วันศุกร์ที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2568

“เอกชัย หงส์กังวาน” เขียนจดหมายถึงศาลฎีกา: ขอพิจารณาคดี ม.110 อย่างระมัดระวัง - ไม่ฟังพยานที่มีอคติทางการเมือง เจ้าตัวบอกทนาย กังวลเรื่องสุขภาพ ซึ่งเป็นอาการหลังจากเจาะฝีในตับเมื่อปี 66

 


เอกชัย หงส์กังวาน” เขียนจดหมายถึงศาลฎีกา: ขอพิจารณาคดี ม.110 อย่างระมัดระวัง - ไม่ฟังพยานที่มีอคติทางการเมือง เจ้าตัวบอกทนาย กังวลเรื่องสุขภาพ ซึ่งเป็นอาการหลังจากเจาะฝีในตับเมื่อปี 66


วันที่ 17 ตุลาคม 2568 ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน เปิดเผยว่า วานนี้(วันที่ 16 ต.ค. 2568) ที่ศาลอาญา “เอกชัย หงส์กังวาน” ผู้ต้องขังคดีมาตรา 110 ได้ถูกนำตัวมาเข้าร่วมการสืบพยานที่ศาลอาญา ในคดีที่เกี่ยวเนื่องกับการชุมนุมคนอยากเลือกตั้ง ที่หน้าองค์การสหประชาชาติ เมื่อวันที่ 21 - 22 พ.ค. 2561 ในโอกาสครบรอบ 4 ปีรัฐประหาร เพื่อเรียกร้องให้มีการจัดการเลือกตั้งตามกำหนด และให้คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ในขณะนั้นยุติการสืบทอดอำนาจ หรือคดี UN62 ในส่วนของแกนนำ


ในระหว่างการสืบพยาน เอกชัยได้ยื่นจดหมาย 1 ฉบับ ให้ทนายความ ลงวันที่ 7 ต.ค. 2568 โดยระบุว่าเป็นจดหมายที่เขาเขียนถึงศาลฎีกา เรื่องขอให้พิจารณาคดีที่เขาถูกกล่าวหาว่าขัดขวางขบวนเสด็จของสมเด็จพระนางเจ้าสุทิดาฯ จากเหตุการณ์ชุมนุมเมื่อวันที่ 14 ต.ค. 2563 ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 110 โดยเอกชัยถูกศาลอุทธรณ์กลับคำพิพากษา ให้ลงโทษจำคุก 21 ปี 4 เดือน และไม่ได้รับสิทธิการประกันตัวในชั้นฎีกามาตั้งแต่วันที่ 5 ก.ย. 2568


ก่อนหน้านี้ เอกชัยได้มีความพยายามส่งจดหมายฉบับนี้ ผ่านระบบส่งจดหมายออนไลน์ของเรือนจำ (Domi Mail) มาถึงโครงการ Freedom bridge แต่ไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าหน้าที่เรือนจำกลางคลองเปรมให้ส่งผ่านออกมาได้ ทำให้เอกชัยต้องเขียนคำร้องเพื่อขออนุญาตนำจดหมายฉบับดังกล่าวติดตัวออกมาเข้าร่วมการสืบพยานในคดีชุมนุม UN62 ในวันนี้ด้วย


ทั้งนี้ จดหมายถึงศาลฎีกาฉบับนี้ เอกชัยได้เขียนอธิบายถึงพฤติการณ์คดีที่ศาลชั้นต้นยกฟ้องและศาลอุทธรณ์กลับคำพิพากษา โดยระบุรายละเอียด ดังนี้


จดหมายถึงศาลฎีกา


เนื่องด้วยคดีนี้จำเลยถูกกล่าวหาว่ามี “เจตนา” ขัดขวางขบวนเสด็จของราชินีในการชุมนุมม็อบ 3 นิ้ว ถ.พิษณุโลก เมื่อวันที่ 14 ต.ค. 2563 โดยศาลชั้นต้นพิพากษาให้ยกฟ้อง แต่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้มีความผิด


ศาลชั้นต้น : รับฟังพยานจากจุดที่จำเลยยืนอยู่ด้านหน้า คฝ. (โซน B) เป็นหลัก พยานเหล่านี้ให้การตรงกันว่าไม่ทราบว่ามีขบวนเสด็จผ่านถนนพิษณุโลก และมองไม่เห็นขบวนเสด็จที่อยู่ด้านหลัง คฝ. (โซน A) พยานเหล่านี้มีทั้งผู้ชุมนุม, คฝ., ตำรวจ และสื่อมวลชน แม้จะมีรถเบิกทาง (โซน B) ประกาศมี “ขบวน” ผ่านก็ไม่แจ้งเป็น “ขบวนเสด็จ”


ขณะที่พยานที่อยู่ด้านหน้า ก.พ. และทำเนียบรัฐบาล และคนเสื้อเหลือง (โซน A) ที่มองเห็นขบวนเสด็จด้านหลัง คฝ. เป็นคนละจุดกับจำเลย ส่วนพยานที่ยืนอยู่บนสะพานชมัยฯ (โซน C) เป็นจุดที่สูงกว่าถนนพิษณุโลก จึงสามารถมองข้าม คฝ. จนมองเห็นขบวนเสด็จด้านหลังได้ จึงไม่อาจเหมารวมจำเลย (โซน B) ว่าจะต้องรู้เห็นด้วย


ศาลอุทธรณ์ : รับฟังพยานที่ยืนอยู่ด้านหน้า ก.พ. และทำเนียบรัฐบาล และคนเสื้อเหลือง (โซน A) รวมถึงพยานที่ยืนอยู่บนสะพานชมัยฯ (โซน C) และจุดอื่น เช่น กองทัพภาคที่ 1 ซึ่งเป็นทางผ่านของขบวนเสด็จก่อนถึงถนนพิษณุโลก แม้พยานเหล่านี้จะอยู่คนละจุดกับจำเลย แต่ศาลอุทธรณ์เหมารวมจำเลย (โซน B) ย่อมรับรู้เช่นเดียวกัน


ศาลอุทธรณ์ยังรับฟังพยานที่เบิกความไม่ตรงกับเหตุการณ์, คนเสื้อเหลืองที่ยืนอยู่ด้านหน้า ก.พ. (โซน A) โดยอ้างว่าพยานเหล่านี้ไม่มีเหตุโกรธเคืองกับจำเลย และคำพูดของพยานที่ไม่ปรากฏในคลิป รวมถึงอ้างความสูงของจำเลยบางคนสามารถมองข้าม คฝ. จนมองเห็นขบวนเสด็จด้านหลัง แต่ไม่กล่าวถึงหลักฐานความสูงของ คฝ. ในเครื่องแบบซึ่งสูงกว่าระบบสายตาของจำลย


นอกจากนี้ ศาลอุทธรณ์ยังอ้างถึงหมายกำหนดการเดินทางที่ปรากฏในราชกิจจาตั้งแต่วันที่ 9 ต.ค. 2563 โดยมีการประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อมวลชนเล็ก ๆ บางแห่ง และเฟซบุ๊กของกลุ่มศูนย์รวมประชาชนปกป้องสถาบันฯ (ศปปส.) ล่วงหน้า แม้ไม่มีการอ้างเส้นทาง แต่ศาลอุทธรณ์มั่นใจว่าจำเลยรับรู้ก่อนหน้านี้ ศาลอุทธรณ์จึงเชื่อได้ว่าจำเลยมี “เจตนา” ขัดขวางขบวนเสด็จ เพราะจำเลยรับรู้เส้นทางการเดินทางและมองเห็นขบวนเสด็จที่อยู่ด้านหลัง คฝ.


ด้านเหตุนี้ ผมจึงขอให้ศาลฎีกาพิจารณาคดีนี้ด้วยความระมัดระวัง รอบคอบด้วยการรับฟังพยานที่อยู่ในจุดที่จำเลยยืนอยู่เป็นหลัก ไม่ใช่พยานที่อยู่คนละจุดกับจำเลย, พยานที่เบิกความน่าเคลือบแคลง หรือพยานที่มีอคติทางการเมืองกับจำเลย รวมถึงคำพูดของพยานที่ไม่ปรากฏในหลักฐาน และการอ้างความสูงของจำเลยบางคนโดยไม่คำนึงถึงความสูงของ คฝ. ในเครื่องแบบ เพื่อประโยชน์แห่งความเป็นธรรม


ควรมิควรแล้วแต่จะโปรด

เอกชัย หงส์กังวาน


หลังจากต้องติดคุกอีกครั้ง เมื่อวันที่ 3 ต.ค. 2568 เอกชัยเปิดเผยกับทนายความที่เข้าเยี่ยมว่าเขาค่อนข้างกังวลเรื่องสุขภาพ ก่อนหน้านี้ในการถูกคุมขังคดี พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ เมื่อช่วงปี 2566 เขามีอาการเป็นฝีในตับ ต้องถูกส่งตัวไปรักษาและผ่าตัด โดยแม้จะมีการเจาะฝีออกไปแล้ว แต่หมอก็ยังให้มาติดตามอาการอีกเป็นระยะ อาจจะต้องทำซีทีสแกน เช็คอาการอีกครั้ง ทำให้เขาต้องการขอสำเนาเวชระเบียนจากโรงพยาบาลซึ่งเคยให้การรักษาเขาก่อนหน้านี้ มาเตรียมไว้ต่อไป


ในคดีนี้มีจำเลยทั้งหมด 5 คน เดิมศาลอาญาได้พิพากษายกฟ้องทุกข้อกล่าวหา โดยเห็นว่าเหตุการณ์เป็นความเข้าใจคลาดเคลื่อนของทุกฝ่าย เจ้าหน้าที่ควบคุมฝูงชนก็เพิ่งทราบเรื่องขบวนเสด็จฯ เมื่อใกล้ถึงที่เกิดเหตุ และเมื่อผู้ชุมนุมทราบว่าเป็นขบวนเสด็จฯ ก็ได้ล่าถอยไปและขบวนเสด็จก็ผ่านไปได้


แต่เมื่อวันที่ 5 ก.ย. 2568 ศาลอุทธรณ์ได้พิพากษากลับ เป็นเห็นว่ามีความผิดตามฟ้อง โดยลงโทษจำคุกสูงถึงคนละ 16 ปี ส่วนเอกชัย หงส์กังวาน ถูกเพิ่มโทษตามคำขออัยการโจทก์อีก 1 ปี 3 เดือน รวมจำคุกเอกชัย 21 ปี 4 เดือน โดยไม่รอการลงโทษ แต่การต่อสู้คดีในชั้นฎีกา ทั้งหมดยังไม่ได้รับสิทธิในการประกันตัวแต่อย่างใด

 

#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #เอกชัยหงส์กังวาน #มาตรา110 #ศาลฎีกา