วันอังคารที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2568

“พริษฐ์” ชี้รัฐธรรมนูญ 60 พาประเทศเจอ 3 วิกฤต ประชาธิปไตยถดถอย-นโยบายล้าหลัง-ทุจริตเรื้อรัง จำเป็นต้องแก้ไขเพื่อสร้างระบบการเมืองที่ตอบโจทย์ประชาชน ขอรัฐสภารับหลักการทั้ง 3 ร่าง เปิดทางสู่รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ชูจุดแข็งร่าง ปชน. เรื่อง การมีส่วนร่วมประชาชน-ป้องกันการกินรวบ

 


“พริษฐ์” ชี้รัฐธรรมนูญ 60 พาประเทศเจอ 3 วิกฤต ประชาธิปไตยถดถอย-นโยบายล้าหลัง-ทุจริตเรื้อรัง จำเป็นต้องแก้ไขเพื่อสร้างระบบการเมืองที่ตอบโจทย์ประชาชน ขอรัฐสภารับหลักการทั้ง 3 ร่าง เปิดทางสู่รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ชูจุดแข็งร่าง ปชน. เรื่อง การมีส่วนร่วมประชาชน-ป้องกันการกินรวบ


วันที่ 14 ตุลาคม 2568 ในการประชุมร่วมกันของรัฐสภาเพื่อพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพิ่มหมวด 15/1 พริษฐ์ วัชรสินธุ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ลุกขึ้นอภิปรายเสนอร่างฉบับพรรคประชาชน โดยกล่าวว่า ตลอด 2 ปีที่ผ่านมาที่ตนเข้ามาทำหน้าที่ผู้แทนราษฎร ครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่ต้องอภิปรายว่าทำไมเราควรเดินหน้าสู่การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ แต่ด้วยเหตุการณ์ทางการเมืองที่ผ่านมา รัฐสภารอบนี้มีองค์ประกอบที่ไม่เหมือนครั้งก่อน เรามี สส. พรรคร่วมฝ่ายค้านที่ผลักดันการแก้รัฐธรรมนูญได้เต็มที่ โดยไม่ต้องเกรงใจใครเหมือนกับสมัยเป็นรัฐบาล เรามี สส. พรรคร่วมรัฐบาลที่รู้ดีว่าความอยู่รอดของรัฐบาลขึ้นอยู่กับความสำเร็จของเราในวาระเรื่องรัฐธรรมนูญ เรามี สว. ที่ได้รับความชัดเจนจากศาลรัฐธรรมนูญว่าไม่จำเป็นต้องไปทำประชามติมาก่อนการพิจารณาวันนี้


ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ 3 ฉบับที่รัฐสภากำลังพิจารณา มีรายละเอียดที่แตกต่างกันพอสมควรเกี่ยวกับกลไกในการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ แต่ในเมื่อวันนี้เป็นเพียงการพิจารณาในวาระที่ 1 หรือชั้นรับหลักการ คำถามเดียวที่เราต้องพิจารณาและหาคำตอบร่วมกันคือรัฐภาแห่งนี้เห็นด้วยหรือไม่ กับการ “เปิดทางไปสู่การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่” ซึ่งเป็นหลักการที่ทั้ง 3 ร่างเสนอไว้เหมือนกัน


คำถามนี้ไม่ใช่คำถามใหม่ แต่เป็นคำถามที่หลายภาคส่วนเคยตอบกันไปแล้วหลายรอบตลอด 5 ปีที่ผ่านมา รัฐสภาชุดที่แล้วเคยตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญที่ประกอบไปด้วยตัวแทนทุกพรรค ซึ่งได้ไล่ศึกษาปัญหาในกว่า 200 มาตราของรัฐธรรมนูญ 2560 จัดทำรายงานกว่า 600 หน้า โดยส่วนใหญ่มีข้อสรุปตรงกันว่าประเทศควรมีการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ในการเลือกตั้งเมื่อปี 2566 กว่า 70 เปอร์เซ็นต์ของประชาชน ก็ลงคะแนนให้พรรคที่มีนโยบายสนับสนุนการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ 


อย่างไรก็ตาม ตลอด 3 ปีที่ผ่านมาที่บทสนทนาเรื่องรัฐธรรมนูญถูกดึงไปคุยกันแต่เรื่องเทคนิค ไม่ว่าจะเป็นเรื่องจำนวนประชามติหรือเรื่องคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ สังคมเราอาจเริ่มหลงลืมไปแล้วว่า “เราจะอยากแก้รัฐธรรมนูญกันไปทำไม”


สำหรับใครที่ตั้งคำถามว่า “ถ้าแก้รัฐธรรมนูญ ประเทศจะดีขึ้นอย่างไร” ตนอยากชวนมองมุมกลับด้วยว่า “พอไม่แก้รัฐธรรมนูญ ประเทศเสียหายอย่างไร?” 


ไม่ว่าจะเป็น เรามีตึก สตง. ถล่มลงมากลางกรุงเมื่อ 6 เดือนก่อนโดยยังไม่มีหน่วยงานรัฐต้องรับผิดชอบ เรามี กกต. ที่เอาผิดใครไม่ค่อยได้ เสมือนว่าประเทศนี้ไม่มีการทุจริตเลือกตั้ง เรามี ป.ป.ช. ที่ถูกมองว่ายืนตรงข้ามความโปร่งใส อย่างเช่นในคดีแหวนแม่-นาฬิกาเพื่อน เรามีพรรคการเมืองที่ถูกยุบเพราะเสนอร่างกฎหมาย นักการเมืองที่ถูกตัดสิทธิตลอดชีวิตเพราะโพสต์เฟซบุ๊กสมัยเป็นนิสิตนักศึกษา เรามี สส. ที่ป้ายชื่อเขียนว่าพรรคหนึ่ง แต่ทำงานให้กับอีกพรรคหนึ่ง เรามีกลุ่ม สว. ที่โชคดีที่สุดในโลก แพ็กกันเข้ามาได้ทั้งที่โอกาสน้อยกว่าถูกหวยรางวัลที่ 1 ถึง 70 งวดติดต่อกัน เรามีท้องถิ่นที่มีอำนาจจำกัด กำหนดเส้นทางรถเมล์เองก็ไม่ได้ สัดส่วนงบที่ท้องถิ่นมีในการพัฒนาก็ไม่เพิ่มมาเกือบ 10 ปี เรามีเยาวชนนักเคลื่อนไหวที่ถูกปฏิเสธการประกันตัวแม้ไม่เคยมีพฤติกรรมที่เสี่ยงต่อการหลบหนี เรามีนักวิชาการและสื่อที่ถูกทุนใหญ่หรือผู้มีอิทธิพลไล่ฟ้องปิดปาก เรามีโครงการขนาดใหญ่ ที่รับฟังความเห็นประชาชนในพื้นที่แค่พอเป็นพิธีกรรม ความไม่ปกติทั้งหมดนี้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นผลลัพธ์และมีสาเหตุบางส่วนจากรัฐธรรมนูญ 2560 ที่ออกแบบระบบการเมืองที่ “ไม่เกรงใจประชาชน” และ “ไม่มีประชาชนอยู่ในสมการ”


เมื่อเป็นเช่นนี้ ชีวิตประชาชนเลยต้องเผชิญกับ 3 วิกฤตระดับชาติที่หนักหนาสาหัสลงเรื่อยๆ ตั้งแต่รัฐธรรมนูญ 2560 บังคับใช้ (1) วิกฤต “ประชาธิปไตยถดถอย” 20 ปีที่แล้ว ประเทศไทยเคยเป็นดาวรุ่งของภูมิภาคเรื่องประชาธิปไตย คนไทยเคยรู้สึกว่าคะแนนเสียงของเขากำหนดอนาคตได้ แต่วันนี้รัฐธรรมนูญ 2560 ทำให้สถาบันทางการเมืองขาดความยึดโยงกับประชาชน ประชาชนเลือก สส. เข้าไปในสภา ประชาชนเลือกรัฐบาลเข้าไปในทำเนียบ แต่คนที่ชี้ขาดว่ากฎหมายไหนเสนอได้หรือไม่ได้ นโยบายไหนทำได้หรือไม่ได้ บุคคลไหนเป็นรัฐมนตรีได้หรือไม่ได้ และ สสร. แบบไหนมีได้หรือไม่ได้ กลับเป็นตุลาการ 9 คนในศาลรัฐธรรมนูญที่ประชาชนไม่เคยให้ความเห็นชอบ


(2) วิกฤต “นโยบายล้าหลัง” 20 ปีที่แล้ว ประเทศไทยถูกมองว่าเป็นต้นตำรับของนโยบายที่ก้าวหน้าในหลายด้าน จนเป็นทั้งฉันทามติภายในประเทศ และที่ชื่นชมในเวทีนานาชาติ เช่น นโยบาย 30 บาทรักษาทุกโรค แต่วันนี้รัฐธรรมนูญ 2560 กลับไม่สามารถสนับสนุนให้รัฐบาลมีสมาธิและแรงจูงใจ ในการคิดค้นและผลักดันนโยบายใหม่ๆ สมาธิของรัฐบาลต้องเสียไปบางส่วนกับคณะนักร้องที่บางครั้งก็ร้องแบบมีมูล แต่หลายครั้งก็ร้องแบบไม่สมเหตุสมผล แรงจูงใจของรัฐบาลในการขับเคลื่อนโยบายให้สำเร็จก็มีไม่มากเท่าที่ควร เพราะความอยู่รอดของรัฐบาลยุคนี้ แทบจะไม่ขึ้นอยู่กับความสำเร็จในการผลักดันนโยบาย


(3) วิกฤต “ทุจริตเรื้อรัง” ตอนประกาศบังคับใช้รัฐธรรมนูญ 2560 ผู้สนับสนุนหลายคนภูมิใจว่านี่คือรัฐธรรมนูญปราบโกง แต่วันนี้ชัดเจนแล้วว่ารัฐธรรมนูญ 2560 ปราบโกงไม่ได้จริง แต่ปราบได้เฉพาะคนที่อยากปราบ คะแนนความโปร่งใสของไทย (Corruption Perception Index) ดิ่งลงมาแย่เท่ากับประเทศเนปาลที่เพิ่งประท้วงกันไปครั้งใหญ่เพื่อต่อต้านการทุจริต รัฐมนตรี สส. สว. จะทุจริตต่อหน้าที่แค่ไหน กกต. สตง. จะเกียร์ว่างต่อการทุจริตแค่ไหน ประชาชนก็เข้าชื่อถอดถอนไม่ได้เหมือนในอดีต


“ผมไม่เคยบอกว่ารัฐธรรมนูญฉบับใหม่จะเป็นยาวิเศษที่ทำให้ทุกปัญหาหมดไปทันที ทำให้การค้าขายดีขึ้นทันที หรือทำให้คนโกงหมดประเทศทันที แต่ในเมื่อรัฐธรรมนูญ 2560 ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าไม่สามารถสร้างระบบการเมืองที่ตอบโจทย์ประชาชนและเป็นที่พึ่งของประชาชนได้ คำถามคือแล้วทำไมเรายังอยากติดอยู่ในกับดักของรัฐธรรมนูญ 2560 หรือลึกๆ แล้วเรากำลังกังวลอะไร กับการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่”


พริษฐ์กล่าวต่อว่าตนต้องการคลายทุกข้อกังวลที่สมาชิกรัฐสภาหรือประชาชนอาจมี บางคนอาจกังวลว่ารัฐบาลจะสนใจแต่เรื่องแก้รัฐธรรมนูญ แต่ไม่สนใจเรื่องปากท้อง ในมุมหนึ่งถ้า ครม. จะไร้ความสามารถ ถึงขั้นทำเรื่องแก้รัฐธรรมนูญควบคู่กับแก้ปัญหาเศรษฐกิจหรือปัญหาความมั่นคงไม่ได้ พี่น้องคนไทยก็ไม่ควรให้เขาได้เป็นรัฐบาลต่อ แต่ในอีกมุมหนึ่ง จะบอกว่าการแก้รัฐธรรมนูญไม่ส่งผลต่อปากท้องเลยสักนิด ก็คงจะไม่ใช่ ถ้ารัฐธรรมนูญทำให้นายกฯ และรัฐบาลต้องเปลี่ยนกันทุกๆ ปี แล้วนักลงทุนที่ไหนจะอยากขนเงินมาลงทุนในไทย ยกเว้น “ทุนเทา” ที่จ้องฉวยโอกาสจากจังหวะชุลมุนแบบนี้ ถ้ารัฐธรรมนูญทำให้คนโกงหากินจากภาษีประชาชนได้เรื่อยๆ แล้วเราจะเหลืองบส่วนไหนมาทำสวัสดิการประชาชน ถ้ารัฐธรรมนูญทำให้ใครจะทำงานการเมืองได้ ต้องพึ่งบ้านใหญ่หรือทุนใหญ่ แล้วใครในสภาจะเป็นตัวแทนที่เอาประชาชนเป็นใหญ่


หรือถ้ากลัวว่าเรากำลังแก้ปัญหาผิดจุด เพราะปัญหาไม่ได้อยู่ที่รัฐธรรมนูญ แต่ปัญหาอยู่ที่นักการเมือง ตนไม่ปฏิเสธว่านักการเมืองหลายคนในประเทศนี้มีปัญหาจริง แต่ประเทศเราจะได้นักการเมืองแบบไหน ก็ขึ้นอยู่กับรัฐธรรมนูญเขียนเกี่ยวกับนักการเมืองไว้อย่างไร ถ้ารัฐธรรมนูญเขียนให้ สส. ย้ายพรรคกลางสภากันได้เป็นว่าเล่น ประเทศเราก็จะได้แต่นักการเมืองที่วันๆ คิดแต่จะ “รวมมุ้ง” เพื่อไปต่อรองตำแหน่งใน ครม. ถ้ารัฐธรรมนูญเขียนให้ สว. มาจากการเลือกกันเองแบบพิสดาร ที่ส่งเสริมให้ฮั้วกันได้ ประเทศเราก็จะได้นักการเมืองในวุฒิสภาที่ไม่มีใครตอบได้ว่าเป็นตัวแทนประชาชนคนไหนหรือกลุ่มใด


หรือถ้ากลัวว่ารัฐธรรมนูญฉบับใหม่ จะเขียนออกมาแย่กว่าเดิมโดยมีแต่นักการเมืองที่ได้ประโยชน์ ตนต้องย้ำว่ารัฐธรรมนูญฉบับใหม่จะเขียนมาแย่แค่ไหน ก็ไม่สามารถนำมาบังคับใช้กับคนไทยได้ หากคนไทยไม่โหวตเห็นชอบด้วย เพราะรัฐธรรมนูญฉบับใหม่จะบังคับใช้ได้ ต้องผ่านความเห็นชอบของประชาชนในประชามติอย่างน้อย 2 รอบ


หรือถ้ากลัวว่าการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่จะ “ใช้เวลานานเกินไป ตรงไหนเป็นปัญหา ก็ควรจะแก้แค่มาตรานั้น” ตนก็ต้องย้ำว่าบางปัญหานั้นเชื่อมโยงกับหลายมาตรา การแก้แค่ 1 ประเด็นอาจจำเป็นต้องแก้หลายสิบมาตราอยู่ดี เช่น หากเราจะหันมาใช้ระบบสภาเดี่ยว แค่เรื่องเดียวก็ต้องแก้อย่างน้อย 81 มาตรา 


“หากรัฐธรรมนูญ 2560 เปรียบเสมือนบ้านหลังหนึ่งที่มีสภาพปัญหาในแทบทุกห้อง เราจะซ่อมเป็นรายจุดไปก็ทำได้ แต่หากปัญหาลามไปถึงเสาเข็มหรือทางเชื่อมระหว่างห้อง การสร้างบ้านหลังใหม่ที่เราทุกคนได้ร่วมออกแบบตั้งแต่ต้นอาจจะเรียบง่ายกว่า รวดเร็วกว่า และทำให้เกิดความรู้สึกที่ดีกว่า ว่าบ้านหลังนี้เป็นของพวกเราทุกคน”


พริษฐ์กล่าวว่า ดังนั้น หากเราเห็นตรงกันว่าบ้านเรามีปัญหา และเราควรมาร่วมกันออกแบบบ้านหลังใหม่ที่ดีกว่าเดิม ตนขอเชิญชวนให้ลงมติรับหลักการร่างรัฐธรรมนูญทั้ง 3 ร่างที่มีหลักการเดียวกัน คือการเดินหน้าสู่การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ส่วนรายละเอียดเรื่องกลไกในการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ที่บางคนอาจมีความเห็นต่างกับร่างของพรรคประชาชนในบางเรื่อง เป็นรายละเอียดที่ไปถกกันต่อได้ในชั้นกรรมาธิการ


ทั้งนี้ หลักคิดหรือจุดแข็งสำคัญของพรรคประชาชนมีเพียง 3 ข้อ จุดแข็งข้อที่หนึ่ง คือการส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชน แม้เรายืนยันว่าการที่ สสร. มาจากการเลือกตั้ง 100% จะทำให้รัฐธรรมนูญมีความชอบธรรมทางประชาธิปไตยมากที่สุด แม้เราไม่เห็นด้วยกับคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญเมื่อวันที่ 10 กันยายนที่ผ่านมา ทั้งในเชิงกระบวนการที่ตอบเกินคำถามและในเชิงเนื้อหาที่เรามองว่าขัดกับหลักการประชาธิปไตย แต่เราตระหนักดีว่าคำวินิจฉัยของรัฐธรรมนูญ ทำให้ข้อเสนอ สสร.ที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน ไปต่อได้ยากในวันนี้ เราจึงพยายามออกแบบกลไกในการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ที่เปิดให้ประชาชนมีส่วนร่วมได้มากที่สุด โดยไม่ขัดต่อคำวินิจฉัย


ในเมื่อคำวินิจฉัยเขียนห้ามเฉพาะไม่ให้ “ประชาชนเลือกผู้ร่างรัฐธรรมนูญโดยตรง” เราจึงออกแบบกลไกที่มี 2 องค์ประกอบทำงานคู่ขนานกัน คือ (1) คณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญที่มีหน้าที่ในการยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ในเมื่อศาลวินิจฉัยให้ประชาชนเลือกผู้ร่างโดยตรงไม่ได้ เราจึงออกแบบให้ประชาชน “เลือกทางอ้อม” โดยเลือกเข้ามาเบื้องต้น 70 คน ใช้ประเทศเป็นเขตเลือกตั้ง ก่อนให้รัฐสภาคัดเลือกเหลือ 35 คน (2) สภาที่ปรึกษาการยกร่างรัฐธรรมนูญที่มีหน้าที่รับฟัง รวมรวม และสะท้อนความเห็นประชาชน ในเมื่อสภาที่ปรึกษานี้ไม่ได้เป็นผู้ร่างและไม่มีอำนาจลงมติเรื่องเนื้อหา เราจึงออกแบบให้ประชาชน “เลือกทางตรง” ได้ 100 คน ใช้จังหวัดเป็นเขตเลือกตั้ง โดยมีอย่างน้อย 1 คนในทุกจังหวัดทั่วประเทศ


จุดแข็งข้อที่ 2 ป้องกันการกินรวบ-ผูกขาด ในเมื่อรัฐธรรมนูญเป็นกติกาที่ทุกคนต้องใช้ในการอยู่ร่วมกัน กติกาดังกล่าวจะเป็นที่ยอมรับต่อเมื่อการร่างกติกาไม่ถูกผูกขาดโดยกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง แม้คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญทำให้รัฐสภาอาจจำเป็นต้องมีบทบาทสำคัญในการคัดเลือกผู้ร่างรัฐธรรมนูญ แต่หากไปดูเนื้อหาในร่างของพรรคประชาชน จะเห็นว่าพอรัฐสภาต้องคัดเลือกกรรมาธิการยกร่าง 35 คนจากที่ประชาชนเลือกมา 70 คน เราไม่ได้ออกแบบให้การคัดเลือกนั้นใช้ “มติเสียงข้างมากของสมาชิกรัฐสภา” เพราะนั่นหมายความว่าหากวันหนึ่งเรามีพรรคการเมืองที่มี สส. 200 คน และมี สว. ที่คิดคล้ายกับพรรคนั้นอีก 160 คน รวมกันเป็น 360 คน ซึ่งเป็นเสียงข้างมากของรัฐสภา จะสามารถแพ็กกันและผูกขาดได้อย่างเบ็ดเสร็จว่าจะคัดเลือกใครเข้ามาเป็นกรรมาธิการทั้ง 35 คนในคณะ 


ดังนั้นเพื่อป้องกันการผูกขาด จึงออกแบบให้การคัดเลือกเป็นการเสนอชื่อตามสัดส่วนของกลุ่มความคิดต่างๆ ในรัฐสภา เมื่อสมาชิกรัฐสภามี 700 คน และกรรมาธิการยกร่างมี 35 คน จึงกำหนดให้ สส. สว. ที่รวมตัวกันได้ 20 คน มีสิทธิคัดเลือกกรรมาธิการ 1 คน จะไม่มีกลุ่มใดที่ผูกขาดการคัดเลือกกรรมาธิการ และกรรมาธิการยกร่างจะมีตัวแทนที่สะท้อนความหลากหลายทางความคิดที่มีอยู่ในรัฐสภาและในสังคม


จุดแข็งข้อที่ 3 กำหนดกรอบเนื้อหาที่ชัดเจน ตนเข้าใจดีว่าเนื้อหาในรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ จะเขียนไว้อย่างไรบ้าง เป็นหน้าที่ของกรรมาธิการยกร่าง หรือ สสร. ที่จะต้องถกกันในอนาคต อย่างไรก็ตาม ตนเข้าใจพี่น้องประชาชนจำนวนหนึ่งที่อาจรู้สึกว่าตอบตัวเองได้ยากว่าเห็นด้วยกับการริเริ่มให้มีการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่หรือไม่ หากไม่เห็นภาพเลยว่ารัฐธรรมนูญฉบับใหม่จะมีเนื้อหาที่ดีกว่ารัฐธรรมนูญปัจจุบันอย่างไร


พรรคประชาชนจึงได้เพิ่ม “กรอบเนื้อหา” ทั้งหมด 9 ข้อเข้าไปในร่างมาตรา 256/26 ว่ารัฐธรรมนูญฉบับใหม่ควรยึดหลักการพื้นฐานอะไร หรือกำหนดเนื้อหาไปในทิศทางไหน โดย 2 ข้อแรกระบุชัดว่ารัฐธรรมนูญฉบับใหม่ จะต้องไม่เปลี่ยนแปลงรูปแบบรัฐจากการเป็นรัฐเดี่ยว และจะต้องไม่เปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ส่วน 7 ข้อหลัง เป็นการพูดถึงประเด็นที่เราเห็นว่าเป็นปัญหาในรัฐธรรมนูญ 2560 และรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ควรทำให้ดีกว่าเดิม เช่น การคุ้มครองสิทธิเสรีภาพ การออกแบบสถาบันทางการเมืองให้ยึดโยงประชาชน การยกระดับกลไกในการป้องกันและปราบปรามการทุจริต การรองรับระบบราชการและนโยบายที่เท่าทันต่อการเปลี่ยนแปลง


พริษฐ์ สรุปทิ้งท้ายว่าตนไม่ได้บอกว่ารัฐธรรมนูญ เป็น “ยาวิเศษ” ที่ทำให้ทุกปัญหาหายไปทันที แต่รัฐธรรมนูญเป็นเหมือนกับอากาศที่เราหายใจกันอยู่ ล่องหน จับต้องได้ยาก แต่ส่งผลกระทบต่อเราทุกวินาทีโดยไม่รู้ตัว การมีรัฐธรรมนูญที่ดีหรืออากาศที่บริสุทธิ์อาจไม่ได้จะทำให้เศรษฐกิจเราดีขึ้นชั่วข้ามคืน แต่ถ้ารัฐธรรมนูญหรืออากาศเป็นพิษ สุขภาพเราในการทำมาหากินและศักภาพของประเทศในการแข่งขันกับโลกก็จะค่อยๆถูกทำลาย การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ จึงเป็นโอกาสในการออกแบบระบบการเมืองที่ประชาชนหวังพึ่งได้


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #พรรคประชาชน #เขียนรัฐธรรมนูญใหม่ #ประชุมสภา