วันพฤหัสบดีที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2568

“ณัฐพงษ์” ยื่นญัตติด่วนหารือรับมือมาตรการภาษีสหรัฐ ชง 5 ข้อ แนะ ‘รัฐบาล’ ทำงานเชิงรุก จี้รัฐเร่งเตรียมมาตรการรับมือผู้ได้รับผลกระทบ แนะพลิกวิกฤติเป็นโอกาสจัดตำแหน่งไทยในระเบียบโลกใหม่ ยกระดับมาตรฐานไทยสู่อำนาจขนาดกลาง-สร้างบทบาทนำกลุ่มประเทศซีกโลกใต้

 


“ณัฐพงษ์” ยื่นญัตติด่วนหารือรับมือมาตรการภาษีสหรัฐ ชง 5 ข้อ แนะ ‘รัฐบาล’ ทำงานเชิงรุก จี้รัฐเร่งเตรียมมาตรการรับมือผู้ได้รับผลกระทบ แนะพลิกวิกฤติเป็นโอกาสจัดตำแหน่งไทยในระเบียบโลกใหม่ ยกระดับมาตรฐานไทยสู่อำนาจขนาดกลาง-สร้างบทบาทนำกลุ่มประเทศซีกโลกใต้


วันที่ 31 กรกฎาคม 2568 ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน และผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร ได้ยื่นญัตติด่วนด้วยวาจา กรณีการรับมือมาตรการด้านภาษีจากประเทศสหรัฐอเมริกา พร้อมอภิปรายเปิดญัตติชี้ให้เห็นข้อน่ากังวลของสถานการณ์และข้อเสนอในการรับมือกับสถานการณ์ดังกล่าว


โดยณัฐพงษ์ระบุว่าวันที่ 1 สิงหาคม 2568 จะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญอีกจุดหนึ่งในประวัติศาสตร์เศรษฐกิจไทย จากตัวเลขภาษีที่ โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ตั้งกำแพงกับสินค้าไทยไว้ที่ 36% คลื่นสีนามิที่แต่ก่อนดูห่างตัวมาก ดูเหมือนจะเดินทางมาถึงประเทศไทยแล้ว


นับตั้งแต่วันที่ 2 เมษายน 2568 เป็นต้นมา หลายประเทศทั่วโลกเดินหน้าเจรจาภาษีกับสหรัฐอเมริกาจนบรรลุผลสำเร็จ เวียดนามเป็นประเทศที่ตอบสนองอย่างรวดเร็วที่สุด เพียงไม่กี่สัปดาห์หลังจากมีการประกาศขึ้นภาษี 46% เวียดนามได้ส่งทีมเจรจาระดับสูงเข้าพบรัฐบาลสหรัฐอเมริกา เสนอแผนเปิดตลาดสินค้าสหรัฐ แสดงให้เห็นว่าเวียดนามมีนโยบายการค้าที่ชัดเจนและทำงานเชิงรุกมากกว่าไทย 


ด้านอินโดนีเซียก็วางกลยุทธ์เจรจาแบบ Sector-based ตั้งแต่ต้น โดยไปพร้อมกับข้อเสนอข้างเคียง เช่น การปรับปรุงระบบกฎหมายภายใน สะท้อนให้เห็นว่าการเจรจานี้ไม่ใช่การเจรจาเรื่องตัวเลขอย่างเดียวเท่านั้น แต่แสดงให้เห็นว่าการเจรจาครั้งนี้คือโอกาสในการสร้างระเบียบเศรษฐกิจใหม่ให้กับอินโดนีเซีย ขณะเดียวกันฟิลิปปินส์เลือกใช้ความได้เปรียบทางภูมิรัฐศาสตร์และสถานะพันธมิตรกับสหรัฐอเมริกา ทำให้เจรจาลดภาษีลงได้เป็น 19% ต่ำกว่าประเทศอื่นในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในขณะนี้


ณัฐพงษ์กล่าวต่อไปว่าในกลุ่มผู้ส่งออกที่เป็นกลุ่มอุตสาหกรรมสำคัญของไทย หากอ้างอิงข้อมูลจากศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ ประจำเดือนกรกฎาคม พบว่ากลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงที่จะได้รับผลกระทบมาก ประกอบไปด้วยอุตสาหกรรมคอมพิวเตอร์ ยางล้อและชิ้นส่วนยานยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้า อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ สิ่งทอ และอุตสาหกรรมอื่นๆ ที่เสี่ยงสูญเสียตลาดในสหรัฐอเมริกา แต่ทั้งหมดนี้เป็นเพียงแค่ผู้ที่จะได้รับผลกระทบทางตรงที่จะเกิดขึ้นเท่านั้น ยังมีหลายภาคส่วนที่รัฐบาลเอาไปแลกกับข้อตกลงภาษีในครั้งนี้ด้วย


ในส่วนของเกษตรกร ที่ผ่านมาเกษตรกรต้องสู้กับทั้งภัยแล้ง การถูกกดราคา การขาดสิทธิในที่ดินทำกิน ถูกรัฐฟ้องร้องขับไล่ ขาดปัจจัยในการผลิต ราคาปุ๋ยและราคาเครื่องจักรที่สูง ผู้ที่ทำปศุสัตว์ก็ต้องเผชิญโรคระบาดในสัตว์เลี้ยง อาหารสัตว์ที่แพงขึ้น และราคาตลาดที่ผันผวนต่อเนื่องมาหลายปี ยิ่งเมื่อข้อตกลงที่รัฐบาลได้ทำไปแล้ว อาจกำลังจะบีบให้เกษตรกรไทยต้องแข่งขันกับเกษตรกรในต่างประเทศหนักขึ้น โดยที่เกษตรกรไทยมีความเสียเปรียบหลายด้าน ไม่ว่าจะในด้านขนาดแปลงที่ดิน ขนาดเงินทุน ระดับเทคโนโลยี รวมถึงมาตรการช่วยเหลือจากรัฐบาลที่มากกว่าประเทศไทย คำถามคือข้อตกลงที่รัฐบาลกำลังทำอยู่นั้น รัฐบาลจะเอาอะไร รายได้ของใคร ไปแลกกับสหรัฐอเมริกากลับมาบ้าง


ณัฐพงษ์กล่าวต่อไปว่าเมื่อมองลึกลงไปในห่วงโซ่อุปทานตั้งแต่ต้นน้ำไปถึงปลายน้ำ ตั้งแต่เกษตรกร คนขับรถบรรทุก ไปจนถึงผู้แปรรูปอาหารเพื่อส่งออก จะเห็นตัวเลขผู้ใช้แรงงานกว่า 4.9 ล้านคน ประเทศไทยมีความแข็งแรงที่กลางน้ำและปลายน้ำ มีโครงสร้างพื้นฐานในการขนส่งที่ดี มีโรงงานอุตสาหกรรมแปรรูปอาหารที่เข้มแข็ง แต่ต้นน้ำในไร่นาของไทยยังอ่อนแอ เกษตรกรกินส่วนแบ่งมูลค่าในห่วงโซ่อุปทานน้อยมากในขณะที่ต้องแบกรับต้นทุนที่สูงขึ้นทุกปี และยังอยู่ภายใต้ความเสี่ยงของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ รวมถึงราคาผลผลิตที่ตกต่ำ


คำถามคือในขณะที่เกษตรกรไทยต้องต่อสู้เพื่อความมั่นคงทางอาหารของประเทศ จึงต้องตั้งคำถามว่าเกษตรกรไทยจะได้รับผลกระทบอะไร และรัฐบาลหาทางออกอะไรให้เกษตรกรบ้าง ไม่ว่าจะเป็นถั่วเหลือง ข้าวสาลี ข้าวโพด หรือหมู คุ้มหรือไม่ที่จะเอาความมั่นคงทางอาหารเหล่านี้ไปอยู่ในมือของประเทศมหาอำนาจอื่น


ณัฐพงษ์กล่าวต่อไปว่าที่ต้องคุยเรื่องนี้กันในวันนี้ ก็เพราะประเทศไทยกำลังอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ หากยอมให้ข้าวโพดราคาถูกจากต่างประเทศไหลทะลักเข้ามาเพื่อแลกกับอัตราภาษีที่ต่ำลง ประเทศไทยอาจได้อาหารราคาถูกแต่ก็อาจสูญเสียเกษตรกรไทยผู้ปลูกข้าวโพดในประเทศไทยไปทั้งรุ่น หรือหากปล่อยให้มีการนำเข้าเนื้อหมูโดยไม่มีมาตรการที่เหมาะสม คนเลี้ยงสุกรรายย่อยอาจหายไปจากเศรษฐกิจชนบทของไทยได้


และในขณะที่โลกกำลังเปลี่ยน ผู้บริโภคทั่วโลกต้องการอาหารที่ปลอดภัย หลายประเทศกำลังลงทุนในระบบอาหารที่ยั่งยืน ประเทศไทยวันนี้อาจไม่จำเป็นต้องแลกไปทุกอย่าง เพราะประเทศไทยเองมีโอกาสในการลงทุนและออกแบบระบบใหม่ทั้งระบบ เพื่อเปลี่ยนให้ไทยไม่ใช่เป็นแค่ครัวของโลก แต่เป็นครัวที่โลกต้องการด้วย ให้ไทยเป็นศูนย์กลางในการผลิตอาหารที่มีความปลอดภัย มีความยั่งยืน อยู่ในระบบห่วงโซ่อุปทานที่เป็นธรรม เกษตรกรทุกรายได้รับส่วนแบ่งมูลค่าในห่วงโซ่อุปทานใหม่อย่างเหมาะสม ซึ่งหากไทยไม่ทำตอนนี้ ปล่อยให้ประเทศอื่นทำไปก่อนจนกลายเป็นครัวของโลกใหม่แทนประเทศไทย วันหน้าไทยจะกลายเป็นเพียงผู้ที่ตามในห่วงโซ่อุปทานที่คนอื่นตัดสินใจแทยไปทั้งหมด


ณัฐพงษ์กล่าวต่อไปว่าด้วยเหตุนี้ตนจึงเสนอให้มีการตั้งคณะทำงานพูดคุยระหว่างภาครัฐและเอกชน นั่นคือภาคี “Farm-Feed-Food Fair Coalition” ซึ่งประกอบไปด้วยตัวแทนจากเกษตรกรต้นน้ำ ผู้ประกอบการขนส่งกลางน้ำ และอุตสาหกรรมแปรรูปเพื่อส่งออกปลายน้ำ ที่มีพันธกิจร่วมกันเพื่อพัฒนาระบบอาหารในประเทศให้แข่งขันได้และเป็นธรรมมากขึ้น ให้ไทยกลายเป็นครัวที่โลกต้องการจริง


รวมทั้งเปลี่ยนวิธีการใช้เงินงบประมาณจากที่เคยใช้งบประมาณเพื่อรักษาอดีต มาเป็นงบประมาณเพื่อสร้างอนาคต ด้วยการเปลี่ยนจากเงินอุดหนุนเกษตรกรแบบให้เปล่า ไปเป็นการให้เงินอุดหนุนแบบมีเป้าหมาย เช่น การอุดหนุนเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต การลงทุนในเครื่องจักรใหม่ๆ และเพื่อเพิ่มผลผลิตต่อไร่ รวมถึงการตั้งกองทุน Farm-Feed-Food Value Fund ซึ่งเป็นกองทุนร่วมระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน ภายใต้วัตถุประสงค์เพื่อให้เกิดการลงทุนในการเปลี่ยนห่วงโซ่อุปทานให้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมไปพร้อมกับการทำให้ทุกคนได้รับส่วนแบ่งจากห่วงโซ่อุปทานใหม่นี้อย่างเป็นธรรมมากขึ้น


และเพื่อให้การติดตามการทำงานต่อจากนี้เป็นไปอย่างโปร่งใส มีความรอบคอบ และทุกคนเห็นภาพตรงกัน รัฐบาลควรต้องมีระบบรายงานสาธารณะ เพื่อเปิดเผยราคาข้าวโพด หมู ไก่ ผลผลิตทางการเกษตร รวมถึงต้นทุนปัจจัยการผลิต เช่น ปุ๋ย อาหารสัตว์ แบบรายสัปดาห์ อย่างน้อยเพื่อทำให้ทุกคนช่วยกันเฝ้าระวังและเตือนภัยได้อย่างทันการณ์ เพื่อให้เกษตรกรไทยมีส่วนร่วมในการกำหนดอนาคตของตนเอง และเป็นการใช้งบประมาณแผ่นดินเป็นไปอย่างโปร่งใส คุ้มค่า และมีประสิทธิภาพ


ณัฐพงษ์กล่าวต่อไปว่านอกจากเกษตรกรแล้วยังมีกลุ่มผู้ใช้แรงงานที่อาจได้รับผลกระทบจากคลื่นสึนามิในครั้งนี้ มีแรงงานหลายภาคส่วนที่ทำงานอยู่ในอุตสาหกรรมชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ชิ้นส่วนยานยนต์ และสินค้าเกษตรแปรรูป ซึ่งเป็นสินค้าส่งออกหลักของประเทศไทย แรงงานในนิคมอุตสาหกรรมกำลังเผชิญกับความเสี่ยงที่ส่งผลเป็นลูกโซ่ต่อเนื่อง ถ้าเกิดการสูญเสียตลาดในสหรัฐอเมริกาอย่างฉับพลัน ส่งผลกระทบต่อผู้ส่งออก กระทบต่อโรงงาน กระทบต่อผู้ใช้แรงงานต่อไปเป็นทอด โดยเฉพาะแรงงานกลุ่มที่เป็นลูกจ้างรายวัน โดยเฉพาะแรงงานในธุรกิจ SMEs ก็มีความเปราะบางสูง เพราะไม่มีสายป่านที่ยาว และมีแนวโน้มจะได้รับผลกระทบเป็นลำดับต้นๆ


มาตรการที่รัฐบาลควรดำเนินการมานานแล้วแต่ยังไม่เริ่มดำเนินการเสียที ก็คือการเดินหน้าไปหากลุ่มเสี่ยงที่จะได้รับผลกระทบ ข้อมูลจากธนาคารแห่งประเทศไทยระบุว่าว่าในบรรดา 30,000 บริษัทไทยที่ส่งออกไปสหรัฐอเมริกา มี SMEs อยู่ถึง 4,990 บริษัท มีการจ้างงานรวมกันกว่า 5 แสนตำแหน่ง กลุ่มที่เปราะบางที่สุดคือกลุ่ม SMEs ขนาดเล็ก รัฐบาลมีมาตรการหรือนโยบายในการช่วยเหลือผู้ใช้แรงงานเหล่านี้อย่างไร


ณัฐพงษ์กล่าวต่อไปว่าบริษัทจำนวนมากอยู่ในอุตสาหกรรมเครื่องประดับ เกษตร โลหะ และสิ่งทอ โดยผู้ประกอบการจำนวนมากระบุว่าซอฟต์โลนไม่ได้ตอบโจทย์ผู้ประกอบการในทุกกลุ่ม บางกลุ่มต้องการการช่วยพยุงการจ้างงาน บางกลุ่มต้องการการช่วยลดต้นทุน บางกลุ่มต้องการให้รัฐบาลช่วยหาตลาดใหม่ และบางกลุ่มมีชะตากรรมขึ้นกับบริษัทข้ามชาติที่กำลังจะย้ายฐานการผลิตไปยังเวียดนาม


อุตสาหกรรมไทยที่เก่งอย่างผู้ผลิตของเล่น เครื่องดินเผา เครื่องประดับ ที่ฝีมือคนไทยเก่งกว่าเพื่อนบ้านหลายประเทศ อยู่รอดมาจนถึงทุกวันนี้ต้องฝ่าฟันมาทั้งคลื่นจีน คลื่นเวียดนาม คลื่นโควิด ที่ผ่านมาปากกัดตีนถีบช่วยเหลือตัวเองมาเยอะ รัฐบาลช่วยเหลือน้อย แต่วันนี้กำลังจะเจอคลื่นสึนามิอีกหนึ่งลูกที่ถาโถมเข้ามาในประเทศไทย เป็นคลื่นสงครามการค้าที่กำลังทำลายตลาดส่งออก จึงเป็นเรื่องไม่เป็นธรรมอย่างยิ่งหากรัฐบาลจะปล่อยให้พวกเขาต่อสู้เพียงลำพัง และหากพวกเขาล้มจะส่งผลสะเทือนการจ้างงานหลายแสนครอบครัวทั่วประเทศ


ณัฐพงษ์กล่าวต่อไปว่าประเทศไทยเป็นประเทศที่มีสถานะทางภูมิรัฐศาสตร์ มมีศักยภาพในการสร้างอิทธิพลในหลายเรื่องในเวทีโลก เพราะประเทศไทยเป็นอำนาจขนาดกลาง (Middle Power) ในด้านหนึ่งการที่ประเทศไทยถูกตั้งภาษีตอบโต้จากสหรัฐอเมริกาครั้งแรกสูงถึง 36% นั่นก็เพราะว่าประเทศไทยได้ดุลการค้ากับสหรัฐอเมริกาค่อนข้างมาก สะท้อนว่าเศรษฐกิจไทยเองมีนัยสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกา มีความสามารถในการแข่งขันสูงในหลายภาคส่วน แต่ประเทศไทยจำเป็นต้องมีการทำงานการทูตและการต่างประเทศเชิงรุกมากกว่านี้


ตนจึงมีข้อเสนอในการทำงานเชิงรุกในเวทีระหว่างประเทศ 5 ข้อ คือ


1) เปลี่ยนจากการวางตัวเป็นประเทศที่คอยทำตามกติกาที่คนอื่นเขียนให้ มาเป็นผู้ร่วมกำหนดกติกากับประเทศอื่นๆ ผ่านความร่วมมือในเวทีภูมิภาค เช่น ASEAN และ BIMSTEC


2) การทำตัวเป็นพื้นที่ปลอดภัยในเวทีการค้าระหว่างประเทศ เป็นพื้นที่ที่ทำให้นักลงทุนที่อยากย้ายฐานจากจีนหรือกระจายความเสี่ยงจากสหรัฐอเมริกาหันมาลงทุนในประเทศไทย ซึ่งจะทำแบบนี้ได้สิ่งที่หนีไม่พ้นคือขจัดกฎระเบียบที่เป็นอุปสรรคเพื่อให้เกิดความสะดวกในการลงทุนในประเทศ


3) ความกล้าในการเปิดเวทีการเจรจากับประเทศมหาอำนาจอย่างสร้างสรรค์ ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของการกำหนดข้อตกลงให้เกิดการถ่ายทอดเทคโนโลยี การทำให้เกิดมูลค่าเพิ่มในท้องถิ่น ไม่ปล่อยให้กินรวบตลอดทั้งห่วงโซ่อุปทานในประเทศไทย หรือการนำไปสู่การร่วมลงทุนที่ทำให้เกิดการพัฒนาเศรษฐกิจสีเขียวและพลังงานหมุนเวียนในประเทศ


4) ยกระดับมาตรฐานประเทศไทยให้ทัดเทียมกับประเทศที่พัฒนาแล้วโดยเร็วที่สุด เช่นการเข้าร่วมเป็นกลุ่มประเทศ OECD ซึ่งจะช่วยยกระดับการบริหารจัดการเศรษฐกิจไทยให้ดียิ่งขึ้น เปิดประตูในการร่วมมือกับอีกหลายประเทศในหลากหลายมิติ ไม่ว่าจะเป็นการลงทุน การศึกษา วิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี เป็นต้น


5) ในฐานะประเทศอำนาจกลาง นอกจากการมองไปข้างบนที่กลุ่มประเทศ Global North แล้ว ต้องมองลงไปข้างๆ ไปในกลุ่มประเทศ Global South ด้วย กำหนดบทบาทตัวเองให้กลายมาเป็นผู้นำให้เกิดความร่วมมือระหว่างประเทศที่กำลังพัฒนาด้วยกันเอง โดยเ​ฉพาะอย่างยิ่งในภูมิภาค ASEAN


ณัฐพงษ์กล่าวต่อไปว่าวิธีการเดินเกมทั้ง 5 ด้านนี้ เป็นสิ่งที่ประเทศไทยลงมือทำได้ทันทีตั้งแต่วันนี้ในฐานะอำนาจขนาดกลาง สิ่งที่สำคัญคือไม่ว่าไทยจะเลือกเดินเกมอย่างไรก็ตาม ต้องใช้การทูตที่ยึดหลักการเพื่อให้ทุกการตัดสินใจต่อจากนี้ไม่สามารถถูกต่อว่าได้ว่าประเทศไทยกำลังเข้าข้างมหาอำนาจประเทศใดประเทศหนึ่ง รัฐบาลต้องตั้งคำถามกับตัวเองว่าที่ผ่านมาได้สื่อสารสิ่งต่างๆ เหล่านี้กับประชาชนอย่างชัดเจนและดีเพียงพอแล้วหรือยัง ว่าการเจรจากับสหรัฐอเมริกานั้นมีใครได้รับผลกระทบบ้าง และจะต้องเตรียมการรับมืออย่างไร


และเมื่อลงไปดูในงบประมาณในปี 2569 ก็พบว่าเป็นงบประมาณแบบ 3 ไม่มีในการรับมือกับภาษีสหรัฐอเมริกา คือ 1) ไม่มีการระบุไว้อย่างชัดเจนว่าแผนงานหรือโครงการใด จะรับมือหรือเยียวยาผู้ที่จะได้รับผลกระทบจากภาษีสหรัฐอเมริกาเท่าไหร่บ้าง สิ่งที่เห็นคือการตั้งโครงการจ้างล้อบบี้ยิสต์ในสหรัฐอเมริการาว 100 ล้านบาท 2) ไม่มีการเชื่อมโยงโครงการของหน่วยงานต่างๆ เพื่อรับมือกับผลกระทบที่จะเกิดขึ้น หรือตามอุตสาหกรรมที่อาจได้รับผลกระทบ และ 3) ไม่มีตัวชี้วัดหรือเป้าหมายใดในการเปลี่ยนผ่านห่วงโซ่อุปทานของประเทศนี้เลย เท่ากับว่างบประมาณปี 2569 สะท้อนภาพว่ารัฐบาลไม่ได้เตรียมรับมือปัญหาเหล่านี้อย่างจริงจังและไม่มีการคาดการณ์ล่วงหน้า


ณัฐพงษ์กล่าวต่อไปว่าด้วยเหตุนี้ตนจึงอยากส่งข้อเสนอไปยังรัฐบาล โดยมีข้อเสนอระยะสั้นคือ 1) การตั้งกลุ่มภาคีที่ประกอบไปด้วยภาครัฐและภาคเอกชนในการติดตามสถานการณ์และผลกระทบในระยะยาวต่อเนื่อง 2) รัฐบาลต้องเปิดเผยข้อมูลการเจรจาอย่างโปร่งใสได้แล้ว ว่าไทยเอาอะไรไปเสนอ สหรัฐอเมริกาเรียกร้องอะไรและให้อะไรกับประเทศไทยกลับมาบ้าง 3) ประเมินผลกระทบเบื้องต้นอย่างเป็นทางการจากรัฐบาล ว่ามีเกษตรกร ผู้ประกอบการ SMEs ผู้ใช้แรงงาน หรืออุตสาหกรรมภาคส่วนใดบ้าง ที่กำลังได้รับผลกระทบ และต้องประเมินผลกระทบแบบตลอดทั้งห่วงโซ่อุปทาน เพื่อให้การออกแบบนโยบายต่อไปนี้สามารถเสริมความเข้มแข็งได้ทั้งอุตสาหกรรม 4) วางกรอบแผนเงินช่วยเหลือฉุกเฉิน เช่น การใส่เงินเข้าไปในกองทุน FTA เพื่อรองรับการเยียวยาแรงงานและผู้ประกอบการที่อาจได้รับผลกระทบ และต้องเปลี่ยนกลไกของกองทุน FTA ใหม่ จากเดิมที่ทำเป็นรายโครงการ ให้เน้นเป็นรายห่วงโซ่อุปทานและต้องทำอย่างต่อเนื่องไปในอนาคต และ 5) การกำกับดูแลและการบังคับใช้กฎหมาย ที่ต้องควบคุมและกำกับมาตรฐานสินค้าอย่างเข้มงวด ระมัดระวังสินค้านำเข้าจากประเทศอื่นๆ ที่อาจล้นทะลักเข้ามาในประเทศไทยด้วย


ส่วนข้อเสนอระยะกลาง ประกอบด้วย 1) การปรับตัวเข้ากับห่วงโซ่อุปทานใหม่ เตรียม Reskill/Upskill อย่างจริงจังให้พร้อมปรับตัว กำหนดเลือกเส้นทางการปรับตัวได้ด้วยตนเอง 2) การวางยุทธศาสตร์การเจรจาในอนาคต ประเทศไทยยังต้องใช้เวทีเจรจาในระดับพหุภาคี ไม่ว่าจะเป็น ASEAN หรือ BIMSTEC และการเร่งรัดเข้าเป็นสมาชิก OECD เพื่อเพิ่มอำนาจต่อรองของไทยในระยะยาว ส่วนในระยะยาว ต้องมีการลงทุนให้ประเทศไทยมีเครื่องจักรทางเศรษฐกิจตัวใหม่ ไม่ว่าจะเป็นด้านการเกษตร สุขภาพ สิ่งแวดล้อม และเศรษฐกิจดิจิทัล รวมถึงพลังงานหมุนเวียนอื่นๆ


ณัฐพงษ์กล่าวต่อไปว่าหากในวันพรุ่งนี้ประเทศไทยจะต้องพบฉากทัศน์ที่เลวร้ายที่สุด คือหากยังโดนภาษีที่อัตรา 36% ประเทศไทยอาจมีการเติบโตทางด้านเศรษฐกิจปีนี้เพียงแค่ 1.1% และจะต่ำลงเหลือ 0.4% ในปีหน้า การบริหารที่ดีต้องมีการประเมินฉากทัศน์ในกรณีที่เลวร้ายที่สุดไว้ก่อนเสมอ ดังนั้น สิ่งที่ประชาชนอยากได้ยินจากรัฐบาลในวันนี้ หากเกิดกรณีฉากทัศน์ที่เลวร้ายที่สุดขึ้น รัฐบาลมีมาตรการในการเยียวยาผลกระทบอย่างไร รวมถึงมีนโยบายอย่างไรในการทำให้ประเทศไทยมีจุดยืนที่ดีขึ้นในเวทีโลก การวางตำแหน่งให้ไทยเป็นผู้นำ ASEAN และทำหน้าที่เป็นสะพานที่เชื่อมครึ่งหนึ่งของโลกเข้าด้วยกัน เป็นมุมมองที่ตนอยากให้รัฐบาลนำไปพิจารณาในวันนี้ เพราะจะกำหนดบทบาทและเวทีของไทยในเวทีการทูตระหว่างประเทศต่อนี้ไปในอนาคต


ประเทศไทยอยู่ในจุดยุทธศาสตร์ที่น่าสนใจ ตั้งอยู่ในจุดตัดตรงกลางระหว่างสองมหาอำนาจจีนและอินเดียพอดี อยู่จุดตัดตรงกลางระหว่างกลุ่ม ASEAN+3 และ BIMSTEC ที่มีประชากรโลกอาศัยอยู่ครึ่งหนึ่ง และประชากรโลกครึ่งหนี่งนี้กระจุกตัวอยู่บน 12% ของผืนดินโลก มีขนาดเศรษฐกิจคิดเป็นราว 31% ของขนาดเศรษฐกิจโลก ซึ่งช่องว่างระหว่างประชากรราว 50% กับขนาดเศรษฐกิจราว 30% คือช่องว่างแห่งโอกาสที่รอการพัฒนา ที่สามารถเพิ่มผลผลิตต่อหัว เพิ่มรายได้ต่อประชากรในกลุ่มประเทศเหล่านี้ ที่มีประเทศไทยเป็นจุดตรงกลาง


ณัฐพงษ์กล่าวต่อไปว่าและหากไทยสามารถเชื่อมโยงกันได้อย่างดี ทั้งด้านเศรษฐกิจ คมนาคม พลังงาน และเทคโนโลยีสีเขียว นี่คือโอกาสครั้งใหญ่ที่จะเปลี่ยนอนาคตของภูมิภาคนี้ ที่ไม่ได้มองแค่เรื่องของถนนและทางรถไฟ แต่มองถึงการเชื่อมโยงอนาคตของลูกหลายและผู้คนในระเบียบโลกใหม่ในอนาคต ที่ตั้งของอาเซียนในวันนี้จึงเป็นจุดสมดุลให้กับสองประเทศมหาอำนาจ ระหว่างจีนและอินเดีย เสถียรภาพในอาเซียนจึงเป็นสิ่งสำคัญที่ประเทศไทยจะต้องถือบทบาทนำในการกำหนดยุทธศาสตร์นี้ เพื่อเชื่อมโลกครึ่งใบนี้เข้าด้วยกัน ประเทศไทยต้องยึดหลักการทางการทูตให้มั่นคงและงานเชิงรุกไปพร้อมกัน เพื่อทำให้คลื่นสงครามการค้านี้ ประเทศไทยยืนอยู่ในเวทีโลกได้อย่างสง่างาม


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #พรรคประชาชน #ภาษีทรัมป์