วันพฤหัสบดีที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2568

“ณัฐพงษ์” ถามกระทู้ รมว.ต่างประเทศกรณีประชามติ MOU 43-44 เต็มไปด้วยข้อมูลอ่อนไหวต่อความมั่นคงของชาติ รัฐบาลมั่นใจแค่ไหนที่จะเปิดเผยข้อมูลอย่างละเอียด โดยที่กัมพูชาจะไม่รับรู้ล่วงหน้า ด้าน“สีหศักดิ์” ยังคลุมเครือ ขอประชุมเพิ่มเติมและชี้แจงอีกครั้งเมื่อมีแนวทางที่ชัดเจน

 


“ณัฐพงษ์” ถามกระทู้ รมว.ต่างประเทศกรณีประชามติ MOU 43-44 เต็มไปด้วยข้อมูลอ่อนไหวต่อความมั่นคงของชาติ รัฐบาลมั่นใจแค่ไหนที่จะเปิดเผยข้อมูลอย่างละเอียด โดยที่กัมพูชาจะไม่รับรู้ล่วงหน้า ด้าน“สีหศักดิ์” ยังคลุมเครือ ขอประชุมเพิ่มเติมและชี้แจงอีกครั้งเมื่อมีแนวทางที่ชัดเจน


วันที่ 9 ตุลาคม 2568 ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน และผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร ได้ถามกระทู้สดด้วยวาจาต่อ สีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ถึงแนวคิดของรัฐบาลในการจัดทำประชามติยกเลิก MOU 43-44 ระหว่างไทย-กัมพูชา พร้อมกับการเลือกตั้งและการทำประชามติจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ในอีก 4 เดือนข้างหน้า


ณัฐพงษ์ระบุว่าจากการแถลงนโยบายของรัฐบาลเมื่อวันที่ 29 กันยายน 2568 รองนายกรัฐมนตรี บวรศักดิ์ อุวรรณโณ ได้พูดอย่างชัดเจนในสภาผู้แทนราษฎรว่า การเลือกตั้งครั้งหน้าจะมีบัตรทั้งหมด 4 ใบ คือบัตรเลือกส.ส. เขต, เลือกส.ส. บัญชีรายชื่อ, การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ และการสอบถามประชาชนเรื่องการยกเลิก MOU ทั้งสองฉบับ อย่างไรก็ตามจากผลสำรวจของนิด้าโพลที่ผ่านมา พบว่าผู้ตอบแบบสำรวจราว 69% ยังมีความไม่ค่อยเข้าใจหรือไม่เข้าใจเลยในเนื้อหาหาและรายละเอียดของ MOU 43-44 ขณะเดียวกันราว 60% ก็ตอบแบบสำรวจว่ายังอยากจะให้มีการจัดทำประชามติสอบถามความคิดเห็นประชาชนในเรื่องนี้อยู่ ว่าจะยกเลิกหรือไม่อย่างไร


แม้การจัดทำประชามติจะเป็นกลไกที่สำคัญในระบอบประชาธิปไตย ที่จะเปิดโอกาสให้ประชาชนได้ใช้อำนาจทางตรงในการตัดสินใจเรื่องสำคัญของประเทศ แต่การจัดทำประชามติจะสะท้อนเจตจำนงของประชาชนได้ สิ่งที่สำคัญเป็นอย่างยิ่งก็คือกระบวนการ ที่จะต้องมีการรณรงค์อย่างเปิดกว้าง ให้ข้อมูลอย่างรอบด้าน ให้ประชาชนเข้าใจอย่างถี่ถ้วนก่อนการออกเสียงในคูหา ทำให้ประชาชนเห็นข้อมูลอย่างชัดเจนว่าหากยกเลิก MOU แต่ละฉบับจะส่งผลอย่างไรต่อการจัดการข้อพิพาทระหว่างไทย-กัมพูชา และไทยจะได้เปรียบหรือเสียเปรียบอย่างไรจากการยกเลิก MOU ทั้งสองฉบับ


ณัฐพงษ์กล่าวต่อไปว่าในมุมมองของพวกตนแล้วแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะรณรงค์เรื่องนี้ให้ประชาชนรับทราบข้อมูล ทั้งข้อได้เปรียบและข้อเสียเปรียบ โดยไม่ทำให้ฝ่ายกัมพูชาล่วงรู้ได้ MOU ทั้งสองฉบับนั้นมีสาระสำคัญในเรื่องการปักปันเขตแดนทางบก และการบริหารผลประโยชน์พื้นที่ทับซ้อนทางทะเลระหว่างไทย-กัมพูชา ข้อมูลจำนวนมากบ่งชี้อย่างชัดเจนว่าประเทศไทยจะได้เปรียบและเสียเปรียบในประเด็นใดบ้าง ซึ่งสภาผู้แทนราษฎรยังต้องประชุมลับกันในช่วงที่ผ่านมาเพื่อไม่ให้ฝ่ายกัมพูชาล่วงรู้


ตาม พ.ร.บ.ประชามติ มีบทบัญญัติไว้ว่าการออกเสียงประชามติต้องไม่เป็นการชี้นำ รัฐบาลและ กกต. จะต้องให้รายละเอียดอย่างรอบด้าน ซึ่งหมายถึงข้อได้เปรียบและข้อเสียเปรียบของไทยที่มีต่อกัมพูชา รัฐบาลและ กกต. จะต้องจัดให้มีการแสดงความคิดเห็นผ่านสถานีวิทยุและโทรทัศน์ และเวทีสาธารณะอย่างทั่วถึง ภายใต้รายละเอียดจำนวนมากที่ประชาชนจำเป็นจะต้องใช้ในการประกอบการตัดสินใจ คำถามคือรัฐบาลมีแผนในการดำเนินการจัดทำประชามติอย่างไรเพื่อไม่ให้การออกเสียงประชามติยกเลิก MOU ทั้งสองฉบับนี้ขัดต่อ พ.ร.บ.ประชามติที่กำหนดไว้อย่างชัดเจนเช่นนี้


ณัฐพงษ์กล่าวต่อไปว่า พ.ร.บ.ประชามติยังมีบทบัญญัติเพิ่มเติม ว่ารัฐบาลและ กกต. จะต้องให้ข้อมูลในส่วนของมาตรการป้องกัน แก้ไข และเยียวยาความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้นหากมีการดำเนินการตามผลประชามติ ก็คือถ้าจะต้องมีการยกเลิก MOU ทั้งสองฉบับจริง รัฐบาลจะต้องให้ข้อมูลแก่ประชาชนก่อนวันออกเสียงประชามติ ว่าหากมีการยกเลิกจริงจะมีมาตรการในการป้องกันเยียวยาความเสียหายอย่างไร เช่นในเรื่องของการปักปันเขตแดนระหว่างไทยและกัมพูชา วันนี้รัฐบาลมีมาตรการหรือกลไกอื่นใดที่ดีกว่า MOU 43 ในการปักปันเขตแดงทางบกระหว่างไทย-กัมพูชาหรือไม่ ส่วนกรณี MOU 44 รัฐบาลมีวิธีการหรือมาตรการอย่างไรในการป้องกันไม่ให้เอกชน ที่ได้ลงนามสัญญาสัมปทานขุดเจาะก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทยในพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลระหว่างไทย-กัมพูชา ไม่ให้เอาเรื่องไปฟ้องอนุญาโตตุลาการเรียกค่าเสียหายกับรัฐบาลไทย


ในทางปฏิบัติการรณรงค์ในเรื่องนี้ผ่านเวทีสาธารณะและให้ข้อมูลรอบด้านจริงโดยไม่ให้ฝ่ายกัมพูชาล่วงรู้ในรายละเอียดนั้นยากมากและแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย ตนจึงอยากถามว่าหากรัฐบาลยังจะดึงดันเดินหน้าจัดทำประชามติโดยกระบวนการแบบนี้ที่อาจสุ่มเสี่ยงขัดต่อกฎหมายต่อหรือไม่ และหากจะมีผู้ร้องไปร้องว่ากระบวนการจะทำประชามติแบบนี้ให้ข้อมูลไม่รอบด้าน ไม่ได้ให้คำชี้แจงในเรื่องมาตรการป้องกันเยียวยาความเสียหายตามกฏหมาย และทำให้การจัดทำประชามติเป็นโมฆะหรือสิ้นผลไป รัฐบาลจะยังเดินหน้าต่อจริงหรือ หรือกลไกอื่น เช่น การใช้กลไกในสภา กรรมาธิการวิสามัญ จะเป็นทางออกที่ดีกว่าการออกเสียงประชามติหรือไม่ รัฐบาลได้พิจารณาการใช้กลไกแบบนี้ในการศึกษาอย่างรอบคอบ ก่อนที่จะส่งผลสรุปการศึกษาให้ฝ่ายบริหารใช้อำนาจในการตัดสินใจหรือไม่


ด้านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้ตอบคำถามโดยระบุว่าเรื่องของ MOU มีความสำคัญในแง่อธิปไตยและเขตแดน ประชาชนควรที่จะได้มีส่วนในการแสดงความเห็น นี่คือที่มาของแนวคิดการทำประชามติ แต่วิธีการจะทำอย่างไรนั้นก็ต้องเป็นไปด้วยความรอบคอบ จึงต้องฟังเสียงของสังคม ในสภาก็มีกระบวนการตั้งกรรมาธิการเพื่อให้รอบคอบ จึงเป็นสิ่งที่ดีที่ขณะนี้มีการอภิปรายในเรื่องนี้ยังจริงจัง การให้ข้อมูลข่าวสารที่จะนำมาเปิดเผยสู่สาธารณชน รวมถึงการเยียวยาโดยเฉพาะภาคเอกชน เป็นสิ่งที่ต้องคำนึงถึง เป็นรายละเอียดที่ต้องพิจารณากันให้ดี 


โดยในสัปดาห์หน้ารองนายกรัฐมนตรี บวรศักดิ์ จะมีการประชุมเพื่อศึกษาว่าขั้นตอน รูปแบบ และวิธีการดำเนินการประชามติจะทำอย่างไร เมื่อมีความชัดเจนหลักการประชุมกันแล้วว่าจะดำเนินการอย่างไร ตนจะมานำเรียนชี้แจงที่รัฐสภาอีกครั้งหนึ่ง


ทางด้านณัฐพงษ์ได้ถามกระทู้ต่อ โดยระบุว่าในฐานะที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเคยเป็นข้าราชการในกระทรวงการต่างประเทศมาโดยตลอด ตนอยากทราบความเห็นในฐานะที่เป็นนักการทูตและเป็นตัวแทนของรัฐบาล ว่าท่านเห็นด้วยว่ารัฐบาลควรจะต้องยกเลิก MOU 43 และ 44 หรือไม่


ซึ่งสีหศักดิ์ได้ระบุว่า MOU เป็นผลประโยชน์ที่สำคัญมากของประเทศ เขตแดน และอธิปไตย เพราะฉะนั้นการเข้าสู่กระบวนการประชามติจะพิจารณายกเลิกหรือไม่ ตนคิดว่าต้องทำด้วยความรอบคอบ ต้องมีความชัดเจนว่าถ้าไม่มี MOU แล้วจะมีอะไรเป็นทางเลือกบ้าง เพื่อไม่ให้ผลประโยชน์ของประเทศได้รับผลกระทบ ไม่ใช่อยู่ดีๆ อยากมีประชามติแล้วไปสู่การทำประชามติ โดยไม่มีการเตรียมการและไม่มีแผนรองรับ กระทรวงการต่างประเทศเห็นความสำคัญของการมีแผนรองรับว่าถ้าไม่มี MOU แล้วอะไรคือทางเลือกของไทยที่จะปกป้องรักษาผลประโยชน์ของไทยไว้ได้ ส่วนเรื่องการเยียวยา มีรายละเอียดมากมายแต่อะไรที่เป็นสิทธิอันชอบธรรมและถูกกระทบจากการยกเลิก MOU ก็ต้องมีการให้การเยียวยากับผู้ที่ได้รับผลกระทบแน่นอน


จากนั้น ณัฐพงษ์ได้ถามกระทู้ต่อในรอบสุดท้าย โดยระบุว่าการที่รัฐมนตรีตอบคำถามตนไม่ได้เช่นนี้ เชื่อว่าเป็นเพราะรัฐมนตรีมีข้อจำกัด สิ่งที่ทุกคนต้องการคือผลประโยชน์สูงสุดของประเทศไทยแน่นอน แต่สิ่งที่เราไม่ต้องการคือการใช้ประเด็นนี้มาเรียกกระแส และอาจทำให้เกิดการตัดสินใจที่ผิดพลาดจนไม่สามารถกลับมาแก้ไขได้อีก หากกัมพูชาล่วงรู้ข้อได้เปรียบเสียเปรียบของไทยทั้งหมด แล้วสุดท้ายกัมพูชาเอาเรื่องนี้ขึ้นสู่ศาลโลกได้ 


รัฐมนตรีย่อมรู้ว่าอะไรคือทางออกที่ถูกต้อง เพียงแต่ในวันนี้ท่านอยู่ในคณะรัฐมนตรีจึงทำให้มีอุปสรรคบางอย่างที่ตอบตนไม่ได้ตรงๆ แต่สิ่งที่ตนคาดหวังคือในขณะที่ประชาชนคนไทยคาดหวังระบบการเมืองที่ดี ที่บุคคลที่ดำรงตำแหน่งในคณะรัฐมนตรีเป็นคนที่มีความรู้ความสามารถ ไม่ได้มาจากการเจรจาต่อรองโควตาตำแหน่งทางการเมืองเพียงอย่างเดียว 


ณัฐพงษ์กล่าวต่อไปว่าสิ่งที่ตนอยากได้ยินรัฐมนตรีตอบคือคำยืนยันในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ซึ่งคำพูดย่อมมีน้ำหนักแน่นอนในการให้ความเห็นต่อคณะรัฐมนตรี ขอให้ยืนยืนยันออกมาได้หรือไม่ว่าท่านเห็นด้วยจริงหรือที่จะต้องมีการยกเลิก MOU ทั้งสองฉบับ การทำประชามติเป็นกระบวนการที่เหมาะสมในการแก้ไขปัญหาเรื่องนี้ หรือหากไม่เห็นด้วยหรือหากไม่สามารถตอบออกมาได้อย่างชัดเจน ตนขอคำยืนยันได้หรือไม่ว่ารัฐมนตรีจะเข้าไปนำเสนอข้อคิดเห็นเพื่อเบรคฝ่ายการเมือง ที่เอาเรื่องนี้มาเป็นประเด็นทางการเมือง เพื่อใช้กระแสชาตินิยมหวังผลประโยชน์ทางการเมืองหรือไม่


สีหศักดิ์ได้ตอบคำถามโดยระบุว่าตนขอยืนยันว่าเรื่องการต่างประเทศเป็นเรื่องของผลประโยชน์ของชาติ ต้องไม่นำมาเป็นประเด็นทางการเมืองและต้องมีการอภิปรายอย่างจริงจัง ไม่ว่าตนจะตอบอะไรต้องตอบด้วยความมั่นใจ จึงอยากให้มีการพูดคุยในรายละเอียดโดยคำนึงถึงประเด็นต่างๆ ให้ชัดเจนว่าจะเดินหน้ากันอย่างไร ความเห็นส่วนตัวของตนจะนำไปเสนอแน่นอนในการพิจารณาของรัฐบาล และขอยืนยันว่าส่วนตนมองเรื่องของผลประโยชน์ของประเทศชาติเป็นหลัก ขณะเดียวกันเรื่องของกระบวนการประชาธิปไตยที่รัฐบาลต้องมีความรับผิดชอบต่อสภาก็สำคัญ หากมีประเด็นอะไรตนพร้อมที่จะมาชี้แจงต่อไปในอนาคต


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #MOU #พรรคประชาชน