเผชิญเหตุ การทำงานที่สะเปะสะปะเพราะไม่มีระบบบัญชาการเหตุการณ์ มูลนิธิ กู้ภัย หน่วยงานของรัฐ อาสาภาคประชาชน ทำงานชนกันไปหมด 


จากปัญหาที่เรามองเห็น ปีนี้ภาคประชาชนจึงพัฒนาระบบ JITASA.CARE (จิตอาสาดอทแคร์) เพื่อให้รัฐสามารถใช้เป็นฐานข้อมูลกลาง เป็นระบบเปิดให้เห็นเลยว่ามีการร้องขออพยพที่บ้านหลังไหนบ้าง บ้านหลังไหนไม่ขออพยพแต่ต้องการอาหารน้ำดื่ม สามารถทำผ่านระบบนี้ และไม่ว่าจะเป็นหน่วยงานของรัฐ มูลนิธิ หรืออาสาสมัคร เมื่อเห็นคำร้องแล้วสามารถกดยืนยันรับภารกิจได้ แค่นี้ก็ไม่ซ้ำซ้อน ประหยัดงบประมาณ สิ่งที่รัฐต้องเติมคือฐานข้อมูลกลุ่มเปราะบาง ผู้ป่วยติดเตียง คนชรา เพื่อให้เราสามารถทำงานเชิงรุกได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น นี่คือเรื่องที่ง่ายมากแต่รัฐบาลก็ยังไม่ทำ


ส่วนเรื่องการเยียวยา ปีที่แล้ว ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน ได้เสนอมาตรการเยียวยาแบบ Geolocation แต่รัฐบาลเองที่ละเลยและยังเลือกวิธีเดิม คือการทำประชาคมหมู่บ้าน ทำให้ต้องมายกมือให้ว่าบ้านไหนท่วมหรือไม่ท่วม บ้านไหนจะได้เงินล้างโคลนต้องถ่ายรูปโคลนมาด้วย ขั้นตอนยาวเหยียด พื้นที่อำเภอสันป่าตอง จังหวัดเชียงใหม่ น้ำท่วมหนักเมื่อเดือนกันยายน 2567 แต่เพิ่งได้รับเงินเยียวยาล้างโคลนเมื่อสัปดาห์ก่อน จนตอนนี้บ้านโดนท่วมไปอีกรอบแล้ว


จึงต้องถามว่าในปีนี้ รัฐบาลมีแนวทางในการวางระบบบัญชาการรับมือภัยพิบัติอย่างไร มีอะไรที่เราจะได้เห็นการพัฒนาจากปีที่แล้วบ้าง และจะปรับระบบขั้นตอนการเยียวยาน้ำท่วมและค่าล้างโคลนอย่างไร มีการปรับเกณฑ์การเยียวยาอย่างไรบ้าง ขอให้ชัดเจนกับประชาชนในเรื่องนี้ด้วย


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #พรรคประชาชน #น้ำท่วม68 #น้ำท่วมเหนือ