สส.ปชน. 3 จังหวัด
ชี้โยกย้ายผู้ว่ารอบล่าสุด สะท้อนระบบอุปถัมภ์เอื้อพวกพ้อง
ไม่ได้ยึดความรู้ความสามารถ ย้ำต้องกระจายอำนาจ
แก้ปัญหาเชิงโครงสร้างให้ประชาชนในพื้นที่ได้ดีที่สุด
กรณีการโยกย้ายข้าราชการระดับสูงในกระทรวงมหาดไทยกว่า 45
ตำแหน่ง ซึ่งเป็นผลจากการประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 14 ตุลาคม 2568 ทำให้เกิดคำถามในสังคมอย่างกว้างขวางว่าเป็นการโยกย้ายโดยพิจารณาจากความรู้ความสามารถและการแก้ปัญหาให้ประชาชน
หรือเป็นการโยกย้ายจากระบบอุปถัมภ์และเอื้อประโยชน์ให้พวกพ้อง
สส.พรรคประชาชนจาก 3 จังหวัด
ได้แก่ เชียงใหม่ เชียงราย ภูเก็ต ได้สะท้อนปัญหาของการโยกย้ายครั้งนี้
ซึ่งถือเป็นการเปลี่ยนผู้ว่าฯ ที่เร็วที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์
จากปกติผู้ว่าฯ มีวาระเฉลี่ยประมาณ 2 ปี ซึ่งถือว่าสั้นมาก
ย้ายบ่อยจนคนในพื้นที่จำชื่อผู้ว่าฯ ไม่ได้อยู่แล้ว
มาครั้งนี้คนในพื้นที่ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าผู้ว่าฯ เปลี่ยนไปอีกแล้ว
[ คนเชียงใหม่ต้องได้เลือกผู้ว่าของตัวเอง
]
เพชรรัตน์ ใหม่ชมภู สส.เชียงใหม่ เขต 1
พรรคประชาชน
กล่าวว่าการโยกย้ายครั้งนี้เป็นการตอกย้ำอย่างชัดเจนว่าเชียงใหม่ต้องมีผู้ว่าฯ
ที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน
เพื่อความต่อเนื่องในการแก้ไขปัญหาและการจัดทำบริการสาธารณะที่มีคุณภาพและตอบโจทย์ประชาชนอย่างทันท่วงที
ขณะที่เชียงใหม่กำลังวางแผนระดับจังหวัดร่วมกันทุกภาคส่วน
เพื่อเตรียมพร้อมเผชิญปัญหาฝุ่นพิษ PM 2.5 รัฐบาลจะเปลี่ยนผู้ว่าฯ
เพื่ออะไร แล้วการแก้ปัญหาส่วยสัญชาติ
ที่มีเครือข่ายในการเรียกรับผลประโยชน์จากประชาชนที่มีสิทธิได้รับสัญชาติไทย
จะจัดการเรื่องนี้ต่อไปอย่างไร
ตลอดจนเรื่องการจัดทำระบบขนส่งสาธารณะที่ภาคประชาสังคมและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นพยายามผลักดัน
จะดำเนินการอย่างไรต่อ
ในเมื่อผู้ว่าฯ
ซึ่งเป็นประธานคณะกรรมการขนส่งทางบกระดับจังหวัดถูกสั่งย้าย ผู้ว่าฯ
คนใหม่ที่จะมาดำรงตำแหน่ง จะสานต่อเรื่องนี้ได้อย่างไร จะต้องนับหนึ่งอีกหรือไม่
การโยกย้ายผู้ว่าฯ ในครั้งนี้สะท้อนว่า
รัฐบาลไม่ได้คำนึงถึงการแก้ไขปัญหาของประชาชนในจังหวัดเชียงใหม่เป็นที่ตั้ง
แต่เป็นการโยกย้ายด้วยเหตุผลทางการเมือง ซึ่งอาจทำให้การแก้ไขปัญหาต่างๆ
ตลอดจนการพัฒาคุณภาพชีวิตของประชาชนชาวเชียงใหม่อาจต้องสะดุดหยุดลง
[ เชียงรายเปลี่ยนผู้ว่ากลางคัน
แก้สารพิษน้ำกกชะงัก ]
ด้าน จุฬาลักษณ์ ขันสุธรรม สส.เชียงราย เขต 6
พรรคประชาชน กล่าวว่าจังหวัดเชียงรายเคยประสบสถานการณ์ที่มีผู้ว่าฯ
รอการเกษียณในช่วงภัยพิบัติน้ำท่วมใหญ่ปี 2567 ทำให้เกิดปัญหาการสั่งการล่าช้า
ไม่ทันกับการรับมือภัยพิบัติ
ครั้งนี้ก็เจอการเปลี่ยนผู้ว่าราชการจังหวัดในช่วงสถานการณ์ภัยพิบัติสารพิษปนเปื้อนในแม่น้ำกก
แม่น้ำสาย แม่น้ำรวก และแม่น้ำโขงอีกแล้ว
ทั้งที่ในระดับจังหวัดนั้นได้มีการประชุมขับเคลื่อนในเชิงประเด็นกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในส่วนกลางและภายในจังหวัด
จนตกผลึกเรื่องแนวทางการรับมือกับปัญหา กำลังจะเริ่มดำเนินการ
กลับมีการเปลี่ยนผู้ว่า ซึ่งคนใหม่ก็ต้องทำความรู้จักพื้นที่และปัญหากันใหม่
และล่าสุดที่ร้อยเอกธรรมนัส พรหมเผ่า รองนายกรัฐมนตรี
ลงพื้นที่จังหวัดเชียงราย ได้ป่าวประกาศอย่างชัดเจนบนเวที
ว่าผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายคนใหม่เป็นญาติของภรรยาของร้อยเอกธรรมนัส
ซึ่งมาเป็นผู้ว่าฯ ได้ 2 สัปดาห์ก็จะย้ายไปแล้ว
พร้อมกับกล่าวว่าผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายคนใหม่ที่จะย้ายมา
ต้องเป็นคนที่ตัวเองสั่งการได้
“ตกลงการโยกย้ายตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัดในแต่ละจังหวัด
มีประชาชนอยู่ในสมการของการโยกย้ายหรือไม่
คำสั่งโยกย้ายนั้นมองถึงความรู้ความสามารถของผู้ว่าราชการคนดังกล่าวที่จะมาประจำในแต่ละจังหวัดหรือไม่
หรือเป็นเพียงการโยกย้ายตามอำเภอใจโดยที่ปัญหาของพ่อแม่พี่น้องถูกเตะถ่วงไว้
ไม่ได้รับการแก้ไขอย่างต่อเนื่อง
การโยกย้ายตำแหน่งแบบนี้เพื่อประชาชนหรือเพื่อประโยชน์ตนเองกันแน่”
[ ปัญหาภูเก็ตรอแก้ไข
ผู้ว่าโดนย้ายหลังรับตำแหน่งแค่ 14 วัน ]
ส่วน ฐิติกันต์ ฐิติพฤฒิกุล สส.ภูเก็ต เขต 3
พรรคประชาชน กล่าวว่า ภายในเวลาเพียง 14 วัน
จังหวัดภูเก็ตเปลี่ยนผู้ว่าฯ ใหม่ เนื่องจากความต้องการของผู้มีอำนาจ
ทั้งที่ผู้ว่าฯ คนที่ผ่านมา เพิ่งจะมาทำความความเข้าใจปัญหาต่างๆ ของพื้นที่
ไม่ว่าจะเป็นการบริหารจัดการน้ำ
การจัดการพื้นที่สาธารณะเพื่อคุณภาพชีวิตของประชาชน หรือการแก้ไขปัญหาจราจรแบบบูรณาการ
โดยการเร่งพัฒนาโครงข่ายคมนาคมครบทุกระบบ
เพื่อรองรับการเติบโตของเมืองท่องเที่ยวระดับโลก
และยังมีการแก้ไขปัญหาที่รอดำเนินการอีกหลายเรื่อง เช่น
การจัดการพื้นที่สาธารณะประโยชน์ประเภทชายหาด
ที่ต้องจัดการให้พ่อค้าแม่ค้าควบคู่ไปกับการบริหารจัดการพื้นที่ หรือการแก้ไขปัญหาที่ดินทับซ้อนระหว่างรัฐกับประชาชน
พรรคประชาชนขอยืนยันว่า
การกระจายอำนาจคือการแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างที่ดีที่สุดสำหรับพี่น้องประชาชนในพื้นที่
การแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการ
ต้องเอาการแก้ปัญหาให้กับประชาชนและการพัฒนาที่ตรงความต้องการของประชาชนเป็นตัวตั้ง
พิจารณาคุณสมบัติของข้าราชการที่มีความรู้ความสามารถที่เหมาะสมกับภารกิจดังกล่าวเป็นสำคัญ
ไม่ใช่โยกย้ายจากระบบอุปถัมภ์และเอื้อประโยชน์ให้กับเครือข่ายในกลุ่มของตน