'ทนายแจม' ยก 3 ประเด็นนิรโทษกรรมและความจำเป็นที่ต้องรวมม.112
ชี้หากไม่รวม จะยิ่งทำให้ความขัดแย้งทางการเมืองไร้ทางออก
จี้เพื่อไทยแสดงความกล้าหาญ-จริงใจ นำพาสังคมไปในทิศทางที่ถูกต้อง
ไม่ใช้วิธีส่งสัญญาณ "ตีกรอบ" ร่าง
พ.ร.บ.นิรโทษกรรมที่กำลังจะเข้าพิจารณาในสภาฯ
วันนี้
(29 มิถุนายน 2568) ศศินันท์ ธรรมนิฐินันท์ สส.กทม.
พรรคประชาชน โพสข้อความ ระบุว่า 3 ประเด็นข้อคิดเห็นในฐานะกรรมาธิการวิสามัญศึกษาแนวทางการตราพ.ร.บ.
นิรโทษกรรมและความจำเป็นที่จะต้องรวมคดีมาตรา 112
จากกรณีที่คุณ
วิสุทธ์ ไชยอรุณ ประธานวิปรัฐบาลและสส.บัญชีรายชื่อของพรรคเพื่อไทย
ได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนในประเด็นที่สภาผู้แทนราษฎรเตรียมจะพิจารณาร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมในลำดับต้นทันทีที่เปิดสมัยประชุมว่า
“ทุกฉบับจะต้องไม่มีเรื่องมาตรา112”
แจมในฐานะกรรมาธิการวิสามัญศึกษาแนวทางการตราพ.ร.บ.
นิรโทษกรรม ขอยืนยันจุดยืนในฐานะกรรมาธิการสัดส่วนพรรคประชาชน
และขอย้ำกับรัฐบาลนำโดยพรรคเพื่อไทยว่าการตัดคดีมาตรา112 ออกจากร่างนิรโทษกรรม
ไม่สอดคล้องกับหลักความสมานฉันท์ปรองดองและเจตนารมณ์หลักของการนิรโทษกรรม
ขอชี้แจงความเห็นของดิฉันต่อเรื่องนี้
จำนวน 3 ประเด็น ดังนี้:
[
ประเด็นที่ 1 : คดีมาตรา 112 มีจำนวนมาก และสะท้อนลักษณะของคดีการเมืองอย่างชัดเจน ]
ข้อมูลจากเอกสารในชั้นกรรมาธิการระบุว่า
คดีตามมาตรา 112
มีจำนวนมากกว่าหลักร้อย แต่เป็น “หลักพันคดี”
และไม่ได้จำกัดอยู่เฉพาะแกนนำหรือนักกิจกรรมการเมือง
หากแต่รวมถึงประชาชนทั่วไปที่ไม่มีชื่อเสียง ไม่มีเครือข่าย
และไม่สามารถเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมได้อย่างเท่าเทียม
ที่สำคัญคือ
มีคดีจำนวนไม่น้อยที่สิ้นสุดด้วยคำพิพากษายกฟ้อง
และผู้ต้องหาไม่ได้มีพฤติการณ์ที่เข้าข่ายหมิ่นเบื้องสูง ซึ่งสะท้อนถึง
ปัญหาการตีความกฎหมายที่กว้างเกินสมควรทำให้ถูกนำไปใช้เป็นเครื่องมือได้ง่าย
และการบังคับใช้ที่อาจละเมิดเสรีภาพในการแสดงออกอย่างร้ายแรง
หากรัฐบาลยังไม่สามารถให้ทางออกกับคดีมาตรา
112 ที่เกี่ยวข้องกับประชาชนทั่วไปเหล่านี้ได้
ก็เท่ากับปิดโอกาสในการเริ่มต้นชีวิตใหม่ของผู้คนจำนวนมาก และ
ทำให้สังคมไม่อาจก้าวข้ามความขัดแย้งทางการเมืองไปได้อย่างแท้จริง
ดิฉันจึงเห็นว่า
รัฐบาลควรใช้โอกาสครั้งนี้ในการ เรียกคืนความเชื่อมั่นของประชาชน
และขจัดเงื่อนไขความขัดแย้งทางการเมืองอย่างเป็นรูปธรรม
เพราะหากจะมีสิ่งใดที่สามารถสร้างความชอบธรรมให้กับรัฐบาลในช่วงเวลานี้ได้
นั่นคือ “ความกล้าหาญในการนิรโทษกรรมโดยไม่เลือกปฏิบัติ”
[
ประเด็นที่ 2: หากนิรโทษกรรมโดยไม่รวมคดีมาตรา
112 จะยิ่งทำให้รัฐบาลไม่สามารถหาทางออกจากความขัดแย้งทางการเมืองได้เลย
]
การนิรโทษกรรม
คือเครื่องมือทางกฎหมายที่เปิดโอกาสให้รัฐบาลในขณะนั้นใช้เพื่อคลี่คลายความขัดแย้งและให้สังคมได้ก้าวข้ามบาดแผลทางการเมือง
หากร่างกฎหมายนิรโทษกรรมที่จะมีขึ้นนี้ถูกออกแบบให้
เว้น คดีมาตรา 112
โดยเฉพาะ
ทั้งที่คดีมาตรา
112 คือแกนกลางของข้อเรียกร้องทางการเมืองในช่วงหลายปีที่ผ่านมา
และเป็นหนึ่งในสาเหตุสำคัญของความขัดแย้งระหว่างรัฐกับประชาชน
หากรัฐบาลเลือกใช้เครื่องมือนิรโทษกรรมเพื่อคลี่คลายปัญหา
แต่กลับเว้น “หัวใจของข้อขัดแย้ง” เอาไว้
ก็เท่ากับปฏิเสธโอกาสในการสร้างความไว้วางใจจากประชาชนและกำลังเดินหน้าทำการเมืองด้วยการเลือกปฏิบัติ
รัฐบาลจะไม่สามารถอ้างถึง
“การก้าวข้ามความขัดแย้ง” ได้เลย หากยังเลือกปฏิบัติกับคดีมาตรา112 ที่สะท้อนความขัดแย้งทางการเมืองมากที่สุด
[
ประเด็นที่3 : พรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำรัฐบาล
ต้องมีความกล้าหาญและจริงใจในการนำพาสังคมไปในทิศทางที่ถูกต้อง
และไม่ควรใช้วิธีส่งสัญญาณ “ตีกรอบ”
ร่างพ.ร.บ.นิรโทษกรรมที่กำลังจะเข้าสู่การพิจารณา ]
ดิฉันเชื่อว่า
ในห้วงเวลานี้ สิ่งที่สังคมไทยต้องการไม่ใช่เพียง
“การผ่านร่างกฎหมายนิรโทษกรรมแบบไร้เงื่อนไขคดี” แต่คือ “ความจริงใจทางการเมือง”
ในการหาทางออกจากความขัดแย้งจริงๆ
ท้ายที่สุดแล้ว
หากการนิรโทษกรรมครั้งนี้ไม่รวมคดีมาตรา 112 สังคมจะยังเดินต่อบนความขัดแย้ง
และสนามการเมืองต่อจากนี้จะถูกมองว่าการสลายขั้วการเมืองเป็นการพยายามรักษาอำนาจของชนชั้นนำซึ่งฮั้วกันอยู่เพื่อการแบ่งผลประโยชน์เท่านั้น
ไม่มีประชาชนอยู่ในสมการ
ดิฉันเห็นด้วยกับหลักการของร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรม
ซึ่งรวมคดีตามมาตรา 112
เข้าไว้ด้วย และขอเน้นย้ำว่า การพิจารณาร่างกฎหมายฉบับนี้
ไม่ใช่เพียงหน้าที่ของพรรคฝ่ายค้านหรือภาคประชาชนแต่เป็นความรับผิดชอบของรัฐบาลเช่นกันที่จะต้องแสดงให้ประชาชนเห็นถึง
เจตนารมณ์ทางการเมืองที่แท้จริงของพรรคเพื่อไทยในฐานะแกนนำรัฐบาล
เพื่อนำพาประเทศก้าวผ่านความขัดแย้งต่อไป
#UDDnew #ยูดีดีนิวส์ #นิรโทษกรรมประชาชนทุกคดี #ปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม #นิรโทษกรรมประชาชน #ทนายแจมศศินันท์ #พรรคประชาชน