วันศุกร์ที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2568

"ประเสริฐ" ติดตาม "นายกรัฐมนตรี" ลงพื้นที่สระแก้ว ติดตามมาตรการปราบเด็ดขาด 'แก๊งคอลเซ็นเตอร์" ย้ำมาตรการตัด ซิม-เสา-สาย รุกตัดตอน "อาชญากรรมออนไลน์"

 


"ประเสริฐ" ติดตาม "นายกรัฐมนตรี" ลงพื้นที่สระแก้ว ติดตามมาตรการปราบเด็ดขาด 'แก๊งคอลเซ็นเตอร์" ย้ำมาตรการตัด ซิม-เสา-สาย รุกตัดตอน "อาชญากรรมออนไลน์"


วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2568 นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) พร้อมด้วยนายอัฐฐเสฏฐ จุลเสฏฐพานิช เลขานุการรัฐมนตรีฯ และนายเอกพงษ์ หริ่มเจริญ ผู้ตรวจราชการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ร่วมคณะนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ลงพื้นที่อำเภออรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว เพื่อติดตามมาตรการปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ และอาชญากรรมออนไลน์


นายประเสริฐ กล่าวว่า กระทรวงดีอี ร่วมลงพื้นที่ อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว พื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา ร่วมกับนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และคณะฝ่ายความมั่นคง เพื่อติดตามมาตรการแก้ไขปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์ และอาชญากรรมออนไลน์ 


ทั้งนี้จากการดำเนินมาตรการปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์อย่างเข้มข้นในพื้นที่ชายแดน ไทย-เมียนมา ฝั่งอ.แม่สอด จ.ตาก เมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา แม้ปรากฏผลสำเร็จในระดับหนึ่ง แต่นายกรัฐมนตรีไม่ได้นิ่งนอนใจ ได้ติดตามการดำเนินมาตรการด้วยตัวเอง พร้อมกับให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ดำเนินการมาตรการป้องกันและปราบปรามอย่างต่อเนื่อง 


สำหรับการลงพื้นที่ในครั้งนี้ ได้มีการประชุมหารือบูรณาการทำงานร่วมกันระหว่างฝ่ายความมั่นคง กระทรวงดีอี และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธานฯ ก่อนที่จะมีการตรวจเยี่ยมศูนย์คัดแยกและให้ความช่วยเหลือเหยื่อจากแก๊งคอลเซ็นเตอร์ 


ขณะเดียวกัน คณะฯ ยังได้ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมการดำเนินงานของด่านพรมแดนบ้านคลองลึก อ.อรัญประเทศ และติดตามการดำเนินการตัดสายสัญญาณการสื่อสารบริเวณด้านหลังสถานีรถไฟคลองลึก ก่อนจะเดินทางไปตรวจสอบการลดสัญญาณการสื่อสารบริเวณตลาดเบญจวรรณ อ.อรัญประเทศ 


ในส่วนของกระทรวงดีอี และ สำนักงาน กสทช. นายกรัฐมนตรีได้กำชับให้มีการติดตามเรื่องการดูแล และตัดเสาสัญญาณโทรคมนาคม สายอินเทอร์เน็ต และสัญญาณสื่อสาร ที่มีการลักลอบเชื่อมต่อไปยังประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งเป็นเครื่องมือให้มิจฉาชีพนำไปใช้หลอกลวงประชาชน และตรวจสอบสายสัญญาณที่ตัดไปแล้ว ไม่ให้มีการติดตั้งขึ้นมาใหม่อย่างเด็ดขาด 


นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรียังขอให้หน่วยงานความมั่นคง ทหาร ตำรวจ ฝ่ายปกครอง และศุลกากร กวดขันเรื่องการเข้าออกบริเวณแนวชายแดน โดยประสานงานกับประเทศเพื่อนบ้าน เฝ้าระวังการลักลอบนำคนหรืออุปกรณ์ใดๆ เข้าออกตามแนวชายแดน โดยเฉพาะตามช่องทางธรรมชาติ


“ปัจจุบัน กระทรวงดีอี กสทช. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้ดำเนินการตัดสัญญาณสื่อสารผิดกฎหมายบริเวณชายแดนในพื้นที่ต่างๆ ที่ต้องสงสัยว่าเป็นพื้นที่ปฏิบัติการของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ และดำเนินการตรวจสอบเฝ้าระวังไม่ให้มีการเชื่อมต่อสัญญาณซ้ำอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งได้ขอความร่วมมือจากผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ทุกค่าย ได้ร่วมกันตรวจสอบ โดยให้หันสายสัญญาณกลับเข้ามาในฝั่งประเทศไทย พร้อมกับลดความสูงของเสาส่งสัญญาณลง และจัดรถสายตรวจสแกนความถี่สัญญาณโทรศัพท์โทรศัพท์มือถือ โดยหากพบว่าเป็นการส่งมาจากประเทศเพื่อนบ้าน ให้ดำเนินการตัดการส่งสัญญาณในทันที” รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดีอี กล่าว


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #แก๊งคอลเซ็นเตอร์ #อาชญากรรมออนไลน์ #สระแก้ว






“รังสิมันต์” โพสปมไทยส่งกลับ 40 ชาวอุยกูร์ไปยังจีน ส่งผลร้ายภาพลักษณ์ประเทศบนเวทีโลก จี้นายกฯถกความมั่นคงอย่างตรงไปตรงมา ป้องกันเหตุรุนแรงบานปลาย

 


“รังสิมันต์” โพสปมไทยส่งกลับ 40 ชาวอุยกูร์ไปยังจีน ส่งผลร้ายภาพลักษณ์ประเทศบนเวทีโลก จี้นายกฯถกความมั่นคงอย่างตรงไปตรงมา ป้องกันเหตุรุนแรงบานปลาย


วันที่ 28 ก.พ. 2568 นายรังสิมันต์ โรม สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน (ปชน.) ประธานคณะกรรมาธิการความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดนไทย ยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศ และสภาผู้แทนราษฎร โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Rangsiman Rome - รังสิมันต์ โรม ถึงกรณีทางการไทยส่งกลับชาวอุยกูร์ 40 คนไปยังจีน ว่า


เมื่อวานนี้ได้ร่วมอภิปรายในญัตติด่วนเพื่อพิจารณาข้อเท็จจริงและผลกระทบจากการส่งชาวอุยกูร์กลับไปประเทศจีน เพื่อส่งข้อเสนอแนะให้แก่คณะรัฐมนตรีดำเนินการต่อไป จากการอภิปรายในสภาเป็นที่ชัดเจนว่า เรื่องนี้มีความสำคัญและส่งผลกระทบร้ายแรงต่อประเทศ ไม่เพียงแค่ด้านความมั่นคง แต่ยังรวมถึงภาพลักษณ์ด้านสิทธิมนุษยชนของไทยในเวทีโลก เราเคยมีบทเรียนมาแล้วเมื่อครั้งตัดสินใจส่งชาวอุยกูร์ไปจีนในอดีต ตามมาด้วยเหตุระเบิดในไทย และแรงกดดันจากประชาคมโลกโดยเฉพาะสหภาพยุโรปที่ให้ความสำคัญด้านสิทธิมนุษยชนเป็นอย่างยิ่ง ดังนั้น สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อตอนหัวรุ่งวันนี้ผมคิดว่าเป็นเรื่องใหญ่ที่รัฐบาลตัดสินใจผิดพลาดอย่างมาก


นายรังสิมันต์ ระบุว่า สิ่งที่เกิดขึ้นจากการดำเนินการกับชาวอุยกูร์ทั้ง 40 กว่าคนนั้น ขอใช้คำง่ายๆ ว่า “แอบทำ” และไม่ได้มีความโปร่งใสอะไรเลย ทั้งที่ผ่านมา จำได้ว่ามีการโพสต์ดักเอาไว้จากนายรอมฎอน ปันจอร์ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน และจำได้ดีนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯ และ รมว.กลาโหม ได้ออกมาชี้แจงว่าเรื่องที่ สส.รอมฎอนพูดเป็นเรื่องที่ไม่จริง รวมถึงท่านประธาน สมช. หรือนายกรัฐมนตรีก็มาที่รัฐสภา แต่เมื่อนักข่าวถามท่านว่าท่านได้ทราบถึงการส่งตัวครั้งนี้หรือไม่ ปรากฏว่าท่านบอกว่าไม่ทราบและท่านก็ยังพูดว่าต้องคำนึงถึงเรื่องสิทธิมนุษยชนอีกด้วย แต่สิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้มันกลับกลายเป็นว่า ข่าวลือที่เกิดขึ้นกลับเป็นการตระเตรียมการของทางการไทย ที่ตั้งใจส่งคนอุยกูร์กลับไปแบบเงียบเชียบมากที่สุด


นอกจากนี้ ทาง ผบ.ตร. ก็ยังได้ออกมาชี้แจงว่าการดำเนินการเป็นไปตามมติของ สมช. แต่วันนี้ท่านนายกรัฐมนตรีกลับบอกกับประชาชนว่า ท่านไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้น ท่านไม่ทราบว่ามีการส่งอุยกูร์ไปทางประเทศจีน สิ่งนี้ทำให้ตั้งคำถามว่า จะเป็นไปได้หรือไม่ว่ากระบวนการส่งตัวครั้งนี้จะเป็นกระบวนการที่อาจจะมิชอบด้วยกฎหมาย เพราะขนาดประธาน สมช. ยังไม่ทราบเลยด้วยซ้ำ แต่อย่างไรก็ดี ก็ทราบดีว่าหน่วยงานต่าง ๆ คือผู้ปฏิบัติแต่การตัดสินใจเป็นไปโดยฝ่ายการเมือง ยิ่งเมื่อเป็นเช่นนี้แล้วเท่ากับรัฐบาลโยนให้ทาง สมช. เป็นผู้รับผิดชอบทั้งหมด ยังไม่นับรวมว่ากรณีการกักขังชาวอุยกูร์นี้ถูกต้องหรือไม่ เพราะคดียังอยู่ในกระบวนการชั้นศาลและยังไม่สิ้นสุด เท่ากับว่าการกระทำนี้ถือเป็นการละเมิดอำนาจศาลใช่หรือไม่


"ผลกระทบที่ผมพยายามพูดมาทั้งหมดนี้เพื่อที่จะพยายามแสดงให้ได้เห็นว่า การตัดสินใจครั้งนี้ของรัฐบาล มันไม่พ้นข้าราชการประจำและคนทำงานที่ต้องเอาตัวเองไปเสี่ยงการกระทำผิดกฎหมายมากมาย รวมถึงการละเมิด พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. 2565 มาตรา 13 ที่เรารับหลักการว่า ห้ามให้หน่วยงานของรัฐหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐขับไล่ ส่งกลับ หรือส่งบุคคลเป็นผู้ร้ายข้ามแดน ไปยังอีกรัฐหนึ่ง หากมีเหตุอันควรเชื่อได้ว่า บุคคลนั้นจะไปตกอยู่ในอันตรายที่จะถูกกระทำทรมาน ถูกกระทำการที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือย่ำยีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ หรือถูกกระทำให้สูญหาย ซึ่งกระบวนการนี้อยู่ในกระบวนการกฎหมายของเรา นั่นเท่ากับว่าก็เจ้าหน้าที่อยู่ในกระบวนการเสี่ยงทั้งหมด และนี่คือผลกระทบเรื่องแรกที่ประเทศของเราต้องแบกรับผลกระทบจากการตัดสินใจนี้" นายรังสิมันต์ ระบุ


นายรังสิมันต์ ระบุด้วยว่า ผลกระทบเรื่องที่สอง มันเป็นผลกระทบในเรื่องของความมั่นคงที่เราจะต้องเตรียมรับมือ เพราะเราไม่รู้ว่าการส่งคนอุยกูร์ทั้ง 48 คนนี้ จะทำให้สถานการณ์บานปลายมากมายขนาดไหน อย่างที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วในยุค คสช. โดยสถานการณ์แบบนี้ล้วนส่งผลกระทบต่อการท่องเที่ยวและประชาชนชาวไทยที่อาจจะได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจไปด้วย เพราะถ้ามันมีเหตุความรุนแรงเกิดขึ้น แน่นอนว่าความเชื่อมั่นทางด้านเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวมันก็ถดถอยแย่ลงไปด้วย ผลกระทบเหล่านี้คือผลกระทบที่คนไทยจะต้องแบกเอาไว้ ขอถามในวันนี้ว่ารัฐบาลมีการเตรียมการ เพื่อให้ผลกระทบนี้ไม่เกิดขึ้นหรือเกิดผลกระทบน้อยที่สุดแล้วหรือไม่ เพราะถ้าว่ากันอย่างตรงไปตรงมา เพียงแค่ไบโอแมทตริกซ์ของเรายังหมดอายุ ดังนั้น การเก็บข้อมูลอัตลักษณ์ต่างๆ หลังจากนี้มันจะใช้ไม่ได้ เท่ากับเครื่องมือของเราไม่มีประสิทธิภาพ และนี่คือการตัดสินใจที่ผิดพลาดที่จะนำไปสู่ความล้มเหลวของบริการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาล


เป็นที่แน่นอนว่าบางประเทศก็ต้องจับตามองในเรื่องนี้ เช่น ประเทศสหรัฐอเมริกานั้น รัฐมนตรีเขาให้ความสนใจและได้พูดถึงประเด็นอุยกูร์ที่ถูกกักขังอยู่ใน ตม.ไทยไว้อย่างชัดเจนดังนั้น ครั้งหนึ่งรัฐบาลนี้ได้เคยพูดกับพี่น้องประชาชนชาวไทยว่าท่านต้องการให้ประเทศนี้ได้รับ spotlight จากนานาชาติ แต่คิดว่าเราคงไม่ต้องการได้ spotlight จากนานาชาติในเรื่องนี้ รัฐบาลจึงต้องเตรียมรับมือว่าการส่งอุยกูร์ไปประเทศจีนนี้อาจทำให้เกิดความขัดแย้งกับประเทศสหรัฐอเมริกา และยังไม่รู้ว่าจะได้รับผลกระทบเรื่องอื่นๆ ที่ตามมาอีกหรือไม่


ยิ่งไปกว่านั้น ภาพลักษณ์ของประเทศไทยที่เราเพิ่งจะเข้าเป็นส่วนหนึ่งของคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติได้ไม่นานมานี้ แต่วันนี้เรากลับผลักดันชาวอุยกูร์ไปยังประเทศจีน ซึ่งถ้าท่านไม่สนใจและทำแบบนี้เราไม่ควรเข้าไปให้ประเทศอื่นวิพากษ์วิจารณ์ว่า เราไม่ได้ความสำคัญกับสิทธิมนุษยชนขนาดนั้น เพราะแม้กระทั่งหลังจากที่เรื่องนี้ขึ้นแล้ว ในขณะที่สังคมมีคำถามและต้องการคำอธิบายจากฝ่ายนโยบายแต่ทุกคนกลับปฏิเสธ กลับเป็นทางการจีนที่แถลงชี้แจงโดยมีภาพเจ้าหน้าที่ระดับสูงของไทย รวมทั้งต่างประเทศกลับออกมาพูดเรื่องนี้แทนประเทศไทย ไม่น่าเชื่อว่า เรามาถึงจุดนี้ได้อย่างไรครับ


ทั้งหมดนี้นำมาสู่คำถามว่า คนไทยได้อะไรจากการส่งอุยกูร์ไปจีน เพราะการที่เราตัดสินใจทำแบบนี้เราไม่ได้อะไรเลย ซ้ำร้ายยังมีความเสียหายเกิดขึ้นเต็มไปหมด และนี่คือผลกระทบที่คนไทยต้องแบกรับทั้งหมด อย่างไรก็ดี ในเมื่อวันนี้เรื่องมันมาถึงจุดนี้แล้ว เราจึงต้องหารือกันว่าจะทำอย่างไรให้เกิดผลกระทบน้อยที่สุด เพราะในเรื่องความเชื่อมั่น ชื่อเสียง และความนิยมมันคือสิ่งที่ไม่สามารถแก้ไขได้


"ดังนั้น ในเมื่อความเสียหายได้เกิดขึ้นแล้ว ผมจึงอยากจะใช้โอกาสนี้ในการวิงวอนให้รัฐบาลแก้ปัญหาระยะสั้นถึงผลที่จะเกิดขึ้นมา ผมอยากให้มีการป้องกันความรุนแรงที่จะเกิดขึ้น และผมคิดว่าท่านนายกรัฐมนตรีต้องเรียกประชุมฝ่ายความมั่นคงทั้งหมดเป็นการด่วน และท่านต้องพูดคุยเรื่องนี้อย่างตรงไปตรงมา เพื่อหามาตรการที่มีความเหมาะสมในการป้องกันไม่ให้เกิดความรุนแรงและความเสียหายต่อประเทศไทย เพราะผมไม่ต้องการให้มีเหตุการณ์ความรุนแรงเกิดขึ้นอีกแล้ว สุดท้ายนี้ผมอยากจะเน้นย้ำกับรัฐบาลว่า ผมต้องการรักษาผลประโยชน์ของประเทศชาติ รักษาผลประโยชน์ของคนไทยและผมต้องการผู้นำที่ตรงไปตรงมาเพื่อนำไปสู่การแก้ปัญหานี้ครับ"นายรังสิมันต์ ระบุ


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #อุยกูร์ #พรรคประชาชน #รัฐบาลแพทองธาร

'วิโรจน์' ลั่นเป็นสิทธิอำนาจตามรัฐธรรมนูญ! งงพรรครัฐบาลไม่ยอมให้มีชื่อ 'ทักษิณ' ในญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ-เสนอตัดเหลือ 1 วัน ย้อนเกล็ดรัฐบาลอย่าทำตัวมาตรฐานต่ำกว่าเผด็จการสืบทอดอำนาจ

 


'วิโรจน์' ลั่นเป็นสิทธิอำนาจตามรัฐธรรมนูญ! งงพรรครัฐบาลไม่ยอมให้มีชื่อ 'ทักษิณ' ในญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ-เสนอตัดเหลือ 1 วัน ย้อนเกล็ดรัฐบาลอย่าทำตัวมาตรฐานต่ำกว่าเผด็จการสืบทอดอำนาจ


วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2568 ที่อาคารรัฐสภา สส.วิโรจน์ ลักขณาอดิศร รองหัวหน้าพรรคประชาชน เปิดเผยต่อสื่อมวลชน ว่าตนได้รับทราบข่าวจากทางฝั่งรัฐบาลมาว่าจะไม่ยอมให้มีการบรรจุญัตติเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจโดยมีชื่อทักษิณ ชินวัตร อยู่ในญัตติ และเพื่อน สส.ฝั่งรัฐบาลก็มีการเสนอพร้อมกันว่าจะลดวันอภิปรายไม่ไว้วางใจลงเหลือเพียง 1 วันเท่านั้น


โดยวิโรจน์กล่าวว่ามีความจำเป็นที่พรรคฝ่ายค้านจะต้องใส่ชื่อทักษิณ ชินวัตร อยู่ในญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ เพราะมีความเกี่ยวโยง และเป็นสารตั้งต้นที่สำคัญถึงความล้มเหลวในการบริหารราชการแผ่นดิน รวมทั้งพฤติกรรมที่เอาเปรียบประชาชน เอาเปรียบประเทศของแพทองธาร ชินวัตร


“และสิ่งที่สำคัญที่สุด นั่นคือการยื่นญัตติเพื่อเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ เป็นสิทธิอำนาจของผู้แทนราษฎรตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 151 ที่ผู้แทนราษฎรจะร่วมกันร่างญัตติและลงชื่อเพื่อเสนอต่อประธานสภาผู้แทนราษฎร และเนื้อหาญัตติจะเป็นอย่างไรนั้นไม่มีใครสามารถปรับเปลี่ยนตัดตอนได้ และหากจะอ้างข้อบังคับการประชุมสภา ก็ไม่สามารถอ้างได้ เพราะรัฐธรรมนูญมีศักดิ์สูงกว่าอยู่แล้ว ส่วนรายละเอียดการอภิปรายจะเป็นอย่างไรนั้น ต้องรอติดตามในวันจริง” รองหัวหน้าพรรคประชาชนกล่าว


วิโรจน์กล่าวต่อกรณีที่ มนพร เจริญศรี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม ในฐานะประธานประสานงานคณะรัฐมนตรี(วิป.ครม.) เสนอว่าควรจะมีการอภิปรายโดยใช้เวลาเพียง 1 วันเท่านั้น โดยอ้างเหตุผลว่าจะมีการอภิปรายนายกรัฐมนตรีที่ปฏิบัติหน้าที่มาเพียง 6 เดือนเท่านั้น ย่อมไม่สมเหตุสมผล


“เป็นสิ่งที่ไม่สมเหตุสมผลอย่างยิ่ง เพราะการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ต้องคำนึงถึงกระทงความผิด จำนวนความล้มเหลว และความฉกรรจ์ของพฤติกรรมทุจริต ไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าอภิปรายกี่คน นายกเป็นนายกมานานแค่ไหน ซึ่งในกรณีนี้เราเห็นว่าการใช้เวลา 5 วัน เป็นกรอบเวลาที่เหมาะสม”


โดยวิโรจน์กล่าวทิ้งท้ายเปรียบเทียบแนวปฏิบัติในขณะที่พรรคเพื่อไทยเป็นฝ่ายค้าน ว่าตอนที่อภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็มีการตกลงกันว่าจะมีการใช้เวลา 4+1 วัน นั่นคือการอภิปราย 4 วัน และลงมติอีก 1 วัน โดยใน 4 วันที่มีการอภิปรายนั้น เป็นการใช้เวลาอภิปรายนายกรัฐมนตรีไปแล้วถึง 3 วัน จึงอยากให้ทางพรรคเพื่อไทยในฐานะพรรคแกนนำรัฐบาล ใจกว้างและไม่สร้างมาตรฐานต่ำกว่าสมัยรัฐบาลเผด็จการสืบทอดอำนาจ


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #อภิปรายไม่ไว้วางใจ

“ทนายแจม” จี้รัฐบาลตอบให้ชัดความคืบหน้าร่างกฎหมายนิรโทษกรรม เข้าสภาทันสมัยประชุมนี้หรือไม่

 


“ทนายแจม” จี้รัฐบาลตอบให้ชัดความคืบหน้าร่างกฎหมายนิรโทษกรรม เข้าสภาทันสมัยประชุมนี้หรือไม่


วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2568 ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ศศินันท์ ธรรมนิฐินันท์ สส.กรุงเทพมหานคร เขต 11 (สายไหม) พรรคประชาชน ลุกขึ้นปรึกษาหารือทวงถามความคืบหน้ากรณีร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ที่ขณะนี้มีร่างรออยู่แล้ว 4 ฉบับ ประธานสภาฯ จะสามารถบรรจุวาระได้เมื่อไหร่ จะทันในสมัยประชุมนี้หรือไม่ ตอนนี้ติดปัญหาในเรื่องใดจึงมีความล่าช้า


เรื่องนิรโทษกรรมเป็นเรื่องสำคัญไม่น้อยไปกว่าเรื่องอื่น เพราะกระทบต่อโอกาสในการใช้ชีวิตของผู้ต้องหาการเมือง จากสถิติปี 68 มีนักโทษทางการเมืองต้องขังอย่างน้อย 44 คนในเรือนจำ และเพิ่งถูกยกคำร้องขอประกันตัว 16 ฉบับรวดในวันวาเลนไทน์ที่ผ่านมา โดย 1 ใน 16 ฉบับ เป็นของนักศึกษามหาวิทยาลัยรามคำแหงชื่อก้อง อุกฤษฎ์ ที่มหาวิทยาลัยไม่ให้สิทธิสอบ 3 วิชาสุดท้ายในเรือนจำ กำลังรอเวลาที่จะได้ออกไปสอบเพื่อจบการศึกษาพร้อมกับเพื่อนๆ  


จึงขอถามไปยังแกนนำพรรครัฐบาลพรรคเพื่อไทย รวมถึงท่านภูมิธรรม เวชยชัย ท่านชูศักดิ์ ศิรินิล ที่ได้ให้สัมภาษณ์ไว้ในหลายสื่อว่าพรรคเพื่อไทยได้จัดทำร่างประกบ พ.ร.บ.นิรโทษกรรม และจะนำเสนอเข้าสภาในช่วงเปิดสมัยประชุมนี้ แต่ปัจจุบันยังไม่เห็นวี่แววความคืบหน้า ไม่ทราบว่าทางพรรคเพื่อไทยจะดำเนินการเสนอเข้าที่ประชุมสภาได้เมื่อไหร่ ยังมีความตั้งใจในเรื่องนิรโทษกรรมคดีการเมืองอยู่หรือไม่ เหลือเวลาอีกเพียง 1 เดือนก่อนปิดสมัยประชุมนี้ นี่อาจเป็นเหตุผลที่ทำให้การพิจารณาร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ล่าช้าออกไปอีก 


อย่างน้อยหากต้องเลื่อนไปสมัยประชุมหน้าคือเดือนกรกฎาคม อยากให้ 2 คำถามนี้นำไปสู่คำมั่นสัญญาในสภาว่าจะมีการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมในสมัยประชุมหน้าจริงๆ ไม่เลื่อนลอยเหมือนที่เรารอกันในสมัยประชุมนี้


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #นิรโทษกรรมประชาชน #พรรคประชาชน

“รักชนก” ซัดประกันสังคมอีกรอบหลังเรียกชี้แจง กมธ.ติดตามงบฯ เผยตัวแทนบอร์ดนายจ้าง-อนุไอทียันหัวชนฝายืนยันไม่เปิดเผยให้เอกสารอะไรทั้งนั้น แฉสำนักงานฯ ร่อนหนังสือถึงทุกหน่วยในสังกัดห้ามเปิดเผยข้อมูลทุกอย่าง-ขู่ฟ้องคนในถ้าเปิดเผย

 


“รักชนก” ซัดประกันสังคมอีกรอบหลังเรียกชี้แจง กมธ.ติดตามงบฯ เผยตัวแทนบอร์ดนายจ้าง-อนุไอทียันหัวชนฝายืนยันไม่เปิดเผยให้เอกสารอะไรทั้งนั้น แฉสำนักงานฯ ร่อนหนังสือถึงทุกหน่วยในสังกัดห้ามเปิดเผยข้อมูลทุกอย่าง-ขู่ฟ้องคนในถ้าเปิดเผย


วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2568 ที่อาคารรัฐสภา รักชนก ศรีนอก สส.กรุงเทพ พรรคประชาชน แถลงข่าวถึงกรณีกรรมาธิการติดตามงบประมาณฯ ได้เชิญสำนักงานประกันสังคมรวมถึงบอร์ด 3 ฝ่าย ผู้ประกันตน นายจ้าง และส่วนราชการร่วมประชุมกับกรรมาธิการฯ ถึงกรณีความโปร่งใสในการใช้งบประมาณ


รักชนกระบุว่าในการประชุมเมื่อวานนี้ (27 กุมภาพันธ์ 2568) เป็นการประชุมครั้งแรกที่ไม่ว่าหน่วยงานหรือตัวแทนกรรมาธิการจากพรรคใด ล้วนมีความเห็นตรงกันว่าพฤติกรรมของผู้เข้าชี้แจงจากบอร์ดสำนักงานประกันสังคมเป็นสิ่งที่ไม่อาจยอมรับได้ 


โดยการประชุมเริ่มจากการพูดถึงโครงการเว็บแอปมูลค่า 850 ล้านบาท ซึ่งมีความสำคัญในการทดแทนระบบเก่าที่มีปัญหาการเบิกจ่ายที่ไม่มีประสิทธิภาพ ซึ่งได้มีการถามถึงพิรุธที่เกิดขึ้นในการทำโครงการนี้ ตั้งแต่การที่รับงานมาในช่วงโควิดระบาดแต่ทำไม่เสร็จจนต้องมีการปรับ แต่จากเดิมที่เจ้าของโครงการควรจะจ่าย 193 ล้านบาท กลับมีการอ้างระเบียบของกรมบัญชีกลางว่าในช่วงโควิดสามารถยกเว้นค่าใช้จ่ายนี้ได้และสำนักงานประกันสังคมก็เห็นด้วย ทำให้บริษัทถูกปรับจริงเพียงประมาณ 7-8 วัน ในอัตราวันละ 8 แสนบาทเท่านั้น


รักชนกกล่าวต่อไปว่าแต่สิ่งที่ตัวแทนบอร์ดฝั่งนายจ้างตอบกลับมาคือโครงการนี้มีความสำคัญและไม่ต้องตรวจสอบ เพราะทุกอย่างเปิดเผยโปร่งใสอยู่แล้ว และตัวแทนฝ่ายนายจ้างไม่ยินดีให้ข้อมูลกับกรรมาธิการฯ ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าผิดหวังมาก ตนจึงถามต่อถึงความคืบหน้า แต่ก็ยังไม่ได้รับคำตอบ ประธานจึงให้มีการขอเอกสาร ซึ่งทางผู้อำนวยการอนุกรรมการไอทีก็แสดงอาการชัดเจนว่ามีปัญหาและไม่อยากส่งเอกสารให้กรรมาธิการ โดยอ้างความเป็นห่วงเรื่องข้อกฎหมาย จนกรรมาธิการฯ ต้องให้กรมบัญชีกลางชี้แจงว่าเอกสารต่างๆ ต้องเปิดเผยอยู่แล้ว คำเสนอที่เป็นความลับของกิจการอาจจะเปิดเผยไม่ได้ แต่ก็มีข้อยกเว้นตามกฎหมายว่าสามารถเปิดเผยได้ถ้าเป็นหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับเรื่องเหล่านี้โดยตรง ซึ่งกรรมาธิการติดตามงบประมาณฯ เกี่ยวข้องโดยตรงอยู่แล้ว นอกจากนี้ผู้แทนจากสำนักงานคณะกรรมการข้อมูลส่วนบุคคลก็ได้แจกแจงข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการเปิดเผยข้อมูล ยืนยันว่าข้อมูลเหล่านี้สามารถเปิดเผยได้ ที่ปรึกษาผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎรก็ได้ยก พ.ร.บ.อำนาจเรียก และ พ.ร.บ.ข้อมูลข่าวสารของทางราชการ พร้อมทั้งกรณีในอดีตมาแสดงให้เห็นว่าเอกสารเหล่านี้ต้องให้ได้ตามกฎหมาย


แต่ตัวแทนฝ่ายบอร์ดนายจ้างก็ยังไม่ยอมที่จะให้เอกสาร จนตนต้องถามอย่างตรงไปตรงมาว่าที่ผ่านมาสำนักงานประกันสังคมไม่เคยส่งเอกสารให้กับหน่วยงานอื่นที่บุคคลอื่นที่ขอเอกสารเลยใช่หรือไม่ เพราะถ้าเคยส่งเอกสารมาก่อนย่อมไม่มีคำถามว่าให้ได้หรือไม่ เพราะไม่ว่ากรรมาธิการติดตามงบประมาณฯ จะเรียกหน่วยงานใดเข้ามาสอบถามและขอเข้าถึงข้อมูล แต่ละกระทรวง ทบวง กรม ต่างยินดีให้ข้อมูลหมดไม่ว่าอยู่ในชั้นความลับเช่นใด และโครงการแบบนี้ในกรมโยธาธิการและผังเมือง กรมทางหลวง และกรมทางหลวงชนบท ที่กรรมาธิการฯ เคยขอไปแล้วก็ล้วนแต่ได้รับมาตลอด มีแต่สำนักงานประกันสังคมที่ไม่ยินดีให้เอกสารอะไรเลย โดยที่ทางผู้อำนวยการฝ่ายไอทีพูดอย่างชัดเจนว่าไม่สะดวกใจที่จะให้เอกสาร และทางตัวแทนฝั่งนายจ้างก็ยืนยันชัดเจนว่าไม่สนว่าข้อกฎหมายจะบอกว่าอย่างไร ถ้าตัวเองนั่งอยู่ในฐานะบอร์ดฝั่งนายจ้างไม่ให้ก็คือไม่ให้ จนตนต้องย้ำในที่ประชุมว่าท่านไม่สามารถนำมติของบอร์ดประกันสังคมมาอยู่เหนือ พ.ร.บ.อำนาจเรียกของคณะกรรมาธิการของสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา และ พ.ร.บ.ข้อมูลข่าวสารของทางราชการได้


รักชนกกล่าวต่อไปว่า จนสุดท้ายตัวแทนสำนักงานประกันสังคมรับปากว่าจะไปตรวจสอบเอกสารและจะส่งกลับมา ซึ่งกรรมาธิการฯ ได้ขอไปทั้ง TOR, คำเสนอ, รายละเอียดในการจ่ายงวดเงิน, เอกสารและแผนในการตรวจรับ, ระเบียบในการอ้างไม่ปรับบริษัทผู้รับโครงการ 193 ล้านบาท, หนังสือติดตามที่สำนักงานประกันสังคมเคยส่งไปติดตามโครงการนี้ และหนังสือที่เจ้าของโครงการตอบกลับมา ก็เกิดความกระอักกระอ่วนในที่ประชุมที่ไม่อยากจะให้เอกสาร


จากนั้นที่ประชุมกรรมาธิการฯ จึงได้ตั้งข้อสังเกตส่งไปถึงสำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ว่าโครงการนี้มีพิรุธชัดเจน เดิมตนเคยคิดว่าโครงการดังกล่าวเป็นการใช้งบประมาณที่ไม่คุ้มค่าและล่าช้าเฉยๆ แต่จากการคุยกันไม่รู้เรื่องในที่ประชุมกรรมาธิการฯ ทำให้ตนคิดว่าโครงการดังกล่าวส่อมีพิรุธอย่างชัดเจนว่าต้องมีอะไรผิดปกติอย่างแน่นอน


รักชนกกล่าวต่อไปว่าเรื่องที่เถียงกันอย่างดุเดือดในกรรมาธิการฯ อีกเรื่องหนึ่งคือเรื่องที่ตนเรียกร้องให้มีการเปิดรายงานการประชุมของบอร์ดทุกบอร์ดและทุกอนุกรรมการในสำนักงานประกันสังคมที่แต่งตั้งขึ้นมาและได้รับงบประมาณจากสำนักงานประกันสังคม อย่างน้อย 2 ปีในช่วงที่มีบอร์ดมาจากการเลือกตั้ง แต่บอร์ดฝั่งนายจ้างก็ยังคงยืนยันว่าจะไม่ให้ 


จนที่ประชุมต้องมีการนำเสนอข้อกฎหมายต่างๆ ให้เข้าใจว่าต้องเปิดเผยตามกฎหมาย และถ้าไม่มีอะไรที่ต้องปกปิดก็ไม่มีอะไรที่ต้องกลัว เพราะทุกการประชุมที่ได้รับงบประมาณจากเงินแผ่นดินต้องมีฝ่ายเลขาในการสรุปการประชุมทุกครั้งอยู่แล้ว และตนไม่ได้ขออะไรมากไปกว่าในช่วงที่มีบอร์ดมาจากการเลือกตั้งเท่านั้น และถ้ายังไม่ยินดีที่จะเปิดเผยรายงานเหล่านี้ ตนจะส่งหนังสือถามไปที่ PDPA ว่าเอกสารเหล่านี้สามารถเปิดเผยได้หรือไม่ และถ้าท่านยังไม่ยอมอีกตนจะฟ้องถึงศาลปกครองให้มีการเปิดเผยเอกสารเหล่านี้ เพราะที่ตนขอแค่เอามาขึ้นเว็บไซต์ให้ผู้ประกันตนได้อ่านเท่านั้น


รักชนกกล่าวต่อไปว่าเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมาตนได้ตั้งข้อสังเกตในกรรมาธิการฯ เรื่องการเปิดเผยข้อมูลต่างๆ ของสำนักงานประกันสังคมว่าควรทำให้ข้อมูลต่างๆ เปิดเผยโปร่งใส ผู้ประกันตนหรือนายจ้างที่สมทบเงินเข้ามาควรตรวจสอบได้ว่าเงินของพวกเขาถูกใช้ไปอย่างไร ตนกลับได้รับหนังสือฉบับหนึ่งจากพลเมืองดีที่ส่งมาให้ เป็นหนังสือจากสำนักงานประกันสังคมร่อนถึงผู้อำนวยการแต่ละสำนักงานประกันสังคมทั่วประเทศ ไม่ว่าจะเป็นหน่วยเล็กหรือใหญ่ที่อยู๋ในส่วนของราชการ กำชับเรื่องการเปิดเผยข้อมูลเอกสารทางราชการ โดยเนื้อหาระบุว่ากองกฎหมายขอเรียนว่าการนำข้อมูลหรือเอกสารของราชการซึ่งเป็นข้อมูลเกี่ยวกับการบริหารภายในไปเปิดเผยต่อบุคคลภายนอกโดยมีเจตนาเพื่อก่อให้เกิดผลกระทบต่อสำนักงานถือเป็นการกระทำที่เข้าข่ายผิดกฎหมายและระเบียบแบบแผนของทางราชการ และยังระบุด้วยว่าหากพบว่ามีบุคคลใดในสังกัดสำนักงานประกันสังคมกระทำการในลักษณะดังกล่าว จะขอให้ผู้บังคับบัญชาดำเนินการตามกฎหมายและระเบียบของราชการทันที


ตนขอตั้งคำถามว่าผู้ประกันตนที่ส่งประกันสังคมทุกคนเห็นหนังสือฉบับนี้แล้วรู้สึกอย่างไรบ้าง นี่คือการปิดปากคนภายในหน่วยงานไม่ให้นำส่งเอกสารให้กับกรรมาธิการหรือคนที่เรียกร้องให้เปิดเผยข้อมูลหรือไม่ นี่คือการจงใจปิดบังเก็บงำความลับทุกพิรุธของการใช้งบประมาณภายใต้สำนักงานประกันสังคมใช่หรือไม่ ถ้าท่านไม่ได้ทำอะไรผิด ถ้าท่านโปร่งใสตรวจสอบได้เหมือนที่ท่านยืนยันเสมอมาแล้วท่านกลัวอะไรกับการตรวจสอบ ตนขอตั้งคำถามถึงความจริงใจของสำนักงานประกันสังคมและบอร์ดทุกบอร์ด ว่าท่านมีความจริงใจหรือไม่ในการให้ผู้ประกันตนได้รู้ว่าเงินของเขาถูกนำไปใช้ทำอะไรบ้าง คนเหล่านี้กำลังทำอะไรกับเงินในกองทุนประกันสังคมอยู่ ท่านทำราวกับว่ากองทุนประกันสังคมเป็นบุฟเฟต์หรือไม่ เวียนกันเข้ามากินเสร็จใครมาก็ได้กินใหม่แล้วก็แปะมือเวียนกันออกไป ไม่เคยคิดที่จะทำอะไรจริงจังให้กับผู้ประกันตน ไม่เคยคิดว่าจะหาทางอย่างไรให้กองทุนอยู่อย่างยั่งยืนได้


รักชนกกล่าวต่อไปว่านอกจากนี้ในที่ประชุม เมื่อมีผู้ชี้แจงท่านหนึ่งที่อยู่ในอนุกรรมการด้านไอทีจากสัดส่วนผู้ประกันตน ระบุว่าการทำงานในบอร์ดที่ผ่านมาเป็นไปได้อย่างยากลำบากมาก เสนออะไรก็ถูกฝ่ายราชการผนึกกำลังกับฝ่ายนายจ้างปัดตกทุกข้อเสนอ ขอเอกสารอะไรไปก็ไม่เคยได้รับการตอบสนอง ทำเป็นหนังสือไปก็ไม่เคยได้ ปรากฏว่าวันนี้ผู้ชี้แจงท่านนั้นถูกสำนักงานประกันสังคมเข้าไปตรวจสอบที่สำนักงานของเขา ตนขอตั้งคำถามว่านี่คือเรื่องบังเอิญหรือไม่ ถ้าไม่ใช่เรื่องบังเอิญนี่ย่อมเข้าข่ายการข่มขู่คุกคามแน่นอน


“การดำเนินงานและวิธีคิดของสำนักงานประกันสังคมมีปัญหาอย่างมาก เป็นการจงใจปกปิดทำให้เงินของผู้ประกันตนและนายจ้างอยู่ในความดำมืด ไม่สามารถมีใครเข้าถึงข้อมูลได้ ดิฉันขอตั้งคำถามถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน หรือนายกรัฐมนตรี ท่านปล่อยให้กระทรวงแรงงานที่กำกับดูแลกองทุนประกันสังคมเป็นแบบนี้ได้อย่างไร นี่คือเจตจำนงของกระทรวงแรงงานในการดูแลกองทุนประกันสังคมใช่หรือไม่” รักชนกกล่าว


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #ประกันสังคม #กมธติดตามงบ

นายกฯ เผย คุยผู้นำจีนก่อนส่ง “40 อุยกูร์” ยันสมัครใจกลับ ให้คำมั่นทุกคนปลอดภัย ย้ำ ‘ไม่ชัวร์ ไม่ทำ’ ระบุไม่มีประเทศใดขอรับตัว ยัน ไม่ได้ทำผิดหลักสิทธิมนุษยชน


นายกฯ เผย คุยผู้นำจีนก่อนส่ง “40 อุยกูร์” ยันสมัครใจกลับ ให้คำมั่นทุกคนปลอดภัย ย้ำ ‘ไม่ชัวร์ ไม่ทำ’ ระบุไม่มีประเทศใดขอรับตัว ยัน ไม่ได้ทำผิดหลักสิทธิมนุษยชน


วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2568 น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์กรณีไทยโดนประณามจากสหรัฐอเมริกาและยุโรป ต่อการส่งตัวชาวอุยกูร์ 40 คน ที่ถูกคุมขังในไทยกว่า 11 ปี กลับประเทศจีน ว่า เราได้ตรวจเช็กว่าทำอะไรได้บ้าง ชาวอุยกูร์เข้าประเทศไทยมาผิดกฎหมายและติดคุกที่ไทยมา 11 ปีแล้ว นั่นคือการลงโทษที่นานและ 11 ปีที่ผ่านมาได้เช็คข้อมูลเรียบร้อยว่ายังไม่เคยมีประเทศที่สามขอรับตัวชาวอุยกูร์เหล่านี้กลับประเทศ ซึ่งประเทศจีนได้ติดต่อมาและมีหลักฐานชัดเจนว่าเป็นคนจีน


นายกฯ แพทองธาร กล่าวต่อว่า และเมื่อยืนยันได้ว่าเป็นคนของประเทศใดก็ต้องส่งกลับประเทศนั้น ไม่ได้ทำผิดกฎสหประชาชาติหรือหลักสิทธิมนุษยชนแต่อย่างใด และเราทราบดีเรื่องสิทธิมนุษยชน การที่เขามาอยู่ 11 ปี ก็เป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน เพราะถูกกักขัง เมื่อได้คุยกับทางการจีนแล้วมีการยืนยันอย่างเป็นทางการว่า หากไทยส่งตัวอุยกูร์กลับไป เขาจะไม่ต้องถูกดำเนินคดี สอบสวนอะไร และสามารถกลับไปอยู่กับครอบครัวของตนเองได้ ยอมรับว่ามีการคุยกันมาสักพัก เมื่อมีการจัดการที่ดีของทั้งสองประเทศ ก็จะสามารถทำให้ชีวิตของเขาเหล่านั้นปลอดภัยได้


นายกฯ กล่าวว่า สิ่งที่เคยเกิดขึ้นในอดีตอาจมีการจัดการที่ผิดพลาด แต่ครั้งนี้เราคุยกันในระหว่างที่ตนเองเดินทางเยือนสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนจีน ได้พูดคุยกับผู้นำหลายระดับ และได้คุยกับรัฐมนตรีความมั่นคงของจีนด้วยตนเอง เขาก็ยืนยัน และตนเองคิดว่าเป็นเรื่องที่เขาได้ให้คำมั่นสัญญา ว่าทุกคนที่ได้กลับไปจะปลอดภัย ไม่เช่นนั้นเราไม่ทำการส่งไปแน่นอนหากไม่ได้รับการยืนยันแบบนี้ เป็นการยืนยันที่เราประสานกันและทำทุกอย่างให้ราบรื่นที่สุด


นายกฯ กล่าวอีกว่า หลายคนน่าจะได้เห็นรูปแล้วว่าเขากลับไปสู่อ้อมกอดครอบครัว เป็นเรื่องที่น่ายินดี โดยจากนี้ทางการจีนได้อนุญาตให้ประเทศไทยสามารถบินไปเยี่ยม หรือสอบถามว่าชาวอุยกูร์ที่กลับไปแล้วมีความเป็นอยู่ มีชีวิตที่ดีหรือไม่ เขาไม่ได้ปิดกั้นเรา ซึ่งพอกระบวนการเป็นเช่นนี้ เราไม่มีทางส่งไปโดยที่เราไม่รู้ว่าเขาเป็นตายร้ายดีอย่างไร เราไม่ทำแน่ เราเน้นเรื่องสิทธิมนุษยชนอยู่แล้ว พอเรามีความมั่นใจ เราถึงดำเนินการ


ส่วนเสียงวิจารณ์ว่าการส่งตัวอุยกูร์ครั้งนี้เป็นการแลกเปลี่ยนทางการค้ากับจีน นายกฯ แพทองธาร ยืนยันหนักแน่นว่า ไม่มี! ไม่มีการแลกเปลี่ยนทางการค้าใดใด กับการส่งอุยกูร์ ไม่มีเรื่องนี้ ไม่เกี่ยวการที่เราจะคุยเรื่องการค้า แต่นี้เป็นเรื่องของคนซึ่งไม่เกี่ยวอะไรกับสินค้า คนไม่ใช่สินค้า ไม่แลกกันแน่นอน

 

ผู้สื่อข่าวถามว่าจะมีการชี้แจงกับสหรัฐอเมริกาหลังรัฐมนตรีต่างประเทศออกแถลงการณ์ประณามไทยหรือไม่ นายกฯ แพทองธาร กล่าวว่า ต้องมีการอัพเดทข้อมูลและหลายประเทศก็ติดตามข้อมูล แต่ข้อมูลล่าสุดที่เราประสานอย่างจริงจังเป็นกิจจะลักษณะเราไม่ได้พูดกันเล่น ๆ และตนเอง ไม่ได้พูดออกสู่สาธารณะตั้งแต่แรก เพราะเป็นเรื่องความมั่นคง เป็นเรื่องของรัฐบาล แต่ตนเองได้พูดคุย และไปยืนยันรับรองความปลอดภัยเป็นเรื่องที่รัฐบาลรับทราบและต้องการให้ปลอดภัยที่สุด ไม่อยากให้เกิดอุบัติเหตุข้อขัดข้องแม้กระทั่งการเดินทาง หรือทำอะไรที่ไม่เคารพสิทธิของเขา ทำรุนแรง จี้ ไม่มี ไปด้วยความสงบเรียบร้อย อย่างที่เห็นตั้งแต่ลงเครื่องเ ขากลับสู่ครอบครัวจริง ๆ หากลองคิดดูว่าเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นกับประเทศเรา ภาพออกไปทั่วโลก เราจะพลิกคำสัญญากับประเทศเพื่อนบ้านหรือ มันก็จะผิด ทั่วโลกก็จะมองเห็น เพราะฉะนั้นถึงได้มีความมั่นใจ เมื่อกลับไปแล้ว ทางจีนจะดูแลคนกลุ่มนี้อย่างดี


ส่วนคำถามที่ว่า เมื่อวานที่นายกฯ ยังไม่ได้ยืนยันว่ามีการส่งตัวชาวอุยกูร์ ต้องการที่จะได้รับการยืนยันก่อนว่าจะถูกส่งกลับอย่างปลอดภัย ใช่หรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า ที่จริงแล้วเป็นเรื่องทางการทูต ว่าใครจะเป็นคนแถลง ทางจีนจะพูดก่อนหรือไม่ แต่การรับรู้รับทราบ ตนเองทราบอยู่แล้ว แต่ต้องดูว่าเหมาะสมหรือไม่ที่ต้องพุดตอนนั้น หากอยู่ในวงสัมภาษณ์เรื่องอภิปรายไม่ไว้วางใจ ถ้าตนเองพูดออกไปสองสามคำและข้อความถูกเปลี่ยนไปเป็นอย่างอื่น มันเป็นเรื่องความมั่นคง เรื่องของประเทศ ไม่สามารถพูดคำสองคำแล้วเดินไปได้ มันต้องอธิบาย วันนี้จึงได้ออกมาให้สัมภาษณ์แบบนี้ ส่วนรายละเอียดขั้นตอนการดำเนินการทั้งหมด นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระรวงกลาโหม ได้ชี้แจงไปแล้ว


ผู้สื่อข่าวถามต่อว่า หากมีสื่อไทยอยากไปติดตามความเป็นอยู่ของชาวอุยกูร์ที่ถูกส่งกลับ นายกฯ กล่าวว่า ตนเองไม่แน่ใจ เพราะที่คุยกันคือรัฐมนตรีสามารถไปได้ เรื่องสื่อตนเองไม่ทราบ เพราะมีเรื่องความมั่นคง


นายกฯ เปิดเผยว่า ตอนที่หารือกัน ทางการจีนพูดว่าจะให้ทุกคนกลับคืนสู่สังคมตามปกติ และกลับสู่ครอบครัว ซึ่งคนกลุ่มนี้ไม่ได้เป็นอาชญากร แต่เข้าเมืองผิดกฎหมายและถูกคุมขังมาแล้ว 11 ปี นานมากแล้ว ซึ่งภาพที่ปรากฎก็ไม่เห็นมีการใส่กุญแจมืออย่างใด


กรณีที่มีการอ้างว่า “ตุรกี” ขอรับตัวไป แต่สุดท้ายเกิดเหตุขัดข้อง นายกรัฐมนตรี ย้ำว่า ไม่มีประเทศที่ 3 เสนอขอรับตัวอุยกูร์เลย ประเทศทึ่ออกมาประณามก็ไม่มีใครเสนอมาเลย เพราะฉะนั้นทางการจีนยืนยันว่าเป็นคนจีน ไทยก็ต้องส่งกลับ นั่นคือหลักปฏิบัติตามปกติ


เมื่อถามว่าชาวอุยกูร์ เดินทางกลับจีนด้วยความสมัครใจ และมีเอกสารยืนยัน ใช่หรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ตนไม่แน่ใจว่าเอกสารมีอะไรบ้าง แต่เรื่องกระบวนการตนเน้นย้ำเรื่องความปลอดภัยในทุกขั้นตอน ส่วนเรื่องเอกสารให้กระทรวงการต่างประเทศและกระทรวงกลาโหมชี้แจง ยืนยันชาวอุยกูร์ทุกคนสมัครใจ ไม่เช่นนั้นจะต้องลากกัน แต่นี่เขาเดินขึ้นเครื่องตามปกติ


ส่วนกังวลจะกระทบความสัมพันธ์กลุ่มประเทศมุสลิม หรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวส่า ต้องอาศัยเวลาอธิบายและต้องดูด้วยว่าเมื่อเขากลับไปปลอดภัยจริงหรือไม่ ตนคิดว่า การที่เขาปลอดภัย ก็น่าจะเป็นเครื่องหมายในการอธิบายได้แล้วว่าเราได้ส่งเขากลับ ถ้าไม่ชัวร์เราไม่ทำอยู่แล้ว ถ้าส่งกลับไป แล้วเกิดอะไรขึ้น ตนคงรับไม่ได้ ย้ำว่าต้องชัวร์ ชัวร์แล้ว ไม่เช่นนั้นไม่ส่งกลับไปเช่นกัน


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #นายกฯแพทองธาร #40อุยกูร์ #อุยกูร์ #ส่งอุยกูร์กลับจีน #จีน

“อังคณา” กังขา รัฐบาลปกปิด ส่ง “ชาวอุยกูร์” กลับ ไม่เชื่อได้รับการดูแลอย่างดี ถาม “นายกฯ” ดีลอะไรไว้กับจีน ชี้มีเงื่อนงำ ปิดเทปดำที่กระจก – จนท.ตม.ที่ดูแลผู้ลี้ภัยถูกให้ออกจากสำนักงานวันส่งตัว

 


อังคณา” กังขา รัฐบาลปกปิด ส่ง “ชาวอุยกูร์” กลับ ไม่เชื่อได้รับการดูแลอย่างดี ถาม “นายกฯ” ดีลอะไรไว้กับจีน ชี้มีเงื่อนงำ ปิดเทปดำที่กระจก – จนท.ตม.ที่ดูแลผู้ลี้ภัยถูกให้ออกจากสำนักงานวันส่งตัว


วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2568 เวลา 10.30 น. ที่รัฐสภา นางอังคณา นีละไพจิตร สมาชิกวุฒิสภา (สว.) ในฐานะประธานกรรมาธิการ (กมธ.) พัฒนาการเมือง การมีส่วนร่วมประชาชน สิทธิมนุษยชน สิทธิเสรีภาพ และการคุ้มครองผู้บริโภควุฒิสภา แถลงว่า กมธ.ได้ออกแถลงการณ์แสดงถึงความกังวลและห่วงใยต่อกรณีที่รัฐบาลไทยส่งชาวอุยกูร์ทั้ง40 คนกลับไปประเทศต้นทาง ซึ่งที่ผ่านมากมธ.ได้รับหนังสือร้องเรียนจากผู้กักขังได้เขียนจากเศษกระดาษส่งมาให้กมธ.เพื่อส่งต่อกงสุลใหญ่ผู้ภัยสหประชาชาติ (UN) โดยระบุชัดเจนว่าไม่ประสงค์จะกลับประเทศจีน โดยกมธ.ได้ทำหนังสือไปยังสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (กต.) ถึง 3 ครั้ง แต่ได้รับการปฏิเสธมาตลอด


ทั้งนี้ เมื่อกมธ.ประสงค์จะเข้าไปเยี่ยมผู้ลี้ภัย แต่ก็ได้หนังสือตอบกลับมาว่าขอเชิญให้ไปพบที่สำนักงานตม. ดังนั้น กมธ.จึงได้เชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาชี้แจงประกอบด้วย สำนักงานตม. สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) กระทรวงต่างประเทศ กระทรวงยุติธรรม โดยทุกหน่วยงานต่างให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี และยังยืนยันว่าจะไม่มีการส่งชาวกุยอูร์กลับประเทศต้นทางอย่างเด็ดขาด


ดิฉันได้มีโอกาสโทรศัพท์หาเลขาธิการสมช.ด้วย ก็ได้รับการยืนยันเช่นกันว่าไม่มีคำสั่งให้ส่งกลับ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้เรารู้สึกว่าสิ่งที่รัฐบาลออกมาแถลงเมื่อวานนี้ (27 ก.พ.) เป็นการปกปิดข้อเท็จจริง และที่บอกว่าพวกเขาอยากกลับประเทศ ดิฉันว่าไม่มีใครเชื่อ รวมถึงกมธ.ด้วย เพราะข้อมูลที่เราได้มาตลอดไม่ได้เป็นเช่นนั้น ” นางอังคณา กล่าว


นางอังคณา กล่าวอีกว่า เมื่อครั้งที่ตนเป็นคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.)ได้ไปเยี่ยมค่ายผู้ลี้ภัยหลายครั้ง ทุกคนแจ้งความจำนงอย่างเดียวคือ ต้องการไปตั้งรกรากถิ่นฐานในประเทศที่สาม โดยเราได้แจ้งทางการไปหลายครั้งว่ามีประเทศที่ 3 ที่แจ้งความประสงค์รับกลุ่มคนเหล่านี้ไปตั้งถิ่นฐานใหม่ แต่ที่รัฐบาลอ้างว่าไม่มีประเทศไหนยอมรับนั้นจึงไม่เป็นความจริง


เราจึงห่วงใยอย่างมากว่าสิ่งนี้จะกระทบต่อความเชื่อมั่นในเวทีโลก และทำให้เห็นว่าประเทศไทยไม่เป็นสถานที่ปลอดภัยสำหรับคนที่ต้องการลี้ภัย ดิฉันจึงหวังว่ารัฐบาลจะชี้แจงข้อเท็จจริงและนำความจริงมาเปิดเผย เพราะภาพที่เห็นเมื่อวาน (27 ก.พ.) การที่มีคนเข้ามากอดหากดูจากสีหน้าของพวกเขา คิดว่าไม่ได้สมัครใจที่จะไปเลย เพราะญาติพี่น้องของเขาอยู่ประเทศตุรกีอยู่แล้ว และเราก็รู้ดีว่าประเทศจีนมีสถานทีที่เรียกว่า “ค่ายฝึกอบรม” หากใครเข้าไปแล้วจะไม่ได้รับการเยี่ยมเยียน และไม่ได้รับอนุญาตให้ออกมาข้างนอก และทางยูเอ็นก็ห่วงใยและมีแถลงการณ์ในเรื่องดังกล่าวออกมาหลายฉบับด้วย ดังนั้นการที่รัฐบาลทำเช่นนี้ถือเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรง” นางอังคณากล่าว


เมื่อถามว่าปรากฏภาพนายฉัตรชัย บางชวด เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ไปส่งถึงประเทศจีนด้วย ซึ่งขัดแย้งกับสิ่งที่ชี้แจงไว้กับกมธ.ว่าไม่มีแผนส่งกลับใช่หรือไม่ นางอังคณา กล่าวว่า บอกตรงๆว่า สิ่งที่ท่านให้ข้อมูลกับกมธ.เป็นข้อมูลเท็จทั้งหมด และสิ่งที่เราได้รับมาต่างจากที่หน่วยงานรัฐให้ข้อมูล ตนได้โทรศัพท์ไปประสานหลายหน่วยงาน ทั้งระดับรัฐมนตรีจำนวนมาก แต่ไม่มีใครรับสาย ตนทราบว่าเลขาสมช. ไปรอรับที่ประเทศจีนแล้ว และคืนปฏิบัติการเจ้าหน้าที่สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองที่ดำเนินการด้านผู้ลี้ภัย ก็ถูกสั่งให้ออกไปนอกอาคาร จนถึงตอนนี้ยังไม่รู้ว่าหน่วยงานใดมารับชายอุยกูร์ออกไป ที่สำคัญคือรถถูกปิดด้วยเทปสีดำทั้งหมด ทั้งที่ปกติเวลาที่คนพวกนี้ถูกส่งตัวออกไปเขาจะพยายามโผล่หน้าออกมาและร้องขอความช่วยเหลือ แต่การปิดเทปดำ แสดงให้เห็นว่ารัฐบาลพยายามปกปิด


ไม่มีใครรับได้ ไม่ทราบว่ารัฐบาลไทยไปรับปากอะไรกับรัฐบาลจีนไว้ แต่รัฐบาลจะต้องไม่เอาสิทธิในเนื้อตัวร่างกายหรือชีวิตของคนบริสุทธิ์มาแลกเปลี่ยน” นางอังคณา กล่าว


เมื่อถามว่า การที่นายกรัฐมนตรีไปพบประธานาธิบดีประเทศจีน มองว่ามีดีลแลกผลประโยชน์บางอย่างหรือไม่ นางอังคณา กล่าวว่า ที่ผ่านมารัฐบาลจีนพยายามมาโดยตลอดที่จะนำผู้ลี้ภัยกลุ่มนี้กลับประเทศ ตนเชื่อว่าการที่นายกฯ ไปพบสี จิ้น ผิง น่าจะเป็นการส่งสัญญาณบางอย่าง ส่วนตัวเชื่อว่าน่าจะมีการเจรจาแลกเปลี่ยน ขอให้ส่งชาวอุยกูร์กลับเพราะเกิดขึ้นหลังจากที่นายกฯกลับมาไม่นาน


ใน 40 คนที่ถูกส่งกลับ เท่าที่ทราบ 1 ในนั้นมีผู้ป่วยติดเตียง ดิฉันหวังว่าเขาจะได้รับการดูแลตามหลักมนุษยธรรมและจะไม่ถูกส่งกลับไปด้วย” นางอังคณา กล่าว


นางอังคณา ยังกล่าวว่า กมธ.เคยเรียนให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทราบว่า หากอยากทราบว่าประเทศไหนต้องการรับชาวอุยกูร์บ้าง ทางกมธ.ยินดีบอก ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องระหว่างประเทศไม่สามารถเปิดเผยได้ มองว่าหากรัฐบาลไทยมีเจตนาดี กมธ.ยินดีเป็นตัวประสานประเทศที่ 3 ให้พวกเขาไปตั้งรกราก


เมื่อถามว่า กังวลเรื่องเทียร์อันดับการค้ามนุษย์ของไทยจะลดลงหรือไม่เพราะหน่วยงานที่จัดอันดับคือสหรัฐอเมริกานางอังคณา กล่าวว่า เรื่องนี้มีแถลงการณ์จากหลายหน่วยงาน ทั้งองค์การสหประชาชาติ ข้าหลวงแห่งสิทธิมนุษยชนข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัย (UNHCR) รวมถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งใช้คำค่อนข้างรุนแรงร้ายแรงที่สุด การที่คนกลุ่มนี้อยู่มา 11 ปี เป็นเหตุผลที่ไทยควรผ่อนปรนให้เขาออกมาอยู่ข้างนอกหรือไปประเทศที่ 3 เรากังวลว่าเขาอาจจะไปเจออันตรายเมื่อเขากลับไป


ภาพที่ออกมา เรียนตรง ๆ ดิฉันไม่เชื่อ ว่าเขาจะได้รับการดูแลอย่างดี สามารถใช้ชีวิตได้อย่างอิสระ มีศักดิ์ศรีเหมือนคนทั่วไป” นางอังคณา กล่าว


เมื่อถามว่ากังวลว่าจะเกิดเหตุการณ์ซ้ำรอยเหมือนระเบิดพระพรหมเอราวัณหรือไม่ นางอังคณา กล่าวว่า คนอุยกูร์เดินทางออกนอกประเทศ เขาอยู่ในแทบทุกประเทศทั่วโลก ซึ่งเป็นสิ่งที่น่ากังวลว่าอาจจะมีการประท้วงรัฐบาลไทยในหลายประเทศตามมา ส่วนกมธ.จะติดตามเรื่องนี้อย่างไรนั้น ตนทราบว่ารัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมบอกว่าจะนำสื่อไปดู ในฐานะกมธ.เรายินดีที่จะไปตรวจสอบด้วย แต่ต้องมั่นใจว่าจะได้พบตัวจริง ตอนที่ตนเป็นกรรมการสิทธิมนุษยชน ตนไปหลายครั้ง จำหน้าได้แทบทั้งหมด รวมถึงจะต้องสามารถไปคุยกับเขาได้โดยที่ไม่มีการดักฟังหรือสอดแนมรัฐบาลจีนควรอนุญาตให้ผู้เชี่ยวชาญด้านการคุมตัวโดยพลการ ของสหประชาชาติเข้าไปตรวจสอบด้วย ขณะเดียวกันรัฐบาลไทยต้องใจกว้างให้คณะทำงานเรื่องบังคับสูญหาย เข้าไปตรวจสอบสถานการณ์ของคนที่อยู่ในประเทศไทย


ทั้งนี้ นางอังคณา ได้เปิดเผยจดหมายที่ชาวอุยกูร์ฝากออกมาจากห้องกักกัน เพื่อให้นำส่ง UNHCR โดยมีใจความว่า “พวกเราเป็น 48 ชาวอุยกูร์ ที่ถูกกักที่สวนพลู ตั้งแต่ปี 2013 และพวกเราไม่ต้องการที่จะกลับไปประเทศจีน ถ้าเรากลับไปจะถูกจำคุกหรือถูกฆ่า ดังนั้น พวกเราจึงต้องการความช่วยเหลือจาก UNHCR”

 

#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #รัฐบาลแพทองธาร #UNHCR #อุยกูร์

จม.จากแดน 4 ฉบับวันที่ 26 ก.พ. 68 'อานนท์' เขียน “ความเชื่อบางความเชื่อเกือบทำให้สมดุลธรรมชาติสิ้นสุดลง วิถีการดำรงชีพอาจปรับสมดุลธรรมชาติแต่เมื่อความเชื่อบวกกับวิถีที่ผิดเพี้ยนไปก็อาจก่อหายนะได้”

 


จม.จากแดน 4 ฉบับวันที่ 26 ก.พ. 68 'อานนท์' เขียน “ความเชื่อบางความเชื่อเกือบทำให้สมดุลธรรมชาติสิ้นสุดลง วิถีการดำรงชีพอาจปรับสมดุลธรรมชาติแต่เมื่อความเชื่อบวกกับวิถีที่ผิดเพี้ยนไปก็อาจก่อหายนะได้”


วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2568 เพจ “อานนท์ นำภา” โพสต์จดหมายจากเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ และข้อความในจดหมายระบุว่า จดหมายฉบับลงวันที่ 26 ก.พ. 2568


เขียนจดหมายถึงพี่ภัคเสร็จ เอนกายลงนอนฟังเสียงน้ำที่หยดในบ่ออาบน้ำช่างฟังคล้ายเสียงฝน ดูแมงเม่าตัวสองตัวบินเล่นไฟหลอดนีออนแล้วให้คิดถึงบางช่วงเวลาในวัย


ในคืนที่ฝนตกยิ่งตกหนักยิ่งดีจะมีแมงเม่าจำนวนมากออกมาบินเล่นแสงไฟ เด็กสมัยนี้คงนึกภาพแมงเม่าเป็นฝูงฝูงมืดฟ้ามัวดินบินกันว่าเล่นแสงไฟไม่ออกแล้วเพราะหลังจากช่วงวัยเด็กของพ่อใกล้จะหมดไป มีข่าวลือทางภาคอีสานถึงสูตรยาดองสมุนไพรที่ต้องใช้นางพญาปลวกเป็นส่วนประกอบ เกิดปรากฏการณ์ออกล่านางพญาปลวกที่ภาคอีสาน จอมปลวกจอมแล้วจอมเล่าถูกขุดเพราะหาก้อนดินขนาดเท่าสองฝ่ามือประกบกัน ในนั้นจะมีพญาปลวกลักษณะเป็นตัวหนอนสีขาวขนาดประมาณนิ้วหัวแม่มือ ส่วนหัวจะเป็นปลวก (แมงเม่า) ภาพจำในวัยเด็กของพ่อเรื่องแมงเม่าจึงค่อยค่อยเลือนหายไปกระทั่งในวันที่ได้เห็นแมงเม่าอีกครั้ง


หลายคนคงไม่ทราบว่าแมงเม่ากินได้ รสชาติออกมัน ๆ คั่วใส่เกลือหรือซอสอร่อยดี สมัยเด็กหลังฝนตก แมงเม่าจะออกมาเล่นไฟ พวกเราจะเอาถาดขนาดใหญ่ใส่น้ำไปรองไว้ใต้หลอดไฟ พ่อแมงเม่าบินตกลงไปปีกมันจะเปียกจนต้องทิ้งปีก เราจะได้ตัวแมงเม่ามาทำกิน (กินเยอะจะเมา) จากความเชื่อเรื่องยาดองนางพญาปลวกทำให้แมงเม่าเกือบจะหมดไป ความเชื่อบางความเชื่อเกือบทำให้สมดุลธรรมชาติสิ้นสุดลง วิถีการดำรงชีพอาจปรับสมดุลธรรมชาติแต่เมื่อความเชื่อบวกกับวิถีที่ผิดเพี้ยนไปก็อาจก่อหายนะได้ เหมือนเช่นแมงเม่าได้ประสบพบเจอ


แด่แมงเม่าในความทรงจำ

รักและคิดถึงลูกทั้งสองคน

อานนท์ นำภา

26 ก.พ. 68


สำหรับ อานนท์ นำภา ขณะนี้ถูกคุมขังอยู่ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพ ภายหลังศาลอาญาพิพากษาจำคุก 4 ปี ปรับเป็นเงิน 20,000 บาท โดยไม่รอลงอาญา ในคดี #มาตรา112 เมื่อวันที่ 26 กันยายน 2566 เหตุจากการขึ้นปราศรัยใน #ม็อบ14ตุลา63


จากนั้น 17 ม.ค. 67 ศาลอาญาสั่งจำคุก "อานนท์ นำภา" เพิ่มอีก 4 ปี จากคดีมาตรา 112 กรณีโพสต์เฟซบุ๊กปี 2564 โดยให้บวกโทษเก่าอีก 4 ทำให้อานนท์มีโทษจำคุกรวมแล้ว 8 ปี


ต่อมา เมื่อวันที่ 29 เม.ย. 2567 เวลา 09.00 น. ศาลอาญากรุงเทพใต้ นัดฟังคำพิพากษาคดีของ อานนท์ นำภา หลังถูกฟ้องใน 4 ข้อกล่าวหา ได้แก่ หมิ่นประมาทกษัตริย์ฯ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112, ฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ, พ.ร.บ.โรคติดต่อฯ และ ใช้เครื่องขยายเสียงโดยไม่ได้รับอนุญาต เหตุมาจากการปราศรัยถึงข้อเรียกร้องปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ ในกิจกรรม ‘เสกคาถาผู้พิทักษ์ปกป้องประชาชน’ หรือ #ม็อบแฮร์รี่พอตเตอร์2 ที่ลานหอศิลปวัฒนธรรมกรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 3 ส.ค. 2564


โดยศาลพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดทุกข้อหาตามฟ้อง พิพากษาจำคุกรวม 3 ปี 1 เดือน ปรับ 150 บาท ก่อนลดเพราะให้การเป็นประโยชน์ เหลือจำคุก 2 ปี 20 วัน และปรับ 100 บาท


ทำให้รวม 4 คดี อานนท์ถูกลงโทษจำคุกรวมทั้งสิ้น 10 ปี 20 วัน เมื่อรวมกับสองคดีในข้อหามาตรา 112 ที่ศาลอาญามีคำพิพากษาลงโทษจำคุกคดีละ 4 ปี ไปเมื่อวันที่ 26 ก.ย. 2566 และ 17 ม.ค. 2567


โดยเมื่อวันที่ 3 ธันวาคม 2567 นี้ อานนท์ นำภา มีนัดฟังคำสั่งที่ศาลอาญา รัชดา คดีเขียนจดหมายถึงกษัตริย์ โดยศาลอาญาพิพากษาจำเลยผิดตาม #มาตรา112 และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ มาตรา 14(3) ลงโทษจำคุก 3 ปี มีเหตุลดโทษตามมาตรา 78 ลดโทษ 1/3 คงจำคุก 2 ปี นับโทษต่อจากคดีอื่น ทำให้รวมโทษจำคุกอานนท์เป็น 16 ปี 2 เดือน 20 วัน ใน 5 คดี


และวันที่ 19 ธันวาคม 2567 ที่ศาลอาญา รัชดา มีนัดฟังคำสั่ง ม.112 นับเป็นคดีที่ 6 #แฮรี่พอร์ตเตอร์1 โดยมีคำพิพากษา“ จำคุก 4 ปี ก่อนลดเหลือ 2 ปี 8 เดือน ตามความผิดในข้อหา ม.112 ม.116 แต่ยกฟ้องในข้อหา พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ, พ.ร.บ.เครื่องขยายเสียง และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ ทำให้โทษจำคุกรวมล่าสุด 18 ปี 10 เดือน 20 วัน


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #อานนท์นำภา #มาตรา112

ภูมิธรรม ยืนยันการส่งตัวชาวอุยกูร์เป็นไปตามขั้นตอนหลักสากลและพ.ร.บ.อุ้มหายฯ

 


ภูมิธรรม ยืนยันการส่งตัวชาวอุยกูร์เป็นไปตามขั้นตอนหลักสากลและพ.ร.บ.อุ้มหายฯ 


วันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2568 ที่กระทรวงยุติธรรม นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ พันตำรวจเอกทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม นายสรพงค์ ศรียานงค์รองเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และพลตำรวจตรีธนิต ไทยวัชรามาศ รองผู้บัญชาการสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ร่วมกันแถลงกรณีการส่งตัวชาวอุยกูร์


นายภูมิธรรม เปิดเผยว่า การแถลงข่าววันนี้เนื่องจากต้องการชี้แจงว่า การส่งกลับตัวชาวอุยกูร์ ทุกกระบวนการ รัฐบาลได้มีการวางแนวทางในการดำเนินการ และเป็นไปตามพ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทำร้ายและการกระทำที่ทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. 2565 เพื่อให้ชาวอุยกูร์กลับสู่มาตุภูมิและพบกับครอบครัว ยืนยันว่าไทยไม่อยากกักตัว และรัฐบาลจีนมีการร้องขอมา โดยยื่นหนังสือทางการทูตอย่างเป็นทางการ ซึ่งบุคคลเหล่านี้ไม่ได้กระทำความผิดร้ายแรง โดยหากนำตัวกลับไปแล้วจะดูแลอย่างดีและจัดหาอาชีพให้ ซึ่งทางการไทยได้เดินทางไปติดตามตรวจสอบสภาพความเป็นอยู่อย่างต่อเนื่อง โดยในช่วง 7 วันแรกทางพ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมจะเดินทางไปตรวจสอบด้วยตัวเอง


“กระบวนการครั้งนี้ต้องตรวจสอบอย่างรอบคอบ ว่าจะไม่ก่อให้เกิดปัญหาใดๆ สื่งที่ทุกคนเป็นห่วง รัฐบาลก็เป็นห่วงว่าส่งไปแล้วจะมีปัญหาหรือไม่หรือส่งเขาไปตายหรือไม่ เป็นต้น เท่าที่ทำกระบวนการมาทำจนสร้างความมั่นใจได้ว่าสิ่งที่ดำเนินการอยู่นี้ถูกต้องตามระเบียบ กฎหมาย ในประเทศ และกฎหมายระหว่างประเทศ และถูกต้องตามพ.ร.บ.อุ้มซ้อมทรมาน มั่นใจว่าชาวอุยกูร์ที่ส่งกลับไปจะไม่พบกับปัญหาหรือสิ่งที่ทุกคนกังวล” นายภูมิธรรม ระบุ


ส่วนประเด็นที่จีนได้ทำหนังสือมาขอตัวชาวอุยกูร์ ในช่วงเวลานี้ นายภูมิธรรม กล่าวว่า เนื่องจากประเทศจีนทำหนังสือมาโดยให้เหตุผลว่าต้องการตัวพลเมืองของประเทศตัวเองกลับ ซึ่งก่อนหน้านี้ทางการไทยเคยส่งตัว กลุ่มผู้ต้องกักชาวอุยกูร์ ซึ่งเป็นหญิงเด็กและคนชราจำนวน 109 คน ให้ประเทศตุรกีเมื่อ 10 ปีที่ผ่านมา และในทุกปีประเทศไทยพยายามติดต่อหาประเทศที่ สามให้ แต่ตลอดระยะเวลา 10 ปีที่ผ่านมาไม่มีประเทศที่สามรับตัวกลุ่มชาวอุยกูร์ที่เหลือกลุ่มนี้ไป ทางการไทยจึงเห็นว่าเป็นการดีในการที่จะส่งตัวผู้ต้องกักเหล่านี้ แต่ต้องเป็นไปตามการต่อรองในการดูแลสวัสดิภาพของกลุ่มคนเหล่านี้ ยืนยันผู้ต้องหาทั้งหมดมีความประสงค์ที่จะเดินทางกลับโดยความสมัครใจ ส่วนจะมีเหตุผลอะไรนั้นไม่สามารถตอบแทนได้ ส่วนการที่ต้องส่งตัวผู้ต้องกักทั้งหมดในช่วงเวลากลางคืน รวมถึงไม่เปิดเผยรายละเอียดนั้น เพราะไม่ต้องการให้เกิดความวุ่นวาย ในกระบวนการส่งตัว 


ด้านพลตำรวจตรีธนิต กล่าวว่า สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองได้รับหนังสือจากสมช. ให้ส่งชาวอุยกูร์กลับจีน และ ทางสตม. ได้มีการทำความเข้าใจกับผู้ต้องกักชาวอุยกูร์ ภายใต้ข้อตกลงที่ว่าหากเดินทางกลับไปแล้วทุกคนจะได้รับความปลอดภัย แม้ช่วงแรกจะมีกลุ่มคนบางส่วนไม่ยินยอมแต่ภายหลังที่ มีการชี้แจงทำความเข้าใจทุกคนจึงยินยอม โดยการขนย้ายไม่มีการใช้กำลังได้มีการเจรจาพูดคุยจนเป็นที่เข้าใจกับผู้ต้องกักชาวอุยกูร์ทั้งหมดยินยอมกลับประเทศ


ด้านพันตำรวจเอกทวี กล่าวว่า ขณะนี้ยังคงมีผู้ต้องขัง ชาวอุยกูร์ถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำประเทศไทยอีก 5 คน เนื่องจาก มีพฤติกรรมหลบหนีออกจากห้องขังซึ่งทางศาลได้มีคำพิพากษาให้จำคุก 7 ปีและจะมีกำหนดพ้นโทษในปีพ.ศ. 2572 โดยหากพ้นโทษออกมาก็จะมีกระบวนการส่งตัวกลับเช่นเดียวกัน 


ด้านนายฉัตรชัย บางขวด เลขาฯ สมช. เปิดเผยผ่านวิดีโอคอลจากประเทศจีนว่า ตัวเองอยู่ที่เมืองคาซี มณฑลซินเจียงอประเทศจีน โดยการดำเนินการตัวเองได้ไปรอรับที่ประตูเครื่องบิน เมื่อเครื่องบินมาถึงได้ส่งคนป่วยคนแรกซึ่งผู้ป่วยได้รับการดูแลอย่างดีจากแพทย์ ส่วนที่สองได้ไปเยี่ยมชาวอุยกูร์ที่กลับไปเมื่อ 10 ปีที่แล้ว ส่วนชาวอุยกูร์ที่กลับมาวันนี้ได้พาไปที่โรงเรียนฝึกสอนอาชีพโดยมีญาติและครอบครัวมารอรับ จากนั้นตัวเองได้ไปที่โรงพยาบาล โดยนำชาวอุยกูร์ที่มีปัญหาสุขภาพมาตรวจอย่างละเอียด หากผ่านการคัดกรองก็จะส่งกลับบ้าน ส่วนพรุ่งนี้จะเดินทางไปเยี่ยมบ้านชาวอุยกูร์ ซึ่งห่างจากเมืองกว่า 100 กิโลเมตรว่าอยู่อาศัยอย่างไร ทั้งนี้ยืนยันว่าการส่งกลับในครั้งนี้แตกต่างจากแก๊งคอลเซ็นเตอร์ โดยได้เดินลงมาจสกเครื่องบินปกติไม่มีเครื่องพันธนาการใดๆ 


ด้านพลตำรวจเอกไกรบุญ ทรวดทรง รองผบ.ตร. กล่าวว่า ได้นำหนังสือสำคัญแปลเป็นภาษาอุยกูร์ ทำให้ชาวอุยกูร์ยินยอมเดินทางกลับด้วยความเต็มใจ ทั้งนี้จากการไปที่โรงพยาบาลไม่พบบาดแผลหรือส่อว่าถูกทำร้ายแต่อย่างใด การส่งกลับเป็นไปด้วยความเรียบร้อยดี 


ขณะที่นายจิรายุ กล่าวทิ้งท้ายโดยขอโทษสื่อมวลชนและสังคมที่ออกมาให้ข้อมูลเกี่ยวกับประเด็นนี้ช้า เนื่องจาก ภารกิจนี้เป็นภารกิจลับสุดยอด และมีตัวแปรสำคัญ หากมีการเปิดเผยใบหน้าของกลุ่มผู้ต้องกักทั้งหมดอาจจะกระทบกับความปลอดภัยของผู้ต้องกักทั้งหมดได้ 


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #40อุยกูร์ #อุยกูร์





“ขนุน” อดอาหารเข้าวันที่ 7 ขณะนี้อยู่ที่รพ.ราชทัณฑ์ ฝากแถลงการณ์ฉบับที่ 5 สั้น ๆ ว่า “อิสรภาพ” ฝันว่าจะได้เห็นบ้านตัวเองอีกครั้งในเร็ววัน

 


“ขนุน” อดอาหารเข้าวันที่ 7 ขณะนี้อยู่ที่รพ.ราชทัณฑ์ ฝากแถลงการณ์ฉบับที่ 5 สั้น ๆ ว่า “อิสรภาพ” ฝันว่าจะได้เห็นบ้านตัวเองอีกครั้งในเร็ววัน


วันนี้ 27 ก.พ. 2568 ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนรายงานว่า ทนายความเข้าเยี่ยม “ขนุน” สิรภพ พุ่มพึ่งพุทธ นักกิจกรรมวัย 24 ปี และผู้ต้องขังระหว่างอุทธรณ์ในคดีตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ หลังขนุนได้ตัดสินใจเริ่มอดอาหารประท้วง เพื่อเรียกร้องการสร้างอิสรภาพที่ถาวรสำหรับผู้ถูกกล่าวหาทางการเมือง มาตั้งแต่วันที่ 21 ก.พ. 2568 วันนี้นับเป็นการอดอาหารวันที่ 7 แล้ว


วันนี้ทนายไม่ได้เข้าไปเยี่ยมขนุนที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ เหมือนเช่นเคย เนื่องจากขนุนถูกนำตัวมาที่ รพ.ราชทัณฑ์ ตั้งแต่ช่วงบ่ายของเมื่อวานนี้ ขนุนลงมาห้องเยี่ยมด้วยการนั่งบนรถเข็น ร่างกายดูซูบลงบ้าง แต่ยังไม่เยอะ อาจเพราะเป็นคนที่มีกล้ามเนื้อมากอยู่แล้ว แววตายังดูสดใสอยู่ แต่ก็เห็นว่ามีอาการเหนื่อยตอนพูด


ขนุนเล่าว่า เมื่อวานนี้พยาบาลมาเจาะเลือด แต่หาเส้นเลือดไม่เจอ พยาบาลจึงเจาะครั้งที่ 2 ครั้งนี้เส้นเลือดแตกแล้วเขาเกิดเป็นลมไป เมื่อตื่นมาก็พบว่าเขาถูกเจาะเลือดไปแล้ว นอกจากนี้ มีการเอ็กซ์เรย์ปอดด้วย ผลเลือดและผลเอ็กซ์เรย์เท่าที่ทราบ ปอดยังทำงานปกติ ค่าเลือดปกติ ค่าความดันปกติ มีเพียงค่าน้ำตาลในเลือดที่ลดจากเมื่อวาน เหลือเพียง 59 มก./ดล. ส่วนน้ำหนักยังไม่ได้ชั่งจะชั่งในวันนี้


ขนุนบอกอีกว่า เขาได้ขอแพทย์ดูผลเลือด ตอนแรกแพทย์ไม่ยอมให้ดู บอกให้ทนายไปขอคัดถ่ายเอา แต่เขายืนยันว่าอยากดูด้วยตัวเองก่อน สุดท้ายก็ได้ดูแต่ก็ไม่เข้าใจว่า ค่าต่าง ๆ หมายถึงอะไรบ้าง


ตอนนี้เขารักษาตัวอยู่ที่ชั้น 6 เตียง 3 แผนกอายุรกรรม ห้องนี้มีผู้ป่วยทั้งหมด 18 คน สำหรับขนุนแล้วเขารู้สึกว่าผู้ป่วยคนอื่น ๆ คือ ผู้ป่วยที่ใกล้เสียชีวิตกันหมดเลย ขนุนบ่นให้ฟังด้วยว่า ที่โรงพยาบาลไม่มีหนังสืออ่าน ไม่มีโดมิเมลด้วย


ตั้งแต่เมื่อวาน ทั้งพยาบาลและแพทย์ต่างพยายามหว่านล้อมให้เขารับสารอาหารหรือเกลือแร่ มีการเอาของหวานหรือน้ำหวานมาวางให้พร้อมถามว่ากินไหม แต่ขนุนยังคงปฏิเสธ ยืนยันว่าเขาจะอดอาหารต่อไป โดยพูดว่า “ไม่เอา ไม่กิน อิสรภาพ” พยาบาลพูดเรื่องบุ้งขึ้นมาบ่อยครั้งว่า ไม่อยากให้ขนุนกลายเป็นแบบนั้น การปฏิบัติโดยรวมก็ค่อนข้างระมัดระวังและดูตั้งใจมาก ขนุนคิดว่าแพทย์พยาบาลน่าจะฝังใจกับเรื่องของบุ้งกันอยู่


ขนุนกล่าวว่า การได้อยู่ชั้นหกทำให้เขาได้มองวิวนอกหน้าต่างที่เห็นโรงพยาบาลวิภาวดีซึ่งเขาไปใช้บริการอยู่บ่อยครั้ง เขานั่งมองอยู่ราว 1 ชั่วโมง “มองให้เห็นให้ไกลที่สุด ให้เห็นท้องฟ้ากว้าง และฝันว่าจะได้เห็นบ้านตัวเองอีกครั้งในเร็ววัน”


แถลงการณ์ของขนุนวันนี้มีเพียงคำสั้น ๆ เพราะเขายังไม่ได้รับกระดาษตั้งแต่มาอยู่โรงพยาบาล โดยเขาฝากแถลงการณ์ฉบับที่ 5 มาดังนี้


#แถลงการณ์ฉบับที่ห้า


“อิสรภาพ”


สิรภพ พุ่มพึ่งพุทธ

ผู้ต้องขังทางการเมือง


ทัณฑสถาน โรงพยาบาลราชทัณฑ์

27 กุมภาพันธ์ 2568


สำหรับ “ขนุน” สิรภพ พุ่มพึ่งพุทธ นักกิจกรรมวัย 24 ปี และผู้ต้องขังในคดีตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ซึ่งไม่ได้รับการประกันตัวระหว่างอุทธรณ์มาตั้งแต่วันที่ 25 มี.ค. 2567 หลังถูกศาลอาญากรุงเทพใต้พิพากษาจำคุก 2 ปี กรณีปราศรัยในการชุมนุม #18พฤศจิกาไปราษฎรประสงค์ บริเวณสี่แยกราชประสงค์ เมื่อวันที่ 18 พ.ย. 2563 


ขนุน เห็นว่า เขาถูกคุมขังมาจะครบ 1 ปีแล้ว โดยแม้จะพยายามยื่นประกันตัวมาแล้วรวม 14 ครั้ง แต่ศาลยังคงไม่อนุญาตให้ประกันตัว โดยครั้งล่าสุดในการยื่นประกันตัวเมื่อวันที่ 14 ก.พ. 2568 ศาลฎีกายังคงมีคำสั่งไม่ให้ประกัน โดยระบุว่าศาลอุทธรณ์และศาลฎีกาเคยไม่อนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราวระหว่างอุทธรณ์มาแล้วหลายครั้ง เหตุตามคำร้องไม่มีเหตุที่จะเปลี่ยนแปลงคำสั่งเดิม


สถานการณ์ดังกล่าว ทำให้เขารู้สึกไม่ได้รับความเป็นธรรมเสมอมา ก่อนหน้านี้เขาต่อสู้คดีมาตลอด ไปตามนัดคดีทุกครั้ง และได้ยื่นอุทธรณ์คำพิพากษาไปแล้ว โดยในคดีมาตรา 112 หลายคดี แม้ศาลชั้นต้นลงโทษ แต่จำเลยก็ยังได้รับการประกันตัว จึงไม่ทราบว่าศาลใช้มาตรฐานเช่นใดในการวินิจฉัย


แม้ก่อนหน้านี้เขาจะถูกทักท้วงถึงการตัดสินใจประท้วงด้วยการอดอาหาร จากทั้งทนายความและครอบครัว แต่ครั้งนี้เขาได้ตัดสินใจแน่วแน่แล้ว เขาคิดว่ามันเป็นการเดิมพันที่จะต้องเสี่ยง เขารอคอยมา 333 วัน แล้ว แต่ไม่มีอะไรดีขึ้นเลย ไม่อยากเสียเวลาชีวิตไปเปล่า ๆ แล้ว


ขนุนจึงได้ประกาศตัดสินใจอดอาหาร ตั้งแต่เมื่อวันที่ 21 ก.พ. ที่ผ่านมา และฝากข้อความทนายมาระบุว่า จนกว่าจะบรรลุความปรารถนา ไม่หยุดจนกว่าความไม่ชอบธรรมจะหมดไป


1. สร้างอิสรภาพที่ถาวรแก่ผู้ถูกกล่าวหาทางการเมืองโดยไร้เงื่อนไข


2. ยุติการนำมาตรา 112 มาใช้ในทางการเมือง


#saveขนุน #ขนุนสิรภพ #UDDnews #

#ยูดีดีนิวส์

วันพฤหัสบดีที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2568

"อดีตบอร์ด สปส." ยื่นหนังสือถึง กมธ.ติดตามงบฯ ให้ตรวจสอบการใช้งบประมาณฯ และการบริหารจัดการของสำนักงานประกันสังคม เพื่อความโปร่งใส พร้อมให้กำลังใจ ส.ส.รักชนก ในการผลักดันสิทธิประโยชน์เทียบเท่าบัตรทอง

 


"อดีตบอร์ด สปส." ยื่นหนังสือถึง กมธ.ติดตามงบฯ ให้ตรวจสอบการใช้งบประมาณฯ และการบริหารจัดการของสำนักงานประกันสังคม เพื่อความโปร่งใส พร้อมให้กำลังใจ ส.ส.รักชนก ในการผลักดันสิทธิประโยชน์เทียบเท่าบัตรทอง

 

วันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2568 เวลา 12.45 น. ณ ห้องแถลงข่าว ชั้น 1 อาคารรัฐสภา นางสาวรัชนก ศรีนอก สส.พรรคประชาชน และคณะ รับยื่นหนังสือจากนางสาวอรุณี ศรีโต ประธานศูนย์ประสานงานแรงงานนอกระบบแห่งชาติ ในฐานะอดีตกรรมการประกันสังคม (บอร์ดประกันสังคม) และคณะ เรื่อง ข้อเสนอการตรวจสอบสำนักงานประกันสังคมในการบริหารจัดการการใช้เงินประกันสังคม และขอให้กำลังใจสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในการทำหน้าที่ตรวจสอบการบริหารงานของสำนักงานประกันสังคมให้มีความโปร่งใส


กองทุนประกันสังคมเป็นกองทุนที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย มีเงินสะสมกว่า 2 ล้านล้านบาท รายได้ประมาณ 2 แสนล้านบาทต่อปี และมีการใช้จ่ายปีละ 5 พันล้านบาท ประกอบกับงบประมาณรายจ่ายที่เพิ่มขึ้นในทุกปีทำให้มีการจ่ายเงินเพิ่มขึ้นถึง 1,282 ล้านบาท กองทุนประกันสังคมเกิดขึ้นจากการเรียกร้องของผู้ใช้แรงงาน นักวิชาการ และเครือข่ายการพัฒนาเอกชนด้านแรงงาน เครือข่ายองค์กรนักศึกษา รวมถึงข้าราชการบางส่วน ที่เห็นด้วยว่าต้องมีระบบการสร้างหลักประกันในชีวิตแบบเฉลี่ย เพื่อความมั่นคงเมื่อเกษียณอายุจากการทำงานไปแล้ว ที่ผ่านมากองทุนประกันสังคมบริหารโดยกระทรวงแรงงานมีสำนักงานประกันสังคมเป็นหน่วยบริหารจัดการ มีบอร์ดประกันสังคมที่มาจากการแต่งตั้งโดยกระทรวงแรงงาน ซึ่งทำหน้าที่กำหนดนโยบายและบริหารงาน ซึ่งผู้ใช้แรงงานและเครือข่ายต่าง ๆ มองว่าสำนักงานประกันสังคม ควรเป็นองค์กรที่มีความเป็นอิสระ ไม่อยู่ภายใต้การควบคุมของราชการและนักการเมือง จากกระแสข่าวที่เกิดขึ้นจึงทำให้เกิดการตั้งคำถามต่อการใช้งบประมาณเกี่ยวกับการดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ ของสำนักงานประกันสังคม อาทิ การศึกษาดูงาน การใช้งบประมาณในการผลิตสื่อสารสนเทศ การอบรม สัมมนา และการลงทุนในกองทุนและตราสารต่าง ๆ ล้วนมีนัยยะให้เกิดความสงสัยต่อการใช้เงินกองทุนประกันสังคมอย่างไม่โปร่งใส ดังนั้น ทางเครือข่ายจึงมีข้อเสนอ ดังนี้


1. ขอให้รัฐบาล สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร คณะกรรมาธิการการแรงงานทั้ง 2 สภา เร่งตั้งคณะทำงานตรวจสอบการใช้งบประมาณ อาทิ การศึกษาดูงานของฝ่ายบริหารและบอร์ดประกันสังคมทุกบอร์ด รวมถึงบอร์ดอนุประกันสังคมในชุดต่าง ๆ การตรวจสอบ ระบบคอลเซ็นเตอร์ ที่มีค่าใช้จ่ายหลัก 100 ล้านบาท รวมถึงค่าเช่าสถานที่ 50 ล้านบาท และตรวจสอบระบบเวบไซต์และแอปพลิเคชัน ที่ใช้งบ 550 ล้านบาท เป็นค่าใช้จ่ายในการจัดหาระบบสารสนเทศเพื่อกำหนดนโยบาย จำนวน 117 ล้านบาท การใช้งบประมาณในการอบรม สัมมนา การใช้งบประชาสัมพันธ์ ปฏิทินประกันสังคม


2. เครือข่ายขอให้กำลังใจ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พรรคการเมือง คณะกรรมการประกันสังคมที่มาจากการเลือกตั้ง คณะกรรมาธิการการศึกษาการจัดทำและติดตามการบริหารบประมาณ ที่ออกมาเปิดเผยข้อมูล ประกันสังคมให้กับผู้ประกันตน และประชาชนได้รับรู้ รวมถึงการหาแนวทางในการปรับปรุงแก้ไขเพื่อให้กองทุนประกันสังคมซึ่งเป็นของผู้ใช้แรงงาน มีความโปร่งใส


3. ขอให้ระบบการเลือกตั้งบอร์ดประกันสังคมยังต้องมีต่อไป และไม่เห็นด้วยที่จะให้กลับไปใช้การแต่งตั้งบอร์ดประกันสังคมเหมือนที่ผ่านมา และทางเครือข่ายต้องการให้เลขาธิการประกันสังคมต้องมาจากการจ้างมืออาชีพเข้ามาทำงานบริหารและจัดการในสำนักงานประกันสังคมและกองทุนประกันสังคมในอนาคต


ด้านนางสาวรัชนก กล่าวภายหลังรับยื่นหนังสือว่า ขอให้บอร์ดประกันสังคมที่มาจากการเลือกตั้งเปิดเผยข้อมูลให้สังคมตรวจสอบได้ ซึ่งจะต้องดำเนินการตามพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ ว่าได้นำเงินประกันสังคมไปใช้ในส่วนใดบ้าง รวมทั้งจะต้องมีการปฏิรูปสิทธิด้านการรักษาพยาบาลให้เทียบเท่ากับสิทธิบัตรทอง เพื่อป้องกันการเหลื่อมล้ำ


นายสหัสวัต คุ้มคง สส.พรรคประชาชน กล่าวเพิ่มเติมว่า พรรคประชาชนดำเนินการจัดทำร่างพระราชบัญญัติประกันสังคมเสร็จเรียบร้อยแล้ว หากรัฐบาลเสนอร่างดังกล่าวเข้ามาจะได้พิจารณาร่วมกับร่างของพรรคประชาชนเพื่อประโยชน์ของผู้ใช้แรงงานต่อไป


"อดีตบอร์ด สปส." ยื่นหนังสือถึง กมธ.ติดตามงบฯ ให้ตรวจสอบการใช้งบประมาณฯ และการบริหารจัดการของสำนักงานประกันสังคม เพื่อความโปร่งใส พร้อมให้กำลังใจ ส.ส.รักชนก ในการผลักดันสิทธิประโยชน์เทียบเท่าบัตรทอง 


 #UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #พรรคประชาชน #ประกันสังคม #กมธติดตามงบ



“โรม” ซัด “ประธาน กสทช.” ยังดำรงตำแหน่งในหน่วยงานรัฐ-เอกชนอื่นๆ ขัดคุณสมบัติชัดเจน แต่ผ่านไป 7 เดือนหลังยื่นเรื่องรัฐบาลไม่ขยับ เพราะมี รมต.บางคนสัมพันธ์ใกล้ชิดใช่หรือไม่ ข้องใจทำไมส่งเรื่องให้ศาล รธน.ตีความ ทั้งที่เสนอทูลเกล้าฯ ถอดถอนได้เลย

 


โรม” ซัด “ประธาน กสทช.” ยังดำรงตำแหน่งในหน่วยงานรัฐ-เอกชนอื่นๆ ขัดคุณสมบัติชัดเจน แต่ผ่านไป 7 เดือนหลังยื่นเรื่องรัฐบาลไม่ขยับ เพราะมี รมต.บางคนสัมพันธ์ใกล้ชิดใช่หรือไม่ ข้องใจทำไมส่งเรื่องให้ศาล รธน.ตีความ ทั้งที่เสนอทูลเกล้าฯ ถอดถอนได้เลย


วันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2568 ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร รังสิมันต์ โรม สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ตั้งกระทู้ถามสดด้วยวาจาต่อนายกรัฐมนตรี กรณีคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของผู้ดำรงตำแหน่งคณะกรรมการ กสทช. ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้มอบหมายให้ ประเสริฐ จันทรรวงทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม มาเป็นผู้ตอบคำถามแทน


โดยรังสิมันต์ได้ถามถึงกรณีที่ ศาสตราจารย์คลินิก นายแพทย์สรณ บุญใบชัยพฤกษ์ ขึ้นดำรงตำแหน่งประธาน กสทช. มาตั้งแต่วันที่ 13 เมษายน 2565 ซึ่งตาม พ.ร.บ.องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ฯ พ.ศ. 2553 มาตรา 8 กำหนดว่า บุคคลที่ได้รับแต่งตั้งเป็นกรรมการ กสทช. จะต้องไม่เป็นข้าราชการซึ่งมีตำแหน่งหรือเงินเดือนประจำ ไม่เป็นพนักงานหรือลูกจ้างของหน่วยงานรัฐ รัฐวิสาหกิจ หรือราชการส่วนท้องถิ่น ไม่เป็นกรรมการหรือที่ปรึกษาของรัฐวิสาหกิจหรือหน่วยงานของรัฐ และต้องไม่ประกอบวิชาชีพอิสระอื่นใดที่มีส่วนได้เสียหรือมีผลประโยชน์ขัดแย้งไม่ว่าโดยตรงหรือโดยอ้อมกับการปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งกรรมการ


แต่ประเด็นคือ รัฐมนตรีเคยทราบหรือไม่ว่าประธาน กสทช.คนปัจจุบันอาจมีคุณสมบัติและลักษณะต้องห้าม ซึ่งอาจทำให้ต้องพ้นจากตำแหน่ง จากการที่ตนได้ศึกษารายงานของคณะกรรมาธิการเทคโนโลยีสารสนเทศ วุฒิสภา มีข้อมูลหลักฐานชี้ชัดมากมายที่น่าเชื่อได้ว่านายแพทย์สรณเป็นพนักงานมหาวิทยาลัยจนถึงวันที่ 12 เมษายน 2565 หรือก่อนโปรดเกล้าฯ เพียง 1 วันเท่านั้น และยังเป็นแพทย์รายชั่วโมงของโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งอีกด้วย และเชื่อได้ว่าปัจจุบันก็ยังทำหน้าที่นี้อยู่จากการนำชื่อไปค้นหาในกูเกิล


รังสิมันต์กล่าวต่อไปว่า นอกจากนี้ นายแพทย์สรณอาจจะเข้าข่ายดำรงตำแหน่งเป็นผู้บริหารของมหาวิทยาลัย ที่ได้รับใบอนุญาตเป็นผู้ประกอบกิจการโทรทัศน์แบบบอกรับสมาชิกช่องรามาแชลแนล ซึ่งประธาน กสทช.อาจจะไม่ได้ลาออกจากการเป็นผู้บริหารภายใน 1 ปีก่อนสมัครเข้ารับการสรรหา จึงอาจมีผลให้ประธาน กสทช.มีลักษณะต้องห้ามตาม พ.ร.บ.องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ฯ รัฐมนตรีเคยทราบเรื่องนี้หรือไม่ และจะดำเนินการอย่างไรเพื่อแก้ปัญหานี้


ในส่วนของรัฐมนตรีระบุว่า ตนทราบเรื่องนี้ดีเนื่องจากมีโอกาสได้พูดคุยและพบปะกับบุคคลที่เกี่ยวข้อง และขณะนี้ได้มีการยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญให้วินิจฉัยตีความกรณีดังกล่าวอยู่ เมื่อเรื่องนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาจึงเป็นเรื่องที่ต้องรอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ความเห็นและวินิจฉัยออกมา


รังสิมันต์ถามกระทู้ต่อในคำถามที่สอง โดยระบุว่า ตนขอบคุณรัฐมนตรีที่ช่วยยืนยัน เพราะเรื่องนี้มีความสำคัญ เราทราบดีว่า กสทช.ต้องตัดสินใจในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับประโยชน์สาธารณะของประชาชน แต่ขณะนี้กำลังมีความขัดแย้งภายในกันอย่างหนัก ซึ่งเสียงของประธานมีความสำคัญอย่างมาก การมีข้อถกเถียงในเรื่องคุณสมบัติย่อมมีความสำคัญอย่างแน่นอน


อย่างไรก็ตาม ตนค่อนข้างแปลกใจว่ามีการตีความยื่นไปศาลรัฐธรรมนูญได้อย่างไร อยากให้รัฐมนตรีให้รายละเอียดเรื่องนี้เพิ่มเติมว่ากระบวนการดังกล่าวเกิดขึ้นได้อย่างไรและเมื่อใด เพราะถ้าดูใน พ.ร.บ.องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ฯ มาตรา 18 กรณีที่กรรมการ กสทช.มีปัญหาคุณสมบัติและลักษณะต้องห้าม ถ้ามีปัญหาจริงก็ต้องถือว่าผู้นั้นไม่เคยได้รับเลือกเป็นกรรมการ และต้องมีการเลือกกรรมการใหม่ แต่ พ.ร.บ.องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ก็ไม่ได้กำหนดอย่างชัดเจนถึงขั้นตอนในรายละเอียด ว่าหากมีการโปรดเกล้าฯ ไปแล้วแล้วพบว่ามีปัญหาคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามขึ้นมาต้องดำเนินการอย่างไร


รังสิมันต์กล่าวต่อไปว่า ในแง่นี้จึงต้องพิจารณาตามหลักการทั่วไปว่าเมื่อครั้งที่บุคคลดังกล่าวขึ้นดำรงตำแหน่งกรรมการ กสทช. กระทำการด้วยวิธีใด หากดำรงตำแหน่งด้วยการเสนอทูลเกล้าฯ เมื่อมีปัญหาก็ต้องใช้กระบวนการในทำนองเดียวกันเพื่อโปรดเกล้าฯ ซึ่งที่ผ่านมามีกรณีหนึ่งที่กรรมการ กสทช.มีปัญหาเรื่องคุณสมบัติเนื่องจากต้องคำพิพากษา ในยุคนั้น พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อดีตนายกรัฐมนตรีก็ได้เสนอทูลเกล้าฯ และมีการโปรดเกล้าฯ ให้พ้นจากตำแหน่งกรรมการ กสทช.ตามมา


กรณีนี้ก็ควรจะต้องทำในลักษณะเดียวกัน วันนี้มีรายงานของวุฒิสภาที่ทำการตรวจสอบเรื่องนี้ ซึ่งได้ส่งให้ประธานวุฒิสภาพิจารณาแล้ว แต่มีสาเหตุบางอย่างที่ทำให้ไม่มีการดำเนินการต่อ แต่ขั้นตอนตามกฎหมายของวุฒิสภาได้มีการดำเนินการไปแล้ว และเท่าที่ตนทราบพยานหลักฐานเหล่านี้มีกรรมการ กสทช. 4 คนเข้าชื่อส่งหนังสือถึงนายกรัฐมนตรีตั้งแต่เมื่อ 7 เดือนที่แล้ว มีการลงเลขหนังสือเรียบร้อยแล้ว จึงต้องถือว่านายกรัฐมนตรีได้ทราบแล้วว่ามีปัญหาเรื่องคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของประธาน กสทช.คนปัจจุบัน


แต่ 7 เดือนผ่านมาตนไม่พบว่ามีความพยายามในการดำเนินการจากฝั่งรัฐบาลเลย จึงไม่มั่นใจว่าการที่รัฐมนตรีระบุว่าต้องให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความก่อน อาศัยอำนาจตามกฎหมายอะไรในการวินิจฉัยกรณีนี้ เมื่อเทียบกับกรณีที่ตนยกมาเมื่อครู่จะพบว่ากระบวนการคือนายกรัฐมนตรีจะต้องเสนอทูลเกล้าฯ เพราะความผิดได้สำเร็จไปแล้ว จึงอยากขอความชัดเจนจากรัฐมนตรีว่าตกลงแล้วจะดำเนินการอย่างไรนอกจากการรอศาลรัฐธรรมนูญ เรื่องนี้นายกรัฐมนตรีไม่สามารถปฏิเสธความรับผิดชอบได้ เพราะทราบเรื่องแล้ว


ทางด้านรัฐมนตรีตอบคำถามที่สองว่า เรื่องการส่งศาลรัฐธรรมนูญตนก็ได้มีการติดตามอยู่แต่มีรายละเอียดจำนวนมาก ตนจึงขออนุญาตได้ติดตามต่อ ส่วนในเรื่องที่มาของประธาน กสทช.มีการสรรหาซึ่งเป็นไปตาม พ.ร.บ.องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ฯ ที่ผ่านมามีกรรมการ กสทช. 4 รายทำเรื่องถึงนายกรัฐมนตรี ซึ่งหลังจากที่ได้ทราบแล้วก็มีบัญชาให้เลขาธิการนายกรัฐมนตรีและตนไปพบปะกับกรรมการ กสทช.ทั้ง 4 ราย และมีการพูดคุยกันในรายละเอียดถึงสภาพปัญหา คุณสมบัติ การดำเนินกิจการภายในของ กสทช. ซึ่งหลังรับฟังก็ได้มีการติดตามและประสานงานเป็นระยะในการแก้ไขปัญหา


รังสิมันต์ถามต่อเป็นครั้งที่สาม โดยระบุว่า เรื่องศาลรัฐธรรมนูญ กฎหมายไม่ได้กำหนดว่าในกรณีที่ประธานหรือกรรมการ กสทช. มีปัญหาคุณสมบัติหรือลักษณะต้องห้ามจะต้องมีการตีความโดยศาลรัฐธรรมนูญ แล้วทำไมถึงต้องไปที่ช่องทางศาลรัฐธรรมนูญก่อน และใครเป็นผู้ยื่นไปที่ศาลรัฐธรรมนูญ


นอกจากนี้ หลังจาก 7 เดือนที่แล้วที่มีการยื่นเรื่องนี้ไปที่นายกรัฐมนตรี ต้องถามว่านายกรัฐมนตรีรวมถึงรัฐมนตรีเองได้มีการตั้งกรรมการตรวจสอบพยานหลักฐานที่ได้มาจากชั้นวุฒิสภาบ้างหรือไม่ นายแพทย์สรณยังเป็นพนักงานมหาวิทยาลัยอยู่หรือไม่ ยังเป็นกรรมการอิสระของบริษัทเอกชนหรือไม่ ยังเป็นแพทย์รายชั่วโมงหรือไม่ แล้วทำไมถึงมีเอกสารที่ได้มาจากโรงพยาบาลรามาธิบดี ที่ระบุว่านายแพทย์สรณได้รับเงินหลายหมื่นบาทในช่วงเวลาทั้งก่อนและหลังเป็นประธาน กสทช. ยังไม่นับว่ามีการยกประเด็นขึ้นมาจากสังคมอีกว่ามีบุคคลที่มีชื่อเดียวกันเปิดคลินิกอยู่ที่สหรัฐอเมริกา


รังสิมันต์กล่าวต่อไปว่า กรณีเหล่านี้รัฐบาลสามารถตั้งกรรมการสอบตรวจสอบพยานหลักฐานทั้งหมดได้เลย โดยไม่จำเป็นต้องรอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยก่อน เพราะยิ่งปล่อยให้เวลาเนิ่นนานผ่านไปก็ยิ่งส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจหลายอย่าง ซึ่งสังคมสามารถตั้งคำถามได้ว่าการตัดสินใจหลายอย่างที่เกิดขึ้นไปแล้วและจะต้องเกิดขึ้นอีกในวันข้างหน้า กสทช.มีอำนาจในการตัดสินใจเหล่านั้นหรือไม่ เพราะถ้าปัญหานี้เป็นจริงก็เท่ากับนายแพทย์สรณไม่เคยเป็นกรรมการเลย


นอกจากนี้ยังมีข้อครหาว่ามีคนในรัฐบาลระดับรัฐมนตรี มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับคนใน กสทช. ซึ่งตนหวังว่าจะไม่เป็นความจริง เพราะจะเกิดคำถามขึ้นว่าตลอด 7 เดือนที่ผ่านมาที่ไม่มีการดำเนินการเรื่องนี้ อาจจะเป็นเพราะความสัมพันธ์นี้หรือไม่ รัฐมนตรีจะสร้างความมั่นใจได้อย่างไรในการแก้ปัญหาเรื่องนี้ จะมีการตั้งกรรมการสอบหรือไม่ หรือจะรอศาลรัฐธรรมนูญอย่างเดียว รวมถึงตนขอทราบรายละเอียดว่าใครเป็นผู้ส่งเรื่องให้มีการวินิจฉัยในศาลรัฐธรรมนูญ ส่งไปเมื่อใด และเมื่อใดไหนสังคมไทยถึงจะได้รับรู้ว่าเรื่องนี้จะจบลงอย่างไร


ในส่วนของรัฐมนตรีได้ตอบคำถามโดยระบุว่า ในระยะเวลาที่ผ่านมา 7 เดือนรัฐบาลได้ติดตามการทำงานของ กสทช.มาโดยตลอด ส่วนที่แนะนำว่าควรมีการตั้งกรรมการสอบตนรับข้อเสนอนี้ไว้ ส่วนที่กล่าวหาว่ามีคนในรัฐบาลมีความสัมพันธ์กับคนใน กสทช. ตนไม่ทราบ แต่รัฐบาลแยกแยะออกว่าไม่ว่าจะมีความสัมพันธ์หรือไม่ก็ไม่เกี่ยวข้องกับการทำงาน ตนขอสร้างความมั่นใจกับประชาชนว่ารัฐบาลยึดความถูกต้องและความโปร่งใสเป็นหลัก


ส่วนอำนาจในการตรวจสอบตาม พ.ร.บ.องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ฯ มีหลายช่องทาง เช่น ตามมาตรา 21 กำหนดให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือวุฒิสภาไม่น้อยกว่า 1 ใน 4 ของแต่ละสภา มีสิทธิร้องขอต่อประธานวุฒิสภาเพื่อให้วุฒิสภามีมติให้กรรมการพ้นจากตำแหน่งจากเหตุที่กรรมการนั้นมีความประพฤติเสื่อมเสีย หรือมาตรา 22 เมื่อปรากฏว่า กสทช.ไม่ปฏิบัติตามหน้าที่ที่กฎหมายกำหนดอย่างมีประสิทธิภาพ สส.ไม่น้อยกว่า 1 ใน 4 หรือ สว.ไม่น้อยกว่า 1 ใน 4 หรือประชาชนผู้ใช้บริการที่ได้รับผลกระทบไม่น้อยกว่า 20,000 คน มีสิทธิร้องต่อประธานวุฒิสภาให้มีมติให้กรรมการ กสทช.พ้นจากตำแหน่งทั้งคณะได้

 

#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #รังสิมีนต์โรม #ประชุมสภา #กสทช