วันพุธที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2568

ศูนย์ทนายฯ เผย “ไผ่ จตุภัทร์” เล่า ถูกข่มขู่จากผู้คุม หลังประท้วงในเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ เหตุไม่ย้ายแดน หลังครบกักตัว 5 วัน ด้านทนายยื่นหนังสือถึงผบ.เรือนจำพิเศษฯ ให้ตรวจสอบ จนท.ว่าเกินสมควรแก่เหตุหรือไม่ และขอให้ย้ายตัว ไผ่-ครูใหญ่ ไปแดน 4 เพื่อลดความขัดแย้งในเรือนจำ

 


ศูนย์ทนายฯ เผย “ไผ่ จตุภัทร์” เล่า ถูกข่มขู่จากผู้คุม หลังประท้วงในเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ เหตุไม่ย้ายแดน หลังครบกักตัว 5 วัน ด้านทนายยื่นหนังสือถึงผบ.เรือนจำพิเศษฯ ให้ตรวจสอบ จนท.ว่าเกินสมควรแก่เหตุหรือไม่ และขอให้ย้ายตัว ไผ่-ครูใหญ่ ไปแดน 4 เพื่อลดความขัดแย้งในเรือนจำ


วันนี้ (1 ตุลาคม 2568 ) ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน รายงานว่า เมื่อวันที่ 30 ก.ย. 2568 ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ทนายความเข้าเยี่ยม “ไผ่” จตุภัทร์ บุญภัทรรักษา ซึ่งถูกส่งตัวจากเรือนจำอำเภอภูเขียว จ.ชัยภูมิ มายังเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ พร้อมกับ “ครูใหญ่” อรรถพล บัวพัฒน์ เพื่อเข้าร่วมการสืบพยานที่ศาลอาญาระหว่างวันที่ 24-26 ก.ย. 2568 ในคดีที่เกี่ยวเนื่องกับการชุมนุม #19กันยาทวงอำนาจคืนราษฎร


ไผ่ได้แจ้งผ่านทนายความว่า เขายังคงอยู่ถูกคุมขังอยู่ในแดน 2 ซึ่งเป็นแดนแรกรับทั้งที่ครบกำหนดกักตัวตามกำหนด 5 วันแล้ว เมื่อวันที่ 29 ก.ย. 2568 และเพื่อนผู้ต้องขังในแดนซึ่งถูกคุมขังในห้องอื่นได้ถูกจำแนกตัวไปยังแดนต่าง ๆ แล้ว ทำให้ไผ่รู้สึกว่าถูกกลั่นแกล้ง จึงทำการประท้วงโดยนำผ้าไปปิดกล้องวงจรปิดในห้องนอน


ผมเข้ามาเรือนจำวันที่ 23 ก.ย. เมื่อวาน (29 ก.ย.) ครบกำหนดกักตัวห้าวัน ต้องย้ายแดนแต่เขา (ผู้คุม) ไม่ย้าย ผมเลยนำผ้าไปปิดกล้อง ทำให้ผู้คุมที่ชื่อ พิพัฒน์ชล หินสุข ไม่พอใจ เขาได้นำตัวผมไปใส่กุญแจมือไขว้หลัง และให้มีคนประกบผมซ้ายขวาสี่คน ทั้งที่ผมไม่ได้ขัดขืนหรือใช้ความรุนแรงอะไร ขนาดตำรวจยังไม่เคยใส่กุญแจมือไขว้หลังเลย เขาก็เรียกผมไปด่าและข่มขู่ และทำบันทึกแต่ผมไม่ได้ลงชื่อ”


นอกจากนี้ ไผ่ได้เปิดเผยว่า “ไบรท์ ชินวัตร” ซึ่งอยู่ในแดนเดียวกัน ได้มายืนดูเขาที่กำลังถูกนำตัวไป ไบรท์ยังต้องถูกให้ทำบันทึกว่ามีการกระด้างกระเดื่องไปด้วย ไผ่มองว่าการกระทำของผู้คุมเป็นการใช้อำนาจเกินกว่าเหตุ โดยยังมีการประกาศเสียงตามสายด้วบถ้อยคำหยาบคาย ให้นำตัวคนที่ปิดกล้องวงจรปิดมาด้วย


ในวันถัดมา (30 ก.ย.) สันติ ป้องนพ ผู้คุมอีกคนหนึ่ง ได้เข้ามาตรวจในห้องกักและพบข้อความ ‘ปฏิรูปสถาบัน Reform the Monarchy’ บนผนังกำแพงเขียนด้วยกาแฟ ผู้คุมจึงขู่ว่าจะย้ายเขาไปแดน 8 เพื่อฝึกวินัย


ที่ผมว่าเกินไป คือเขาเอาผู้ต้องขังในห้องเดียวกับผมไปสอบทีละสองคนและย้ายไปห้องอื่นด้วย เดิมห้องผมมี 12 คน ย้ายออกไป 4 คน แต่เขาต้องย้ายไปห้องอื่นที่มีคนมากกว่าห้องผมและต้องกักตัวเพิ่ม มันเป็นการใช้อำนาจเกินกว่าเหตุหรือเปล่า ผมมองว่าเขาพยายามกลั่นแกล้งทุกวิถีทาง”


ทนายได้แจ้งกับไผ่ว่าจะทำหนังสือถึงเรือนจำเพื่อให้ตรวจสอบเรื่องที่เกิดขึ้น และคุยเรื่องกิจกรรม #Run2free ให้ไผ่ฟัง พร้อมทั้งเล่าถึงกิจกรรม #ConThai คารวานรณรงค์ร่างรัฐธรรมนูญ 77 จังหวัดที่ประกาศวันในการทำกิจกรรมในพื้นที่ภาคอีสาน ไผ่บอกว่าเขาคาดหวังว่าหากเขาต้องอยู่ในเรือนจำ กิจกรรมรณรงค์ร่างรัฐธรรมนูญที่เขาทำก่อนหน้าเข้าเรือนจำ ก็ยังสามารถดำเนินต่อไปได้ และฝากคนด้านนอกสนับสนุน #ConThai ด้วย


ในวันนี้ (1 ต.ค. 2568) ทางทนายความได้ยื่นหนังสือต่อผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร ขอให้ตรวจสอบการกระทำของเจ้าหน้าที่ว่าเกินสมควรแก่เหตุหรือไม่ และขอให้ย้ายตัวจตุภัทร์ พร้อมอรรถพล ไปยังแดน 4 เพื่อลดความขัดแย้งภายในเรือนจำต่อไป


ปัจจุบัน ไผ่ถูกคุมขังพร้อมกับครูใหญ่ในคดีมาตรา 112 จากการปราศรัยประเด็นปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ในการชุมนุมหน้าโรงเรียนภูเขียวและ สภ.ภูเขียว จ.ชัยภูมิ เมื่อวันที่ 1 ก.พ. 2564 ซึ่งจัดขึ้นเพื่อเรียกร้องให้ตำรวจ สภ.ภูเขียว ขอโทษ กรณีไปคุกคามนักเรียนที่บ้าน โดยในวันที่ 3 ก.ย. 2568


ศาลอุทธรณ์ภาค 3 ได้มีคำพิพากษายืนตามศาลชั้นต้น จำคุกคนละ 3 ปี เพิ่มโทษจำเลยที่ 1 (ไผ่) กึ่งหนึ่ง เนื่องจากเคยต้องคำพิพากษาถึงที่สุดให้ลงโทษจำคุก และได้กระทำผิดซ้ำภายใน 3 ปี นับแต่วันพ้นโทษ เป็นจำคุก 4 ปี 6 เดือน ทางนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา ลดโทษให้ 1 ใน 3 คงจำคุก 2 ปี 12 เดือน


ภายหลังศาลอุทธรณ์พิพากษา ไผ่และครูใหญ่ได้ยื่นขอประกันตัวรวม 3 ครั้งแล้ว แต่ศาลฎีกาไม่อนุญาต โดยอ้างเหตุว่า “หากปล่อยชั่วคราวมีเหตุอันควรเชื่อได้ว่า จำเลยที่ 1 และที่ 2 อาจจะหลบหนี”


อย่างไรก็ตาม ไผ่และครูใหญ่ได้ไปตามนัดหมายตลอดตั้งแต่ชั้นสอบสวนจนกระทั่งวันฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ที่ผ่านมา โดยไม่เคยมีพฤติการณ์หลบหนีแต่อย่างใด

 

#UDDnews #ยูดีดีนิวส #ไผ่จนุภัทร์ #มาตร1112