ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน ออกแถลงการณ์ การนิรโทษกรรมอย่างเลือกปฏิบัติ จะไม่นำไปสู่การคลี่คลายความขัดแย้ง แต่กลับจะทำให้สังคมมีรอยร้าว ปัญหาถูกสะสม และอาจรุนแรงมากยิ่งขึ้น
วันที่ 16 กรกฎาคม 2568 ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน ออกแถลงการณ์ ระบุว่า
ตามที่วันนี้ (16 กรกฎาคม 2568) สภาผู้แทนราษฎรได้พิจารณาร่างพระราชบัญญัติที่มีหลักการและเหตุผลในการนิรโทษกรรมรวม 5 ฉบับ โดยมีมติเห็นชอบรับหลักการ 3 ฉบับของพรรครวมไทยสร้างชาติ พรรคครูไทยเพื่อประชาชน (เดิม) และพรรคภูมิใจไทย และมีมติไม่รับหลักการ 2 ฉบับ คือ ร่างพระราชบัญญัติของพรรคก้าวไกล (เดิม) และร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมประชาชน
ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนซึ่งเป็นหนึ่งในเครือข่ายนิรโทษกรรมประชาชน และเป็นองค์กรให้ความช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากการใช้อำนาจรัฐหลังรัฐประหาร 2557 และคดีที่กระทบต่อสิทธิเสรีภาพในการแสดงออกทางการเมืองของประชาชน มีความกังวลถึงการผลักดันร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมอย่างเลือกปฏิบัติและมีข้อเรียกร้องต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดังต่อไปนี้
1. การนำร่างพระราชบัญญัติสร้างเสริมสังคมสันติสุข พ.ศ…. มาพิจารณาเป็นร่างหลัก อาจมีกรอบของระยะเวลาได้รับนิรโทษกรรมที่ไม่ครอบคลุมคดีที่เกิดขึ้นในปี 2566 เป็นต้นมา และมีปัญหาไม่ครอบคลุมความผิดหลายประเภท กล่าวคือ ร่างดังกล่าวมีบัญชีท้ายพระราชบัญญัติแนบท้ายฐานความผิดที่จะได้รับนิรโทษกรรม 20 ฐานความผิด ในขณะที่ฐานความผิดคดีการเมืองตั้งแต่ปี 2557 – ปัจจุบันมีมากกว่า 34 ฐานความผิด (ต่างกันในรายละเอียดกว่า 23 ฐานความผิด)
ทำให้มีจำนวนคดีทางการเมืองอีกมาก ซึ่งเป็นคดีที่เกิดจากการชุมนุมทางการเมือง จากการแสดงออกทางการเมือง หรือจากความขัดแย้งทางการเมือง ที่จะไม่ถูกนับรวมในการพิจารณา ไม่ใช่เพียงคดีมาตรา 112 อาทิเช่น ความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการออกเสียงประชามติร่างรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2559 กฎหมายว่าด้วยการควบคุมการโฆษณาโดยใช้เครื่องขยายเสียง พ.ศ. 2493 กฎหมายว่าด้วยการเดินอากาศ พ.ศ. 2497, กฎหมายว่าด้วยการประกอบกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ พ.ศ. 2551, ความผิดตามประกาศและคำสั่ง คสช. และความผิดตามคำสั่งหัวหน้า คสช., กฎหมายว่าด้วยโรคติดต่อ พ.ศ. 2558, กฎหมายว่าด้วยการควบคุมการเรี่ยไร พ.ศ. 2487, กฎหมายว่าด้วยธง พ.ศ. 2522, กฎหมายว่าด้วยการจดแจ้งการพิมพ์ พ.ศ. 2550 เป็นต้น
ด้วยเหตุดังกล่าวการกล่าวอ้างว่าม็อบราษฎรจะมีคนได้รับประโยชน์จากการนิรโทษกรรม 1,683 ราย ของพรรคเพื่อไทย โดยอ้างอิงข้อมูลของศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนนั้น จึงเป็นความเข้าใจคลาดเคลื่อนของพรรคเพื่อไทย เพราะไม่สามารถนำจำนวนผู้ถูกดำเนินคดีทั้งหมดลบจำนวนผู้ถูกดำเนินคดีมาตรา 112 ได้โดยตรง ยังคงมีผู้ถูกดำเนินคดีในฐานความผิดอื่นที่ไม่ได้รับนิรโทษกรรมอีกจำนวนมาก
ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนเห็นว่าหากจะผลักดันการนิรโทษกรรมแล้ว กฎหมายต้องครอบคลุมทุกปัญหาความขัดแย้งทั้งหมดไม่ใช่การเลือกปฏิบัติสำหรับกลุ่มบุคคลใดกลุ่มบุคคลหนึ่ง
2. สำหรับคดีความผิดคดีหมิ่นประมาทกษัตริย์ฯ นับเป็นคดีที่เกี่ยวข้องสัมพันธ์กับสถานการณ์ทางการเมืองโดยเฉพาะหลังรัฐประหาร 2549 เริ่มมีคดีมาตรา 112 มีจำนวนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งปี 2563 ถึงปัจจุบันมีผู้ถูกดำเนินคดีเท่าที่ทราบข้อมูลไม่น้อยกว่า 281 คนใน 314 คดี โดยมีคดีที่ยังไม่สิ้นสุดกว่า 187 คดี และยังเป็นประเภทคดีที่มีผู้ต้องขังทางการเมืองมากที่สุดในเรือนจำ ณ ปัจจุบัน คือ 31 รายจาก 50 ราย และอาจจะมีเพิ่มขึ้นอีกในอนาคต ในจำนวนดังกล่าวเป็นคดีที่มีคำพิพากษาแล้ว 186 คดี คดีส่วนใหญ่อยู่ในชั้นอุทธรณ์
นอกจากนี้คดีมาตรา 112 ยังเป็นที่มาของการลี้ภัยทางการเมืองหลังปี 2563 ของประชาชนไม่น้อยกว่า 37 ราย แม้สถิติการดำเนินคดีมาตรา 112 จะอยู่ในหลักร้อย แต่เป็นคดีส่วนใหญ่ที่ทำให้ถูกจองจำ การเพิกเฉยกับการนิรโทษกรรมคดีมาตรา 112 เป็นการเพิกเฉยต่อกลุ่มที่ได้รับผลกระทบรุนแรงที่สุดในทางการเมือง
ส่วนประเภทคดีทางการเมืองที่มีคนถูกดำเนินคดีมากที่สุดในยุคปี 2563 คดี พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ กว่า 1,466 คนนั้น หากไม่มีคดีวัตถุระเบิดพ่วงด้วยแล้ว คดีมีทั้งอัยการสั่งไม่ฟ้อง ศาลยกฟ้อง หรือหากลงโทษจำคุกก็มักรอการลงโทษ
3. ปัจจุบัน มีผู้ต้องขังคดีการเมืองอย่างน้อย 50 ราย เป็นคดีมาตรา 112 จำนวน 31 ราย และคดีที่เกี่ยวข้องกับวัตถุระเบิด 16 ราย (คดีทะลุแก๊สและคดีคนเสื้อแดง) คดีอื่น ๆ 3 ราย หากพิจารณาจากประเภทคดีที่จะได้รับนิรโทษกรรมตามบัญชีแนบท้ายร่างพระราชบัญญัติสร้างเสริมสังคมสันติสุข พ.ศ…. ฉบับพรรครวมไทยสร้างชาติ (หากไม่มีการแก้ไขเปลี่ยนแปลงในวาระที่สอง) จะมีผู้ได้รับประโยชน์จากการนิรโทษกรรมเพียง 4 รายเท่านั้น เท่ากับว่าผู้ต้องขังทางการเมือง 46 ราย คิดเป็นร้อยละ 92 ยังคงต้องถูกจองจำต่อไป ยังไม่นับจำนวนผู้ที่อาจถูกคุมขังเพิ่มเติมอีกในอนาคต
4. นอกจากนี้จำนวนคนที่ถูกดำเนินคดีการเมืองตั้งแต่กรกฎาคม 2563 ถึงปัจจุบันกว่า 1,977 คน ในจำนวน 1,330 คดี ยังเป็นการดำเนินคดีเยาวชนกว่า 286 ราย ใน 220 คดี (ทุกประเภทคดี) ประเทศไทยซึ่งเป็นประเทศภาคีอนุสัญญาสิทธิเด็กและมีพันธกรณีในการปกป้องคุ้มครองเยาวชนในการใช้สิทธิในการมีส่วนร่วม สิทธิการแสดงออกและสิทธิในการชุมนุม กลับละเลยการแก้เยียวยาเด็กและเยาวชนอายุต่ำกว่า 18 ปี โดยการนิรโทษกรรม แต่ให้ความสำคัญกับคดีกบฏ ล้มล้างการปกครอง และเจ้าหน้าที่รัฐที่ใช้อำนาจในการรัฐประหารมากกว่า
ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน จึงขอยืนยันว่า
1. หากสภาผู้แทนราษฎรต้องการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งทางการเมือง ต้องเริ่มต้นจากการรวมปัญหาของทุกฝ่ายเข้ามาแก้ไข ไม่เลือกปฏิบัติในการนิรโทษกรรม การนิรโทษกรรมคดีมาตรา 112 นอกจากจะเป็นการบรรเทาความขัดแย้งแล้ว ยังสอดคล้องกับจุดยืนด้านสิทธิมนุษยชนและประชาคมโลกอีกด้วย
2. แม้ร่างกฎหมายนิรโทษกรรมดังกล่าวยังอยู่ระหว่างการพิจารณา หากรัฐบาลมีความจริงใจในการแก้ไขปัญหาคดีทางการเมือง รัฐบาลอาจใช้วิธีการต่าง ๆ ในการประสานงานเพื่อให้เกิดการให้สิทธิประกันตัวตามกฎหมาย ผู้ต้องทางการเมือง 25 จาก 50 ราย เป็นผู้ต้องขังระหว่างการพิจารณาคดี ย่อมสามารถปล่อยตัวชั่วคราวได้โดยไม่จำเป็นต้องแก้ไขกฎหมาย
3. นอกจากนี้รัฐบาลยังสามารถดำเนินการพูดคุยกับสำนักงานอัยการสูงสุด ในคดีที่เห็นว่าการดำเนินคดีจะไม่เป็นประโยชน์ต่อสาธารณะ โดยเฉพาะคดีจากการชุมนุมทางการเมืองในยุคปี 2563 ที่ยังค้างอยู่ในชั้นต่าง ๆ อีกจำนวนมาก พนักงานอัยการสามารถดำเนินการสั่งไม่ฟ้องหรือถอนฟ้องคดี ตามมาตรา 21 พระราชบัญญัติองค์กรอัยการและพนักงานอัยการ พ.ศ. 2553 โดยไม่จำเป็นต้องแก้ไขกฎหมาย
การนิรโทษกรรมอย่างเลือกปฏิบัติโดยละทิ้งการแก้ไขปัญหาคดีมาตรา 112 และคดีอื่น ๆ ครั้งนี้จะไม่นำไปสู่การคลี่คลายความขัดแย้ง แต่กลับจะทำให้สังคมมีรอยร้าว ปัญหาถูกสะสม และอาจรุนแรงมากยิ่งขึ้น
ด้วยความเคารพสิทธิเสรีภาพของประชาชน
ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน