ชลน่าน ยัน แม้ “เพื่อไทย” รับทั้ง 3
ร่างแก้รัฐธรรมนูญ แต่ยึดจะร่างพรรคเป็นร่างหลัก เหตุ รอบคอบ-ประชาชนมีส่วนร่วม-ไม่ขัดศาลรัฐธรรมนูญ
แนะกำหนดไทม์ไลน์ให้ชัด หวั่นทำประชามติไม่ทันเลือกตั้ง
ย้ำให้ประชาชนติดตามใกล้ชิด ป้องกัน ส.ส.ร.ล็อกสเป็ก
เมื่อวันที่ 14 ตุลาคม
2568 นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว สส.น่าน พรรคเพื่อไทย
อดีตหัวหน้าพรรคเพื่อไทย และอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข
ร่วมอภิปรายในการประชุมร่วมกันของรัฐสภา เพื่อพิจารณาร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ
ที่พรรคการเมือง 3 พรรคเสนอมา ได้แก่ พรรคภูมิใจไทย
พรรคประชาชน และพรรคเพื่อไทย ว่า ประเด็นแรกในวาระนี้
เป็นวาระรับหลักการแห่งร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ ซึ่งประเด็นคือ หากรับหลักการ
จะรับรวมทั้งทั้ง 3 ร่าง หรือแยกไปทีละร่าง
โดยตามความเห็นของตนเอง จากที่ฟังมาหลายท่านอภิปรายสนับสนุนพร้อมรับหลักการทั้ง 3
ร่าง แต่ก็มีบางคนที่ยังติดขัด
โดยการใช้เหตุผลที่จะไม่รับร่างมีสมาชิกบางคนสร้างประเด็น
เห็นควรรับหลักการและรับรวม
โดยให้พิจารณาลงมติรวมเว้นแต่ให้สมาชิกมีความเห็นค้านและเสนอญัตติให้รับร่างแยก
ประเด็นที่ 2 ข้อห่วงใยของเพื่อนสมาชิกในคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ
เพราะมีการตั้งข้อสงสัยว่าร่างของพรรคเพื่อไทย และพรรคประชาชน
สุ่มเสี่ยงต่อคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ เป็นประเด็นที่อยากฟังเหตุผลประกอบ
เพื่อตัดสินใจว่าจะรับหรือไม่รับ โดยในนามของพรรคเพื่อไทย ที่มีความกังวลเกี่ยวกับคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญนั้น
ยืนยันว่าพรรคเพื่อไทย เราคำนึงถึงคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญเป็นหลักในการยกร่าง
เราเน้นความสำคัญตรงนี้ โดยเฉพาะในมาตราที่เกี่ยวกับที่มาของ สสร.
เราให้ความสำคัญกับความเป็นสภา ยืนยันว่าไม่ได้มีการเลือกตั้งทางตรง แต่เลือกผู้ที่สมควรได้รับการเสนอชื่อเป็น
สสร. และให้สภาคัดเลือกต่อ ดังนั้น จะเกิดขึ้นเมื่อรัฐสภาเป็นผู้เลือกเท่านั้น
จึงไม่ให้ประชาชนเป็นผู้เลือกโดยตรง
ส่วนข้อห่วงใยอีกเรื่อง คือ
ไม่บัญญัติข้อห้ามการแก้ไขหมวด 1 และหมวด 2 เอาไว้ เรื่องนี้นายชูศักดิ์ ศิรินิล ได้อภิปรายในเหตุและผลไปแล้ว
โดยหากกำหนดชัดเจน เหมือนร่างพรรคภูมิใจไทยนั้น
จะมีข้อขัดแย้งกันเองอยู่ในหมวดเดียวกัน เพราะรัฐธรรมนูญปัจจุบัน
เขียนไว้ชัดเจนว่าหากจะมีการแก้ไขเพิ่มเติมในหมวด 1 และหมวด 2
เมื่อแก้ไขต้องไปทำประชามติ ความหมายคือ แก้ไขได้
แต่ต้องไปทำประชามติ ดังนั้น หากเป็นข้อกังวลจริง ในชั้นคณะกรรมธิการ
สามารถปรับแก้ได้ เพียงแค่บัญญัติเพิ่มเติมว่าให้นำบทบัญญัติหมวดหนึ่งหมวด 2
ในรัฐธรรมนูญปี 60 มาบัญญัติไว้ด้วย
ประเด็นที่ 3 ที่กังวลว่าจะใช้ร่างไหน
เป็นร่างหลักในการพิจารณา หากรับหลักการทุกร่าง โดยหากดูร่างของพรรคเพื่อไทย
ที่คิดโดยพื้นฐานของความรอบคอบ และคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ความง่าย
ไม่เกิดข้อขัดแย้ง และทำได้จริง จึงเสนอว่าหากสมาชิกรัฐสภา
ใช้ร่างของพรรคเพื่อไทยเป็นร่างหลัก ในการพิจารณา และนำทั้งสองร่างมาผสมเข้าไป
จะทำง่าย เพราะเนื้อหาครอบคลุม และที่เชื่อว่าร่างพรรคเพื่อไทยจะเป็นร่างหลักนั้น
เราสะท้อนความเป็นเป็นตัวแทนของพี่น้องประชาชนให้มีส่วนร่วมอย่างกว้างขวาง
และไม่ขัดแย้งกับคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ให้ประชาชนมีส่วนร่วมทั้งภาคพื้นพื้นที่
และมาจากทุกองค์กรที่ภาครัฐ เอกชน และประชาชน เสนอตัวแทนเข้ามา
ซึ่งรัฐสภาเป็นผู้เลือกร่างของพรรคเพื่อไทย เป็นร่างที่ยืนยันเจตนารมย์ว่า
การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญครั้งนี้ ไม่ใช่การริเริ่มการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่
ประเด็นที่ 4 สิ่งที่ร่างของพรรคเพื่อไทย
ให้ความสำคัญกับสภาร่าง
ซึ่งในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาเป็นองค์กรเป็นกลไกที่เข้าไปจัดทำรัฐธรรมนูญปี 40
ได้ดีที่สุด เพราะเขามีคณะอนุกรรมการกรรมาธิการต่าง ๆ
เข้าไปรับฟังความเห็นในแต่ละสาขา และแต่ละประเด็นได้ครอบคลุม และกว้างขวางมาก
ประเด็นที่ 5 ร่างของพรรคเพื่อไทยที่เสนอไปนั้นเรื่องการพิจารณาของรัฐสภา
ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยบอกว่าเป็นหน้าที่ของสภา
ในการให้ความเห็นชอบการพิจารณากฎหมายเพิ่มเติม
ดังนั้น เมื่อผ่านร่างแล้ว จึงให้สภาเป็นผู้พิจารณา
แต่การพิจารณาของร่างพรรคเพื่อไทย
เราไม่ได้ยึดโยงการพิจารณาเหมือนการแก้ไขรัฐธรรมนูญตามปกติ เพราะเราให้เกียรติกับ
สสร. ในนามตัวแทนไปทำร่างมาเรียบร้อยแล้ว ดังนั้น สิ่งที่เราต้องทำ
คือให้ความเห็นชอบหรือไม่ แต่หากมีข้อทักท้วง ก็ส่งให้ สสร. ว่าจะแก้ไขเพิ่มเติม
ตาม สสร. หรือไม่ หากเห็นชอบ ก็ส่งทำประชามติ
ถ้าไม่เห็นชอบก็ตกไปเป็นสิ่งที่ต้องยึดโยงกับทุกส่วน
นพ.ชลน่าน ย้ำว่า
ร่างของพรรคเพื่อไทยเป็นร่างหลักจะสะดวกต่อการพิจารณา โดยหากร่างรัฐธรรมนูญตกไป
เรายังเปิดโอกาสในมาตรา 256 / 21 สมาชิกรัฐสภาสามารถเสนอญัตติให้มีการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ได้อีก
เช่น สสร. ชุดเดิม ต้องไม่มาเป็น สสร. อีก เป็นสิ่งที่เราพยายามเปิดช่องไว้ทั้งหมด
นพ.ชลน่าน กล่าวถึงกระบวนการการพิจารณา
จนถึงการทำประชามติ ว่า หากสมาชิกรัฐสภา และกรรมาธิการ ไม่ได้จัดทำผังเวลาไว้
โอกาสทำประชามติ ณ วันเลือกตั้งทั่วไป จะเป็นไปไม่ได้ โดยระบุว่า หากโหวตในวาระ 3
ทันในวันที่ 8 ธันวาคม และวันที่ 12 ธันวาคม มีการเปิดประชุมสภาวิสามัญอีกครั้ง จะทำให้แก้ไขธรรมนูญได้ทัน และเพื่อนำไปสู่การวางแผนการปฏิบัติงานไปตามวันเวลา
และในวันนั้นรัฐสภาแห่งนี้ต้องเสนอการทำประชามติ ให้ครม. ไปทำประชามติคำถามที่ 1
ไปพร้อมกับคำถามที่ 2 โดยรัฐสภา ต้องร้องขอ
ส่งไปให้ ครม. ในวันที่ 12 ธันวาคม
ซึ่งต้องรอให้มีการโปรดเกล้าฯ จึงอยากให้บันทึกไว้เพื่อจัดทำระยะเวลาไว้
มิเช่นนั้น จะทำประชามติในวันเลือกตั้งไม่ได้
นพ.ชลน่าน ฝากทิ้งท้ายว่า
ขอให้รับร่างแก้ไขธรรมนูญทั้งหมด และการแก้ไขรัฐธรรมนูญจะสำเร็จ
และการแก้ไขจะจริงจังหรือไม่ ฝากคณะกรรมาธิการ
ไปต่อสู้เพื่อให้ได้มาซึ่งร่างแก้ไขเพิ่มเติมหมวด 15 / 1 ที่จะสะท้อน และบอกถึงความมีส่วนร่วมของประชาชนให้มากที่สุด และหลีกเลี่ยง
สสร. ที่มาจากกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง หรือมาจากพวกใดพวกหนึ่ง ที่หวังจะกินทั่วประเทศ
เราต้องต่อสู้ให้ถึงที่สุดใน กมธ.
“ผมขอฝากไปยังประชาชน ต้องติดตามเรื่องนี้
หากร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมที่ได้ สสร. มาจากกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง
และเข้าข่ายที่จะกินรวบ เราต้องต่อสู้ในนามพี่น้องประชาชน เพื่อให้ข้อมูล
และหากไม่สำเร็จตั้งธงรณรงค์ บอกกับประชาชนว่าประชามติเราจะไม่ผ่านร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้”
นพ.ชลน่าน กล่าวสรุป
#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #พรรคเพื่อไทย #แก้ไขรับธรรมนูญ #ประชุมสภา