จาก “อานนท์ นำภา” จดหมายเปิดผนึก ถึง“มิตรสหายผู้แทนราษฎร” กฎหมายนิรโทษกรรม ไม่ได้ชี้วัดการแพ้หรือชนะไม่ว่ากับฝ่ายใด แต่จะบอกจุดยืนของผู้แทนราษฎรคนนั้น ๆ ให้ชัดเจนขึ้นในคืนวันที่ฝุ่นตลบ
วันที่ 14 กรกฎาคม 2568 เพจเฟซบุ๊ก "อานนท์ นำภา" ได้เผยแพร่จดหมายเปิดผนึกจากอานนท์ นำภา ที่เขียนขึ้นในเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร ลงวันที่ 14 ก.ค.68 ระบุว่า
"บางทีในคืนวันที่ฝนตกอบอวล การยืนหยัดอย่างมั่นคงอาจดีกว่าออกเดินแบบไร้ทิศทาง "
เช้านี้เป็นอีกวันที่ผมยืนมองพระจันทร์ด้วยความคำนึงถึงหลาย ๆ เรื่องราว พระจันทร์ที่กลมโตเหมือนไข่มุก วางนิ่งๆบนพรมสีคราม พระจันทร์ที่ไร้แสงแต่เห็นได้ชัดแม้มองจากไกล ๆ เป็นพระจันทร์ของรุ่งเช้าวันหนึ่งในฤดูฝนของปีที่ 3 ที่ผมเข้ามาอยู่ในนี้ เป็นพระจันทร์ที่งดงามอย่างยิ่ง แม้ในเวลากลางวัน
การแตกเป็น 2 ขั้วระหว่างสังคมเก่ากับสังคมใหม่ มีเส้นแบ่งที่เหมือนจะชัดเจนแต่ก็หาชัดเจนไม่ ชายแดนเส้นแบ่งนั้น มีผู้คนจำนวนมากที่ดำเนินอยู่ สิ่งที่ต้องพึงระวังคืออย่าผลักให้ผู้คนเหล่านั้นไปยืนในพื้นที่ของสังคมเก่า เราต้องโอบกอดและโน้มน้าวผู้คนเหล่านั้นมายืนข้างเรา ต้องใช้เวลาและต้องให้มากพอที่จะทำให้เกิดความชัดเจน ทั้งในปริมาณและอุดมการณ์ทางการเมือง
อาจบางทีพื้นที่ของสังคมเก่ากับสังคมใหม่ ไม่ได้อยู่ที่พรรคการเมืองหรือสีเสื้อเพียงอย่างเดียว หากแต่หมายถึงอุดมการณ์ทางการเมืองที่ฝังลึกอย่างแนบแน่นในความรู้สึกนึกคิดและในชีวิตประจำวันของผู้คนเหล่านั้นด้วยในคนคนเดียวอาจมีภาวะ "สวิง" ทั้งในสังคมเก่าและสังคมใหม่ ประสาอะไรกับพรรคการเมือง หรือกลุ่มคนที่มีจำนวนมากกว่านั้น ซึ่งการเปลี่ยนแปลงย่อมเกิดจากปัจจัยหลาย ๆ ปัจจัยผนวกกัน
ไม่แปลกใจที่จะมี สส.จำนวนหนึ่งจากพรรคเพื่อไทย ที่อภิปรายและสนับสนุนการนิรโทษกรรมคดีการเมืองมาตรา 112 และไม่แปลกใจที่ สส.ที่ได้รับเลือกตั้งจากพรรคก้าวไกล (เดิม) บางคนจะกลับหลังหันให้การต่อสู้ของคนหนุ่มสาว ในห้วงปี 2563 ที่ผ่านมา
ในคืนวันที่ฝุ่นตลบอบอวล ในหัวใจที่ฝุ่นตลบอบอวล ผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่า การออกเดินไปข้างหน้าแบบไร้ทิศทางของมิตรสหายบางท่าน จะไม่นำไปสู่การหลงทาง และหากเป็นเช่นนั้น การหยัดยืนให้มั่นคงอาจจำเป็นและสำคัญยิ่งกว่า
พระจันทร์เช้านี้ แม้ไม่มีแสงแต่ยังมองเห็นได้ชัดเจนจากไกลๆ ผมคิดถึงถ้อยคำที่มิตรสหายท่านหนึ่งซึ่งปฎิเสธข้อเสนอของผมที่ให้แสดงจุดยืนไม่สลับขั้วการเมืองภายหลังการเลือกตั้งปี 2566 มิตรสหายท่านนั้น บอกกับผมว่าจำเป็นต้องทำหน้าที่ สส. ต่อไป ให้รอดูจุดยืนของเขาในเวลาทำหน้าที่ว่าจะยืนข้างสังคมเก่าหรือสังคมใหม่ และยังจำถ้อยคำของมิตรสหายอีกหลายท่าน ในวันเลี้ยงส่งผมเข้าเรือนจำว่าจะทำหน้าที่อย่างเต็มที่ในสภา ผมยังจดจำและเชื่อมั่นตลอดเวลา
กฎหมายนิรโทษกรรม ไม่ได้ชี้วัดการแพ้หรือชนะไม่ว่ากับฝ่ายใดแต่จะบอกจุดยืนของผู้แทนราษฎรคนนั้นๆ ให้ชัดเจนขึ้นในคืนวันที่ฝุ่นตลบ การนิรโทษกรรมทางการเมืองในแง่เนื้อหามันคลี่คลายอย่างกระจ่างและชัดเจนแล้ว นอกรัฐสภาและทั่วโลก ส่วนในแง่รูปแบบที่จะปล่อย ผมและเพื่อนๆ จากความอยุติธรรมทางกฎหมาย ย่อมต้องมาถึงในสักวัน ที่เสียงของผู้แทนในสภามากพอ
ขอบคุณพี่ต๋อม เมย์ เป๋า เบนจา ปูน และคณะผู้เสนอกฎหมายนิรโทษกรรม ที่ช่วยกันผลักดันจนเป็นรูปร่าง ขอบคุณมิตรสหาย สส. ลูกเกดและ สส. ท่านอื่นๆ ของพรรคประชาชนทุกคนที่ช่วยกันอภิปราย ขอบคุณลุงอดิศร เพียงเกษ ที่อภิปรายชวนประธานสภาทำบุญนิรโทษกรรมมาตรา 112 ในวันเข้าพรรษา และขอบคุณเป็นพิเศษสำหรับพี่น้องประชาชนที่สนับสนุนการต่อสู้ของพวกเราตลอดมา
เชื่อมั่นและศรัทธา
อานนท์ นำภา
14 กรกฎาคม 2568
เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร
สำหรับอานนท์ นำภา ขณะนี้ถูกคุมขังอยู่ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพ ภายหลังศาลอาญาพิพากษาจำคุก ไม่รอลงอาญา ตั้งแต่เมื่อวันที่ 26 กันยายน 2566 ในคดีม.112 เหตุจากการขึ้นปราศรัยใน #ม็อบ14ตุลา63
และล่าสุดเมื่อวันที่ 8 ก.ค. 68 ศาลตัดสินคดี ม.112-116 “อานนท์ นำภา” เหตุปราศรัย #ม็อบ17พฤศจิกา63 หน้ารัฐสภา อีก 2 ปี 4 เดือน ซึ่งคดีนี้นับเป็นคดีมาตรา 112 คดีที่ 10 ของอานนท์ นำภา ที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษา รวมโทษจำคุกในทุกคดีทั้งสิ้น 26 ปี 37 เดือน 20 วัน หรือประมาณ 29 ปี 1 เดือนเศษ แยกเป็นคดีข้อหาหลักตามมาตรา 112 จำนวน 10 คดี, คดีข้อหาหลักตามมาตรา 116 จำนวน 1 คดี, คดีตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ 1 คดี และคดีละเมิดอำนาจศาล 1 คดี โดยทุกคดียังอยู่ระหว่างอุทธรณ์คำพิพากษา
#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #อานนท์นำภา #มาตรา112 #นิรโทษกรรมประชาชน