"ณัฐพงษ์" จี้
"อนุทิน" ปราบสแกมเมอร์ชายแดน ลั่น ช้าเท่ากับ
"ใส่เกียร์ว่าง" บี้ ให้รวดเร็วเหมือนแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการ !
วันที่ 14 ตุลาคม
2568 ที่อาคารรัฐสภา นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ สส.
แบบบัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคประชาชน
ได้กล่าวถึงการติดตามการแก้ปัญหาสแกมเมอร์และแก๊งคอลเซนเตอร์ของ นายอนุทิน
ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย
โดยระบุว่าปัญหาดังกล่าวเป็นเรื่องที่นานาชาติให้ความสำคัญอย่างยิ่ง
นายณัฐพงษ์ชี้ว่า ประเทศสหรัฐอเมริกา ประเทศเกาหลีใต้
และสหราชอาณาจักรทราบมาว่าได้เริ่มดำเนินการอย่างจริงจังในการปราบปรามเครือข่ายสแกมเมอร์และคอลเซนเตอร์บริเวณชายแดนของประเทศไทยแล้ว
ด้วยเหตุนี้ ในฐานะที่ประเทศไทยมีพื้นที่ชายแดนติดกับประเทศเพื่อนบ้าน จึงควรเป็นประเทศที่ถือบทบาทหลักในการแก้ไขปัญหานี้ที่ส่งผลกระทบต่อชาวโลกทุกประเทศ
นายณัฐพงษ์ได้เรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีดำเนินการอย่างจริงจังและรวดเร็ว
โดยเปรียบเทียบว่าการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการตำแหน่งต่าง ๆ
สามารถดำเนินการได้อย่างรวดเร็ว
ประชาชนรวมถึงตนเองจึงอยากเห็นการปราบปรามเครือข่ายเหล่านี้ได้อย่างเข้มข้น
สำหรับการแก้ปัญหาบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา แม้จะมีกลไกทวิภาคีอยู่แล้ว
แต่สิ่งสำคัญคือผู้นำประเทศต้องสามารถดำเนินการได้อย่างจริงจังและรวดเร็ว
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีการอภิปรายของ นายรังสิมันต์ โรม สส. แบบบัญชีรายชื่อ
พรรคประชาชน ที่ชี้ให้เห็นว่าผู้ที่เกี่ยวข้องกับแก๊งคอลเซนเตอร์ก็มีความเชื่อมโยงกับรองนายกรัฐมนตรีและอยู่ในคณะรัฐมนตรี
(ครม.) ด้วย
นายณัฐพงษ์ระบุอย่างชัดเจนว่า
ยิ่งนายกรัฐมนตรีช้าหรือนิ่งนอนใจกับเรื่องนี้มากเท่าไร
ก็อาจเป็นการแสดงออกให้สังคมเห็นว่านายกรัฐมนตรีใส่เกียร์ว่าง ไม่จัดการคนของตนเองที่มีข้อวิพากษ์วิจารณ์
การแก้ไขเรื่องนี้ให้เร็วที่สุดจะยิ่งเป็นการแสดงออกถึงความโปร่งใสของรัฐบาล
นอกจากนี้
นายณัฐพงษ์เห็นว่านายกรัฐมนตรีอาจจะยังแสดงความรับผิดชอบในฐานะผู้บริหารน้อยเกินไปสำหรับปัญหาชายแดนและคอลเซนเตอร์
และมักจะโยนความรับผิดชอบไปให้หน่วยงานด้านความมั่นคง ยกตัวอย่างเช่น
กรณีการเปิดเสียงบริเวณชายแดนจังหวัดสระแก้ว
นายกรัฐมนตรีก็ยังตอบว่าเป็นเรื่องของฝ่ายความมั่นคง
ซึ่งแท้จริงแล้วต้องจี้ไปที่นายกรัฐมนตรีคนเดียวในฐานะผู้นำสูงสุดของฝ่ายบริหาร
ซึ่งไม่สามารถปฏิเสธความรับผิดชอบในส่วนนี้ได้
ด้านบทบาทของพรรคประชาชน นายณัฐพงษ์กล่าวว่า
พรรคพยายามรักษาสมดุลระหว่างการเดินหน้าแก้ไขรัฐธรรมนูญและการตรวจสอบรัฐบาลในฐานะฝ่ายค้าน
หากนายกรัฐมนตรียังคงล่าช้า
ฝ่ายค้านก็จะยกระดับการตรวจสอบรัฐบาลให้เข้มข้นขึ้นในอนาคต อย่างไรก็ตาม
พรรคประชาชนยังคงยืนยันว่า การโหวตตาม MOA นั้น
เป็นการประเมินเรื่องการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ และเรื่องความเสียหาย ปัญหาอื่น ๆ
ของประเทศไปพร้อมกัน และยืนยันว่าจะไม่ให้คะแนน
เนื่องจากไม่ได้เลือกมาบริหารประเทศ แต่เลือกมาเป็นนายกรัฐมนตรีเฉพาะกิจ
การตัดสินควรให้ประชาชนตัดสินในคูหาเลือกตั้งในอีกไม่เกิน
6 เดือนนี้ดีกว่า
ส่วนกรณีการยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจนั้น เป็นไปตามหลักการ
ไม่ได้มีเจตนาขู่ และจะยื่นเมื่อไรก็ยื่นเลย แต่จะไม่พูดออกสื่อ
เพราะหากนายกรัฐมนตรีรู้ก่อนก็จะยุบสภาก่อน ดังนั้น
หากถึงวันที่จะยื่นจะไม่บอกใครแน่นอน แต่จะส่งถึงประธานสภาผู้แทนราษฎรแน่นอน
นอกจากนี้
นายณัฐพงษ์ยังได้ชี้แจงกรณีที่มีผู้ตั้งคำถามถึง สส. ของพรรคประชาชน
ที่ระบุว่าเทคโนโลยีสแกนม่านตาเชื่อมโยงกับเครือข่ายอาชญากรรมข้ามชาติเนื่องจากมีเส้นทางการเงินที่เชื่อมโยงถึง
นายเบน สมิธ โดยระบุว่าได้มีการสื่อสารและทำความเข้าใจกับ สส. ในพรรคบางท่านแล้วว่า
ต้องแยกระหว่างระบบแพลตฟอร์ม World ID และ World
Coin ออกจากเส้นทางการเงิน
ที่ตัวแทนของบริษัทนี้ในประเทศไทยอาจมีความเกี่ยวข้องกับเครือข่ายอาชญากรรมข้ามชาติหรือไม่
และจะมีการปรับทิศทางการสื่อสารเรื่องนี้ให้รัดกุมและถูกต้องมากขึ้น
นายณัฐพงษ์ย้ำว่า ข้อมูลที่กรรมาธิการมั่นคงแห่งรัฐ
กิจการชายแดน ยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศ สภาผู้แทนราษฎร ได้มา
เป็นข้อมูลที่หน่วยงานรัฐมาชี้แจง ดังนั้นไม่น่าใช่ข้อมูลที่ผิดพลาด
แต่กังวลว่าวิธีการสื่อสารอาจทำให้ผู้สนับสนุนเทคโนโลยีในโลกอนาคต ซึ่งสร้างขึ้นมาเพื่อต่อต้าน
Fake ID หรือ AI ที่อาจมาปลอมแปลงเป็นมนุษย์ในอนาคต
อาจเข้าใจผิดว่าทั้งระบบเป็นแพลตฟอร์มสำหรับทำอาชญากรรมข้ามชาติ
อย่างไรก็ตาม นายณัฐพงษ์เชื่อว่า
การอภิปรายของนายรังสิมันต์ในกรณี นายเบน สมิธ นั้นเป็นเรื่องใหญ่มาก
เนื่องจากรัฐสภาคองเกรสของสหรัฐฯ เองก็ขึ้นรายชื่อแล้ว จึงคิดว่าเรื่องนี้มีมูล
และยืนยันว่าจะไม่โยงใยถึงขั้นทำให้ข้อกล่าวหาของ ร.อ. ธรรมนัส พรหมเผ่า รองนายกรัฐมนตรี
และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ผิดพลาดไปแต่อย่างใด
และภาพที่ไปปรากฏว่าทำบุญร่วมกัน ก็ยังไม่ได้คำตอบ