วันจันทร์ที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2568

สโมสรนิสิตรัฐศาสตร์จุฬา จัด ‘5 ตุลา แสงจันทรา และสายลมแห่งความหวัง‘ หวนถึงความหวังในการชุมนุม 5 ตุลา 19 ก่อนถูกล้อมปราบในเช้าวันต่อมา

 


สโมสรนิสิตรัฐศาสตร์จุฬา จัด ‘5 ตุลา แสงจันทรา และสายลมแห่งความหวัง‘ หวนถึงความหวังในการชุมนุม 5 ตุลา 19 ก่อนถูกล้อมปราบในเช้าวันต่อมา


วันที่ 5 ต.ค. 2568 ที่ตึกกิจกรรมนิสิต คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มีงาน “5 ตุลา แสงจันทรา และสายลมแห่งความหวัง” โดยสโมสรนิสิตคณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ เพื่อรำลึกถึงเหตุการณ์ชุมนุมในวันที่ 5 ตุลาคม 2519 ด้วยความหวังที่จะเห็นอนาคตที่สดใสของประเทศ ก่อนที่จะเกิดการล้อมปราบนักศึกษาและประชาชนภายในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ในรุ่งเช้าของวันที่ 6 ตุลาคม 2519 จนกลายเป็นเหตุการณ์ที่ ‘จำไม่ได้ ลืมไม่ลง’


ในช่วงบ่ายเริ่มด้วยเรื่องเล่าจากผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์จริงโดย อาจารย์เนตรนภา ชุมทอง อดีตหน่วยพยาบาลเพื่อมวลชน หนึ่งในผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์การควบคุมตัวกลางสนามบอลฯ ธรรมศาสตร์


ตอนหนึ่งเนตรนภาเล่าถึงช่วงกลางคืนวันที่ 5 ตุลาก่อนเกิดเหตุพบว่าความรุนแรงเริ่มเกิดขึ้น นักศึกษาบาดเจ็บ แต่ก็ยังมีความหวังอยู่ว่าเหตุการณ์จะดีขึ้นกว่าเดิมและเผด็จการจะออกไปจากประเทศ แต่เมื่อดึกขึ้นเหตุการณ์ก็เริ่มทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ จนเวลาตีห้าได้ยินเสียงระเบิดดังกลางสนามบอล จนไม่สามารถช่วยเหลือคนที่บาดเจ็บได้ต่อ เธอถูกบังคับให้นอนคว่ำหน้าอยู่ที่สนามบอล และถูกบังคับให้ถอดเสื้อออก เขาพูดว่า “ถ้าคุณไม่ถอด ผมจะถอดเอง” ก่อนที่จะถูกนำตัวขึ้นรถเมล์ไป


“เจตนาของทุกคนในวันนั้นต้องการประชาธิปไตยอย่างแท้จริง เกือบ 50 ปี จำได้ตลอดเวลา ไม่เคยลืม ทุกวันนี้ไม่กล้าดูหนังสงคราม เราดีใจที่คนรุ่นใหม่ออกมาต่อสู้และอยากฝากความหวังให้กับคนรุ่นใหม่มาสร้างสังคมใหม่ที่งดงามและมีประชาธิปไตยอย่างแท้จริง” เนตรนภากล่าวทิ้งท้าย


ด้าน อเล็ก แบมฟอร์ด (Alec Bamford) อดีตอาจารย์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ช่วงหนึ่งเขาเล่าถึงมุมมองจากชาวต่างชาติในช่วงว่า หลังจากวันนั้นมหาวิทยาลัยก็ปิด ต่อมา 31 ตุลาคม 2519 ก็ได้เข้าไปที่มหาวิทยาลัยเพื่อไปขอรับเงินเดือน ซึ่งเป็นครั้งแรกที่เขาเข้าไปในมหาวิทยาลัยหลังจากเกิดเหตุ เห็นเสื้อนักศึกษาหญิงและชายวางอยู่ สภาพอาคารเละเทะ 


สองสามวันต่อมาอเล็กได้รับสายให้เข้าไปที่มหาวิทยาลัยเนื่องจากมีธานินทร์ กรัยวิเชียร นายกรัฐมนตรีมาประชุม ช่วงหนึ่งเขาถูกเรียกไปพูดคุยในทำนองว่าหนังสือพิมพ์ ทีวีต่างประเทศโกหกเรื่องเมืองไทย ขอให้ไม่ลงสิ่งที่โกหก เขาบอกว่ามันทำไม่ได้ การทำแบบนี้นั้นผิดกฎหมาย ตอนท้ายเขากล่าวว่า “เมื่อผมมาเมืองไทย นึกว่าประขาธิปไตยยังอ่อนและกำลังเติบโต แต่หลังจากวันที่ 6 นั้นกลับ มีคนบอกว่าคนมีอำนาจ ไม่มีสมองจริง ๆ”


ช่วงต่อมาเป็นการวางดอกไม้จันทน์ รวมถึงวางพวงหรีดเพื่อรำลึกถึงผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ 6 ตุลา รวมถึงประชาธิปไตยที่เสียไป โดยมีองค์กรร่วมวางพวงหรีด อาทิ สโมสรนิสิตรัฐศาสตร์ จุฬาฯ, องค์การนักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, พรรคจุฬาสามัญชน, สำนักพิมพ์นิสิตสามย่าน เป็นต้น


รศ.ดร.กนกรัตน์ เลิศชูสกุล อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ อ่านข้อความจากผู้ร่วมงานที่เขียนข้อความในหัวข้อ ”หากย้อนเวลากลับไปวันที่ 5 ตุลา 2519 อยากบอกอะไรกับผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์“ และพาไปชมหมุด ’วิชิตชัย อมรกุล‘ ที่โถงอาคารสําราญราษฎร์บริรักษ์ คณะรัฐศาสตร์ หมุดข้อความว่า “รำลึก วีรชนประชาธิปไตย วิชิตชัย อมรกุล นิสิตปี 2 คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ถูกแขวนคอและเผาที่สนามหลวง 6 ตุลาคม 2519“ ซึ่งพบว่าหมุดและข้อความมีขนาดเล็ก และไม่ได้ติดตั้งอยู่ในระดับสายตาให้อ่านได้ง่ายนัก


จากนั้นเป็นช่วงรับชมภาพยนตร์เรื่อง October Sonata และวิพากษ์ภาพยนตร์ร่วมกับ รศ.ดร.บัณฑิต จันทร์โรจนกิจ และในช่วงสุดท้ายมีคอนเสิร์ตเพื่อความหวัง โดยวงโฮป, อัญชลี อิสมันยี, เอ้ กุลจิรา, แก้วใส วงสามัญชน และวงประหยัดไฟเบอร์ 5


สำหรับบรรยากาศในกิจกรรมนี้ ถูกตกแต่งในธีมงานศพของ ’ทรราช‘ เผด็จการที่ประชาชนได้ออกมาชุมนุมขับไล่ในวันที่ 5 ตุลาคม 2519 เป็นโลงศพสีทองและรูปพร้อมข้อความ “เถลิงชัยสู่ราษฎ์ ทรราชให้ตายสิ้น พิราบจักโบยบิน ผู้อาจินมิถูกลืม” พร้อมป้ายผ้าข้อความต่าง ๆ อาทิ “เดือนตุลาลืมไม่ได้ จำไม่ลง เกลียวเชือกรัด มัดตรึง ดึงขึ้นฟ้า พรากวิญญา จากกาย ไปจนสิ้น ตายแต่ตัว หัวใจ ยังโบยบิน ให้โลกยิน มิลืมเลือน เดือนตุลา”


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #49ปี6ตุลา19