วันพฤหัสบดีที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2568

ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน ออกแถลงการณ์ การนิรโทษกรรมอย่างเลือกปฏิบัติ จะไม่นำไปสู่การคลี่คลายความขัดแย้ง แต่กลับจะทำให้สังคมมีรอยร้าว ปัญหาถูกสะสม และอาจรุนแรงมากยิ่งขึ้น

 


ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน ออกแถลงการณ์ การนิรโทษกรรมอย่างเลือกปฏิบัติ จะไม่นำไปสู่การคลี่คลายความขัดแย้ง แต่กลับจะทำให้สังคมมีรอยร้าว ปัญหาถูกสะสม และอาจรุนแรงมากยิ่งขึ้น


วันที่ 16 กรกฎาคม 2568 ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน ออกแถลงการณ์ ระบุว่า


ตามที่วันนี้ (16 กรกฎาคม 2568) สภาผู้แทนราษฎรได้พิจารณาร่างพระราชบัญญัติที่มีหลักการและเหตุผลในการนิรโทษกรรมรวม 5 ฉบับ โดยมีมติเห็นชอบรับหลักการ 3 ฉบับของพรรครวมไทยสร้างชาติ พรรคครูไทยเพื่อประชาชน (เดิม) และพรรคภูมิใจไทย และมีมติไม่รับหลักการ 2 ฉบับ คือ ร่างพระราชบัญญัติของพรรคก้าวไกล (เดิม) และร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมประชาชน  


ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนซึ่งเป็นหนึ่งในเครือข่ายนิรโทษกรรมประชาชน และเป็นองค์กรให้ความช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากการใช้อำนาจรัฐหลังรัฐประหาร 2557 และคดีที่กระทบต่อสิทธิเสรีภาพในการแสดงออกทางการเมืองของประชาชน มีความกังวลถึงการผลักดันร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมอย่างเลือกปฏิบัติและมีข้อเรียกร้องต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดังต่อไปนี้


1. การนำร่างพระราชบัญญัติสร้างเสริมสังคมสันติสุข พ.ศ…. มาพิจารณาเป็นร่างหลัก อาจมีกรอบของระยะเวลาได้รับนิรโทษกรรมที่ไม่ครอบคลุมคดีที่เกิดขึ้นในปี 2566 เป็นต้นมา และมีปัญหาไม่ครอบคลุมความผิดหลายประเภท กล่าวคือ ร่างดังกล่าวมีบัญชีท้ายพระราชบัญญัติแนบท้ายฐานความผิดที่จะได้รับนิรโทษกรรม 20 ฐานความผิด ในขณะที่ฐานความผิดคดีการเมืองตั้งแต่ปี 2557 – ปัจจุบันมีมากกว่า 34 ฐานความผิด (ต่างกันในรายละเอียดกว่า 23 ฐานความผิด)


ทำให้มีจำนวนคดีทางการเมืองอีกมาก ซึ่งเป็นคดีที่เกิดจากการชุมนุมทางการเมือง จากการแสดงออกทางการเมือง หรือจากความขัดแย้งทางการเมือง ที่จะไม่ถูกนับรวมในการพิจารณา ไม่ใช่เพียงคดีมาตรา 112 อาทิเช่น ความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการออกเสียงประชามติร่างรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2559 กฎหมายว่าด้วยการควบคุมการโฆษณาโดยใช้เครื่องขยายเสียง พ.ศ. 2493 กฎหมายว่าด้วยการเดินอากาศ พ.ศ. 2497, กฎหมายว่าด้วยการประกอบกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ พ.ศ. 2551, ความผิดตามประกาศและคำสั่ง คสช. และความผิดตามคำสั่งหัวหน้า คสช., กฎหมายว่าด้วยโรคติดต่อ พ.ศ. 2558, กฎหมายว่าด้วยการควบคุมการเรี่ยไร พ.ศ. 2487, กฎหมายว่าด้วยธง พ.ศ. 2522, กฎหมายว่าด้วยการจดแจ้งการพิมพ์ พ.ศ. 2550 เป็นต้น 


ด้วยเหตุดังกล่าวการกล่าวอ้างว่าม็อบราษฎรจะมีคนได้รับประโยชน์จากการนิรโทษกรรม 1,683 ราย ของพรรคเพื่อไทย โดยอ้างอิงข้อมูลของศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนนั้น จึงเป็นความเข้าใจคลาดเคลื่อนของพรรคเพื่อไทย เพราะไม่สามารถนำจำนวนผู้ถูกดำเนินคดีทั้งหมดลบจำนวนผู้ถูกดำเนินคดีมาตรา 112 ได้โดยตรง ยังคงมีผู้ถูกดำเนินคดีในฐานความผิดอื่นที่ไม่ได้รับนิรโทษกรรมอีกจำนวนมาก


ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนเห็นว่าหากจะผลักดันการนิรโทษกรรมแล้ว กฎหมายต้องครอบคลุมทุกปัญหาความขัดแย้งทั้งหมดไม่ใช่การเลือกปฏิบัติสำหรับกลุ่มบุคคลใดกลุ่มบุคคลหนึ่ง


2. สำหรับคดีความผิดคดีหมิ่นประมาทกษัตริย์ฯ นับเป็นคดีที่เกี่ยวข้องสัมพันธ์กับสถานการณ์ทางการเมืองโดยเฉพาะหลังรัฐประหาร 2549 เริ่มมีคดีมาตรา 112 มีจำนวนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งปี 2563 ถึงปัจจุบันมีผู้ถูกดำเนินคดีเท่าที่ทราบข้อมูลไม่น้อยกว่า 281 คนใน 314 คดี โดยมีคดีที่ยังไม่สิ้นสุดกว่า 187 คดี และยังเป็นประเภทคดีที่มีผู้ต้องขังทางการเมืองมากที่สุดในเรือนจำ ณ ปัจจุบัน คือ 31 รายจาก 50 ราย และอาจจะมีเพิ่มขึ้นอีกในอนาคต ในจำนวนดังกล่าวเป็นคดีที่มีคำพิพากษาแล้ว 186 คดี คดีส่วนใหญ่อยู่ในชั้นอุทธรณ์


นอกจากนี้คดีมาตรา 112 ยังเป็นที่มาของการลี้ภัยทางการเมืองหลังปี 2563 ของประชาชนไม่น้อยกว่า 37 ราย แม้สถิติการดำเนินคดีมาตรา 112 จะอยู่ในหลักร้อย แต่เป็นคดีส่วนใหญ่ที่ทำให้ถูกจองจำ การเพิกเฉยกับการนิรโทษกรรมคดีมาตรา 112 เป็นการเพิกเฉยต่อกลุ่มที่ได้รับผลกระทบรุนแรงที่สุดในทางการเมือง 


ส่วนประเภทคดีทางการเมืองที่มีคนถูกดำเนินคดีมากที่สุดในยุคปี 2563 คดี พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ กว่า 1,466 คนนั้น หากไม่มีคดีวัตถุระเบิดพ่วงด้วยแล้ว คดีมีทั้งอัยการสั่งไม่ฟ้อง ศาลยกฟ้อง หรือหากลงโทษจำคุกก็มักรอการลงโทษ


3. ปัจจุบัน มีผู้ต้องขังคดีการเมืองอย่างน้อย 50 ราย เป็นคดีมาตรา 112 จำนวน 31 ราย และคดีที่เกี่ยวข้องกับวัตถุระเบิด 16 ราย (คดีทะลุแก๊สและคดีคนเสื้อแดง) คดีอื่น ๆ 3 ราย หากพิจารณาจากประเภทคดีที่จะได้รับนิรโทษกรรมตามบัญชีแนบท้ายร่างพระราชบัญญัติสร้างเสริมสังคมสันติสุข พ.ศ…. ฉบับพรรครวมไทยสร้างชาติ (หากไม่มีการแก้ไขเปลี่ยนแปลงในวาระที่สอง) จะมีผู้ได้รับประโยชน์จากการนิรโทษกรรมเพียง 4 รายเท่านั้น เท่ากับว่าผู้ต้องขังทางการเมือง 46 ราย คิดเป็นร้อยละ 92 ยังคงต้องถูกจองจำต่อไป ยังไม่นับจำนวนผู้ที่อาจถูกคุมขังเพิ่มเติมอีกในอนาคต


4. นอกจากนี้จำนวนคนที่ถูกดำเนินคดีการเมืองตั้งแต่กรกฎาคม 2563 ถึงปัจจุบันกว่า 1,977 คน ในจำนวน 1,330 คดี ยังเป็นการดำเนินคดีเยาวชนกว่า 286 ราย ใน 220 คดี (ทุกประเภทคดี) ประเทศไทยซึ่งเป็นประเทศภาคีอนุสัญญาสิทธิเด็กและมีพันธกรณีในการปกป้องคุ้มครองเยาวชนในการใช้สิทธิในการมีส่วนร่วม สิทธิการแสดงออกและสิทธิในการชุมนุม กลับละเลยการแก้เยียวยาเด็กและเยาวชนอายุต่ำกว่า 18 ปี โดยการนิรโทษกรรม แต่ให้ความสำคัญกับคดีกบฏ ล้มล้างการปกครอง และเจ้าหน้าที่รัฐที่ใช้อำนาจในการรัฐประหารมากกว่า


ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน จึงขอยืนยันว่า


1. หากสภาผู้แทนราษฎรต้องการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งทางการเมือง ต้องเริ่มต้นจากการรวมปัญหาของทุกฝ่ายเข้ามาแก้ไข ไม่เลือกปฏิบัติในการนิรโทษกรรม การนิรโทษกรรมคดีมาตรา 112 นอกจากจะเป็นการบรรเทาความขัดแย้งแล้ว ยังสอดคล้องกับจุดยืนด้านสิทธิมนุษยชนและประชาคมโลกอีกด้วย


2. แม้ร่างกฎหมายนิรโทษกรรมดังกล่าวยังอยู่ระหว่างการพิจารณา หากรัฐบาลมีความจริงใจในการแก้ไขปัญหาคดีทางการเมือง รัฐบาลอาจใช้วิธีการต่าง ๆ ในการประสานงานเพื่อให้เกิดการให้สิทธิประกันตัวตามกฎหมาย ผู้ต้องทางการเมือง 25 จาก 50 ราย เป็นผู้ต้องขังระหว่างการพิจารณาคดี ย่อมสามารถปล่อยตัวชั่วคราวได้โดยไม่จำเป็นต้องแก้ไขกฎหมาย 


3. นอกจากนี้รัฐบาลยังสามารถดำเนินการพูดคุยกับสำนักงานอัยการสูงสุด ในคดีที่เห็นว่าการดำเนินคดีจะไม่เป็นประโยชน์ต่อสาธารณะ โดยเฉพาะคดีจากการชุมนุมทางการเมืองในยุคปี 2563 ที่ยังค้างอยู่ในชั้นต่าง ๆ อีกจำนวนมาก พนักงานอัยการสามารถดำเนินการสั่งไม่ฟ้องหรือถอนฟ้องคดี ตามมาตรา 21 พระราชบัญญัติองค์กรอัยการและพนักงานอัยการ พ.ศ. 2553 โดยไม่จำเป็นต้องแก้ไขกฎหมาย 


การนิรโทษกรรมอย่างเลือกปฏิบัติโดยละทิ้งการแก้ไขปัญหาคดีมาตรา 112 และคดีอื่น ๆ ครั้งนี้จะไม่นำไปสู่การคลี่คลายความขัดแย้ง แต่กลับจะทำให้สังคมมีรอยร้าว ปัญหาถูกสะสม และอาจรุนแรงมากยิ่งขึ้น


ด้วยความเคารพสิทธิเสรีภาพของประชาชน

ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #นิรโทษกรรมประชาชน