“ศิริกัญญา” ห่วงแนวโน้มเศรษฐกิจปี 68-69 จีดีพีโตต่ำอาจทำรายได้รัฐพลาดเป้า-ใช้งบได้ไม่เต็มก้อน
คาดปลายปีงบ 70 มีแนวโน้มเพดานหนี้สาธารณะขยายเป็น 70%
เร็วกว่าที่คาด
วันที่
11 มิถุนายน 2568 ที่อาคารรัฐสภา ศิริกัญญา ตันสกุล
สส.บัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรคประชาชน
ให้สัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชนหลังประชุมคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง
พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2568 โดยได้แสดงความกังวลต่อแนวโน้มเศรษฐกิจทั้งในปี
2568 และ 2569 ที่จะมาถึง
โดยศิริกัญญาระบุว่าการประชุมในวันนี้เป็นนัดแรกที่หน่วยงานมาชี้แจงต่อกรรมาธิการในประเด็นต่างๆ
ซึ่งในการประชุมวันนี้ทุกหน่วยงานต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าเศรษฐกิจทั้งในปี 2568 และในปี
2569 มีความน่ากังวล โดยในปี 2568 มีการประมาณการตัวเลขจีดีพีอยู่ที่ระหว่าง
1.8-2% ส่วนปี 2569 ก็มีแนวโน้มที่จะตกลงอีกไปอยู่ที่
1.6% ซึ่งจะส่งผลกระทบต่องบประมาณ
โดยเฉพาะในด้านการประมาณการรายได้ภาครัฐ
จากการคำนวณเบื้องต้น
ถ้าจีดีพีตกต่ำลงตามคาดการณ์ในปี 2569 รายได้รัฐจะหายไปอยู่ที่ราว 63,000
ล้านบาท หรือประมาณ 2% ของประมาณการรายได้
ซึ่งหากรัฐไม่สามารถหารายได้จากที่อื่นมาได้ ก็หมายความว่ารายจ่ายในปี 2569
ก็อาจจะใช้ได้อย่างไม่เต็มที่ตามที่ได้ตั้งงบประมาณไว้ที่ 3.78
ล้านล้านบาท และหากจะกู้เพิ่มก็กู้ได้ไม่มาก
เนื่องจากรัฐบาลได้ตั้งงบประมาณขาดดุลจนเกือบที่จะเต็มเพดานไว้อยู่แล้ว
ถ้าจะกู้เพิ่มก็ได้เกินเพียงแค่ประมาณ 17,000 ล้านบาท
ขณะที่รายได้ลดลงไปถึง 60,000 ล้านบาท
ศิริกัญญากล่าวต่อไปว่าในที่ประชุมวันนี้ยังมีการพูดคุยกับกระทรวงการคลังว่าจะมีแนวทางอย่างไรบ้าง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนของภาษีสรรพสามิตที่รัฐเก็บได้ต่ำกว่าเป้ามาโดยตลอด
ซึ่งทางกระทรวงการคลังเองก็ได้ชี้แจงแนวทางมาสองแนวทาง
โดยแนวทางแรกที่จะใช้ทั้งในปี 2568 และ 2569 ก็คือการจัดเก็บภาษีน้ำมัน
อย่างที่ก่อนหน้านี้จัดเก็บเพิ่มอีก 1 บาท
ซึ่งจะทำให้รัฐมีรายได้เพิ่มขึ้นประมาณ 3,000 ล้านบาทต่อเดือน
แนวทางต่อมาคือการเก็บภาษีอื่นเพิ่มเติม
โดยจะมีการรื้อโครงสร้างของภาษีรถยนต์ในอนาคต ซึ่งเป็นภาษีที่จัดเก็บได้ลดลงไปมาก
จากยอดขายรถยนต์ที่น้อยลงและรถยนต์ไฟฟ้าที่เก็บภาษีต่ำ
ซึ่งยังมีข้อน่ากังวล
เนื่องจากกระทรวงการคลังยังไม่ได้มีการลงรายละเอียดอย่างชัดเจนว่าจะได้เม็ดเงินเพิ่มเติมมาจากไหน
เป็นเงินจำนวนเท่าไหร่บ้าง เพราะที่ผ่านมาเมื่อมีปัญหาเช่นนี้เกิดขึ้น
กระทรวงการคลังก็มักใช้วิธีการนำเอาเงินปันผลจากรัฐวิสาหกิจต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น
ปตท. สำนักงานสลากฯ หรือกองทุนวายุภักษ์ มาใช้ในการเพิ่มรายได้ของภาครัฐให้มากขึ้น
ซึ่งไม่ได้มีความยั่งยืนเนื่องจากผลประกอบการของรัฐวิสาหกิจบางส่วนอาจจะไม่ได้ดีอย่างที่คาด
เช่น ปตท. แม้จะมีบางรายที่มีผลประกอบการที่ดีขึ้น เช่น บมจ.
ท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย เป็นต้น
ศิริกัญญากล่าวต่อไปว่าที่น่ากังวลอีกประการคืองบประมาณสำหรับชำระดอกเบี้ยที่จะต้องจ่ายในแต่ละปี
ที่ไม่ได้มีการตั้งงบประมาณตามที่วางแผนไว้ตั้งแต่ต้น
ซึ่งสำนักงบประมาณก็ได้ให้ความเห็นว่าคงต้องรอลุ้นว่าดอกเบี้ยนโยบายจะตกลงมาเรื่อยๆ
และทำให้ดอกเบี้ยพันธบัตรรัฐบาลมีค่าใช้จ่ายลดลงหรือไม่
ซึ่งเป็นข้อน่ากังวลในอนาคตว่าถ้าเงินไม่เพียงพอก็อาจจะต้องใช้งบกลางหรือเงินคงคลังมาชำระดอกเบี้ยอีกเหมือนปี
2567
ในส่วนสุดท้ายที่ได้แลกเปลี่ยนกับกระทรวงการคลังก็คือเรื่องสัดส่วนหนี้สาธารณะต่อจีดีพี
ซึ่งมีข้อกังวลว่าด้วยความที่จีดีพีจะโตต่ำลง
สัดส่วนหนี้สาธารณะต่อจีดีพีจะขึ้นไปถึง 70% เร็วขึ้น
โดยในช่วงปลายปีงบประมาณในเดือนกันยายน 2569 หนี้สาธารณะต่อจีดีพีมีแนวโน้มจะขึ้นไปถึง
69% เร็วกว่าที่ได้เคยคาดการณ์เอาไว้ เท่ากับว่าในปี 2570
อย่างไรก็ต้องมีการขยายเพดานหนี้สาธารณะออกไปอย่างแน่นอนแล้ว
ซึ่งทางกระทรวงการคลังก็ไม่ได้ปฏิเสธในส่วนนี้
ดังนั้นประเทศไทยคงต้องมีมติคณะกรรมการนโยบายการเงินการคลังของรัฐเพื่อขยายเพดานหนี้สาธารณะในปี
2570 ซึ่งไม่อาจมั่นใจได้ว่าจะเป็นรัฐบาลไหนที่ได้ใช้
เพรราะหากมีการยุบสภาก่อนกำหนด
ก็อาจจะไม่ใช่รัฐบาลนี้ที่จะต้องรับภาระในการที่หนี้สาธารณะเกินกว่า 70% ของจีดีพี
ศิริกัญญาระบุด้วยว่าได้มีการสอบถามธนาคารแห่งประเทศไทยในเรื่องเงินฝืด
ซึ่ง ธปท. ชี้แจงมาว่าประเทศไทยยังไม่เข้าสู่ช่วงเงินฝืด
เพราะเงินเฟ้อไม่ได้ติดลบในทุกรายการอย่างถ้วนหน้า
จึงยังไม่ได้เข้าเกณฑ์ของการเป็นภาวะเงินฝืด
แต่ก็มีการยอมรับว่าอาจจะต้องมีการจับตาดูในเรื่องของกำลังซื้อที่อ่อนแอลงเรื่อยๆ
และรายได้ของประชาชนที่ลดลงของทั้งเกษตรกรและค่าจ้างแรงงานด้วย
กรรมาธิการจากพรรคประชาชนได้เสนอให้คณะกรรมาธิการตั้งเป้าหมายในการปรับลดงบประมาณเพื่อนำไปรองรับวิกฤตเศรษฐกิจที่อาจเกิดขึ้น
แต่คณะกรรมาธิการปฏิเสธที่จะตั้งเป้าหมาย
อย่างไรก็ตามกรรมาธิการในสัดส่วนพรรคประชาชนยังคงเดินหน้าทำงานในการลด เลิก
เลื่อนโครงการที่ไม่จำเป็นหรือส่อทุจริต
เนื่องจากปัญหาตอนนี้คือรายได้รัฐไม่เข้าเป้า รายจ่ายจึงอาจต้องมีการปรับเปลี่ยน
ควรตัดสินใจตั้งแต่วันนี้ว่าโครงการไหนสามารถตัดลดลงได้บ้าง
แม้ท้ายที่สุดฝ่ายกรรมาธิการเสียงข้างมากจะไม่ได้เอาด้วย
แต่เราคิดว่าจำเป็นต้องเตรียมไว้ เพราะสามารถส่งเสียงได้ในชั้นอนุกรรมาธิการ
หรือรวบรวมไปขอตัดในวาระที่สองในสภาฯ และถ้าไม่ได้อีกก็จะทำรายงานเสนอต่อประชาชน
ให้เห็นว่าเราได้พยายามปรับลดงบประมาณที่ไม่จำเป็นหรือสุ่มเสี่ยงต่อการทุจริตให้ได้มากที่สุด
แต่เสียงข้างมากไม่เห็นด้วย