“รังสิมันต์” ติง “เพื่อไทย” ไม่ควรเรียกว่าเป็นตัวแทนนักสู้ประชาธิปไตย ละเลยผู้เห็นต่างให้ติดคุกต่อ
ขอบคุณ 6 สส. “เสื้อแดง” โหวตหนุนร่างนิรโทษกรรม
“ภาคประชาชน-ก้าวไกล” ยังพอยกมือไหว้ได้ พร้อมสู้ต่อในชั้น กมธ.
วันนี้ (17 กรกฎาคม 2568) ที่รัฐสภา
นายรังสิมันต์ โรม สส.บัญชีรายชื่อ รองหัวหน้าพรรคประชาชน
ให้สัมภาษณ์ถึงมติของที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรเมื่อวานนี้ (16 ก.ค.) ที่ตีตกร่าง
พ.ร.บ.นิรโทษกรรมของพรรคก้าวไกล และของภาคประชาชน โดยระบุว่า
รู้สึกผิดหวังที่สุดท้ายแล้วการนิรโทษกรรมดูเป็นการเลือกปฏิบัติ หากเราพิจารณาดี ๆ
หากร่างของภาคประชาชนมีความชัดเจนว่าหมายรวมใครบ้าง ส่วนของพรรคประชาชน
เราเปิดประตูให้กว้างที่สุด การพิจารณาว่ากรณีไหนจะได้หรือไม่ได้
ต้องไปดูในรายละเอียดของคดี หรือการออกแนวทางกำหนดเงื่อนไขบางประการ
ที่อาจทำให้สามารถยอมรับกันได้มากขึ้น กล่าวคือ อยู่ที่ปัจจัยทางการเมืองเมื่อในวันนั้นว่า
สังคมรู้สึกอย่างไร แต่อย่างน้อยเราจะไม่กีดกันใคร
“เรารู้ว่าแต่ละคดียากง่ายไม่เหมือนกัน อาจต้องมีการพูดคุยสร้างความเข้าใจ
แต่ด้วยความใจแคบของรัฐบาล และคิดแต่เพียงพวกพ้อง ไม่ได้สนใจการคลี่คลายปัญหา
สุดท้ายจึงทำให้การนิรโทษกรรมทำได้อย่างจำกัด” นายรังสิมันต์ กล่าว
สำหรับจุดยืนของพรรคประชาชนในชั้นกรรมาธิการ
นายรังสิมันต์ ในฐานะกรรมาธิการสัดส่วนพรรคประชาชนระบุว่า เราก็ต้องทำให้ดีที่สุด
อย่างน้อยร่างหลักของพรรครวมไทยสร้างชาติก็ไม่ได้เขียนไว้ในหลักการว่า
ไม่ให้รวมถึงการนิรโทษกรรมคดีมาตรา 112 ก็คงต้องไปพูดคุยกัน
ถ้าพรรครัฐบาลยังแข็งเหมือนเดิมในชั้นกรรมาธิการ
ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายนักในการผลักดัน แต่เราก็ต้องทำให้เต็มที่
“อย่างน้อยการพิจารณาเรื่องนี้ต้องโปร่งใสประชาชนทุกคนรวมถึงครอบครัวของผู้เห็นต่างทางการเมืองที่ยังอยู่ในเรือนจำ
และตัวแทนต่าง ๆ ที่นั่งอยู่ในกรรมาธิการ ทั้งสส. และไม่ใช่ สส. ก็ตาม คิดอะไร
พูดอะไร เพราะกฎหมายฉบับนี้มีส่วนได้เสียต่อโชคชะตาและชีวิตของคนหลายคน ซึ่งเขามีความปรารถนาดีต่อประเทศชาติ
ดังนั้นหากไม่ได้มีทิศทางที่ดีต่อครอบครัวหรือประชาชน
เขาก็ควรมีสิทธิ์รู้และตัดสินใจ” นายรังสิมันต์
กล่าว
ส่วนกรณีที่พรรคเพื่อไทยลงมติเห็นชอบให้ร่าง
พ.ร.บ.สร้างเสริมสังคมสันติสุข ที่เสนอโดยพรรคภูมิใจไทยนั้น นายรังสิมันต์ระบุว่า
คงไม่ใช่แค่โหวตเห็นชอบให้ร่างของพรรคใดพรรคหนึ่ง เพราะหากพิจารณาแล้ว
ร่างของพรรครวมไทยสร้างชาติและภูมิใจไทยก็มีเนื้อหาใกล้เคียงกันมาก
จึงไม่ได้น่าแปลกใจอะไร แต่ที่แปลกใจกับพรรคเพื่อไทยคือ ที่ผ่านมาพรรคเพื่อไทยเป็นพรรคการเมืองที่พยายามพูดมาตลอดว่าเป็นตัวแทนของเสียงประชาธิปไตย
ตัวแทนของคนที่เคยต่อสู้เพื่อเรียกร้องความเป็นธรรมและความยุติธรรม
แล้วพรรคเพื่อไทยควรทราบดีว่า
ผู้เห็นต่างทางการเมืองที่ถูกกลั่นแกล้งทางกฎหมายขนาดไหน แม้แต่มาตรา 112
เองก็มีการดำเนินคดีกับคนจำนวนมากที่สนับสนุนพรรคเพื่อไทย
แต่เหตุใดพรรคเพื่อไทยกลับเลือกหันหลังให้ทั้งร่างของภาคประชาชน
และร่างที่พยายามจะรวมทุกความแตกต่างให้มากที่สุดอย่างของพรรคประชาชน
“ผมคิดว่าพรรคเพื่อไทยไม่ควรจะเรียกตัวเองว่าเป็นพรรคของฝ่ายประชาธิปไตยอีกแล้ว
พรรคเพื่อไทยไม่ควรเรียกตัวเองว่าเป็นพรรคตัวแทนของการต่อสู้ของผู้เห็นต่างทางการเมืองอีกแล้ว
เพราะคุณคือส่วนหนึ่งของการปล่อยให้คนที่เห็นต่างทางการเมืองติดคุกต่อไป
โดยที่คุณไม่มีแม้แต่เสี้ยวหนึ่งของหัวใจในการรับผิดชอบ
หรือใช้อำนาจแก้ปัญหาเรื่องนี้
คุณคือพรรคการเมืองที่ปราศจากซึ่งกระดูกสันหลังแห่งความกล้าหาญในการพาสังคมไทยฝ่าออกจากวิกฤต” นายรังสิมันต์ กล่าว
นายรังสิมันต์ กล่าวว่า เมื่อพูดถึงพรรคเพื่อไทย
ต้องขอแยกออกจาก สส. พรรคเพื่อไทย ทั้ง 6 คนที่ลงมติเห็นชอบให้ร่างของภาคประชาชน
และของพรรคก้าวไกล ส่วนตัวก็ขอขอบคุณทั้ง 6 คน ที่ได้ลงมติสนับสนุน
อย่างน้อยที่สุดก็มีบางท่านที่เราพอจะยกมือไหว้ได้อย่างรู้สึกดี แต่ต้องยอมรับว่าความคาดหวังของตนเองไม่ใช่แค่
6 คน แต่ความคาดหวังคือพรรคการเมือง
อย่างเช่นเวลาประชาชนคาดหวังต่อพรรคของเรา คงไม่ได้คาดหวังเพียงนายรังสิมันต์
ก็คงคล้ายกัน ขอขอบคุณทั้ง 6 คน แต่ก็ยังเสียดายที่พรรคเพื่อไทยมีพฤติกรรมแบบนี้
ซึ่งชัดเจนว่าพรรคเพื่อไทยก็มีอุดมการณ์ ความคิด ความเชื่อ
ไม่ต่างจากพรรคการเมืองอื่นอีกแล้ว