วันพุธที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2568

“ณัฐพงษ์” ขึ้นเวทีหาเสียงเทศบาลนครเชียงใหม่ ยันจุดยืน ปชน. ต้องการเปลี่ยนการเมืองแม้ถูกมองเป็นคน “สึ่งตึง” ชี้ดีกว่าคนกอบโกยผลประโยชน์เข้าตัว-โกหกหลอกลวงประชาชน-สยบยอมผู้มีอำนาจ

 


“ณัฐพงษ์” ขึ้นเวทีหาเสียงเทศบาลนครเชียงใหม่ ยันจุดยืน ปชน. ต้องการเปลี่ยนการเมืองแม้ถูกมองเป็นคน “สึ่งตึง” ชี้ดีกว่าคนกอบโกยผลประโยชน์เข้าตัว-โกหกหลอกลวงประชาชน-สยบยอมผู้มีอำนาจ


วันที่ 30 เมษายน 2568 ที่เชิงสะพานนครพิงค์ อ.เมืองเชียงใหม่ พรรคประชาชนเปิดเวทีปราศรัยรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งนายกเทศมนตรีนครเชียงใหม่ และสมาชิกสภาเทศบาล (สท.) นครเชียงใหม่ ซึ่งพรรคประชาชนได้ส่ง “ธีรวุฒิ แก้วฟอง” หมายเลข 2 เป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นนายกเทศมนตรีนครเชียงใหม่ในครั้งนี้ โดยในเวทีวันนี้มีทั้งแกนนำ สส. และผู้ช่วยหาเสียงพรรคประชาชน ร่วมการปราศรัยและพบปะประชาชนที่มาร่วมกิจกรรมการหาเสียงในวันนี้อย่างคับคั่ง


โดยในเวทีวันนี้ ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน และผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร ได้เป็นผู้ปราศรัยปิดท้ายเวที โดยระบุว่า ความฝันของพวกเราพรรคประชาชนตั้งแต่เป็นพรรคอนาคตใหม่คือความฝันที่เรียบง่าย คือการอยากทำพรรคการเมืองให้เป็นพรรคมวลชน ที่มีประชาชนเป็นผู้ทรงอำนาจสูงสุดและเป็นเจ้าของของประเทศนี้ตัวจริง ถ้าถามนักการเมืองเดิมๆ ก็อาจจะหาว่าพวกเราเป็นคน “สึ่งตึง” ก็ได้ แต่การเดินทางของเราที่ผ่านมาตั้งแต่เลือกตั้งปี 2562 และ 2566 รวมทั้งในสนามเชียงใหม่ คือความสำเร็จและผลลัพธ์รูปธรรมที่พิสูจน์แล้วว่าการทำงานการเมืองแบบที่เราอยากเห็นคือสิ่งที่เป็นไปได้


ตนในฐานะหัวหน้าพรรคอยากยืนยันอีกครั้งว่า พรรคประชาชนยังมีจุดยืนเหมือนเดิม เราไม่มีวันทิ้งใบอนุญาตที่หนึ่งที่ประชาชนมอบให้ แล้วไปเอาใบอนุญาตที่สองที่ต้องขออนุญาตจากชนชั้นนำแน่นอน สิ่งที่สำคัญกว่าคือการรักษาศรัทธาของประชาชนต่อการเมืองในระบบรัฐสภาและนักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้ง การจัดตั้งรัฐบาลครั้งหน้าสิ่งที่สำคัญกว่าการที่พรรคประชาชนจะร่วมกับใครได้หรือไม่ได้ คือการเอาวาระของประชาชนเป็นตัวตั้ง ใครเห็นด้วยกับเราเรื่องการปราบปรามทุจริต การยุติรัฐราชการรวมศูนย์ การปฏิรูปกองทัพ การทลายทุนผูกขาด เรายินดีทำงานร่วมกันตามที่พวกเราเป็นคนกำหนดวาระทั้งสิ้น


ณัฐพงษ์กล่าวต่อไปว่า แต่ละพรรคการเมืองย่อมมีความเชื่อแตกต่างหลากหลาย แต่คุณสมบัติของนักการเมืองที่สำคัญมี 3 ข้อ คือ 1. ไม่หาประโยชน์กอบโกยเข้ากลุ่มผลประโยชน์ของตัวเอง แต่ทำงานเพื่อผลประโยชน์ส่วนรวม 2. ภายใต้ระบอบประชาธิปไตยแบบตัวแทน เราไม่อยากเห็นนักการเมืองที่ก่อนเลือกตั้งหาเสียงไว้แบบหนึ่ง หลังเลือกตั้งทำอีกแบบหนึ่ง และ 3. เราไม่อยากเห็นนักการเมืองที่เมื่อประชาชนถูกกดขี่ข่มเหง ไม่ได้รับความเป็นธรรม แล้วกลับเงียบสยบยอมต่อผู้มีอำนาจ


เพราะฉะนั้น ถ้าเราเจอนักการเมืองที่เข้ามากอบโกยผลประโยชน์ให้กับตัวเอง โกหกหลอกลวงประชาชน ยอมจำนนต่อผู้มีอำนาจ ไม่กล้าเป็นปากเป็นเสียงให้กับประชาชน ตนผิดตรงไหนที่บอกให้เขาขอโทษกับประชาชนทุกคน เพราะเขากำลังจะทำลายระบบการเมืองภายใต้ตัวแทนประชาชนที่มาจากการเลือกตั้ง 


ณัฐพงษ์กล่าวต่อไปว่า ภายใต้สถานการณ์ของประเทศไทยขณะนี้ ทั้งปัญหาในพื้นที่ที่ไม่ได้เพิ่งเกิด แต่เกิดขึ้นมานานแล้ว ทั้งสงครามการค้าที่เชื่อมโยงกับปัญหาทุนเทาที่เกิดขึ้นมาหลายปีแล้ว แต่ที่ผ่านมายังอยู่ในประเทศนี้ได้เพราะการจ่ายเงินใต้โต๊ะ ปัญหาแรงงานผิดกฎหมาย การลักลอบนำเข้าสินค้าต่างๆ ปัญหาที่ฝังรากลึกอยู่ในสังคมไทยตอนนี้เกิดจากความไม่โปร่งใสของรัฐราชการไทยในปัจจุบัน ความไม่เป็นประชาธิปไตยในประเทศ ความไร้ประสิทธิภาพของภาครัฐ และการไม่มีประชาชนเป็นศูนย์กลาง ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นแก่นของปัญหาที่พรรคประชาชนอยากเข้ามาแก้ไข


ในเรื่องความโปร่งใส พรรคประชาชนมีข้อเสนอหลายอย่างเพื่อทำให้การใช้จ่ายงบประมาณมีความโปร่งใสมากขึ้น แต่สิ่งที่สำคัญกว่าคือการเลือกตัวแทนที่วัตถุประสงค์ในการทำงานการเมืองตั้งแต่แรกคือเพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงและทำการเมืองให้ดีขึ้น เมื่อใดก็ตามที่ได้นักการเมืองที่การเข้าสู่อำนาจมาจากการซื้อสิทธิขายเสียง สุดท้ายก็จะไม่สามารถแก้ไขปัญหาต่างๆ เหล่านี้ได้ สิ่งที่ตนอยากเน้นย้ำและยืนยันกับทุกคนคือจุดยืนและที่มาที่ไปของพวกเรามีส่วนสำคัญในการเปลี่ยนแปลงเรื่องนี้


“ความฝันของพวกเราคือความฝันที่บอกว่าเราอยากเปลี่ยนการเมืองและทำประเทศไทยให้ดีขึ้น เป็นความฝันที่เรียบง่าย การเมืองแบบเก่าๆ อาจจะคิดว่าเราเพ้อฝันซื่อบื้อ ไม่มีทางเป็นจริงได้ ผมไม่ขออะไรมากไปกว่าชาวเชียงใหม่ทุกคนในสนามเลือกตั้ง 11 พฤษภาคมนี้ ขอคะแนนไม่น้อยกว่าคะแนนนายก อบจ. ได้ไหม แค่เราออกไปช่วยกันเลือกพรรคประชาชนให้อย่างน้อยได้คะแนนเท่ากับสนาม อบจ. ที่ผ่านมาในเขตเทศบาลนครเชียงใหม่ เราได้ธีรวุฒิพร้อมทีม สท. พรรคประชาชนเข้ามาบริหารเทศบาลนครเชียงใหม่แน่นอน” ณัฐพงษ์กล่าว


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #พรรคประชาชน #เลือกตั้ง2568 #นายกเทศมนตรีนครเชียงใหม่ #เหมายกแผง #เทศบาลประชาชน #รับเหมาสร้างเมือง

”พิชัย“ คิกออฟ “เปิดเทอม เติมพลัง” ลดราคาสินค้า-บริการการศึกษา 8,000 รายการ ช่วยผู้ปกครองประหยัด กว่า 300 ล้านบาท กระตุ้นเศรษฐกิจ ร่วม 900 ล้านบาท รับเปิดเทอม

 


”พิชัย“ คิกออฟ “เปิดเทอม เติมพลัง” ลดราคาสินค้า-บริการการศึกษา 8,000 รายการ ช่วยผู้ปกครองประหยัด กว่า 300 ล้านบาท กระตุ้นเศรษฐกิจ ร่วม 900 ล้านบาท รับเปิดเทอม


วันที่ 30 เมษายน 2568 นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นประธานเปิดตัวโครงการ “เปิดเทอม เติมพลัง” มาตรการสำคัญของรัฐบาลเพื่อบรรเทาค่าครองชีพผู้ปกครองในช่วงเปิดภาคเรียน โดยระดมความร่วมมือจากผู้ผลิต ผู้จำหน่าย ห้างค้าส่งค้าปลีก และแพลตฟอร์มออนไลน์กว่า 50 ราย พร้อมใจกันลดราคาสินค้าและบริการด้านการศึกษาจำนวนกว่า 8,000 รายการ ลดสูงสุดถึง 74% ครอบคลุมสาขากว่า 22,924 แห่งทั่วประเทศ ตลอดระยะเวลา 32 วัน ตั้งแต่ 30 เมษายน ถึง 31 พฤษภาคม 2568


นายพิชัย เปิดเผยว่า โครงการนี้เป็นหนึ่งในมาตรการเร่งด่วนของรัฐบาลภายใต้การนำของนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ซึ่งให้ความสำคัญกับการยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชนในทุกมิติ ภายใต้นโยบาย “ลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ ขยายโอกาส” โดยมุ่งเน้นช่วยเหลือกลุ่มผู้ปกครอง นักเรียน นิสิต และนักศึกษาในช่วงเปิดเทอมที่ต้องรับภาระค่าใช้จ่ายจำนวนมาก


โดยในปีนี้ กระทรวงพาณิชย์ได้จับมือพันธมิตรเอกชนกว่า 50 รายทั่วประเทศ มอบส่วนลดสูงสุดถึง 74% ให้กับสินค้าจำเป็นในช่วงเปิดเทอม ทั้งชุดนักเรียน รองเท้านักเรียน เครื่องเขียน ตำราเรียน สื่อการเรียนการสอน บริการกวดวิชา อินเทอร์เน็ต สถาบันดนตรี ผลิตภัณฑ์นม รวมถึงสินค้าอุปโภคบริโภคอีกหลากหลายรายการ เพื่อช่วยให้ผู้ปกครองประหยัดเงินในกระเป๋าได้มากขึ้น


ทั้งนี้ กระทรวงพาณิชย์คาดว่า โครงการนี้จะช่วยลดค่าครองชีพให้ประชาชนได้ไม่น้อยกว่า 300 ล้านบาท และก่อให้เกิดการหมุนเวียนเม็ดเงินในระบบเศรษฐกิจไทยกว่า 900 ล้านบาท สร้างแรงกระตุ้นสำคัญให้กับภาคค้าปลีกและบริการช่วงเปิดภาคเรียนปีนี้


นายพิชัย กล่าวเพิ่มเติมว่า กระทรวงพาณิชย์ทำงานอย่างต่อเนื่องเพื่อดูแลปากท้องประชาชน ทั้งด้านราคาสินค้าและนโยบายการค้าระหว่างประเทศ โดยที่ผ่านมา กระทรวงสามารถควบคุมเงินเฟ้อให้อยู่ในระดับต่ำ แม้ภาวะต้นทุนผู้ประกอบการจะเพิ่มขึ้น โดยปีที่แล้วอัตราเงินเฟ้อของไทยอยู่ที่เพียง 0.4% ต่ำกว่าที่คาดการณ์ ซึ่งเป็นผลจากการบริหารจัดการราคาสินค้าอย่างมีประสิทธิภาพ


“เราทำหลายเรื่องพร้อมกัน ทั้งการเจรจา FTA กับ EU การดูแลนโยบายภาษีทรัมป์ การควบคุมราคาสินค้า เพื่อให้ประชาชนอยู่ดีกินดี ในช่วงเปิดเทอมนี้ เราอยากให้ผู้ปกครองทุกคนได้มีโอกาสซื้อของที่จำเป็นในราคาที่ถูกลง ไม่ว่าจะเป็นชุดนักเรียน หนังสือเรียน หรือสินค้าในชีวิตประจำวัน โดยสามารถเลือกซื้อได้ทั้งที่ห้างร้านทั่วประเทศกว่า 24,924 สาขา และผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ที่เข้าร่วมโครงการ” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์กล่าว


ขอเชิญชวนคุณพ่อคุณแม่ ผู้ปกครอง และน้องๆ นักเรียน นักศึกษา มาร่วมใช้โอกาสนี้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด เลือกซื้อสินค้าที่จำเป็น รับส่วนลดสูงสุดถึง 74% ก่อนเปิดเทอมนี้ เพื่อช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายในครอบครัว และช่วยกันขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศไปพร้อมกัน


สำหรับการดำเนินมาตรการลดค่าครองชีพในช่วงที่ผ่านมา กระทรวงพาณิชย์ได้จัดทำโครงการฟื้นฟูเศรษฐกิจร่วมกับภาคเอกชนมาอย่างต่อเนื่อง เช่น การลดค่าเช่าร้านค้า ค่าเช่าแผงตลาด ค่าขนส่งไปรษณีย์ การสนับสนุนพื้นที่จำหน่ายสินค้า โครงการ “ชูใจ วัยเก๋า” รวมถึงการจับมือห้างค้าปลีก จัดโปรโมชั่นลดราคาสินค้าหมวดจำเป็น ซึ่งช่วยสร้างเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจรวมกว่า 30,000 ล้านบาท เพื่อเป็นการสนับสนุนนโยบายของรัฐบาลที่ได้ดำเนินโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ 10,000 บาทในเฟสแรกและเฟสสอง


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #เปิดเทอมเติมพลัง #กระทรวงพาณิชย์




“ณัฐพงษ์” สส.ปชน. จ่อทวงถาม รมว.คมนาคม ออกมาตรการเข้มงวด ตรวจสอบโครงสร้างถนน-สะพาน หลังเหตุก้อนปูนร่วงคร่าชีวิตประชาชน

 


“ณัฐพงษ์” สส.ปชน. จ่อทวงถาม รมว.คมนาคม ออกมาตรการเข้มงวด ตรวจสอบโครงสร้างถนน-สะพาน หลังเหตุก้อนปูนร่วงคร่าชีวิตประชาชน 


วันนี้ (30 เม.ย. 68) นายณัฐพงษ์ สุมโนธรรม สส.สมุทรสาคร เขต 1 พรรคประชาชน โพสข้อความระบุว่า “เมื่อไรกันที่ความสูญเสียจะเกิดขึ้นเป็นครั้งสุดท้ายเสียที”


ก่อนอื่นผมต้องขอแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งกับครอบครัวของคุณอำนาจ ผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ก้อนปูนหล่นใส่ขณะเดินทางบนถนนพระราม 2 เมื่อช่วงเช้าของวันที่ 29 เมษายนที่ผ่านมา โดยคุณอำนาจเป็นทั้งคุณพ่อ สามี พี่ชาย ลูกชาย เพื่อนร่วมงานของใครหลายคน ซึ่งเท่าที่ทราบ คนรอบตัวต่างรู้สึกตกใจและเสียใจเป็นอย่างยิ่ง


เบื้องต้น ผมจะประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องโดยเฉพาะกรมทางหลวงในการรับผิดชอบค่าดูแลเยียวยา รวมถึงค่าทำศพให้กับทางครอบครัวคุณอำนาจ เพราะคุณอำนาจไม่ได้ผิดอะไรเลยกับการขับรถไปทำงานแล้วต้องมาสูญเสียชีวิตจากเหตุการณ์ครั้งนี้


หลังจากนี้ ผมจะทวงถามไปยังรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมอีกครั้ง รวมถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งหมดว่าจะทำอย่างไรให้เหตุการณ์ครั้งนี้ ‘เป็นความสูญเสียครั้งสุดท้าย’ เพราะเราพูดกันบ่อยมากเรื่องการถอดบทเรียนให้เป็นครั้งสุดท้าย ซึ่งโครงการก่อสร้างต่าง ๆ หรือถนนสะพานของกระทรวงคมนาคมที่เป็นผู้รับผิดชอบ ไม่ควรจะมีใครต้องมาบาดเจ็บหรือสูญเสียชีวิตอีกแล้ว


มากไปกว่านั้น ทุกวันนี้ ถ้าเลี่ยงได้ไม่มีใครอยากใช้ถนนพระราม 2 แล้วครับ ซึ่งส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและชีวิตของคนสมุทรสาคร รวมถึงจังหวัดใกล้เคียง ผมจึงต้องขอวิงวอนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้เอาจริงเอาจัง ออกมาตรการที่เข้มงวด รวมถึงตรวจสอบโครงสร้างของถนนและสะพานต่าง ๆ อย่างสม่ำเสมอ นี่อยากให้ท่านทั้งหลายได้ลองนึกถึงหน้าของประชาชนว่า พวกเขามีครอบครัว พวกเขามีคนที่เขารักและรักเขา ให้นึกจินตนาการว่าหากเป็นญาติท่านบ้าง เป็นคนที่ท่านรักจะรู้สึกอย่างไร ผมไม่อยากให้เกิดความสูญเสียขึ้นอีกแล้วครับ


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #พรรคประชาชน #ถนนพระราม2 #สสเขตหนึ่งสมุทรสาคร



ผู้นำฝ่ายค้านจัดเสวนา “Re-positioning Thailand” เปิดวงระดมสมอง ประเมินผลกระทบจากสงครามการค้าสหรัฐฯ จัดวางตำแหน่งใหม่เศรษฐกิจไทยในโลกแห่งความผันผวน พร้อมเสนอยุทธศาสตร์ 5 เสาที่ไทยต้องเตรียมพร้อมรับมือ

 


ผู้นำฝ่ายค้านจัดเสวนา “Re-positioning Thailand” เปิดวงระดมสมอง ประเมินผลกระทบจากสงครามการค้าสหรัฐฯ จัดวางตำแหน่งใหม่เศรษฐกิจไทยในโลกแห่งความผันผวน พร้อมเสนอยุทธศาสตร์ 5 เสาที่ไทยต้องเตรียมพร้อมรับมือ


วันที่ 30 เมษายน 2568 ที่โรงแรมโนโวเทล แพลตินัม ประตูน้ำ ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร และหัวหน้าพรรคประชาชน พร้อมด้วยทีมนโยบายเศรษฐกิจของพรรค จัดงานเสวนา “Re-positioning Thailand : วางตำแหน่งใหม่เศรษฐกิจไทยในสงครามการค้า” ภายใต้โครงการผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎรพบประชาชน เปิดเวทีแสดงวิสัยทัศน์และระดมสมองแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเพื่อเปลี่ยนวิกฤตโลกให้เป็นโอกาสในการวางตำแหน่งใหม่เศรษฐกิจไทย


ณัฐพงษ์กล่าวถึงการจัดงานครั้งนี้ว่า สงครามการค้าจากสหรัฐอเมริกาเป็นประเด็นที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยในวงกว้าง ไม่เพียงต่อเศรษฐกิจระดับมหภาค แต่ยังส่งผลต่อประชาชนและผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดเล็กที่อยู่ในห่วงโซ่การผลิตของอุตสาหกรรมต่างๆ ด้วย ตนในฐานะผู้นำฝ่ายค้านจึงใช้พื้นที่นี้เป็นเวทีรับฟังความกังวลและข้อคิดเห็นอย่างรอบด้าน เพื่อเป็นข้อมูลสำหรับพิจารณาข้อเสนอการแก้ปัญหาผ่านกลไกนิติบัญญัติต่อไป


ในช่วงแรก ณัฐพงษ์ได้ขึ้นแสดงวิสัยทัศน์ในหัวข้อ “Global Updates and Thailand’s Scenarios: ประเทศอื่นทำอะไร ฉากทัศน์ประเทศไทย และหลักการรับมือ” โดยฉายภาพให้เห็นว่า ความซับซ้อนและไม่แน่นอนของสถานการณ์อาจทำให้ผลกระทบที่จะเกิดขึ้นเป็นไปได้หลายฉากทัศน์มาก ทั้งฉากทัศน์ที่อาจดีที่สุด (Best Case) คือเจรจาสำเร็จ ไทยโดนภาษีแค่ฐาน 10% ไม่สูญเสียตลาดมากนัก ฉากทัศน์ที่แย่ที่สุด (Worst Case) คือกรณีเจรจาไม่สำเร็จ และหรือเสียเปรียบประเทศคู่แข่งขัน ตลาดโลกอาจปั่นป่วนมาก ไทยเสี่ยงเข้าสู่สภาวะเศรษฐกิจถดถอย แต่เชื่อว่าทุกฝ่ายคงพยายามหลีกเลี่ยงฉากทัศน์นี้อย่างเต็มที่


ส่วนฉากทัศน์ที่มีโอกาสเกิดขึ้นได้มากที่สุด (Base Case) คือการได้ผลลัพธ์จากการเจรจาที่ดีพอสมควร แม้ไทยต้องสูญเสียบางตลาด และตลาดโลกหดตัว คู่ค้าหันไปซื้อของสหรัฐฯ บ้างแต่ไม่มากนัก ทั้งนี้ประเทศไทยจำเป็นต้องมีกลไกรับมือ และกลไกเยียวยาที่ดีพอด้วย


ณัฐพงษ์เน้นย้ำว่า ในสภาวะที่ระเบียบโลกกำลังผันผวน ไทยในฐานะประเทศขนาดกลาง (Middle Power) ควรกำหนดบทบาทและวาระของตนเองให้เป็นประเทศที่กำหนดอนาคตของตนเองได้ พร้อมทั้งเสนอยุทธศาสตร์ 5 เสาที่ไทยควรเตรียมพร้อมรับมือไว้ล่วงหน้า พร้อมกับใช้โอกาสนี้พลิกโฉมเปลี่ยนประเทศ ได้แก่


1.“เจรจา” (Negotiate) คือการเตรียมเจรจากับสหรัฐอเมริกา เพื่อรักษาผลประโยชน์ของประเทศ และลดกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากการขึ้นกำแพงภาษีของสหรัฐฯ ให้มากที่สุด


2. “กระชับ” (Strengthen) คือการกระชับความร่วมมือกับคู่ค้าเดิมและคู่ค้าใหม่ๆ เช่น กลุ่ม BIMSTEC สหภาพยุโรป หรือประเทศในทวีปแอฟริกา ภายใต้หลักการแสวงหาการค้า การแลกเปลี่ยน และความร่วมมือที่มีผลประโยชน์ร่วมกัน


3. “รับมือ” (Manage) คือการรับมือผลกระทบจากความเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะผลกระทบจากสินค้านำเข้าล้นตลาดในภาคเกษตรและอุตสาหกรรม เพื่อป้องกันและรักษาเสถียรภาพเศรษฐกิจภายในประเทศ โดยจะต้องไม่เป็นการกีดกันหรือตอบโต้ทางการค้ากับประเทศอื่น


4. “เยียวยา” (Rehabilitate) คือการติดตาม ช่วยเหลือ และเยียวยาในแต่ละห่วงโซ่อุปทานที่ได้รับผลกระทบ


5. “ลงทุน” (Invest) คือการลงทุนเชิงรุกในนวัตกรรม อุตสาหกรรมใหม่ และโครงสร้างพื้นฐานอนาคต เพื่อปรับตัว เตรียมพร้อมรับความเสี่ยง และแสวงหาโอกาสใหม่ๆ ในการผลิต


นอกจากนี้ ภายในงานยังได้จัด Opening Dialouge เปิดประเด็นสนทนาเพื่อการเตรียมความพร้อมใน 3 ประเด็นสำคัญ ได้แก่


ศิริกัญญา ตันสกุล สส.บัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรคประชาชน เสนอแนวทางเตรียมความพร้อมเศรษฐกิจภายในประเทศให้พร้อมรับมือสงครามการค้า ผ่านมาตรการ 3R คือ การเยียวยา-บรรเทาผลกระทบเฉพาะหน้า (Relief) การกระตุ้น-ฟื้นฟูเศรษฐกิจระยะสั้น (Recovery) และการปฏิรูป-ปรับโครงสร้างเศรษฐกิจระยะยาว (Reform) พร้อมย้ำว่า การจะรับมือกับสงครามการค้าได้อย่างมีประสิทธิผล รัฐต้องจัดให้มีศูนย์กลางการตัดสินใจ สื่อสารต่อสาธารณะอย่างชัดเจน เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและลดความสับสน ใช้กลไกนโยบายรัฐที่มีอยู่มาขับเคลื่อนร่วมกัน รวมถึงควรใช้โอกาสนี้ปรับเปลี่ยนโครงสร้างแรงจูงใจ (Incentive Structure) และปรับปรุงกฎระเบียบของรัฐที่เป็นอุปสรรคต่อการทำธุรกิจและการค้า


ขณะที่ วีระยุทธ กาญจน์ชูฉัตร รองหัวหน้าพรรคประชาชน และที่ปรึกษาประจำคณะกรรมาธิการการพัฒนาเศรษฐกิจ นำเสนอในหัวข้อนโยบายอุตสาหกรรมไทยในยุคสงครามการค้า โดยชี้ว่าปัญหาสำคัญในปัจจุบันคือการบริโภคในประเทศไม่ได้ช่วยเพิ่มการผลิต เพราะเศรษฐกิจไทยมี “รูรั่ว” มหาศาล โดยเฉพาะการที่สินค้านำเข้าจากจีนเข้ามาทดแทนสินค้าไทย จนยอดขาดดุลการค้าของไทยกับจีนปี 2567 ทะยานสูงเป็นประวัติการณ์ที่ 1.6 ล้านล้านบาท ดังนั้น ทีมไทยแลนด์จึงต้องเริ่มต้นด้วยการอุดรูรั่วเศรษฐกิจไทย ใช้มาตรการการค้าสากลเพื่อรักษาการแข่งขันที่เป็นธรรม เพราะถ้าเราไม่เริ่มต้นด้วยการอุดรูรั่ว ยิ่งกระตุ้นการบริโภคในประเทศมากเท่าใด ภาคอุตสาหกรรมไทยก็อาจจะยิ่งเจ็บหนักมากขึ้นเท่านั้น


หลังจากอุดรูรั่วแล้ว การใช้งบประมาณสำหรับภาคอุตสาหกรรมก็ควรคำนึงถึงความสมดุลระหว่างดีมานด์กับซัพพลาย เช่น งบปี 2568 ของไทยที่ลงไปกับอุตสาหกรรมยานยนต์นั้นไม่น้อย มีถึง 8,600 ล้านบาท แต่พอไปดูเนื้อในของงบ ปรากฏว่าเกิน 90% คือการใช้เงินอุดหนุนคนซื้อรถยนต์อีวีรวมแล้ว 8,000 ล้าน เหลืองบส่วนที่จะช่วยด้านพัฒนาทักษะการผลิต-ทักษะแรงงานเพียง 500 ล้าน หรือแค่ 7% เท่านั้น นอกจากนี้ ไทยควรกำหนด “อุตสาหกรรมเป้าหมาย” เพื่อระดมสรรพกำลัง ขยายเครือข่ายและปริมาณการผลิตเพื่อไม่ให้ตกขบวนเทคโนโลยี แต่ก็ไม่ละทิ้งการสนับสนุนพื้นฐานให้กับอุตสาหกรรมอื่นๆ เช่น การช่วยหาตลาดใหม่ รวมถึงการลดภาษีเพื่อกระตุ้นให้เกิดการวิจัยและพัฒนา (R&D)


สำหรับภาคเกษตร เดชรัต สุขกำเนิด ที่ปรึกษาผู้นำฝ่ายค้านฯ และผู้อำนวยการศูนย์นโยบายเพื่ออนาคต (Think Forward Center) พรรคประชาชน กล่าวถึงการเตรียมความพร้อม-วางตำแหน่งใหม่ให้กับภาคเกษตรไทยว่า มูลค่าการส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรของไทยไปสหรัฐฯ คิดเป็นเพียง 9.7% ของมูลค่าสินค้าส่งออกทั้งหมด แต่สาเหตุที่สหรัฐฯ เพ่งเล็งภาคเกษตรไทยเป็นการเฉพาะ ก็เพราะต้องการผลักดันให้ไทยเปิดตลาดนำเข้าสินค้าเกษตรจากสหรัฐฯ เพิ่มมากขึ้น ดังนั้น รัฐบาลไทยโดยเฉพาะกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงสาธารณสุข ควรกำหนดหลักการหรือแนวทางสำคัญในการเจรจาต่อรองกับสหรัฐฯ โดยต้องอยู่บนหลักความโปร่งใสและการมีส่วนร่วม แจ้งให้สาธารณชนรับทราบ รวมถึงเปิดให้เกษตรกรและองค์กรต่างๆ ได้มีส่วนร่วมแสดงความเห็นก่อนการเจรจา พร้อมกันนี้ต้องประเมินผลกระทบที่จะเกิดขึ้นจากการเจรจาในทุกส่วนของห่วงโซ่อุปทาน และจะต้องพิจารณาถึงมาตรการในการลดผลกระทบควบคู่ไปด้วย


ภายหลังจากการอภิปรายเปิดประเด็น สิทธิพล วิบูลย์ธนากุล ประธานกรรมาธิการการพัฒนาเศรษฐกิจ และวรภพ วิริยะโรจน์ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ได้ดำเนินกระบวนการแลกเปลี่ยนหารือกับผู้ร่วมงานทั้งผู้แทนภาคธุรกิจในอุตสาหกรรมต่างๆ ที่ได้รับผลกระทบจากสงครามการค้า อาทิ สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย หอการค้าระดับจังหวัด อุตสาหกรรมเกษตร อุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ ผู้ประกอบธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม


โดยข้อคิดเห็นจากผู้ร่วมงานจะถูกนำไปใช้เป็นข้อมูลนำเข้าสำหรับการศึกษาผลกระทบและออกแบบข้อเสนอเชิงนโยบายในคณะอนุกรรมาธิการศึกษาผลกระทบจากนโยบายกำแพงภาษีและสงครามการค้า สภาผู้แทนราษฎร ซึ่งมีสิทธิพลเป็นประธานอนุกรรมาธิการ เพื่อใช้กลไกนิติบัญญัติในการติดตาม แก้ปัญหาให้เต็มประสิทธิภาพ และส่งเสริมให้การทำงานนิติบัญญัติมีความใกล้ชิดกับประชาชนมากยิ่งขึ้น


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #พรรคประชาชน #ผู้นำฝ่ายค้าน #สงครามการค้าสหรัฐ #กำแพงภาษีทรัมป์










ศาลฎีกาฯ ตีตกคำร้อง ปม “ทักษิณ” รักษาตัวชั้น 14 ชี้ไม่ใช่ผู้เสียหายโดยตรงและไม่มีความเกี่ยวข้อง

 


ศาลฎีกาฯ ตีตกคำร้อง ปม “ทักษิณ” รักษาตัวชั้น 14 ชี้ไม่ใช่ผู้เสียหายโดยตรงและไม่มีความเกี่ยวข้อง


วันนี้ (30 เมษายน 2568) เวลา 13.00 น. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง นัดฟังคำสั่งตามคำร้องที่ นายชาญชัย อิสระเสนารักษ์ อดีตสส.พรรคประชาธิปัตย์ ยื่นขอให้ไต่สวน กรณีกรมราชทัณฑ์อนุญาตให้ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งถูกตัดสินจำคุก 8 ปี แต่ได้รับการลดโทษเหลือ 1 ปี ออกจากเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร เข้ารับการรักษาตัวที่ชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ โดยไม่ได้รับอนุญาตจากศาล ผิดขั้นตอนกฎหมายหรือไม่


ทั้งนี้ นายชาญชัย เห็นว่าการกระทำดังกล่าวอาจขัดต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 89 มาตรา 89/2 (1) (2) และมาตรา 246 และไม่อาจอ้างกฎกระทรวง เรื่องการส่งตัวผู้ต้องขังไปรักษาตัวนอกเรือนจำ พ.ศ. 2563 ลงวันที่ 25 ก.ย. 2563 ซึ่งออกโดยอาศัยอำนาจตามมาตรา 55 วรรคสอง แห่งพ.ร.บ.ราชทัณฑ์ พ.ศ. 2560 เพราะขัดต่อบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา จึงขอให้ออกหมายจับและออกหมายขัง นายทักษิณ กลับมารับโทษที่เหลืออยู่ เนื่องจากเห็นว่านับตั้งแต่นายทักษิณ เดินทางกลับมาประเทศไทย เพื่อเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ยังไม่ได้ถูกคุมขังในเรือนจำเลย


ล่าสุด ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ยกคำร้อง โดยระบุว่า ผู้ร้องไม่ใช่ผู้เสียหายโดยตรงและไม่มีความเกี่ยวข้องกับกรณีที่เกิดขึ้น


แต่อย่างไรก็ตามเมื่อความ ปรากฏต่อศาลว่าอาจมีการบังคับตามคำพิพากษาที่ไม่เป็นไปตามหมายจำคุกเมื่อคดีถึงที่สุดของศาลนี้ศาลย่อมมีอำนาจไต่สวนและมีคำสั่งตามที่เห็นสมควร จึงเห็นควรส่งสำเนาคำร้องให้โจทก์และจำเลย


ศาลจะตรวจสอบข้อเท็จจริงเองโดยให้อธิบดีกรมราชทัณฑ์ ผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ และแพทย์ใหญ่โรงพยาบาลตำรวจ เพื่อชี้แจงข้อเท็จจริง ว่าดำเนินการเกี่ยวกับการบังคับการบังคับโทษจำคุกเป็นไปตามหมายจำคุกเมื่อคดีถึงที่สุดของศาลหรือไม่


นอกจากนี้ ยังให้โจทย์และจำเลย พร้อม 3 หน่วยงาน แจ้งให้ศาลทราบพร้อมแสดงหลักฐานที่เกี่ยวข้องภายใน 30 วัน นับตั้งแต่วันที่ได้รับทราบคำสั่งศาล โดยศาลมีคำสั่งนัดพร้อมหรือนัดไต่สวนในวันที่ 13 มิถุนายน 2568 เวลา 09.30 น.


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #ทักษิณชินวัตร #ชั้น14 

“วิโรจน์” ลุยยื่นสภาวิศวกร-กระทรวงอุดมศึกษาฯ ตรวจสอบปมมหาวิทยาลัยศูนย์เหรียญ เปิดหลักสูตรนานาชาติบังหน้า เบื้องหลังขายวุฒิการศึกษา เปิดช่องนำวิศวกรจีนทำงานผิดกฎหมาย

 


วิโรจน์” ลุยยื่นสภาวิศวกร-กระทรวงอุดมศึกษาฯ ตรวจสอบปมมหาวิทยาลัยศูนย์เหรียญ เปิดหลักสูตรนานาชาติบังหน้า เบื้องหลังขายวุฒิการศึกษา เปิดช่องนำวิศวกรจีนทำงานผิดกฎหมาย


วันที่ 30 เมษายน 2568 ที่กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) วิโรจน์ ลักขณาอดิศร รองหัวหน้าพรรคประชาชน ยื่นหนังสือถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษาฯ เพื่อให้กระทรวงตรวจสอบมหาวิทยาลัยทุกแห่งกรณีการรับนักศึกษาต่างชาติเข้าศึกษาในทุกคณะวิชา แต่ใช้กลไกดังกล่าวในการลักลอบเข้าทำงาน ตลอดจนวางแนวทางในการควบคุมคุณภาพทางการศึกษา การป้องกันการเปิดวิทยาลัยนานาชาติหรือเปิดหลักสูตรขึ้นมาบังหน้า แต่เบื้องหลังอาจเข้าข่ายการขายวุฒิการศึกษา โดย ศุภมาส อิศรภักดี รมว.อุดมศึกษาฯ รับหนังสือด้วยตัวเอง


วิโรจน์กล่าวว่า เหตุการณ์โครงการก่อสร้างอาคารที่ทำการสำนักงานการตรวจเงิน (สตง.) แห่งใหม่ พังถล่มเมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2568 ส่งผลให้มีผู้บาดเจ็บและผู้เสียชีวิตจำนวนมาก นำมาซึ่งการตั้งคำถามต่อความเชื่อมั่นในวิชาชีพวิศวกรที่รับผิดชอบโครงการและการควบคุมงานก่อสร้างที่อาจไม่มีใบประกอบวิชาชีพที่ต้องได้รับจากสภาวิศวกร ตนจึงขอให้ รมว.อุดมศึกษาฯ ใช้อำนาจตามมาตรา 51 และให้คณะกรรมการมาตรฐานการอุดมศึกษาตามมาตรา 55 แห่ง พ.ร.บ.การอุดมศึกษา 2562 ตรวจสอบมาตรฐานการศึกษาและการประกันคุณภาพการศึกษาของสถาบันการศึกษาที่อาจเข้าข่ายลักลอบนำเข้าแรงงานผิดกฎหมาย ผ่านการออกวีซ่านักศึกษาให้กับชาวต่างชาติ เพื่อลักลอบเข้ามาประกอบวิชาชีพวิศวกรรมควบคุม หรืออาชีพอื่นๆ ในประเทศไทย โดยผิดกฎหมาย


ก่อนหน้านี้วิโรจน์ยังได้ยื่นหนังสือต่อสภาวิศวกร ขอให้พิจารณาตรวจสอบรวมทั้งเปิดประชุมวิสามัญ เพื่อแก้ไขและวางกลไกป้องกันปัญหาวิศวกรต่างชาติอาศัยช่องว่างของวีซ่านักศึกษาเข้ามาทำงานในประเทศไทย ทั้งตำแหน่งวิศวกรที่ต้องใช้ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพวิศวกรรม (ใบ กว.) และวิศวกรโรงงานที่ไม่ต้องใช้ใบ กว. โดยมีโรงงานศูนย์เหรียญ ผู้รับเหมาศูนย์เหรียญ เปิดตำแหน่งไว้รองรับ และ มีมหาวิทยาลัยศูนย์เหรียญเป็นกลไกในการนำเข้า รวมทั้งการพิจารณาการควบคุมคุณภาพหลักสูตรวิศวกรรมศาสตร์ ทั้งในระดับปริญญาตรี และบัณฑิตศึกษา (ปริญญาโทและปริญญาเอก) ที่เปิดการเรียนการสอนโดยวิทยาลัยนานาชาติ หรือสถาบันที่ตั้งขึ้นมาภายในมหาวิทยาลัยศูนย์เหรียญ โดยการเรียนการสอนทุกอย่างเป็นภาษาจีน คณะกรรมการควบคุมวิทยานิพนธ์เป็นชาวจีน

 

#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #มหาวิทยาลัยศูนย์เหรียญ #พรรคประชาชน #กระทรวงการอุดมศึกษา









จม.จากเรือนจำ “อานนท์” เขียน แผ่นดินไหวครั้งใหญ่เมื่อเดือนที่ผ่านมาบอกเราถึงความไม่แน่นอน .. การเปลี่ยนแปลงอาจมาเร็วขึ้นกว่าที่คิด ถ้ามนุษย์ไม่ปรับตัว มัวทนงตนว่าสามารถควบคุมธรรมชาติได้ โศกนาฎกรรมทางประวัติศาสตร์อาจเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้

 


จม.จากเรือนจำ “อานนท์” เขียน แผ่นดินไหวครั้งใหญ่เมื่อเดือนที่ผ่านมาบอกเราถึงความไม่แน่นอน .. การเปลี่ยนแปลงอาจมาเร็วขึ้นกว่าที่คิด ถ้ามนุษย์ไม่ปรับตัว มัวทนงตนว่าสามารถควบคุมธรรมชาติได้ โศกนาฎกรรมทางประวัติศาสตร์อาจเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้


เมื่อวันที่ 29 เมษายน 2568 เพจเฟซบุ๊ก "อานนท์ นำภา" โพสข้อความระบุถึงจดหมายฉบับวันที่ 29 เม.ย. 2568 มีใจความว่า


เมฆตั้งเค้า ฟ้าคำราม, แม้ไม่ใช่หมอดูเทวดาก็พอจะพยากรณ์ได้ว่าฝนกำลังจะตก ท่ามกลางอากาศอันผ่าวร้อนของเดือนเมษายน นี่อาจเป็นฝนห่าใหญ่ ฝนที่จะชะล้างหมอกควันให้อันตธานไป (อัน-ตะ-ทาน?)


ถ้าเป็นไปตามการคาดการณ์ของอาจารย์รัฐศาสตร์ท่านหนึ่ง อีก 5-10 ปี น่าจะเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ เป็นการเปลี่ยนแปลงที่นักรัฐศาสตร์คาดการไว้ แต่ถ้าดูจากปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น การเปลี่ยนแปลงอาจมาเร็วขึ้นกว่าที่คิด เค้าลางที่ว่ามีพอให้เห็นบ้างแล้ว ถ้ามนุษย์ไม่ปรับตัว มัวทนงตนว่าสามารถควบคุมธรรมชาติได้ โศกนาฎกรรมทางประวัติศาสตร์อาจเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้


แผ่นดินไหวครั้งใหญ่เมื่อเดือนที่ผ่านมาบอกเราถึงความไม่แน่นอนและต้องตระเตรียมหลายๆอย่าง ความประมาทนำมาซึ่งความเสียหายอันยากจะประเมิน แทบจะไม่มีสัญญาณใดที่อาจเตือนพวกเราว่าจะมีแผ่นดินไหว แต่เราย่อมคาดหมายได้ว่ามันอาจเกิด มันย่อมเกิดขึ้นสักวัน


แผ่นดินไหว ไร้สัญญาณเตือน ฝนฟ้าตั้งเค้า หากมนุษย์เรามองเห็น เล็งเห็น อีกไม่นานฝนจะโปรยจากฟ้า สำหรับไร่นาถ้าไม่ชุ่มฉ่ำก็อาจเป็นอุทกภัย 


ผมนั่งมองฟ้าที่กำลังตั้งเค้า เห็นฟ้าแลบ สักพักเสียงคำรามก็ตามมา ฝนห่าใหญ่กำลังจะมา


อานนท์ นำภา

29 เม.ย. 68


สำหรับอานนท์ นำภา ขณะนี้ถูกคุมขังอยู่ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพ ภายหลังศาลอาญาพิพากษาจำคุก ไม่รอลงอาญา ในคดี #มาตรา112 เมื่อวันที่ 26 กันยายน 2566 เหตุจากการขึ้นปราศรัยใน #ม็อบ14ตุลา63


ปัจจุบัน อานนท์มีคดีที่ถูกลงโทษจำคุกแล้ว 9 คดี เป็นคดีม.112 จำนวน 7 คดี โทษที่ถูกตัดสินรวมอยู่ที่ 20 ปี 25 เดือน 20 วัน หรือราว 22 ปี


และในปีนี้คาดว่าจะมีคดีที่มีคำพิพากษาศาลชั้นต้น อีกราว 3 คดี ทุกคดียังอยู่ระหว่างการต่อสู้ในชั้นอุทธรณ์และยังไม่ได้รับการอนุญาตประกันตัว


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #อานนท์นำภา #มาตรา112

วันอังคารที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2568

“ศุภโชติ” ทวงรัฐบาล เปิดเผยผลการตรวจสอบรับซื้อไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน 3,600 เมกะวัตต์ หลังครบกำหนดเวลาทำงานของคณะกรรมการ

 


ศุภโชติ” ทวงรัฐบาล เปิดเผยผลการตรวจสอบรับซื้อไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน 3,600 เมกะวัตต์ หลังครบกำหนดเวลาทำงานของคณะกรรมการ


วันที่ 29 เมษายน 2568 ศุภโชติ ไชยสัจ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน เรียกร้องให้รัฐบาลชี้แจงความคืบหน้าผลการตรวจสอบโครงการรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนเฟส 2 กำลังการผลิตรวม 3,600 เมกะวัตต์ ซึ่งคณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อเดือนธันวาคม 2567 ให้ชะลอกระบวนการเพื่อตรวจสอบข้อสงสัยเกี่ยวกับความโปร่งใสและความผิดปกติในการดำเนินงาน และรัฐบาลได้ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบขึ้นโดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค เป็นประธาน พร้อมกำหนดกรอบเวลาในการทำงาน 60 วัน นับจากวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2568 อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ครบกำหนดแล้ว แต่ยังไม่มีการเปิดเผยผลการตรวจสอบอย่างเป็นทางการ


ศุภโชติกล่าวว่า ขอทวงคำสัญญาจาก รมว.พลังงาน ที่ให้ไว้กับตนในการถามกระทู้สดเมื่อต้นเดือนเมษายนที่ผ่านมาว่าจะรักษาผลประโยชน์ของประชาชนและไม่เห็นด้วยกับการรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนรอบดังกล่าว สิ่งที่ตนกังวลคือรัฐบาลดูเหมือนจะใช้กระบวนการตรวจสอบที่ยึดข้อกฎหมายเป็นหลัก โดยไม่ได้ให้ความสำคัญกับมุมมองด้านอื่นๆ อย่างผลกระทบที่ประชาชนจะต้องจ่ายค่าไฟแพงเกินจริง การทุจริตเชิงนโยบาย หรือการปิดกั้นการแข่งขันของเอกชน


ประเด็นที่สำคัญไม่ใช่แค่เรื่องถูกหรือผิดตามกฎหมายเท่านั้น แต่ยังรวมถึงความเป็นธรรมต่อประชาชน โดยตั้งคำถามว่า หากสัญญารับซื้อไฟฟ้าแม้จะไม่ผิดกฎหมาย แต่ทำให้ประชาชนเสียประโยชน์ รัฐบาลจะยังเดินหน้าโครงการนี้ต่อไปหรือไม่”


ศุภโชติกล่าวเพิ่มเติมว่า หากผลการตรวจสอบของคณะกรรมการที่ควรส่งให้ ครม. พิจารณาเมื่อวันที่ 28 เมษายนที่ผ่านมา ไม่พบความผิดทางกฎหมาย แต่มีข้อบ่งชี้ถึงการเอื้อประโยชน์กลุ่มทุน รัฐบาลจะยังปล่อยให้มีการลงนามในสัญญาซื้อขายไฟฟ้าเหมือนการรับซื้อไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนเฟสแรก จำนวน 5,200 เมกะวัตต์หรือไม่


พร้อมเรียกร้องรัฐบาล หากคำนึงถึงผลประโยชน์ของประชาชน ไม่มุ่งเอื้อผลประโยชน์ให้กลุ่มทุน นายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ในฐานะประธานและรองประธานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ควรยกเลิกการรับซื้อในรอบนี้ และหันไปเพิ่มโควตาโครงการ Direct PPA แทน เพื่อให้การส่งเสริมพลังงานสะอาดเป็นไปโดยไม่เพิ่มภาระค่าไฟฟ้าแก่ระชาชน

 

#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #ค่าไฟฟ้าแพง #พลังงานหมุนเวียน

“ศิริกัญญา-วิโรจน์” เรียกร้องนายกฯ ชี้แจง กรณีจับกุม “พอล แชมเบอร์ส” เป็นเงื่อนไขเจรจาการค้ากับสหรัฐด้วยหรือไม่ หลัง “ทักษิณ” ยอมรับแล้ว นายกฯ เป็น ผอ.รมน. ทำไมยังเงียบ

 


ศิริกัญญา-วิโรจน์” เรียกร้องนายกฯ ชี้แจง กรณีจับกุม “พอล แชมเบอร์ส” เป็นเงื่อนไขเจรจาการค้ากับสหรัฐด้วยหรือไม่ หลัง “ทักษิณ” ยอมรับแล้ว นายกฯ เป็น ผอ.รมน. ทำไมยังเงียบ


วันที่ 29 เมษายน 2568 ศิริกัญญา ตันสกุล รองหัวหน้าพรรคประชาชน กล่าวถึงกรณี ทักษิณ ชินวัตร ให้สัมภาษณ์ถึงความคืบหน้าเจรจาการค้ากับสหรัฐอเมริกา ยอมรับตอนหนึ่งว่า “ทางสหรัฐอเมริกาได้ใช้ข้อมูลจากหลายหน่วยงานเข้ามาผสม ทั้งเรื่องของความมั่นคง เรื่องที่เรามีปัญหาการฟ้องร้องคนอเมริกันอยู่บ้าง ซึ่งถูกนำเอามารวมกันหมด”


โดยศิริกัญญากล่าวว่า แม้คุณทักษิณจะไม่ได้เอ่ยตรงๆ ว่าความมั่นคงเรื่องใด หรือเราฟ้องชาวอเมริกันคนใดบ้าง แต่พอเดาได้ว่าทางสหรัฐฯ ได้หยิบยกเรื่องการส่งตัวชาวอุยกูร์ และปัญหาการฟ้องร้องนักวิชาการอเมริกัน อาจารย์พอล แชมเบอร์ส เป็นส่วนหนึ่งของเงื่อนไขในการเจรจาการค้ากับสหรัฐอเมริกา หรือหนักกว่านั้นคืออาจเป็นเงื่อนไขว่าจะ “ได้เจรจา” หรือไม่


แต่สิ่งที่คุณทักษิณยังไม่ได้ตอบก็คือ นอกจากมีสติแล้ว เราจะแก้ปัญหา 2 เรื่องนี้อย่างไรต่อ ที่จริงคนที่ต้องตอบเรื่องนี้คือรัฐบาล ตั้งแต่อะไรคือปัญหาที่แท้จริงที่กลายเป็นชนวนทำให้เรายังไม่สามารถเดินหน้าเจรจาได้เหมือนประเทศอื่น ไปจนถึงทางออกของปัญหา 2 เรื่องนี้ ลำพังเรื่องอาจารย์พอล แชมเบอร์ส คงสามารถหาทางออกได้ด้วยการถอนฟ้อง และดำเนินการกับหน่วยงานที่ไปแจ้งความโดยไม่มีหลักฐานที่ชัดแจ้ง เรื่องชาวอุยกูร์อาจจะแก้ได้ยากกว่า อย่างน้อยที่สุดก็ต้องยืนยันว่าจะไม่กระทำแบบเดิมซ้ำอีกกับชาวอุยกูร์ที่ยังเหลืออยู่ที่สถานกักกันของ ตม.


จึงขอเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีออกมาชี้แจงเรื่องนี้ให้กระจ่างกับสังคมด้วยตัวเอง ไม่ยืมปากคุณทักษิณ ที่ไม่ได้มีตำแหน่ง อำนาจ หน้าที่หรือความรับผิดชอบใดๆ ยืดอกรับผลการกระทำที่ส่งผลเสียหายมาถึงปากท้องของประชาชนหากเราตกขบวนการเจรจา และแถลงแนวทางแก้ไขที่จะทำให้การเจรจาสามารถเดินหน้าต่อได้ โดยยึดผลประโยชน์ของประชาชนเป็นสำคัญ


ด้าน วิโรจน์ ลักขณาอดิศร รองหัวหน้าพรรคประชาชนและประธานคณะกรรมาธิการการทหาร กล่าวว่าจากการตรวจสอบข้อเท็จจริงในชั้นกรรมาธิการ ตนเห็นว่าการแจ้งความ ม.112 กับ ‘พอล แชมเบอร์ส’ เป็นการกระทำที่อาจเข้าข่ายการใช้อำนาจโดยมิชอบ ทั้งหลักฐานที่ กอ.รมน. นำมาแจ้งความ ที่เป็นเพียงเว็บไซต์สูจิบัตรแนะนำหัวข้อสัมมนาออนไลน์ ที่พอล แชมเบอร์ส ไม่ได้เป็นผู้เขียน และไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับ ISEAS-Yusof Ishak Institute ที่เป็นผู้จัดงานสัมมนา


ยิ่งฟัง พล.ต.วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก ชี้แจงต่อสื่อมวลชน ก็ยิ่งรู้สึกกังวลเป็นอย่างมาก เพราะ พล.ต.วินธัย ชี้แจงว่า การกระทำผิด ม.112 นั้นเป็นอาญาแผ่นดิน ใครที่พบเห็นการกระทำผิดสามารถแจ้งความได้ ซึ่งไม่ผิดเลยถ้า พล.ท.กิตติพงษ์ แจ่มสุวรรณ ไปแจ้งความในฐานะปัจเจกบุคคล แต่ข้อเท็จจริงคือ พล.ท.กิตติพงษ์ ไปแจ้งความในนามของ กอ.รมน. ซึ่งเป็นหน่วยงานรัฐ ซึ่งการดำเนินการต้องอยู่ภายใต้หลักการของกฎหมายมหาชน คือจะทำได้ก็ต่อเมื่อกฎหมายระบุให้ทำ และเมื่อพิจารณาจาก พ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ.2551 แล้ว ทั้งผู้แทนจาก กอ.รมน. ภาค 3 และ พล.ต.วินธัย ยังไม่สามารถตอบได้อย่างชัดเจนว่าใช้อำนาจตามมาตราใด


สิ่งที่ กอ.รมน. กระทำ นอกจากจะเข้าข่ายการบ่อนทำลายหลักนิติรัฐแล้ว ยังส่งผลต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ซึ่งเกี่ยวพันกับประโยชน์ของประเทศอย่างใหญ่หลวง และที่น่ากังวลที่สุด ก็คือการกระทำในครั้งนี้ อาจเข้าข่ายการอ้างความจงรักภักดี ใช้ ม.112 เป็นเครื่องมือในการก่อข้อพิพาทระหว่างประเทศ โดยที่สถาบันพระมหากษัตริย์ ต้องตกอยู่ท่ามกลางข้อพิพาทนั้น กระทบต่อพระเกียรติยศของสถาบันพระมหากษัตริย์ในเวทีโลก


ขนาดคุณทักษิณ ชินวัตร พ่อของนายกรัฐมนตรี ยังออกมายอมรับเองว่า เรื่องนี้อาจมีผลกระทบต่อการเจรจากรณีภาษีศุลกากรตอบโต้กับประเทศสหรัฐอเมริกา แต่จนถึงปัจจุบันนายกฯ แพทองธาร ในฐานะ ผอ.รมน. ก็ยังไม่แสดงความเห็นเรื่องนี้ ว่าจะคลี่คลายสถานการณ์อย่างไร หากปรากฎภายหลังว่าคดีนี้ มีการสั่งไม่ฟ้อง ยกฟ้อง หรือมีคำพิพากษาเป็นที่สุดว่า พอล แชมเบอร์ส มิได้กระทำผิดตามที่ถูกแจ้งความดำเนินคดี กอ.รมน. และเจ้าหน้าที่ตำรวจที่เกี่ยวข้องกับคดีนี้ จะรับผิดชอบต่อความเสียหายของประเทศและประชาชนอย่างไร


นี่จึงเป็นอีกข้อพิสูจน์ว่ารัฐบาลเพื่อไทยไม่มีเจตจำนงในการทำให้รัฐบาลพลเรือนอยู่เหนือกองทัพเลย ปล่อยให้ฝ่ายความมั่นคงลุแก่อำนาจ ใช้ ม.112 ตามอำเภอใจ เหมือนบ้านเมืองไม่มีขื่อไม่มีแป โดยไม่สนใจเลยว่า ความเขลา และความคลั่งอำนาจของตน จะสร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชนแค่ไหน จะทำลายเกียรติภูมิของประเทศในเวทีโลกเพียงไร ถ้าบ้านเมืองของเรายังมี "รัฐทหาร" ที่อยู่เหนือกฎหมาย สามารถทำตามอำเภอใจตนเองอย่างไรก็ได้ การปฏิรูปกองทัพจะไม่สามารถเกิดขึ้นได้เลย

 

#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #พรรคประชาชน #กำแพงภาษีทรัมป์ #พอลแชมเบอร์ส

วันจันทร์ที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2568

ปล่อยตัวแล้ว 'ตะวัน' พร้อมพวกรวม 8 คน หลังศาลให้ประกันตัว 9 นักกิจกรรม คดีชุมนุม #Saveหยก หน้าสน.สำราญราษฎร์ เมื่อ ปี 66 โดย 'แบงค์ ณัฐพล' ซึ่งถูกคุมขังคดีอื่นและ ม.112 ถูกคุมตัวกลับเรือนจำฯ

 


ปล่อยตัวแล้ว 'ตะวัน' พร้อมพวกรวม 8 คน หลังศาลให้ประกันตัว 9 นักกิจกรรม คดีชุมนุม #Saveหยก หน้าสน.สำราญราษฎร์ เมื่อ ปี 66 โดย 'แบงค์ ณัฐพล' ซึ่งถูกคุมขังคดีอื่นและ ม.112 ถูกคุมตัวกลับเรือนจำฯ


ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน รายงานว่า 


ตามที่วันนี้ (28 เม.ย. 2568) เวลา 09.00 น. ที่ห้องพิจารณา 811 ศาลอาญา มีนัดฟังคำพิพากษาในคดีของนักกิจกรรม 9 คน ประกอบไปด้วย “ออย” สิทธิชัย (สงวนนามสกุล), “สายน้ำ”, “ตะวัน” ทานตะวัน ตัวตุลานนท์, “แบม” อรวรรณ (สงวนนามสกุล), ธีรภัทร (สงวนนามสกุล), “มอส” รณกร (สงวนนามสกุล), “แก๊ป” จิรภาส (สงวนนามสกุล), “แบงค์” ณัฐพล (สงวนนามสกุล) และ “บังเอิญ” (นามสมมติ) จากกรณีเข้าร่วมชุมนุมที่หน้า สน.สำราญราษฎร์ ในกิจกรรม “ใครใคร่ ด่า ด่า ใครใคร่สาด สาด #Saveหยก” เพื่อทวงถามการแจ้งข้อกล่าวหาเพิ่มเติมในคดีของ ‘หยก’ นักกิจกรรมเยาวชน วัย 15 ปี ที่ถูกคุมขังจากคดีมาตรา 112 เมื่อวันที่ 10 พ.ค. 2566


โดยวันนี้ (28 เม.ย.) เวลา 9.00 น.ที่ห้องพิจารณาคดี 811 จำเลยทั้ง 9 คน ได้ทยอยเดินทางมาฟังคำพิพากษา โดยแบงค์ ณัฐพล ถูกเบิกตัวมาจากเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ พันธนาการด้วยกุญแจเท้า เนื่องจากถูกคุมขังในคดีอื่น มีประชาชนเข้าร่วมสังเกตการณ์จำนวนหนึ่ง 


ต่อมา 11.00 น. ศาลได้ออกนั่งพิจารณาคดี โดยเรียกให้จำเลยทุกคนแสดงตัว และเริ่มอ่านคำพิพากษาโดยมีใจความสำคัญสรุปว่า จำเลยทั้ง 9 คนมีความผิดตามฟ้องใน 3 ประเด็น ดังนี้ 


ฐานร่วมกันต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานและทำให้ทรัพย์สินเสียหาย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 138, 358, 360 ศาลเห็นว่า จากการที่เพจเฟซบุ๊ก 14 ขุนพลคนของราษฎร III โพสต์เชิญชวนประชาชนให้มาชุมนุมในกิจกรรม “ใครใคร่ด่า ด่า ใครใคร่สาด สาด #Saveหยก” แม้จำเลยจะอ้างว่าไม่ได้มีเจตนาจะมาต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงาน เพียงต้องการสอบถามถึงกรณีของหยกเท่านั้น แต่การกระทำของจำเลยที่เมื่อ ผกก.สน.สำราญราษฎร์ ไม่ได้ลงมาพูดคุย จึงได้ทำการสาดสี เลือดหมู และพ่นสีสเปรย์ใส่ทั่วบริเวณ สน. สำราญราษฎร์ และยังสร้างความเสียหายต่อทรัพย์สินของเจ้าหน้าที่ตำรวจ เช่น เครื่องแบบตำรวจ และซองปืน มีเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ได้รับความเสียหายรวม 59 คน คิดเป็นความเสียหายประมาณ 265,250 บาท สอดคล้องกับการโพสต์ชักชวนดังกล่าว ทำให้เห็นได้ว่าจำเลยทั้งเก้ามีเจตนากระทำการดังกล่าวจริง และโจทก์ยังมีพยานตำรวจในท้องที่ รวมไปถึงพยานหลักฐานอื่น ๆ ที่ชี้ว่าจำเลยทั้งเก้าได้กระทำการให้เกิดความเสียหายแก่ สน.สำราญราษฎร์ 


ฐานบุกรุกสถานที่ในเวลากลางคืนโดยใช้กำลังประทุษร้าย ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 364 ประกอบมาตรา 365 (1)(2)(3) แม้จำเลยจะอ้างว่าการกระทำของจำเลยมีเจตนาเพื่อทวงถามในกรณีการดำเนินคดีเพิ่มเติมกับ ‘หยก’ เท่านั้น และยังเป็นการใช้สิทธิในการแสดงออกตามรัฐธรรมนูญ ศาลเห็นว่า ในการใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญต้องไม่ไปละเมิดสิทธิเสรีภาพของผู้อื่น จำเลยอ้างสิทธิตามรัฐธรรมนูญเพื่อประโยชน์ส่วนตัวเพียงฝ่ายเดียวและเป็นการอ้างตามอำเภอใจ ข้ออ้างดังกล่าวจึงฟังไม่ขึ้น นอกจากนี้ การที่หนึ่งในจำเลยมีการขว้างปากระป๋องสีใส่เจ้าหน้าที่ ทำกระจกบานเลื่อนของ สน.สำราญราษฎร์ เสียหาย ก็เป็นการกระทำที่ใช้กำลังประทุษร้ายเจ้าที่ตำรวจอีกด้วย


ฐานขัดคำสั่งเจ้าพนักงาน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 368 ที่จำเลยและพวกปฏิเสธที่จะพิมพ์ลายนิ้วมือในชั้นสอบสวน ศาลมีความเห็นว่า หลังจากจำเลยทั้งเก้าเป็นผู้ต้องหา เจ้าหน้าที่ตำรวจได้แจ้งสิทธิให้ตัวจำเลยได้ทราบแล้ว การพิมพ์ลายนิ้วมือเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการสอบสวน การปฏิเสธที่จะไม่พิมพ์ลายนิ้วมือโดยขาดเหตุอันสมควร จึงเป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ทั้งนี้ ศาลยังเห็นว่า แม้จำเลยจะกล่าวอ้างว่าเจ้าหน้าที่กระทำการอันไม่ชอบด้วยกฎหมายในชั้นสอบสวน แต่จำเลยก็ไม่ได้มีการนำสืบให้ศาลเห็นว่า เจ้าหน้าที่มีการกระทำอันไม่ชอบด้วยกฎหมายจริงตามที่จำเลยกล่าวอ้าง


พิพากษาว่า จำเลยทั้ง 9 คน มีความผิดฐานร่วมกันทำให้ทรัพย์ของผู้อื่นและทรัพย์ที่มีไว้เพื่อสาธารณประโยชน์เสียหาย, ร่วมกันบุกรุกในเวลากลางคืนโดยใช้กำลังประทุษร้าย, ร่วมกันต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงาน และฝ่าฝืนคำสั่งเจ้าพนักงาน


เนื่องจากการกระทำความผิดของจำเลยทั้งเก้าเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเรียงกระทงความผิดไป ฐานร่วมกันทำให้ทรัพย์ของผู้อื่นและทรัพย์ที่มีไว้เพื่อสาธารณประโยชน์เสียหาย, ร่วมกันต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงาน และร่วมกันบุกรุกในเวลากลางคืนโดยใช้กำลังประทุษร้าย เป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานร่วมกันบุกรุกตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป ในเวลากลางคืน ตามมาตรา 364 จำคุกคนละ 2 ปี และฐานฝ่าฝืนคำสั่งเจ้าพนักงาน ตามมาตรา 368 จำคุกคนละ 10 วัน รวมจำคุกคนละ 2 ปี 10 วัน ไม่รอลงอาญา


ภายหลังฟังคำพิพากษา นักกิจกรรมทั้ง 9 คนได้ยินยอมให้เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ควบคุมตัว โดยไม่มีท่าทีขัดขืนใด ๆ ส่วนญาติและเพื่อน ๆ ได้เดินทางไปใต้ถุนศาลเพื่อซื้ออาหารให้กับจำเลยรับประทานในระหว่างรอฟังคำสั่งประกันตัว 


ต่อมา 16.17 น. หลังทนายยื่นประกันจำเลยทั้งหมดยกเว้น แบงค์ ณัฐพล ซึ่งอยู่ระหว่างถูกคุมขังในคดีอื่น และคดีมาตรา 112 ที่เขาถอนประกันตัวเอง ศาลอาญาอนุญาตให้ประกันตัวจำเลยทั้งแปด วางหลักทรัพย์คนละ 150,000 บาท โดยได้รับความช่วยเหลือจากกองทุนราษฎรประสงค์ ทำให้ทั้งหมดได้รับการปล่อยตัวที่ศาลอาญา


ข้อมูล : ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์

ศาลอาญาพิพากษา จำคุก 9 นักกิจกรรม “ตะวันและพวก” คนละ 2 ปี 10 วัน เหตุชุมนุม #Saveหยก หน้า สน.สำราญราษฎร์ เมื่อ ปี 66

 


ศาลอาญาพิพากษา จำคุก 9 นักกิจกรรม “ตะวันและพวก”  คนละ 2 ปี 10 วัน เหตุชุมนุม #Saveหยก หน้า สน.สำราญราษฎร์ เมื่อ ปี 66


วันนี้ (28 เมษายน 2568) ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน ได้รายงานผ่านโซเชียล X ความว่า ด่วน! ศาลอาญาพิพากษาจำคุกคนละ 2 ปี 10 วัน “สายน้ำ” “ตะวัน” และพวกรวม 9 คน คดีชุมนุม #Saveหยก ที่หน้า สน.สำราญราษฎร์ เมื่อ 10 พ.ค. 66


คำพิพากษาระบุ จำเลยทั้งเก้ามีความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์, บุกรุก, ต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานและไม่ปฏิบัติตามคำสั่งเจ้าพนักงาน ตามฟ้อง ลงโทษฐานบุกรุก ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุด จำคุกคนละ 2 ปี ฐานไม่ปฏิบัติตามคำสั่งเจ้าพนักงาน จำคุกคนละ 10 วัน รวมจำคุกคนละ 2 ปี 10 วัน


เหตุเกิดเมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม 2566 โดยศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน ได้รับรายงานว่ามีการจับกุมกลุ่มนักกิจกรรมจำนวน 9 ราย ประกอบไปด้วย ตะวัน -ทานตะวัน ตัวตุลานนท์, แบม อรวรรณ, สายน้ำ, มอส (นามสมมติ), ธี (นามสมมติ), ออย สิทธิชัย ,บังเอิญ, แก๊ป จิรภาส และ แบงค์ ณัฐพล  จากกรณีเข้าร่วมชุมนุมที่หน้า สน.สำราญราษฎร์ ในกิจกรรม “ใครใคร่ ด่า ด่า ใครใคร่สาด สาด #Saveหยก”  เพื่อทวงถามการแจ้งข้อกล่าวหาเพิ่มเติมในคดีของ หยก’ นักกิจกรรมเยาวชน วัย 15 ปี (ในขณะนั้น)


ทั้งนี้ ขณะนี้อยู่ระหว่างยื่นประกันทั้ง 9 คน ในชั้นอุทธรณ์


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #TLHR

วันอาทิตย์ที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2568

‘ปชน.’ แถลงขอบคุณทุกเสียงทุกกำลังใจ หลังพ่ายเลือกตั้งซ่อมเขต 8 นครศรีฯ ย้ำพื้นที่ภาคใต้เป็นสมรภูมิสำคัญที่ต้องปักธงส้ม ยันยังคงยึดมั่นทำหน้าที่อย่างตรงไปตรงมา พร้อมเก็บเกี่ยวโจทย์สำคัญว่าต้องทำอะไรต่อไป เดินหน้าสู่การเลือกตั้งปี 70 เพื่อเป็นรัฐบาล ชวนประชาชนร่วมทำงานทางความคิดต่อไปเพื่อชัยชนะในอนาคต

 


‘ปชน.’ แถลงขอบคุณทุกเสียงทุกกำลังใจ หลังพ่ายเลือกตั้งซ่อมเขต 8 นครศรีฯ ย้ำพื้นที่ภาคใต้เป็นสมรภูมิสำคัญที่ต้องปักธงส้ม ยันยังคงยึดมั่นทำหน้าที่อย่างตรงไปตรงมา พร้อมเก็บเกี่ยวโจทย์สำคัญว่าต้องทำอะไรต่อไป เดินหน้าสู่การเลือกตั้งปี 70 เพื่อเป็นรัฐบาล ชวนประชาชนร่วมทำงานทางความคิดต่อไปเพื่อชัยชนะในอนาคต


วันที่ 27 เม.ย.2568 ที่ทำการพรรคประชาชน จังหวัดนครศรีธรรมราช นายรังสิมันต์ โรม สส.บัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรคพรรคประชาชน, นางสาวภคมน หนุนอนันต์ สส.บัญชีรายชื่อและรองโฆษกพรรคประชาชน และ นายณัฐกิตต์ อยู่ด้วง-ปรีชา ผู้สมัคร สส.นครศรีธรรมราช เขต 8 ร่วมแถลงขอบคุณทุกคะแนนเสียง ทุกกำลังใจ ภายหลังทราบผลการนับคะแนนอย่างไม่เป็นทางการ ในการเลือกตั้งซ่อม เขต 8 นครศรีธรรมราช พรรคประชาชน


นายรังสิมันต์ กล่าวขอบคุณประชาชน ที่วันนี้เข้าคูหาไปใช้สิทธิ์ลงคะแนน ตลอดเวลาหลายสิบวันที่ผ่านมา เราพบว่าการหาเสียงเป็นไปอย่างเข้มข้น ประชาชนให้การตอบรับการรณรงค์หาเสียงอย่างคึกคัก ขอบคุณทุกคนที่มีส่วนร่วมในการรณรงค์ และการแสดงออกทางประชาธิปไตย อย่างไรก็ดี ผลที่ออกมาอย่างไม่เป็นทางการ ตนต้องขอแสดงความยินดีต่อ นายก้องเกียรติ เกตุสมบัติ ผู้สมัครจากพรรคกล้าธรรม ซึ่งน่าจะเป็นผู้ที่ชนะในการเลือกตั้งซ่อมครั้งนี้ ตนในฐานะที่เข้ามาช่วย ดร.นัท รายการหาเสียงเลือกตั้งครั้งนี้ ตนยังคงเชื่อมั่นในการทำหน้าที่ของเราได้รับการตอบรับจากประชาชนที่เชียร์ จากระยะเวลาสั้นๆ ของการเลือกตั้งครั้งนี้ และอาจจะมีข้อจำกัด ทำให้เรารณรงค์ได้ยากนิดหน่อย


นายรังสิมันต์ กล่าวว่า เรายังเชื่อมั่นว่า การเมืองภาคใต้ได้เปลี่ยนไปแล้ว พรรคประชาชนจะยังคงยึดมั่น ในการทำหน้าที่ของตัวเองอย่างตรงไปตรงมา และจะยังคงยึดมั่นในการหาเสียงภาคใต้ต่อไป เรามั่นใจว่า ภาคใต้จะเป็นสมรภูมิสำคัญ โดยเฉพาะในการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นระดับชาติ หรือ ปี 70 ต่อไป


ขอขอบคุณทุกคนที่มีส่วนร่วมบอกต่อกับคนในครอบครัว หลายคนหวังดี หลายคนสนับสนุน ช่วยการกระจายข่าวการเลือกตั้งครั้งนี้ ตนมั่นใจว่าสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดที่เราได้ทำไป จะเป็นบทเรียนสำคัญ ให้กับพรรคประชาชนถอดบทเรียน ไปอุดช่องโหว่ ไปแก้ไขความผิดพลาดต่างๆ เพื่อกลับมาอย่างเข้มแข็งในการเลือกตั้งครั้งหน้า ตนเชื่อว่าการเลือกตั้งครั้งนี้ไม่ใช่เป็นบทเรียนที่สำคัญเฉพาะเขต 8 เท่านั้น แต่เราต้องนำไปปรับใช้กับการเมืองภาคใต้ทั้งภาค ยืนยันว่า ภาคใต้มีความสำคัญต่อพรรคประชาชนอย่างแน่นอน เราพร้อมที่จะเดินหน้าในการเลือกตั้งครั้งหน้า เพื่อเป็นรัฐบาลต่อไปอย่างเด็ดขาดแน่นอน


นายณัฐกิตต์ กล่าวว่า ขอขอบคุณทุกคนที่มาใช้สิทธิ์การเลือกตั้งในครั้งนี้ เราทุกคนพยายามอย่างสุดความสามารถ ขอขอบคุณทุกคนที่มอบแรงใจสนับสนุนพรรคประชาชนมาตลอด 20 วัน เรารู้สึกได้รับกำลังใจอย่างเต็มที่ ผลคะแนนที่ออกมาอย่างไม่เป็นทางการ ตนต้องขอแสดงความยินดีกับนายก้องเกียรติ ที่ชนะการเลือกตั้งในครั้งนี้ และตนอยากบอกกับประชาชนว่า พรรคประชาชนของเรา จะทำงานในพื้นที่ต่อไปอย่างเข้มข้น ในการเลือกตั้งซึ่งจะเกิดขึ้นในอีก 2 ปีข้างหน้า เราพร้อมที่จะเป็นรัฐบาลในปี 70 ดังนั้น ขอให้ประชาชนไม่ต้องกังวล เราไม่หมดไฟ อย่าหมดหวังในแรงศรัทธาต่อพวกเรา เราพร้อมจะเดินต่อไปด้วยกัน และเชื่ออย่างหนึ่งว่าเราได้ปักธงส้มในใจของประชาชนแล้วในวันนี้


นางสาวภคมน กล่าวขอบคุณประชาชนและทีมงานจังหวัดนครศรีธรรมราชทุกคน พวกเราทุกคนคือคนทำงาน บางทีอาจเห็นแค่คนเบื้องหน้า ยังมีคนบ้างหลังอีกมากมายที่ทุ่มเท และพร้อมจะเดินทางไปกับพวกเรา


สำหรับผลการเลือกตั้งในครั้งนี้ ตนไม่เสียใจถือว่าเป็นโอกาสที่ดีด้วยซ้ำ ที่เราได้เห็นโจทย์ใหม่ๆ เพิ่มขึ้นมากมาย ในช่วงระยะเวลา 2 ปีก่อนการเลือกตั้งปี 70 คือเรายังมีเวลาที่จะทำการบ้านต่อ วันนี้การเริ่มต้นในสนามเลือกตั้งซ่อมนครศรีฯ เขต 8 เป็นโอกาสให้เราได้เก็บเกี่ยวโจทย์สำคัญ โจทย์ใหญ่หลายมิติ ในการเมืองภาคใต้ ว่าเราจะต้องทำอะไรต่อไป เพื่อชัยชนะในอนาคต


นางสาวภคมน ยืนยันว่า พื้นที่ภาคใต้สำหรับพรรคประชาชน ยังคงเป็นพื้นที่ยุทธศาสตร์สำคัญ ที่พรรคประชาชนจะต้องปักธงให้ได้ และมั่นใจว่า ช่วงระยะเวลา 2 ปีที่เหลืออยู่ ทั้งงานสภา ทั้งงานพื้นที่ เราจะสามารถทำงาน ให้ประชาชนยอมรับในตัวของพรรคประชาชนได้


นางสาวภคมน ยังฝากว่า ทุกคะแนนเสียงของประชาชนทุกคนมีค่ากับเรามาก ทุกท่านที่รับฟังเรา ได้ยินเสียงของเรา และเห็นด้วยกับเราในวันนี้ ขอให้ทุกคนยังคงยืนหยัดต่อสู้ต่อไป เป็นกำลังใจ ทำงานไปพร้อมกับพวกเรา ช่วยกันทำงานความคิดต่อไป เรามั่นใจว่า ปี 70 เราจะเห็นชัยชนะเกิดขึ้นในพื้นที่ภาคใต้อย่างแน่นอน และ ดร.นัท ก็จะยังคงทำงานในพื้นที่ต่อไป


เมื่อถามว่าผลการเลือกตั้งในครั้งนี้ สะท้อนอะไรบ้าง นางสาวภคมน มองว่า การเมืองภาคใต้เป็นมิติที่หากจะพูดว่าสนุกก็สนุก ให้เราได้แกะโจทย์กันต่อไปในการเลือกตั้งใหญ่ แต่คงไม่เหมือนกันขนาดนั้น แต่อย่างไรก็ตาม เราได้ประสบการณ์ ได้โจทย์ใหญ่หลายเรื่อง ในการทำงานต่อไป ตนคงไม่ได้บอกว่าดีหรือไม่ดี แต่นี่คือการที่ทำให้พวกเราได้เรียนรู้เติบโต และมีเวลาในการทำงานต่อไป


นายรังสิมันต์ กล่าวเสริมว่า สิ่งสำคัญหลังจากนี้ เรายังคงเดินหน้าทำงานต่อไป ก่อนหน้านี้ ดร.นัท เคยทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาคณะกรรมาธิการความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดน ยุทธศาสตร์ชาติ และการปฏิรูปประเทศ สภาผู้แทนราษฎร และมีส่วนช่วยอย่างมาก ในเรื่องแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ซึ่งเราจะยังคงเดินหน้าในเรื่องนี้ต่อไป ผลการเลือกตั้งที่ออกมา ตนมองว่าคะแนนคงไม่น่าจะพลิกแล้ว แต่สิ่งสำคัญของพรรคประชาชน คือเรายังต้องทำงาน และแม้ ดร.นัท จะไม่ได้เข้าสภา แต่ ดร.นัท จะยังคงทำหน้าที่เป็นปากเป็นเสียงให้ประชาชน เพื่อรักษาผลประโยชน์ของประชาชนต่อไป


นายรังสิมันต์ กล่าวว่า เมื่อผลการตัดสินของประชาชนผ่านคูหาเลือกตั้งออกมาแบบนี้ เราน้อมรับต่อคำตัดสินนั้น และยังคงเดินหน้าในการที่จะปักธงส้มต่อไป เชื่อว่าหากดูจากบทเรียนในปี 66 เราถูกปรามาสไว้เยอะ และเราก็สร้างความเป็นไปได้ใหม่ๆ ให้เห็นแล้ว เชื่อว่าบทเรียนครั้งนี้ จะเป็นบทเรียนสำคัญในการสร้างความเป็นไปได้ใหม่ๆ ในการเลือกตั้งปี 70 ต่อไป และเราตั้งเป้าที่จะชนะการเลือกตั้ง เพื่อเป็นรัฐบาลให้ได้ ขอบคุณทุกแรงสนับสนุน ขอบคุณทุกกำลังใจ ขอบคุณทุกหัวคะแนนธรรมชาติ


“วันนี้แม้เราจะพ่ายแพ้การเลือกตั้ง แต่เราจะเห็นว่ามีกำลังใจกลับมาล้นหลาม ประชาชนมาอยู่ที่ตรงนี้อย่างเต็มกำลัง มีหลายคนแวะเวียนเข้ามาให้กำลังใจ นั่นหมายความว่า เราเป็นพรรคการเมืองที่เติบโตเรื่อยๆ ต่อไป”


สำหรับผลคะแนนนับเสร็จแล้วนั้น 👉 ผลคะแนนเลือกตั้ง สส.จังหวัดนครศรีธรรมราช เขตเลือกตั้งที่ 8 แทนตำแหน่งที่ว่าง (อย่างไม่เป็นทางการ)


อันดับ 1 นายก้องเกียรติ เกตุสมบัตร ผู้สมัครจากพรรคกล้าธรรม เบอร์ 5 ได้ 38,680 คะแนน


อันดับ 2 นายไสว เลื่องสีนิล ผู้สมัครจากพรรคภูมิใจไทย เบอร์ 1 ได้ 28,417 คะแนน


อันดับ 3 นายณัฐกิตต์ อยู่ด้วง ผู้สมัครพรรคประชาชน เบอร์ 3 ได้ 6,811 คะแนน


อันดับ 4 นายชินวรณ์ บุณยเกียรติ ผู้สมัครจากพรรคประชาธิปัตย์ เบอร์ 2 ได้ 4,190 คะแนน


อันดับ 5 ว่าที่พ.ต.กวี ไกรทอง ผู้สมัครพรรคพร้อม เบอร์ 4 ได้ 238 คะแนน


อันดับที่ 6 นายพิษณุ รสมาลี ผู้สมัครจากพรรคทางเลือกใหม่ เบอร์ 6 ได้ 194 คะแนน


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #พรรคประชาชน #เลือกตั้งซ่อมเขต8 #นครศรีธรรมราช