การทำโครงการใหญ่
ๆ ที่ร่วมกับพรรคการเมืองและเป็นสาธารณประโยชน์
ภารกิจคือการตรวจสอบทุจริตการเลือกตั้ง 2554
และตรวจสอบทุจริตการเลือกตั้งผู้ว่าราชการ กรุงเทพมหานคร ปี 2556
ได้แกนนำมาจำนวนหนึ่งทั้ง 2 รุ่น
แต่ส่วนมากหลังได้รับเป็นแกนนำก็จะวิ่งไปหาพรรคเพื่อขอตำแหน่งและรายได้
ดังนั้นแกนนำมวลชนจึงเกิดขึ้นใหม่ ๆ ตามสถานการณ์การเมืองที่เปลี่ยนไป
ดิฉันก็ไม่ผิดคาดอะไร เพราะเขาบอกว่าเขาทำแบบแกนนำส่วนกลางที่วิ่งเข้าหาพรรค
ด้านส่งเสริม (ด้านบวก) และด้านทำลายองค์กร (ด้านลบ)
มาจากปัจจัยภายนอกและภายใน
ด้านบวก ด้านส่งเสริมการเกิด, การดำรงอยู่และการเติบโตขององค์กร
ปัจจัยภายนอกจากปฏิปักษ์ประชาชน
การเกิดรัฐประหาร
การเกิดมวลชนจัดตั้งขององค์กรขวาจัด การเกิดรัฐซ้อนรัฐโดยองค์กร กอ.รมน.
การใช้องค์กรอิสระจัดการกับพรรคการเมือง นักการเมือง การปราบปรามประชาชน
จับกุมคุมขัง ไม่ให้ประกันตัว และการเกิดรัฐประหาร 2 ครั้ง มีรัฐธรรมนูญ 2
ฉบับที่ล้าหลัง การสืบทอดอำนาจรัฐประหารและใช้กลไกจารีตจัดการประชาชน
เป็นการส่งเสริมให้เกิดองค์กรการต่อสู้ของประชาชนใหม่ และองค์กรเก่าสามารถดำรงอยู่ได้ยาวนาน
ปัจจัยจากพรรคการเมือง
พรรคการเมืองในเวลาที่ถูกกระทำจากรัฐจารีตอำนาจนิยม
มีคนในพรรคที่จิตใจเป็นนักประชาธิปไตยและแม้แต่เป็นนักการเมืองที่ไม่ก้าวหน้ามาก่อน
ก็สนับสนุนส่งเสริมกิจกรรมองค์กรนปช. ทั้งในเรื่องขยายงานมวลชน
สนับสนุนโรงเรียนการเมือง และการจัดเวทีในต่างจังหวัด เราจึงมีมวลชนมากมายหลากหลาย
แม้กระทั่งที่เป็นกองเชียร์พรรคและเป็นนักต่อสู้ของประชาชนผู้รักประชาธิปไตย
ยามเป็นรัฐบาลก็มีส่วนช่วยเหลือเรื่องคดีความและการเยียวยา
สรุปคือเร่งการขยายตัวของมวลชนและให้การสนับสนุนการชุมนุม (ที่สอดคล้องกับความประสงค์ของพรรคด้วย)
ปัจจัยภายในด้านบวก
1)
การก่อตัว, การดำรงอยู่ขององค์กร อยู่ที่จุดยืนและทิศทางถูกต้อง
เพราะต่อต้านเผด็จการ-จารีตนิยม เพราะถ้าเริ่มต้นผิด ก็สลายไปตั้งแต่แรก ๆ แล้ว
2)
องค์ประกอบของแกนนำและการนำ ในยุคที่มีคุณวีระ มุสิกพงศ์ เป็นประธาน นปช.
มีวุฒิภาวะ มีประสบการณ์ และได้รับการยอมรับจากฝ่ายการเมือง (พรรค)
และฝ่ายนักต่อสู้ของภาคประชาชน เพราะร่วมสู้กับมายาวนานตั้งแต่ 14ตุลา16
3)
มีการนำโดยหลักนโยบาย 6 ข้อ เป้าหมายทางยุทธศาสตร์ และยุทธศาสตร์ 2 ขา
ที่ดิฉันเป็นผู้ร่างและได้รับฉันทานุมัติจากการประชุมใหญ่ ซึ่งขณะนั้นมีพรรคเดียว
จึงไม่ยุ่งยากมากในการสนับสนุนด้านเวทีรัฐสภา และใช้หลักการนำรวมหมู่มาจนถึงปี
2562 ก็สิ้นสุดภาวะการนำ เมื่อเป็นการนำเดี่ยว
4) ด้านบวกสำหรับปัจจัยภายใน คือได้มวลชนที่กระตือรือร้น
ตื่นรู้ทางการเมือง จำนวนมากที่เป็นผู้รักประชาธิปไตย แน่วแน่ เป็นตัวเลขมากกว่า
10 ล้านคน ซึ่งจะร่วมกับคนรุ่นใหม่ที่มีทิศทางก้าวหน้าเช่นเดียวกัน
เพื่อฟันฝ่าอุปสรรคในการทวงคืนอำนาจประชาชน
ด้านลบ ด้านทำลายองค์กรต่อสู้ของประชาชน
ปัจจัยภายนอก
เป็นอำนาจรัฐจารีตอำนาจนิยม
ใช้ยุทธวิธีปราบปราม เข่นฆ่า จับกุมคุมขัง ทำให้มวลชนถูกทำลายพลังการต่อสู้ไปจำนวนหนึ่ง
และเมื่อมีการสืบทอดอำนาจยาวนาน จาก 2557 มาจนถึงปัจจุบัน ก็แบ่งแยกมวลชน
ทำลายจิตวิญญาณการต่อสู้ของประชาชนจำนวนหนึ่งไป
ด้านพรรคการเมืองที่เป็นมิตรร่วมรบ
ในส่วนด้านลบและทำลายองค์กรตลอดมาคือ
ด้านทำลายภาวะการนำให้ไปขึ้นต่อกับพรรค ทั้งที่บางครั้ง (หลายครั้ง)
พรรคการเมืองไม่ได้เดินไปในทิศทางก้าวหน้าของประชาชน ทำให้องค์กรมีการนำที่อ่อนแอ
ส่วนหนึ่งเป็นเครื่องมือของพรรคและทำลายหลักการนำตามเส้นทางองค์กรที่ก้าวหน้า
นอกจากนี้ยังสนับสนุนกลุ่มย่อย ๆ ที่อ้างตัวว่าเป็นผู้มีมวลชนและมีแนวทางแตกต่างจากนปช.
ทำให้สร้างปัญหาให้องค์กรและประชาชนมวลชนเสื้อแดงผู้รักประชาธิปไตย
มีแกนนำที่แสดงบทละครเพื่อรับผลประโยชน์เกิดขึ้นมากมาย (นายก็เชื่อด้วย)
บางครั้งให้ข้อมูลเท็จและทำให้ผู้มีอำนาจเชื่อผิด ทัศนะใหญ่ ๆ ที่เห็นต่างกันคือ
การเขียนรัฐธรรมนูญ 2550, การนิรโทษกรรมสุดซอย, การนำคดีสู่ศาลโลกรับรอง ICC
เหล่านี้เป็นความหลงผิด ทำให้พรรคเสียหาย และการต่อสู้ของประชาชนเสียหายไปด้วย
ล่าสุดคือการข้ามขั้วไปจับมือกับฝ่ายจารีตอำนาจนิยมที่จัดการลงโทษ
จับกุม เข่นฆ่าคนเสื้อแดง ทำให้มวลชนแตกแยกเสียหาย จะเรียกว่าล่มสลายก็ได้
แต่มวลชนเสื้อแดงและผู้รักประชาธิปไตยก็จะเติบโตต่อไปและเดินไปข้างหน้า
แม้ไม่มีมิตรร่วมรบเก่าเดิมไปด้วย แต่สงครามอำนาจไม่ให้เป็นของประชาชนยังดำเนินอยู่
ประชาชนก็ต้องสู้ต่อไป
ด้านลบที่เป็นปัจจัยภายใน
ปัจจัยภายในองค์กรถือเป็นด้านหลักของปัญหาองค์กรนั้น ๆ
ภาวะการนำขององค์กรในระยะหลัง
ๆ ไม่ได้ขึ้นกับหลักการ หลักนโยบายขององค์กร ไม่ใช้การนำรวมหมู่
และไม่สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เป็นจริง ก็จะเกิดการล่มสลายขององค์กรนั้น ๆ
แม้จะเป็นองค์กรปฏิวัติหรือปฏิรูปก็ตาม
เมื่อแกนนำส่วนมากขึ้นต่อพรรคการเมือง
แสวงหาผลประโยชน์ที่จะได้จากพรรค โดยเฉพาะเมื่อได้เป็นรัฐบาล
แกนนำทุกระดับก็จะวิ่งเข้าหาการรับผลประโยชน์
ยิ่งกว่าสนใจการทำงานขององค์กรประชาชน ช่วงที่ดิฉันเป็นประธานนปช.
ก็ไม่เดือดร้อนเรื่องนี้นัก เพราะพวกเขาให้ดิฉันทำงานกับมวลชนไปเรื่อย ๆ
โดยที่ไม่ให้ค่ากับการทำงานมวลชน ยกเว้นมีเวทีปราศรัยใหญ่ ๆ ดังนั้นเราก็ยังทำงานไปได้ตามแผนการ
การละทิ้งงานต่อสู้ในฐานะฝ่ายประชาชนผู้รักประชาธิปไตย
แต่ไปอยู่กับพรรคการเมืองเต็มที่ เมื่อย้ายข้างข้ามขั้ว
กระทั่งหลอมรวมกับฝ่ายปฏิปักษ์ประชาธิปไตย นี่คือการล่มสลายภาวะการนำขององค์กรจริง
ประชาชนผู้รักประชาธิปไตยก็ยังคงเดินทางต่อไป ดิฉันก็ร่วมด้วยในการผลักกงล้อประวัติศาสตร์ให้เดินหน้าจนกว่าการสิ้นสุดชีวิต แต่ไม่สิ้นสุดการต่อสู้!
การเดินทางไกลของการต่อสู้จึงมีทั้งคนเดินทางมาสมทบใหม่ และคนที่จากเราไป ถ้าจะเรียกเป็นมิตรร่วมรบ สหายร่วมศึก ก็ขึ้นกับช่วงเวลาใด ดิฉันมีทั้งเพื่อนเก่าและเพื่อนใหม่ มีมิตรร่วมรบ สหายร่วมศึก ยุค 2516, 2519, 2535, 2549-2553-2557, 2563-ปัจจุบัน ดิฉันเดินบนเส้นทางอุดมการณ์ทางการเมืองเดิม เพื่อทวงอำนาจความยุติธรรม-ความเท่าเทียมให้ประชาชน จึงถือเพื่อนร่วมอุดมการณ์เป็นหลัก ไม่ใช่เพื่อนร่วมรับผลประโยชน์ และเรามีเพื่อนใหม่ ๆ เพิ่มขึ้นในการเดินทางด้วยอุดมการณ์ ไม่มีอะไรต้องเสียใจ เพราะเส้นทางการต่อสู้ของประชาชนมีการยกระดับคุณภาพขึ้นไปตลอดเวลา นี่คือสถานการณ์สงครามยืดเยื้อสำหรับการต่อสู้ทางการเมืองของประชาชนไทย